วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 208

 บทส่งท้าย


สถานีใต้ดินกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มอนสเตอร์ไหลเข้ามาในโลก

มนุษย์ต้องสู้เพื่อการอยู่รอด และพวกเขาก็ทำได้ดี

ถึงอย่างนั้นแล้ว จำนวนประชากรเหยียบ 7 ล้านก็ลดลงครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 5 ปี

มอนสเตอร์ปรากฏบนโลก มันไม่อาจฝ่าฝืนกฏบางอย่างได้

มนุษย์สำรวจดันเจี้ยนและได้ผลประโยชน์ พวกเขาเริ่มหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้

พวกเขาดีใจกับทรัพยากรอย่างใหม่ที่เรียกว่าบลัดสโตน แต่ไม่นานก็เจอกับโศกนาฏกรรมหนักหนากว่าเดิม

ทราห์เน็ตและโลกประสานกันอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้น ลอร์ดมิติที่ฆ่าไม่เลือกก็ปรากฏตัว พวกมันกำลังจะยึดครองโลก

แทบไม่เห็นประเทศไหนไม่เสียเมืองหลวงของตนไป ประเทศครึ่งหนึ่งของโลกสูญเสียรัฐบาล ประชากรกลายเป็นผู้อพยพ

มอนสเตอร์...

เราไม่สามารถเรียกรวมพวกมันง่ายๆว่ามอนสเตอร์ สิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภทมารวมกันที่โลก

เผ่าที่เหมือนมนุษย์อย่างเอลฟ์ คนแคระ ออร์ค มีกระทั่งมนุษย์...

สายพันธุ์ใหม่นับร้อยพันกำลังจะทำสงครามแย่งชิงโลก

แต่แล้วดันเจี้ยนทั้งหมดก็ถูกรีเซ็ท

เป็นการรีเซ็ทอย่างหมดจด

ดันเจี้ยนที่ทำหน้าที่เป็นอุโมงค์เชื่อมกับมิติต่างๆหายไป มนุษย์มีความหวังอีกครั้ง

เหมือนกับว่าสันติสุขจะกลับมาเมื่อผู้บุกรุกจากมิติอื่นถูกไล่ออกไป

ขณะที่สงครามระหว่างมิติจบลง การต่อสู้แย่งชิงโลกยังคงอยู่ สงครามที่ผู้อพยพมิติต้องสู้กับชาวโลกยังคงอยู่ มันเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด

ประชากรแยกได้ว่าเป็นมนุษย์หรือมอนสเตอร์ แต่การแยกว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูมันคลุมเครือ และดูเหมือนการหลั่งเลือดรอบสองจะมาเกิดขึ้นในไม่ช้า

แต่แล้วอลันดาลก็เข้ามาแทรก พวกเขาบังคับหยุดสงครามนำสันติสุขคืนมา

แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกประเทศและผู้อพยพมิติจะเห็นด้วย

ญี่ป่นไม่เห็นด้วย พวกเขาทำสงครามกับดาร์คเอลฟ์ในฮอกไกโด ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ยับเยิน

ไม่ใช่สงครามที่ต่างฝ่ายยกกองทัพออกมาสู้กัน

นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเป็นรายแรกที่ล้มลง คนในรัฐบาลทุกคนที่ต้องการทำสงครามถูกลอบสังหาร ไม่เกิดสงครามตามแผนที่วางไว้ 

ไม่ใช่ว่าผู้อพยพมิติจะได้รับการยกเว้น เมื่อใดที่พวกมันมีท่าทีจะบุกรุกประเทศใด พวกมันจะถูกลงโทษอย่างไร้ความปรานี

เทพแห่งการทำลาย

ชื่อของเขาค่อยๆดังข้ามเผ่าพันธุ์ที่ฝังรากบนโลก ชื่อของเขาสลักในสำนึกของทั่วทุกคน ภายใต้การปกครองของเขา สันติภาพกลับคืนมา

แต่การควบคุมคนไม่ให้เริ่มสงครามไม่ใช่การแก้ไขปัญหาทุกอย่าง

การก่อการร้ายและข้อพิพาทเรื่องดินแดนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เผ่าพันธุ์ทรงปัญญาเผ่าอื่นๆบนโลกคือปัญหา ต้องมีวิธีแก้ข้อขัดแย้งเหล่านี้อย่างเหมาะสมรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ สหพันธ์โลกจึงตั้งขึ้นโดยมีประเทศที่เข้มแข็งที่สุดเป็นสื่อกลาง หน้าที่นั้นย่อมเป็นของอลันดาล

แต่ผู้นำที่แก้ปัญหานี้ไม่ใช่ราชาแห่งอลันดาล คังวูจิน

ประธานคนแรกของสหพันธ์โลกอันมีเป้าหมายคือสันติภาพโลก ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายกรัฐมนตรีอลันดาล จุงมินชาน

จำนวนผู้อพยพมิติเทียบเท่ากับจำนวนมนุษย์ที่ตายในสงคราม สันติภาพเกิดขึ้นจากความพยายามอย่างหนักนับปี

การทำลายและการเข่นฆ่า

คนบนโลกถูกปลดปล่อยจากความกลัวและสงคราม ช่วงเวลาหวานชื่นที่สงบสุข และยาวนานพอให้ชื่อของเทพแห่งการทำลายจางไปจากความทรงจำของคน

เขาสังหารมนุษย์และมอนสเตอร์ไปเท่าไหร่ กองทัพผีดิบของเขาสังหารไปมากเท่าไหร่ ไม่สำคัญ

เขาคือราชาผู้ตัดเชือกที่เชื่อมโยงโลกกับมิติอื่นๆ

คังวูจินไม่ใช่เทพแห่งการทำลาย เขากลายเป็นวีรบุรุษ

เขาได้รับการยกย่องเชิดชูแทนที่จะถูกกลัว แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนมาหลายเดือนแล้ว

คนหลายพันมารวมกันในวันอากาศสดใส กำลังมองไปที่เวที โดรนเก็บภาพหลายตัวลอยไปมา คำปราศัยถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก

“น่าเสียดายผมไม่ได้อยู่ร่วมแบ่งปันวันแห่งประวัติศาสตร์นี้กับเขา”

จุงมินชานดูแก่ขึ้น 10 ปี ดูเหมือนปีที่ผ่านๆมาเขาต้องเครียดมาก เขาพูดใส่ไมโครโฟนด้วยเสียงสุขุม

“ครบหนึ่งปีตั้งแต่ที่เราจัดตั้งสหพันธ์โลก”

บางคนเรียกมันว่าวันประกาศอิสรภาพโลก บางคนเรียกว่าจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่

หนึ่งปีนับแต่โลกสร้างประวัติศาสตร์ใหม่

“วันนี้ยังเป็นวันสำคัญที่เราจะพบกับมนุษย์จากโลกเก่า”

มินชานลงจากแท่นปราศรัยพลางชี้ไปข้างหลัง ข้างหลังเขาคือสถานีโซล

โลกจริงซ้อนทับกับโลกเสมือน

ไม่มีเหตุผลต้องแยกระหว่างความจริงและความเสมือนจริง 

โลกที่แตกต่างสองโลกรวมกัน สร้างความจริงใหม่

ในสถานีใต้ดิน แทนที่จะมีดันเจี้ยนกลับเป็นมนุษย์หลับใหลในแคปซูล พวกเขาฝันรอบ้านใหม่

ปีที่ผ่านมา สหพันธ์โลกนำความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาสู่โลก และเชื่อมสัมพันธุ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆได้สำเร็จ

พวกเขาสร้างศูนย์ช่วยเหลือขึ้นในทุกทวีปเพื่อช่วยคนที่ตื่นจากการจำศีลปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ คนที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่หลับอยู่ในสถานีออกมาก็ฝึกเสร็จแล้ว

คนจากโลกเก่าที่หลับฝันจะถูกเรียกกลับมายังความจริง

“ตอนนี้เราจะเริ่มโครงการ เราจะช่วยคนจากโลกเก่า”

ผู้คนส่งเสียงเชียร์กับคำประกาศของมินชาน

ผู้ถูกสร้างกำลังพบกับผู้สร้าง นั่นไม่สำคัญ มันก็แค่มนุษย์คนหนึ่งกำลังช่วยมนุษย์อีกคน

***

รถตู้คันหนึ่งวิ่งบนถนน

ซินดี้ปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายการปราศรัยของมินชาน เธอเอนตัวกลับไป

“จีวอนชอบจัดงานเอาตอนเวลาแปลกๆแบบนี้ทุกที”

วันนี้เป็นวันครบรอบปีเริ่มยุคใหม่ และคนกำลังออกไปเจอกับคนจากโลกเก่า

จีวอนตัดสินใจจัดงานพบปะกับแฟนในวันแบบนี้

“จะเลี้ยวกลับไหม?”

“ถ้าฉันไม่ไปแล้วใครจะไปล่ะ? วันนี้ทุกคนยุ่งกันหมด”

เพื่อนและคนรู้จักของพวกเธอมีธุระในวันนี้

ซินดี้เป็นนักร้องระดับโลก แต่เพื่อนฝูงของจีวอนมีแต่คนสำคัญ...

“พี่ซุงฮุนจะมาได้ไหม?”

“หา? วันนี้คุณซุงฮุนน่าจะมีถ่ายทอดสดนะ”

ผู้จัดการตอบ โดจีวอนเปิดโทรทัศน์ใหม่

<วูซุงฮุนโชว์! วันนี้เป็นวันพิเศษ ผมกำลังสัมภาษณ์บุคคลสำคัญมาก ปรบมือให้ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์จากฐานดวงจันทร์ด้วยครับ>

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ปรากฏตัวท่ามกลางเสียงปรบมือด้วยรอยยิ้มกว้าง

<คุณคือมนุษย์ต่างดาวคนแรกที่มาถึงโลกของเราโดยไม่ใช้ UFO หรือจะให้ผมเรียกว่าคนจากอนาคตดี?>

ผู้ชมในห้องส่งและศาสตราจารย์หัวเราะให้กับคำพูดล้อเล่นของวูซุงฮุน จากนั้นพวกเขาเริ่มสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราว

ถึงจะล้อเล่นแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่จริง

ท็อปเลอร์อยู่บนโลกในวันนั้น

<บอกพวกเราหน่อยว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ ศาสตราจารย์>

<มันเป็นเหตุการณ์พิเศษที่จะไม่มีอีก ที่จริงแล้วขนาดตอนนี้ผมยังแทบบอกให้ตัวเองเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้>

<นี่เหมือนภาพมายาหรือเปล่า? คุณจากตื่นจากฝันนี้ไหม? คุณกำลังถูกสะกดจิตหรือเปล่า?>

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์หัวเราะกับความทะลึ่งของวูซุงฮุน เขาพูดต่อ

<ไม่มีทาง ผมแค่จะบอกว่าการมีความคิดคับแคบเป็นเรื่องน่ากลัว เราพบว่าการแยกความจริงและมายาอาจเป็นสิ่งไม่มีความหมาย ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่คิดมันจะกลายเป็นจริงได้ ในทางตรงกันข้าม การหลงลืมอาจทำให้หลายสิ่งหลายอย่างถูกลบไป>

<วันนี้คุณทำตัวเป็นนักปรัชญามากเลย มนุษย์ต่างดาวบนฐานดวงจันทร์เป็นยังไงกันบ้างครับเดี๋ยวนี้?>

<ฮ่าๆ เหมือนเดิมครับ พวกเขาให้ความสนใจโครงการช่วยเหลือคนจากโลกเก่ามาก ยิ่งกว่านั้นก็ใกล้เวลาที่ยานสำรวจจะไปถึงดาวอังคารแล้ว ทุกคนให้ความสนใจกับทางนั้นมากกว่า>

<แล้วศาสตราจารย์ล่ะ...>

ซินดี้ปิดโทรทัศน์แล้วหลับตาเพื่อพักสายตา

บนโลกมีเผ่าพันธุ์หลากหลาย

วูซุงฮุนสามารถคุยกับทุกเผ่าพันธุ์

เขาพูดคล่องจนสามารถขายโทรศัพท์รุ่นเก่าให้เทพแห่งการทำลายได้ เขาใช้ทักษะที่มีและกลายเป็นพิธีกรที่มีชื่อเสียงระดับโลก ความสำเร็จของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“เฮ้อ พี่ซุงฮุนไม่มา...”

“ทำไมไม่ลองถามแฟนเธอล่ะ?”

ซินดี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของผู้จัดการ

“เฮ้อ คนว่างงานที่ยุ่งที่สุดในโลกจะรับโทรศัพท์ฉันได้เหรอ?”

“ฮะ...”

ผู้จัดการหัวเราะ

ตู๊ดๆๆ

ถึงพูดไปอย่างนั้นซินดี้ก็ยังโทรหาเขา แต่เสียงโทรศัพท์ดังเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะมีคนรับ

ตอนนั้นเองรถก็สั่น ซินดี้มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นหลังคาอาคารแห่งหนึ่งมีควันลอยออกมา

“ไอ้หยา มีก่อการร้ายอีกแล้ว”

ผู้ก่อการร้ายไม่ขึ้นอยู่กับประเทศไหน มันจึงเป็นปัญหายุ่งยากของสหพันธ์โลก

ยิ่งกว่านั้นคังวูจินยังหายตัวไป มันทำให้พวกผู้ก่อการร้ายเหิมเกริมขึ้น

เปลวไฟเป็นสีดำลามขึ้นตึก มันตรงไปที่หลังคา ซินดี้ทำตาโตแล้วหัวเราะ

ควันสีดำรวมตัวกันและถูกส่งขึ้นไปบนฟ้า เปลวไฟเหมือนถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ มันรวมตัวกันเป็นนกเพลิง

“เขายุ่งที่สุดจริงๆ”

เสียงโทรศัพท์ยังดัง ซินดี้เลิกโทร

รู้ว่าเขาอยู่ในเกาหลีทำให้เธอใจเต้น

เขาผู้ใช้ไฟสู้กับพวกผู้ก่อการร้ายโดยไม่คิดเงิน

เขาเป็นคนว่างงานที่เท่ที่สุดในโลก และเขาเป็นแฟนของเธอ

ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะได้เห็นหน้าเขา

“ยกเลิกตารางงานทุกอย่างของฉันตั้งแต่คืนนี้ถึงพรุ่งนี้เลยค่ะ”

“หา?”

ผู้จัดการแปลกใจ แต่เธอเคยขอแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ในที่สุดเขาก็ยอม

เขาแอบมองทางกระจกหลังและเห็นซินดี้ยิ้มเหมือนวัยรุ่น

***

มือคล่องแคล่วเซ็นชื่อของเธอบนหน้าปกหนังสือ

“คุณสวยเกินไปแล้ว”

“ฮะๆ ค่ะ”

เธอชอบคำชมจึงยิ้มขณะจับมือกับชายคนนั้น

ผู้อ่านคนถัดไปยื่นหนังสือให้เธอ

“ชื่ออะไรคะ?”

“หมาลายจุด”

“...”

ปากกาที่เคลื่อนไหวอย่างงดงามหยุดลง

“ชื่ออะไรนะ?”

“ผมคือหมาลายจุด”

“ฮ้า”

โดจีวอนลุกพรวด

“ค...คุณคือคนที่คอมเม้นต์...”

“ผมตั้งใจจะเลิกอ่านนิยายคุณทุกที แต่ก็สงสัยว่าตอนต่อไปจะไปยังไง... ผมอ่านต่อ... ผมสมัครสุ่มแฟนมีทติ้งเล่นๆแล้วก็ได้...”

เขาเกาศีรษะและทำเป็นใจเย็น แต่โดจีวอนยังยิ้มสดใส หนังสือของเธอมี 200 ตอนและเขาเขียนความคิดเห็นลงในทุกตอน เธอคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเขาที่นี่

“ดีใจที่ได้เจอคุณนะ”

“เหรอ?”

“ฉันสงสัยว่าคุณเป็นคนยังไง ฮิๆ”

โดจีวอนยิ้มใสซื่อ ชายที่ติดป้ายชื่อหมาลายจุดรู้สึกขัดเขินกับความกระตือรือร้นของเธอ

“ฉันมีเรื่องที่อยากบอกคุณ”

มีเรื่องอยากบอกเขา ทำไมไม่เขียนลงในส่งท้ายจากผู้เขียนในหนังสือล่ะ?

โดจีวอนยิ้มแล้วค้อมคำนับชายที่กำลังงง

“ขอบคุณคุณจริงๆ คุณเป็นแรงผลักดันให้ฉันอย่างมาก...”

“อะแฮ่ม”

เขากระแอมอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีแต่แล้วก็เห็นซินดี้ เธอลัดคิวยาวของผู้อ่านที่กำลังรอพบกับนักเขียนเข้ามา

“จีวอน! ยินดีด้วยที่เขียนหนังสือเสร็จ!”

“อ๊ะ? เฮ้ ซินดี้”

จีวอนประหลาดใจกับการมาถึงของซินดี้ คนในแถวก็กระซิบกัน

“นั่นซินดี้ใช่ไหม?”

“หา? ใช่จริงด้วย ฉันได้ยินว่าพวกเค้าเป็นเพื่อนกัน แต่ดูสนิทกันจริงๆนะ”

จีวอนนั่งลงพลางมองคนที่กำลังคุยกัน

“คุณฮีซอลกับเจมินอยู่ในห้องรับรองแน่ะ”

“ได้ เธอรีบทำให้เสร็จนะ ฉันจะไปรอ”

ซินดี้คำนับให้นักอ่าน แล้วตรงไปยังห้องรับรองสำหรับจีวอน

“ไอหยา น้องจ๋านั่งลงเถอะ”

“ไม่ ฉันนั่งแล้วปวดหลัง”

“โอย เราจะทำยังไงกันดี?”

เสียงคุ้นเคยดังผ่านประตูห้องรับรอง ซินดี้กระตุกยิ้มพลางเปิดประตู

“อ๊ะ? พี่”

“พี่!”

โดเจมินหันมาอย่างประหลาดใจ ซูลกิก็ประหลาดใจแต่เธอยิ้มต้อนรับอย่างยินดี

ดูเหมือนซินดี้จะเข้ามาตอนเจมินกับซูลกิกำลังหวานใส่กัน ฮีซอลดูขอบคุณมากที่ซินดี้เข้ามา เธอจับมือซินดี้

“นี่จะเก้าเดือนแล้วใช่ไหม?”

ซินดี้มองท้องใหญ่ของซูลกิ

“ค่ะ กำหนดคลอดวันที่ 12 เดือนหน้า”

“ทำไมไม่อยู่บ้าน?”

“ฮิๆ นี่เป็นงานแฟนมีทติ้งของพี่จีวอน หนูไม่มาไม่ได้หรอก”

“อ้อ เพราะเค้าเป็นพี่สะใภ้ใช่ไหมล่ะ?”

“แหม พี่ก็”

ดวงตาโดเจมินส่งประกายหัวเราะ เห็นการพบปะกันแบบนี้มันชวนให้จิตใจอบอุ่น

“นายดีใจขนาดนั้นเลยที่ได้เป็นพ่อคน?”

“เฮะๆ ดีใจสิครับ”

“แหม คิดว่าวูจินจะถึงแล้วยัง?”

“พี่เหรอ? พี่มาไม่ได้หรอก เขาอยู่ไกลเกินไป”

“ฉันไม่ได้หมายถึงที่นี่ ฉันถามว่าเขาถึงที่นั่นหรือยัง”

“อา... อันนั้นผมไม่รู้”

ซินดี้หัวเราะกับคำตอบของโดเจมิน

“ไอ้หยา หวังอะไรจากตาหล่อหัวทื่อนี่ไม่ได้เลย”

“เฮะๆ”

เจมินยังรู้สึกดีต่อให้โดนตำหนิ

“ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงพี่วูจินหรอกครับ เขาคงถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยแล้ว ฮะๆ”

“แน่สิ...”

ไม่มีสิ่งใดในโลก... ไม่สิ ในระบบสุริยะจะทำอันตรายคังวูจินได้ ห่วงเขาไปก็เหนื่อยเปล่า

***

“เรากำลังอยู่บนเส้นทางเข้าชั้นบรรยากาศดาวอังคาร เรากำลังเข้าใกล้มันช้าๆ”

“ดี ติดต่อกองบังคับการ”

“ครับผม”

ปี๊บ!

“วันนี้คือวันที่ 5 มกราคม ปีศักราชใหม่ที่ 1 ยานลีโอนีสามารถเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในเวลา 1100 เราจะวนรอบดาวเคราะห์ก่อนเริ่มการสำรวจ”

สมาชิกทำงานกันง่วนขณะกัปตันลีโอนีเดินจากไป

“เฮ้อ”  

ลีโอนีผ่านร้อนหนาวมามาก แต่เขายังตัวสั่นทุกครั้งเมื่อต้องไปเจอคนๆนั้น

เขากดปุ่มหน้าประตูและได้ยินเสียงจากลำโพงเล็กๆ

<เข้ามาได้>

ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ ลีโอนีเดินเข้าไป เขายืนตรงหน้าคังวูจิน

วูจินกำลังหกสูงวิดพื้น เขาทิ้งตัวลงบนพื้นและปาดเหงื่อออก

“มีอะไร?”

ลีโอนียืนตัวแข็งและรายงาน

“เราเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารได้สำเร็จ ผมคิดว่าเราควรวนรอบดาวเคราะห์เพื่อทำการสแกน จากนั้นจึงเริ่มการสำรวจอย่างถี่ถ้วน เราจะส่งยานสำหรับลงจอด...”

“อ๊ะ หยุดแค่ประโยคแรกก็ได้”

“...”

วูจินเช็ดเหงื่อพลางยิ้ม

“แปลว่าเราถึงแล้วใช่ไหม?”

วูจินเดินออกจากห้อง ลีโอนีเดินตาม

มีบางอย่างแปลกไป ชายคนนี้มักจะทำเรื่องเสมอ

ผ่านหน้าต่างหนา วูจินเห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงิน

ดวงตาของวูจินเป็นประกาย

ทราห์เน็ตไม่อยู่แล้ว... ในโลกที่อุโมงค์หายไป ยานอวกาศเป็นวิธีเดียวในการเดินทางระหว่างดวงดาว

ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าของโลกพระจันทร์ เขาใช้เวลามาถึงที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

“ในที่สุดก็ถึง”

ดวงตาวูจินเต็มไปด้วยความยินดี

“อัลเฟน”

“...”

“เปิดประตู”

“ครับ? เราต้องสำรวจก่อน...”

“ให้ฉันพังประตูดีไหม?”

“...ขอผมเตรียมการก่อน”

ลีโอนีรู้ว่าเขาจะเถียงแพ้ จึงหันไป

การเตรียมการเสร็จในเวลาอันสั้น ยานสำหรับลงจอดถูกยิงออกจากยานหลัก

ยานลงจอดแตกออกทีละชั้นขณะที่แรงดึงดูดของดาวอังคารเพิ่มความเร็วให้กับตัวยาน

มันถูกออกแบบมาให้ทนความร้อนและแรงดันจากการร่วงสู่พื้น แต่มันแตกออกในเวลาไม่กี่นาที

ชิ้นส่วนที่กำลังระเบิดกลายเป็นไฟขณะที่ร่วงสู่พื้น พร้อมกับการระเบิด บางอย่างที่เป็นสีขาวขยายออก

“อา”

ลีโอนีกลืนเสียงครางเมื่อเห็นมังกรกระดูกฉีกยานสำหรับลงจอดออกมา

ลีโอนีไม่จำเป็นต้องมองหน้าวูจินก็รู้ว่าเขากำลังตื่นเต้น เขาสามารถนึกภาพวูจินกำลังขี่หลังมังกรกระดูกมุ่งหน้าไปทางดาวอังคาร

“เราจะรักษาวงโคจรของเรา ส่งดาวเทียมสำรวจออกไป”

ดาวอังคาร ที่นี่ถูกปรับสภาพดวงดาวไปพร้อมๆกับโลก ได้เวลาสำรวจอัลเฟนอย่างจริงจังแล้ว

มังกรกระดูกกลับตัวและร่อนไปในอากาศ

อุโมงค์หายไป แต่เขาสัญญาว่าจะกลับมา

เขาทำเพื่อคนที่กำลังรอเขา...



สารบัญ

----------------------------



เพื่อเมโลดี้สินะ ชิชะๆ ใครเป็นนางเอกแน่หว่าเรื่องนี้ XD

ตอนสุดท้ายเป็น sponsor chapter ด้วยล่ะ เฮ \0/ ขอบคุณคุณ NANASHOP ค่ะ 

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมานานค่ะ เรื่องนี้เริ่มต้นปี 60 นี่ปลายปี 63 3 ปีแน่ะกว่าคนแปลจะแปลจบ XD 

เดี๋ยวขอเวลาหานิยายเรื่องใหม่สักหลายเดือน (หลายๆเดือน) :3 ระหว่างนี้บล็อกจะลงแปลเพลงเพื่อไม่ให้เว้นว่างเกินไปค่ะ :3 



วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 207

 

บทที่ 207 – ฟื้นฟู (3)

 

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์บังคับสีหน้าไม่ให้เปลี่ยน

เขาจูงใจสำเร็จหรือ?

คังวูจินลืมตาในโลกจริง ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร?

“คุณคิดได้แล้วเหรอ?”

“นายพูดเรื่องอะไร?”

“รีเซ็ท... เอ่อ ผมคิดว่ามันคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”

เขาเคยต้องการให้คังวูจินผู้มีรหัสฟื้นฟูล็อกเอาท์ออกมาพร้อมกับรหัสโลก

คังวูจินล็อกเอาท์ออกมาจริง แต่รหัสโลกยังอยู่ในทราห์เน็ต

คิมคังชุลเอารหัสโลกออกมาไม่สำเร็จ และท็อปเลอร์ถูกบังคับล็อกเอาท์และไม่สามารถเชื่อมต่อกับทราห์เน็ตอีกต่อไป

ท็อปเลอร์มองวูจินอย่างจริงจัง

“ยังไม่สายเกินไป ผมจะบอกวิธีส่งข้อความหาคนสักคนในอลันดาล เมื่อคนนั้นได้รหัสโลก เราก็เอาเขาออกมาก”

ท็อปเลอร์พูดอย่างกระตือรือร้น คังวูจินหัวเราะเสียงแปลก

“นายจะให้ฉันสั่งลูกน้องฆ่าน้องสายของฉัน?”

“...ไม่ใช่ ผมกำลังบอกว่าเราควรเอารหัสโลก จากนั้นเราจะสามารถย้อนเวลากลับไปก่อนโลกเกิดสงคราม”

“ไม่ตลกนะ”

“ตื่นเถอะครับ ที่นั่นมันก็แค่ VR พอรีเซ็ทแล้วน้องสาวของคุณก็จะยังมีชีวิตเหมือนเดิม เราไม่ได้ฆ่าเธอ เรากำลังช่วยโลก”

ท็อปเลอร์พยุงร่างขึ้น คังวูจินยื่นหน้ามาทางเขา

“นายเข้าใจผิด”

“...”

“เป้าหมายของฉันคือตัดการเชื่อมต่อโลกของฉันออกจากทราห์เน็ต ฉันไม่สนใจโลกของนาย”

“...”

ท็อปเลอร์หน้าขรึม

คังวูจินล็อกเอาท์ออกมา แต่ความทรงจำของเขายังสับสน นี่เป็นสิ่งที่ท็อปเลอร์สรุปได้

“เราย้อนเวลา VR ได้เสมอ แต่ความเป็นจริง...”

“หยุด”

คังวูจินตบบ่าท็อปเลอร์

“ฉันมาที่นี่เพราะอยากพิสูจน์บางอย่าง”

“...?”

เขาพูดอะไร? เขามาที่นี่ด้วยตัวเอง?

ท็อปเลอร์เป็นคนสั่งให้กัปตันลีโอนีล็อกเอาท์วูจิน

“ฉันมาดูวิญญาณของนาย”

วูจินหัวเราะขณะมองด็อกเตอร์ท็อปเลอร์

สิ่งที่วูจินสงสัยถูกคลี่คลายแล้ว มันกวนใจเขามานาน

“ค...คุณจะไปไหน?”

“ฉันมีเรื่องต้องทำ”

เมื่อวูจินหันจากไป ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ชี้ไปทางวูจิน

“ทำไมพวกคุณไม่หยุดเขา?”

“...”

แต่ทหารใกล้ๆรวมถึงกัปตันลีโอนีไม่ขยับตามคำท้วงของเขา

“กัปตันลีโอนี! คุณทำอะไร?”

“ยอมแพ้เถอะ ศาสตราจารย์”

“...?”

คังวูจินมีรหัสฟื้นฟู พวกเขาไม่ได้รหัสโลกมาก็ไม่เป็นไร พวกเขาต้องหาวิธีย้อนเวลากลับ

“ถ้าตอนนี้เราปล่อยให้เขาไปล่ะก็...”

อย่างน้อยที่สุด รหัสฟื้นฟูจำเป็นต่อการรีเซ็ท ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ลุกจากเตียงและวิ่งตามวูจิน

“หยุด!

“...”

วูจินกำลังอยู่ที่บันไดสำหรับลงจากยาน วูจินหันไปสบตา...

“หา?”

ท็อปเลอร์ครางเมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกเหวี่ยง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก ร่างเขากำลังลอยอยู่จริงๆ

“อย่าตาม ฉันไม่ต้องใช้นายแล้ว...”

“เป็นไปได้ยังไง...”

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาทำหน้าเหมือนเห็นผี

วูจินทำอะไร? อะไรทำให้เขาใช้พลังเหนือธรรมชาติแบบนี้ได้?

เขาเหมือนเราส์จากโลกเสมือนจริง...

“พวกนายกลับบ้านไปดีกว่า คนจากโลกพระจันทร์”

วูจินลงบันได พลังที่ยกท็อปเลอร์ไว้ก็หายไป

“มันอะไรกัน...”

กัปตันลีโอนีช่วยพยุงท็อปเลอร์ขึ้นยืน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาก็รู้สึกแบบเดียวกับศาสตราจารย์

“บางที เขาอาจไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ยอมแพ้เถอะ ศาสตราจารย์”

“คุณพูดบ้าอะไร...”

“มันคือค่าในโปรเจกท์นี้ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เนื้อหาในโลกเสมือนมาปรากฏในโลกจริงแล้ว... มันคือการเริ่มต้นการแปรสภาพดวงดาว”

“แต่...”

มันคือผลกระทบหรือ?

มันคือตัวแปรที่คาดไม่ถึง

มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ พลังเหนือธรรมชาติของเขาอยู่ไกลจากความรู้ของมนุษย์ธรรมดา

อะไรคือคำอธิบายเบื้องหลังการพัฒนานี้?

“ถ้า...ถ้าเป็นแบบนี้...”

ด็อกเตอร์วิ่งไปทางบันไดด้วยเหมือนถูกสะกดจิต

“ศาสตราจารย์! หน้ากากกันพิษ!

ไม่รู้ว่าเขาได้ยินคำเตือนของทหารหรือไม่ แต่ท็อปเลอร์ไม่หยุดวิ่งลงบันได

“แฮ่ก”

อากาศน่าอึดอัดและเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เขารู้สึกเหมือนมีทรายในปาก ท็อปเลอร์วิ่งไม่ไกลก็เห็นคังวูจิน

“รอผมด้วย! แค่ก”

ท็อปเลอร์วิ่งไปไอไป เขาไปถึงคังวูจิน

“อะไร?”

คังวูจินตอบเหมือนรำคาญนิดๆ

“คุณจะไปไหน?”

“ถ้าฉันบอกแล้วนายจะทำอะไร?”

“กรุณาบอกผมเถอะว่าคุณกำลังจะทำอะไร?”

เขาจะทำอะไร...

คังวูจินมองไปข้างบน

ดวงดาวเต็มฟ้าส่องแสงสว่าง ตรงข้ามกับความสวยงามด้านบน พื้นดินเป็นสีดำ

ดินเวิ้งว้าง ไม่เห็นแม้แต่หญ้าสักต้น

“ฉันจะกลับ”

เขารู้วิธีตัดการเชื่อมต่อแล้ว

ความรู้อยู่ในหัวเขาตอนตื่นขึ้น เหมือนเขาเรียนมันจากตำราทักษะ

“ก่อนผมจะตื่นโลก VR ก็ใกล้จะล่มสลาย ถึงคุณกลับไป คนของอลันดาล...”

ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์พูดอย่างระมัดระวัง

“นายเห็นเหรอ?”

“...”

“นายเห็นพวกเขาตายเหรอ?”

“ผมไม่เห็นวาระสุดท้ายของพวกเขา แต่พวกเขารู้แล้วว่าสู้กับตัวตนสมบูรณ์ไม่ได้...”

ท็อปเลอร์กลืนคำพูดลงไป วูจินมองเขานิ่งและเขาไม่อาจพูดพล่อยๆได้

“นายมองไม่เห็นอนาคต นายจะไปรู้เรื่องนั้นได้เหรอ?”

“...”

“คนของฉันไม่ร่วงง่ายๆหรอก”

“ต่อให้พวกเขายังฝืนยืนหยัดอยู่ได้ คุณจะล็อกอินเข้าไปได้ยังไง?”

คังวูจิน คิมคังชุล เช่นเดียวกับท็อปเลอร์ พวกเขาไม่สามารถล็อกอินกลับเข้าไปได้เพราะไม่ได้ล็อกเอาท์ออกมาด้วยวิธีธรรมดา

“ถ้าฉันไปที่นั่นไม่ได้...”

วูจินยิ้ม

“...งั้นก็เอาพวกเขาออกมาที่นี่”

***

บาเรียของปราสาทบิบิเสียหาย

กึง!

สิ่งก่อสร้างในเรือบรรทุกเครื่องบินสั่นรุนแรง คนที่หลบมาอยู่ข้างในตัวสั่นด้วยความกลัว

“พวกเรา...ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”

จุงมินชานพูดอย่างหดหู่

พวกเขาสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่พลังของเกราะดำอยู่เหนือจินตนาการ

ทุกคนหมดแรง... รวมถึงกองทัพผีดิบ

[พลังงานของพวกเรามีน้อย]

นี่คือปัญหาหลัก

คังวูจินไม่อยู่ที่นี่

เนโครแมนเซอร์ที่ปลุกศพของศัตรูมาเป็นทหารไม่อยู่ พลังเวทของพวกมันก็ไม่สามารถเติมผ่านการใช้วิญญาณของศัตรูอีกแล้ว

เมื่อเนโครแมนเซอร์ไม่อยู่ กองทัพผีดิบก็ลดขนาดลงเรื่อยๆ เหลือแต่อสูรรับใช้

ลิชไม่เคยต้องกังวลเรื่องพลังเวทตอนที่มันอยู่กับเจ้านาย แต่ตอนนี้มันไม่มีเจ้านาย มันต้องใช้เวทอย่างรอบคอบ เพราะเหตุนี้มันจึงได้แต่ใช้เวทเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากด้านหลัง

อัศวินมรณะไม่รู้จักเหนื่อย แต่ตอนนี้พวกมันต้องกังวลเรื่องการป้องกัน มันสู้เต็มที่ไม่ได้

มังกรกระดูกและโกเลมก็มีพลังเวทไม่พอ พวกมันต้องรอพักหนึ่งถึงจะฟื้นฟูร่างกายที่แตกหักคืนมาได้

[คึฮ่าๆ]

อาจเพราะเกราะดำพูดไม่เป็น หรือไม่ต้องการพูด มันเอาแต่หัวเราะประหลาดและปล่อยหมัดส่งพลังงานสีดำออกมา แต่ละหมัดสร้างความเสียหายมหาศาล

ตัวเรือของปราสาทบิบิเกิดช่องขนาดใหญ่ พนักงานโชคร้ายคนหนึ่งร่วงลงไป

“อ๊าก!

นกเพลิงตัวหนึ่งบินไปทางคนที่กำลังร่วง

วงแหวนไฟรัดตัวคนๆนั้น นกเพลิงเกาะบนดาดฟ้าเรือ

“ข...ขอบคุณ”

เขาไม่มีเวลาตอบ

อลันดาลต้านทานเกราะดำได้หนึ่งสัปดาห์ ฮงซุงกูและเชฮีซอลมีส่วนมากที่สุด

ฮงซุงกูไม่มีบาดแผลบนตัว แต่นั่นเพราะความพิเศษของร่างกายเขา ที่จริงเขาเหนื่อยมาก

เขากำลังฝืนตัวเองอย่างหนัก

“เฮ้อ มีวิธีแก้ปัญหานี้ไหม?”

[คึฮ่าๆ]

มังกรวารีตัวหนึ่งบินขึ้นไปพัวพันกับเกราะดำ พวกมันแลกเปลี่ยนการโจมตีกัน

มังกรวารีส่งเสียงร้องยาว มันต้านทานพลังหมัดของศัตรูไม่ได้อีกต่อไป

“มังกรวารีตัวสุดท้าย...”

เชฮีซอลพูดเสียงเบากับตัวเอง เหมือนเธอกำลังสิ้นหวัง

มังกรวารี สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ของอัลเฟน พวกมันตายหมดแล้ว

ซุงกูมองมังกรโลหิตที่เกาะบนดาดฟ้า

พลังของอาณานิคมแห้งขอด จึงไม่มีพลังซ่อมแซมร่างของมังกรกระดูก

ปีกของมันถูกฉีกออกไปข้างหนึ่ง...

โกเลมเลือดมองเหมือนก้อนเลือดรอบๆมังกรกระดูก มังกรที่บาดเจ็บคำราม

[มังกรอย่างข้าจะไม่ตาย!]

มังกรโบราณอยู่มาเกินพันปี ตอนนี้มันมีความปรารถนาที่แท้จริงแล้ว

เผ่าพันธุ์ของมันตาย... ถูกทำให้มีตำหนิ...

มันพยายามลืมประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์ของมันที่น่าอับอายไป... เพราะมันไม่สามารถแก้ไขประวัติศาสตร์ได้ มันจึงจะหายตัวไปพร้อมกับมัน

รงรงที่นั่งหมอบอยู่ ลุกขึ้น

หัวของมันหันไปทางฮงซุงกู

ตาส่องแสงสีแดงของมังกรมองฮงซุงกู

กลิ่นของเขาเหมือนมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกับมัน...

[ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร?]

“ความปรารถนา...”

ซุงกูมองเกราะดำ

“ถ้านายฆ่าไอ้เวรนั่นได้ก็ดี”

[ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง!]

ถึงเวลาทำให้ความปรารถนาที่ซื่อตรงที่สุดของมันเป็นจริงแล้ว

มันไม่ได้อยากมีชีวิตใหม่

มันแค่อยากบินได้อีกครั้ง

มันยังอยากรู้สึกอีกครั้ง

[มอบลมหายใจสุดท้ายให้ข้า!]

ถ้ามันบินได้หายใจได้ มันจะเป็นมังกรที่ตายแล้วได้อย่างไร?

มันลืมกระทั่งชื่อของมันไปแล้ว แต่มันยังไม่ตาย

“เป็นความคิดที่ดี”

ซุงกูยิ้มและเปลี่ยนร่างเป็นลูกบอลไฟ ไฟเหมือนควัน มันถูกดูดเข้าไปทางจมูกของรงรง

[โอ้!]

เจนิสยื่นมือไปทางมังกรที่กำลังคำราม

[ข้ามอบพลังทั้งหมดให้เจ้า!]

พลังของอาณานิคมหมดไปแล้ว ลิชจึงใช้พลังของตัวเองทั้งหมด

ส่วนที่เสียหายบนร่างรงรงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

[มีแต่ชัยชนะจึงจะทำให้เราเลี่ยงจากความตาย!]

เหล่าอัศวินมรณะยื่นมือและส่งพลังเวทเข้าไปในมังกรกระดูก

พวกมันไม่ถอย เพราะศัตรูทรงพลัง

ชนะหรือตาย

พวกมันตายไปแล้ว พวกมันไม่ตายครั้งที่สอง

[โอ้!]

เหมือนควบคุมพลังที่ท่วมท้นไม่ได้ มังกรโลหิตกระโจนออกไปทำให้ปราสาทบิบิโคลงเคลง

[คึฮ่าๆ]

สังหารมังกรวารีไป 17 ตัว เกราะดำหัวเราะเมื่อเห็นศัตรูตัวต่อไป มังกรโลหิตมันหนังเหนียว มันหนีไปซ่อมแซมตัวเองทุกครั้งที่ได้รับความเสียหายสักเล็กน้อย

มังกรโลหิตแปลกไปเล็กน้อย

มันไม่พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างไม่ยั้งคิด มันตีปีกช้าๆพลางจ้องเกราะดำเขม็ง ท้องของมันป่องแล้วแฟบ มันกำลังหายใจ

มันควรจะเป็นมังกรตายที่เหลือแต่กระดูก

มังกรปลอมที่สวมหนังทำจากเลือด

แต่ดวงตาสีแดงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจ

[...]

เกราะดำตระหนักว่าดูถูกมันไม่ได้ มันพุ่งความสนใจไปที่ท้องของมังกรโลหิต มันขยับเป็นจังหวะ...ช้าๆ...

เหมือนที่สูบลมกำลังเพิ่มอุณหภูมิในเตา...

[ข้ามีชีวิต]

มันเสียเลือดเนื้อ หัวใจถูกแยกไป

มันลืมชื่อ ลืมอดีต

แต่...

มันยังมีชีวิตอยู่

มังกรอ้าปากเหมือนจะคายดวงอาทิตย์ออกมา

ความร้อนมหาศาลและคลื่นกระแทกรุนแรงพาดผ่านไปเหนือเกราะดำ

พลังสีดำถูกส่งออกมาตอบโต้ มันปะทะกับพลังสีแดง พลังสีแดงกับสีดำเหวี่ยงไปมาเหมือนพยายามกลืนกินอีกฝ่าย

เหมือนเกิดระเบิดนิวเคลียร์ แรงกระแทกมหาศาลและแรงระเบิดออกพร้อมกับรอบๆอาบไปด้วยแสง

แรงกระแทกใส่ปราสาทบิบิ มันร่วงลงพื้น

ด้วยความเร็วระดับนี้ ทุกคนบนปราสาทจะตาย

“ฮ่า!

เมื่อบิบิรู้สึกว่าพลังของอาณานิคมถูกเติม เธอกางบาเรียทันที กระทั่งตอนนี้เจมินก็ยังทำสงครามมิติ เธอขอบคุณโดเจมินในใจ

บาเรียทำงาน แต่ปราสาทบิบิทรงตัวไม่ทัน มันกระแทกพื้น ฝุ่นผงลอยคว้าง จากนั้นแรงกระแทกจากลมหายใจมังกรก็สาดใส่พวกเขา

คนนับไม่ถ้วนถูกกระแทกล้ม

[ชนะหรือไม่?]

อัศวินมรณะและบิบิมองท้องฟ้า

ฝุ่นยังไม่จาง แต่พวกเขาเห็นบางอย่างกำลังลอยลงมาทางพวกเขา

มันเป็นร่างสีดำ

[เฮะๆๆ]

“...”

เกราะดำ

หรือไอ้เวรนี่จะเป็นเทพจริงๆ

มันรอดจากลมหายใจมังกร และกำลังมาทางปราสาทบิบิ... ที่จริงคือมันต้องการรหัสโลกที่อยู่ในปราสาทบิบิ

[สนุกดีนะ]

ราวกับว่าเกราะดำรู้ว่าไม่มีศัตรูต้านทานมันได้อีกแล้ว

มันพูดเป็นครั้งแรก และทำให้บิบิอยากร้องไห้

มันลอยลงมาช้าๆเหมือนทูตสวรรค์กำลังลงมา ทุกคนมองมันด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

แต่แล้วสีหน้าสิ้นหวังไม่นานก็เปลี่ยนเป็นดีใจ

***

ท็อปเลอร์คุกเข่า

“ได้โปรดคิดใหม่เถอะ เราสามารถย้อนทุกอย่างได้ โลก VR ถูกทำลายไปแล้ว ไม่สิ มันกำลังถูกทำลาย ถ้าคุณมอบโลกใหม่สวยงามกว่าได้จะไม่ดีกว่าเหรอ?”

“...”

ท็อปเลอร์ไม่อยากได้โลกพังๆ เขาอยากได้ของใหม่

เขาอยากได้โลกที่สะอาดและสวยงาม

เขาไม่อยากได้โลกที่เสียหายจากสงคราม

“เราต้องรีเซ็ท” 

วูจินยิ้มให้กับคำพูดแน่วแน่ของท็อปเลอร์

“มองฉันนะ ศาสตราจารย์”

“ครับ”

“ชีวิตคือการก้าวไปข้างหน้า”

“...”

“นายไม่ควรย้อนทุกอย่างแค่เพราะนายมีความสามารถจะทำอย่างนั้นได้”

“แต่...”

“นายกำลังเพ้อฝันถึงการใช้ชีวิตในอดีต ได้เวลาตื่นแล้ว”

วูจินเรียกอาวุธนักรบออกมา

อาวุธนักรบยืดออกเป็นเคียวขนาดใหญ่

มันคืออาวุธที่สามารถตัดและสังหารทุกอย่าง

[เครื่องประหารของทราช]

พลังและอำนาจของมันไม่ได้บงการแค่ชีวิต แต่มีผลกับดาวเคราะห์...

“ฉันเดินไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง...”

วูจินเหวี่ยงเครื่องประหารของทราช

“อ๊าก!

แสงระเบิดออก

แสงจ้าจนเหมือนทำให้ตาบอด มันขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด

***

 สถานีสอดส่องโลก โลกพระจันทร์

“ประธานสภา! มาดูนี่เถอะครับ”

เขาไม่ต้องไปตามประธานสภา คนของโลกพระจันทร์ทุกคนกำลังมองท้องฟ้า

มันคือดาวเคราะห์ที่ตายไปแล้ว บ้านของบรรพบุรุษของพวกเขา

เครื่องอบของมนุษย์ชาติ

“พระเจ้า...”

โลกสีดำได้สีเดิมของมันกลับมา

เหมือนสีย้อมถูกเทลงบนกระดาษดำ...

แสงกระจายออกไปและเปลี่ยนโลกเป็นสีน้ำเงิน

เหมือนกำลังมองรูปภาพ... เหมือนมองภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิก คนของโลกพระจันทร์อ้าปากค้างมองปรากฏการณ์เหนือจริงนี้

***

สีหน้าของทุกคนไม่อาจมองข้าม

เกราะดำรู้สึกผิดปกติจึงหันกลับไป

[…]

“สนุกใช่ไหมล่ะ?”

[…]

เขามาเมื่อไหร่?

คังวูจินยืนด้านหลังเกราะดำและเหวี่ยงเครื่องประหารของทราช

[อ๊าก!]

มันไม่มีเวลาหลบ

เกราะดำถูกฟันในทีเดียว มันเปลี่ยนเป็นควันดำและหายไป เงาหลุดจากควันและถูกดูดเข้าไปในวูจิน

“...”

วูจินมีสีหน้าขื่นขมขึ้นมาวูบหนึ่ง

วูจินมองปราสาทบิบิที่อยู่บนพื้น เขาเห็นคนของอลันดาลกำลังตะโกนเชียร์

และเขามองไปยังที่ๆไม่ห่างจากปราการลอยฟ้านัก

เขามองยานอวกาศ

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ยืนอยู่ใกล้ๆยานอวกาศด้วยสีหน้างงงัน วูจินสบตาเขา

“เห็นไหม ทุกคนยังไม่ตาย”

อลันดาลยังไม่หายไป

และโลก...

วูจินที่ลอยกลางอากาศค่อยๆลงบนพื้น

เขาทำลายภาพมายาของโลกนี้ เขามอบบทใหม่ให้มนุษย์ชาติ

 

 

สารบัญ                                 บทที่ 208 (จบ)