บทที่ 206 – ฟื้นฟู (2)
เวลาผ่านไปนาน
ประสาทสัมผัสเขาหายไปจึงบอกไม่ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
ความคิดในหัวเขามีมากมายจนถึงจุดที่คิดอะไรไม่ออก...
ความรู้สึกว่างเปล่าถูกสลัดทิ้งไปเมื่อจู่ๆเขาก็นึกบางอย่างได้
‘เวลาผ่านไปนานแล้ว’
เขาไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ขยับตัว
เขายืนนิ่งเหมือนทุกอย่างเหมือนเดิม
เวลาที่หยุดนิ่งนั้นนานจนอาจทำให้เขาเสียสติ แต่ตอนนี้เขากำลังจากมัน
‘ขอบคุณ’
ตัวตนราวร้อยถึงพันล้อมรอบเขา
เขารู้สึกถึงพวกมันได้
มันเป็นเวลานานพอทำให้เขาเสียสติ
แต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าพวกมันปกป้องเขาอยู่ตลอด...
วิญญาณร้าย?
เขาเคยคิดว่าวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนเป็นแปดเปื้อนเพื่อทรมานเขา
เขาหลอกตัวเองได้ขนาดนั้น
พวกมันพยายามปกป้องเขาอยู่ตลอด
จากอะไร?
แสงแยงตาเขา
ตา?
มีด้วยเหรอ?
เขาไม่มีร่างกาย...
เขาเริ่มคิดถึงเรื่องที่ไม่เคยคิดได้มาก่อน
เขาพยายามอย่างหนัก รวบรวมความทรงจำของตัวเอง
‘คังวูจิน’
‘ผู้ไม่ตาย’
‘การปรับสภาพดวงดาว’
ราวกับว่าเศษชิ้นส่วนความทรงจำถูกดูดเข้ามาในตัวเขา
ชิ้นส่วนถูกวางเข้าที่ทีละชิ้นๆ
สิ่งเดียวที่เขาไม่เข้าใจคือเศษชิ้นส่วนเหล่านี้มาจากกระดานสองกระดาน
‘ฉันคือใคร?’
นักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับระบบย้ายมวลสารระหว่างดวงดาว?
หรือนักเรียนมัธยมปลายที่ถูกอัญเชิญไปเป็นเนโครแมนเซอร์บนอัลเฟน?
‘ฉัน...’
มันเป็นการเริ่มของโลกใหม่
ที่นั่นไม่มีอะไร มันเป็นมิติที่ทุกอย่างสามารถมีตัวตนขึ้นมา...
มิติที่ขยายไปเท่าไหร่ก็ได้นั้นได้เจ้าของ และพวกเขาแยกเป็นลำดับ...
แล้วก็มีตัวตนอันสมบูรณ์ ผู้มีอำนาจลบทุกอย่าง
ทราช เทพแห่งการทำลาย
‘ฉัน’
ชิ้นส่วนความทรงจำอันสับสนของเขาพยายามจะวางบนกระดานเดียว
แต่กระดานนั้นมีพื้นที่ไม่มากนัก ชิ้นส่วนปะทะกันและถูกกัดกร่อนไป
แต่กระดานขยายขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดชิ้นส่วนก็ถูกวางเข้าที่
วิญญาณของเขา...
สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆคืนมาอย่างเก้งก้าง...
พวกมันรวมกันกลายเป็นชามใบหนึ่ง
เขาลืมตา
เขากระพริบตามองรอบๆตัว
มันคือปราสาทเก่าที่คุ้นเคย
อบอุ่นและคุ้นเคย...
ขณะเดียวกันเขารู้สึกถึงแรงผลักรุนแรง...
“พี่...?”
น้อง?
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาหันไปมอง
ชายหนุ่มผมขาวและตาลึกโหล
“เจมิน?”
“ครับพี่! พี่สบายดีเหรอ?”
“...”
ไม่รู้
เขาไม่รู้ว่าเขาสบายดีหรือเปล่า...
เขาไม่รู้แล้ว...
เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“พี่กลับมาจากโลกพระจันทร์เหรอ?”
“โลกพระจันทร์”
จำได้แล้ว เขายืนยันจะไปโลกพระจันทร์เพื่อหาความจริง
ไปเพื่อหาว่าโลกใบไหนเป็นของปลอม
เพื่อปกป้องน้องสาวและคนรอบๆที่ปกป้องเธอ เขาพยายามช่วยโลก
“ฉันไปนานเท่าไหร่แล้ว?”
“สองอาทิตย์ครับ”
“...”
สองสัปดาห์...
คังวูจิน
ความทรงจำของคังวูจินเริ่มพูดกับเขา
เขาค่อยๆรู้สึกถึงร่างกายตัวเองอย่างช้า และมันพูดกับเขา
“ฉันตาย”
“อะไร?”
ความคิดของเขาเริ่มไหลลื่น และเขาเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้
“ที่โลกเป็นยังไง?”
“...วุ่นวายเลยครับ
ผมกำลังทำสงครามมิตินับไม่ถ้วนเพื่อทำแต้มให้ปราสาทบิบิ”
เพราะคังวูจินไม่อยู่ กองทัพผีดิบนับหมื่นจึงต้องคงสภาพด้วยแต้มของอาณานิคม
และแต้มพวกนี้ก็ต้องใช้ในระบบป้องกันตัวของปราสาทบิบิด้วย
พวกเขาไม่ได้เก็บบลัดสโตนแล้ว และต้องมีคนหาแต้ม
โดเจมินเพื่อรับหน้าที่นี้จึงทำสงครามมิติไม่หยุดหย่อน
“ฉันต้องไป”
“เอ๋? ไปไหนครับ?”
วูจินหันหลัง
ประตูที่เคยปิดอยู่ เปิดออก
“ที่ๆฉันไม่เคยไปมาก่อน”
เขารู้สึกอย่างนี้
ไม่ใช่สิ เขาเริ่มได้ความทรงจำกลับมา
เขาไม่รู้ว่าความทรงจำนี้จริง ถูกสร้างขึ้น หรือเป็นเรื่องโกหก
แต่เขารู้สึกว่าเป็นโอกาสเดียว
มันคือลางสังหรณ์ หรือชะตากรรม
ประตูสามบานเรียงเบื้องหลังอาณานิคมของคังวูจิน และประตูบานที่สามที่ปิดอยู่
ได้เปิดออก...
***
“ศาสตราจารย์ล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าเขายังออกมาไม่ได้”
“เฮ้อ”
กัปตันลีโอนีไม่เคยเข้าไป เขาจึงไปเองไม่ได้ แผนคือให้คนอื่นไปเอารหัสและคนๆนั้นจะถูกพวกเขาล็อกเอาท์ออกมา
“บังคับล็อกเอาท์แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเขาจะเชื่อมต่อกับทราห์เน็ตไม่ได้อีก”
“ถึงยังไงก็ใกล้จะจบแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ต่อให้ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ได้รหัสโลก การรีเซ็ทก็ล้มเหลวไปแล้ว
ต่อให้พวกเขามีรหัสฟื้นฟู ร่างคังวูจินก็ไม่อยู่
ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้
เขาต้องปลุกศาสตราจารย์ขึ้นมาให้เร็วที่สุด พวกเขาต้องปรึกษากัน
“รายงานส่งไปแล้วครับ”
ยานอวกาศของศาสตราจารย์ถูกนำมาที่นี่เพื่อเขาจะได้ใช้มันหลังถอดการเชื่อมต่อจากทราห์เน็ต
“เราจะกลับฐานพระจันทร์”
“รับทราบ”
เมื่อได้คำสั่งจากลีโอนี ลูกน้องของเขาเตรียมตัวนำยานออกทันที
ทันใดนั้น ลูกน้องของเขาที่ดูลาดเลาด้านนอกตะโกนขึ้น
“กัปตัน สิ่งมีชีวิตหนึ่งกำลังเข้ามาทางเรา”
“พูดไร้สาระอะไรของนาย!”
รายงานไร้สาระอะไร? สิ่งมีชีวิตจะอยู่บนโลกได้ยังไง?
คนที่มีชีวิตอยู่ก็อยู่ในแคปซูลหมดแล้ว...
คนที่เคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระบนโลกมีแต่ทหารบนยานลีโอนี
“ผู้พิทักษ์หรือเปล่า?”
อาจเป็นเครื่องจักรน่าชังนั่นหลุดออกมาจากสถานีใต้ดินก็ได้
“ดูเองเถอะครับ”
กัปตันลีโอนีพูดไม่ออกเมื่อมองหน้าจอที่ลูกน้องเขาชี้
จอฉายภาพจากกล้องวงจรปิด มันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
อีกอย่าง สิ่งที่เดินมาทางพวกเขาดูเหมือนมนุษย์
โลกถูกทำลายอย่างราบคาบแล้ว
มันคือปี 2529 และคนที่ไม่ใช่คนจากโลกพระจันทร์ มาปรากฏตัวบนโลก
ชายที่ระบุตัวตนไม่ได้นี้ไม่ได้ใส่เครื่องมือปรับอากาศ
เขาสวมเสื้อคลุมฟาง มองเหมือนคนพเนจรในภาพยนตร์เก่า
เขาเดินมาทางพวกเขาช้าๆ ดูไม่สอดคล้องกับโลกตอนนี้เลย
ความไม่สอดคล้องนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจและกลัว
“มันคืออะไร?”
แค่มันเดินสองขาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมนุษย์
แต่ถึงจะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทุกคนเป็นมิตรไม่มีอันตราย
“สัญญาณเตือนภัย!”
“ครับ”
ทุกคนบนยานลีโอนีเป็นทหารเก่ง ไม่กี่วินาทีพวกเขาก็เตรียมอาวุธพร้อม
“เปิดประตู”
กัปตันลีโอนีใส่หมวกกรองอากาศ เขาเดินลงจากยานพร้อมกับคนติดอาวุธสี่คน
“หยุด”
กัปตันลีโอนีส่งเสียงผ่านเครื่องขยายเสียง
แต่สิ่งมีชีวิตไม่ทราบตัวตนไม่หยุด
ปุๆๆ!
อีกฝ่ายหยุดเมื่อพวกเขายิงขึ้นฟ้าเป็นการเตือน สองฝ่ายห่างกันเพียง
20 เมตร
มันใกล้พอจะแยกแยะสิ่งนั้นได้
“อะไรวะ? เขาเป็นมนุษย์เหรอ?”
กัปตันลีโอนีและคนอื่นเล็งปืนไปทางชายคนนั้น
ชายคนนั้นไม่ตอบ ลีโอนีกลืนน้ำลาย
เขารู้สึกกลัว ระแวง
ชายคนนี้ไม่แสดงความรู้สึกที่ควรเป็นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย
ท่าทีเขากล้าเกินไป เหมือนเป็นเจ้าของที่นี่
“คุณเป็นมนุษย์หรือเปล่า?”
ไม่มีคำตอบ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนคือชายคนนั้นออกเดินอีกครั้ง
เขาใกล้เข้ามาทีละก้าว
สิ่งมีชีวิตปริศนานี้ทำให้ลีโอนีรู้สึก...
ลีโอนีข่มความรู้สึกที่ทุกคนคงรู้สึกเมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ลงไปอย่างยากลำบาก
“หยุด!”
ลีโอนียิงเตือนอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นไม่หยุด
“เชี่ย! ยิง”
แสงวาบจากกระบอกปืน
เกจพลังงานลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขายิงออกไป
แทนที่จะมีการระเบิด
มันกลับเป็นเสียงสะท้อนแปลกประหลาดเหมือนเลเซอร์ยิงพลาดเป้าหมาย ไม่สิ
เหมือนมันถูกบาเรียปัดออกไป
“อะไรกัน!”
ลีโอนีดึงปืนพกข้างเอวเขาด้วยท่าทีปั่นป่วน
นี่ไม่ใช่ปืนเลเซอร์แต่เป็นปืนธรรมดาที่ใช้ดินปืน
ลูกกระสุนถูกปัดขึ้นฟ้าก่อนจะถึงหน้าผากของชายคนนั้น
“อึก...”
ลีโอนียังมีกระสุนเหลืออยู่แต่เขายิงไม่ได้
ชายคนนั้นมายืนตรงหน้าลีโอนี เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะท้าให้ลีโอนีเหนี่ยวไก
ลีโอนีพูดเหมือนมีปืนเล็งที่หน้าผากเขา
“คุณ...คุณเป็นใคร?”
ลีโอนีข่มเสียงไม่ให้สั่นไม่ได้
“พวกนายมาจากโลกพระจันทร์เหรอ?”
“...”
เขาเข้าใจภาษาที่ชายคนนั้นใช้
“ท็อปเลอร์อยู่ไหน?”
ลีโอนีมองหน้าชายตรงหน้าอย่างตั้งใจ
เขาเคยเห็นชายคนนี้มาก่อนในตอนประชุม
ชายคนนี้คือเป้าหมายหนึ่งของพวกเขา เป็นตัวสำคัญในแผนของพวกเขา
“คังวูจิน...”
ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่คังวูจินมาอยู่บนโลก
“คุณล็อกเอาท์ออกมาเองได้จริงๆ...”
ลีโอนีพึมพำกับตัวเอง คังวูจินหัวเราะ
“ดูเหมือนฉันจะมาถูกที่แล้ว”
คนจากโลกพระจันทร์เคยเป็นเหมือนผีสำหรับเขา
แต่ตอนนี้พวกเขาเปิดเผยตัวต่อหน้าคังวูจิน
เขารู้สึกถึงพวกเขาได้จริงๆ เขารู้สึกถึงวิญญาณของลีโอนี...
และทหารเบื้องหลัง
***
เขาถูกล่ามไว้กับสายอากาศ สี่วันแล้วและเขาถูกแขวนเหมือนศพ
ลอร์ดมิติที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าเกราะดำ ทำลายประเทศจีนจนราบคาบ
มันตรงมาทางอลันดาล การต่อสู้เกิดเหนือทะเลเหลืองและติดต่อมาจนสี่วัน
มังกรวารีเหมือนมังกรฟ้าในตำนาน พวกมันบินพลางพ่นลมหายใจมังกร
ดูน่าประทับใจ
ปัญหาคือพลังของเกราะดำนั้นเกินกว่าคนอื่นจินตนาการได้
[ฮ่าๆๆ]
การต่อสู้...
มันสนุกกับการทำลาย เกราะดำสู้อย่างสบายใจกับมังกร 17 ตัว
และมังกรถูกฆ่าไปทีละตัว
มันไม่มีลูกน้อง มันสู้คนเดียว และกองทัพผีดิบเริ่มลดจำนวนลง
เหมือนประชด ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ได้ที่นั่งแถวแรกชมการต่อสู้นี้
เพราะเนโครแมนเซอร์ไม่อยู่ เหล่าผีดิบจึงต้องใช้พลังงานจากอาณานิคม
เพราะเหตุนี้ปราสาทบิบิจึงไม่เคยห่างจากสนามรบ
“ฉันต้องมองโลกถูกทำลายอยู่อย่างนี้เหรอ?”
ไม่ต้องพูดถึงการรีเซ็ท
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือมองตัวตนอันสมบูรณ์ได้รหัสโลกในที่สุด
พวกเขารีเซ็ทไม่ได้แล้ว
ตอนนี้การล็อกอินเข้ากับทราห์เน็ตจากข้างนอกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
เขาคาดเดาอนาคตของคนหลายหมื่นที่เชื่อมต่อกับทราห์เน็ตไม่ได้อีกต่อไป
ทุกอย่างอยู่ในมือของตัวตนอันสมบูรณ์ โลกขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของมัน
“ฉันทำพลาดไป”
ประธานสภาพูดถูก ตัวแปรมีมากเกินไป
สภาเลือกทางเดิมอันทรุดโทรมเพราะมีเหตุผล พวกเขาถูก
เขาหุนหันเกินไปที่เลือกเจอกับคังวูจิน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุการณ์นั้นไม่อาจยับยั้ง
แผนเดิมคือทำการทดสอบให้มากพอเกี่ยวกับการปรับสภาพดวงดาว
จากนั้นอิเอลโลจะถูกปลุกขึ้น และโลกถูกรีเซ็ท
การที่อลันดาลสามารถต้านทานตัวตนอันสมบูรณ์มาสี่วันเป็นเรื่องน่าทึ่ง
ถ้าอลันดาลล้ม โลกจะถูกทำลายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน
ไม่มีศัตรูอื่นที่สามารถต้านทานตัวตนอันสมบูรณ์
ตึง!
มังกรกระดูกที่บาดเจ็บลงมาที่ดาดฟ้า
หอบัญชาการเป็นสัญลักษณ์ของอาณานิคม
เถาวัลย์พันรอบหอคอยส่องแสงเหมือนกำลังส่งพลัง
มันรักษาบาดแผลของมังกรกระดูกอย่างรวดเร็ว
[เอาปีกให้ข้า!]
หลังจากฟื้นฟูพลังงานเสร็จ
โดลเซเปลี่ยนเป็นลูกบอลเลือดและไปรวมกับมังกรกระดูก
ท็อปเลอร์เห็นภาพนี้เป็นครั้งที่เจ็ด
มังกรโลหิตสู้เกราะดำไม่ได้ มันได้แต่ยื้อเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนพลังงานของอาณานิคมใกล้จะหมดแล้ว
กองทัพผีดิบถูกเติมช้าลงกว่าเดิมมาก
“มันจบแล้ว”
มนุษย์หมดแรง จำนวนผีดิบลดลง โลกเสมือนเป็นที่พักสุดท้ายของมนุษย์
แต่มันกำลังจะจบ
“อืม”
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ครางเมื่อมองมือของเขาสลายเป็นแสงสีเทา
ดูเหมือนเขากำลังถูกบังคับล็อกเอาท์
“ฉันทำพลาดไป”
เสียใจภายหลังก็เปล่าประโยชน์ เขากับทราห์เน็ตจบกันตรงนี้
หน้าที่ช่วยมนุษยชาติของเขามาถึงตอนจบแล้ว
สติที่เลือนรางไปกลับคืนมา ประสาทสัมผัสกลับคืนมาพร้อมกัน เขาลืมตาขึ้น
เขาเห็นฝาแคปซูลของเขาฉีกออกไป เมื่อยกตัวขึ้น
เขาเห็นชายคนหนึ่งยืนกอดอกตรงหน้าเขา ท็อปเลอร์ตกใจกลัวเมื่อเห็นชายที่กำลังหัวเราะประหลาด
ช่วงนี้ติดอาร์คไนท์ เลยอ่านด็อกเตอร์ว่าด๊อกต้า XD
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น