วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 164

บทที่ 164 – ปราสาทของบิบิ (3)


เกินครึ่งของผู้เข้าประชุมเป็นตัวแทนจากต่างประเทศ หนึ่งในนั้นมาจากญี่ปุ่น เขาตะโกนขึ้นมา

“ที่สุดแล้วก็หมายความว่าคุณจะยึดของที่ได้จากสงครามไปหมดใช่ไหม?”

“งั้นนายก็เป็นคนนำ”

“...พูดอะไรของ...”

“ถ้าใครอยากไปก่อนฉัน ฉันไม่ห้าม ไว้รอคนข้างหน้าตายหมดแล้วฉันค่อยไปก็ได้”

“...”

ชายคนนั้นไม่มีอะไรจะพูดอีก

คังวูจินมีพลังมหาศาล

นั่นเป็นปัญหา ถ้าขาดคังวูจินพวกเขาจะแพ้สงคราม แต่ถ้าตามหลังคังวูจิน เขาจะไม่ได้อะไรนัก...

“ทำไมนายโลภนัก?”

“...”

“นี่ไม่มีใครจริงจังกับเรื่องนี้เหมือนฉันเลยสินะ? ฉันคาดว่าประชากรโลก 90% จะหายไปภายใน 1 เดือน”

“...”

คำพูดของคังวูจินทำให้คนสะดุ้ง ในกลุ่มเกิดความเงียบหนักอึ้ง

“หยุดโลภมากแล้วมารวมพลังกันดีกว่า”

หลายคนรู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของวูจิน บางคนประหลาดใจ เมโลดี้ที่มองอยู่ด้านข้างประหลาดใจเป็นที่สุด

‘ผู้ไม่ตายพยายามใช้เหตุผลกับคนอื่น...’

ถ้าเธอบอกเรื่องนี้กับคนบนอัลเฟน คนนั้นจะบอกให้เธอเลิกล้อเล่นได้แล้ว

“กรุณาอย่าพูดให้สวยหรูไปเลย ต่อให้พวกเราทำสงครามไร้ความหมายนั่นจริงๆ พวกเราก็มีแต่ถูกทำลายไม่ใช่เหรอ?”

คนถามหน้าแดงสลับซีด วูจินยิ้ม

“สุดท้ายแล้วโลกอาจจะถูกทำลาย แต่มีความหวังอยู่ เราต้องหาวิธีทำลายดันเจี้ยนอย่างถาวร เราต้องอดทนไปให้ถึงตอนนั้น มีทางเลือกอื่นไหมล่ะ?”

วูจินมองฝูงชนแล้วหัวเราะอย่างรู้ดี

“ฉันแน่ใจว่าพวกนายบางคนอยากเลือกทางง่าย คนแบบลีซังโฮจะมีอีก พวกนายคงอยากไปเป็นลูกน้องของลอร์ดมิติ ฉันแน่ใจว่าต้องมีพวกทรยศที่จะขายโลกเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง”

“...”

“ฉันรู้ว่ามันต้องมีแน่ พวกเวรนั่นจะเป็นพวกแรกที่ฉันฆ่า”

วูจินหยุดพูด แต่ไม่มีใครเอ่ยปาก บางคนกำลังคำนวณผลได้ผลเสีย บางคนตัดสินใจได้ บางคนกำลังสับสนจนคิดอะไรไม่ออก

“ข้อมูลที่เปิดเผยมีเท่านี้ นี่คือคำแนะนำสุดท้ายที่ฉันยินดีจะบอกก่อนที่เราเคลื่อนไหวเพื่อช่วยโลก”

เนื้อหาหนักหน่วงและน่ากลัว แต่วูจินพูดอย่างร่าเริงทำให้ทุกคนเริ่มมีความหวัง

“เราส์ทุกคนบนโลกควรแบ่งหน้าที่กันเมื่อดันเจี้ยนรีเซ็ท พวกนายทุกคนต้องทำอย่างดีที่สุดเพื่อเคลียร์มัน”

พวกเขาต้องลดเส้นทางที่ศัตรูใช้บุกโลกลง

“เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรก ใช้ทรัพยากรที่มีให้เต็มที่ในการกำจัดมอนสเตอร์ อย่าขี้เหนียว”

พวกเขาต้องคิดเหมือนกันเพื่อกำจัดศัตรู

“การป้องกันที่ดีที่สุดคือโจมตี เพราะฉะนั้น ฉันจะพยายามหาทางทำลายดันเจี้ยนให้หมดในทีเดียว เพราะอย่างนี้ฉันจึงจะไปอัลเฟน โลกที่เพิ่งถูกทราห์เน็ตบุกรุกไป”

วูจินทวนประโยคเดิม

“ฉันจะรับหน้าที่เป็นแนวหน้าไปอัลเฟนพรุ่งนี้เช้า พวกนายทุกคนต้องปกป้องโลกจนกว่าฉันจะกลับมา”

“...”

ดูเหมือนวูจินจะจากที่นี่ไปนาน...

“ถ้ามีคำถาม ไปถามนายกรัฐมนตรีจุง”

วูจินออกจากเวที

มินชานขึ้นเวทีแทนด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“ผมมีคำถาม!”

“ให้ผมก่อน สมาชิกที่ไปเป็นแนวหน้ามีกี่คน?”

“สิทธิความเป็นเจ้าของของไอเทมที่ได้จากการไปอัลเฟน...”

มินชานรู้สึกมึนเล็กน้อยเมื่อถูกระดมถาม

‘อา...’

อยากหนีไปจัง แต่หน้าที่ของเขาคือสะสางต่อจากคังวูจิน

เขาเริ่มตอบคำถามทีละข้อ

***

หลังออกจากโรงแรม KH วูจินไปอลันดาลทันที เขาไปหาแม่กับน้อง

โซอากำลังเล่นกับสุนัขบอคฮวีที่โตขึ้นอีกแล้ว แม่ของเขามองโซอาอย่างไม่ละสายตา

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“ครับ เฮ้ โซฮา”

“คะพี่?”

โซอาวิ่งมาหาวูจิน แม้แต่บอคฮวีก็ส่ายหางครางหงิงๆ

“ช่วงนี้ฝันแปลกๆบ้างไหม?”

“หนูไม่ฝันเลย”

“ความสามารถของน้องเป็นไงบ้าง?”

“ฮิๆ หนูเหมือนผีเลยล่ะ”

โซอามองมือทั้งสองข้างที่ถูกย้อมเป็นสีฟ้า เมื่อวูจินเห็นพลังพรจากเทพ เขาผงะไป

“เวลาหนูทำแบบนี้คนอื่นชอบ ไม่เหมือนพี่”

“พี่ต่างจากคนอื่นนิดหน่อย เอาเถอะ พวกเราจะย้ายบ้านกันพรุ่งนี้”

“เอ๊ะ? ทำไมจู่พวกเราก็จะย้าย?”

คนที่แปลกใจกับคำพูดของวูจินคือแม่ของเขา

“ผมซื้อเรือมาลำหนึ่ง เราจะอยู่ที่นั่น”

“เราจะอยู่บนเรือได้ยังไง?”

“เอ่อ มันเป็นเรือใหญ่น่ะแม่”

“แบบเรือยอชท์เหรอ? มีครัวด้วยหรือเปล่า?”

“ประมาณนั้น”

“...ก็ได้”

“แม่ไม่มีอะไรจะถามผมต่อเหรอ?”

ลีซูกยุงส่ายศีรษะ

“แม่รู้ว่าลูกทำงานหนักแค่ไหน รู้ว่าลูกคิดเพื่อพวกเราแค่ไหน แม่รู้ว่าลูกทำอย่างนี้ต้องมีเหตุผล”

“...”

วูจินเพียงยิ้ม ความสามารถของโซอาเพิ่งตื่นขึ้น ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถพาโซอาเข้าไปในอาณาเขตมิติ แต่แม่ของเขาไม่ใช่ นางเลเวล 2

คนที่จะพัฒนาความสามารถเป็นขั้น 1 ได้ต้องถึงเลเวล 10 ดูจากความไวในการเพิ่มระดับของนางแล้วคงแทบไม่มีทางกลายเป็นเราส์ได้

เพราะเหตุนี้เขาจึงซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ถ้าจำเป็น เขาสร้างเมืองอาณานิคมมาเพื่อลีซูกยุงเท่านั้นเอง

เขาสะสมแต้มมิติไว้จำนวนมาก แม้เขาจะไม่อยู่ที่โลก อาณานิคมสามารถใช้แต้มปกป้องตัวเอง

“ผมแค่อยากบอกแม่ไว้ก่อน”

“อืม ไปทำงานเถอะถ้าลูกไม่ว่าง”

สายตาลีซูกยุงเหมือนจะสื่อว่าอยากใช้เวลากับเขาให้มากกว่านี้ แต่นางไม่ควรเอาเวลาไปจากเขา ดังนั้นนางจึงไม่สบตาวูจิน

วูจินรู้ว่าแม่รู้สึกอย่างไร เขาได้แต่ขอโทษ เขาไม่มีเวลาจริงๆ

ศัตรูมีจำนวนมหาศาล มีเส้นทางนับร้อยสำหรับบุกโลก

การพิชิตดันเจี้ยนภายในเวลาที่กำหนดทุกครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ การรบจะค่อยๆเปลี่ยนจากในดันเจี้ยนมาเป็นบนโลก

อย่างน้อยเขาต้องเรียกรงรงออกมาให้ได้ก่อน

เขาสงสัยเกี่ยวกับเทพีที่ทำให้โซอาเป็นร่างเนื้อของนาง แต่เขาไม่มีทางรู้จนกว่านางจะปรากฏตัวอีกครั้ง เขาไม่รู้กระทั่งชื่อแต่นางดูไม่เหมือนสิ่งชั่วร้าย

ในการเดินทางไปอัลเฟน เขาจะช่วยกองกำลังพันธมิตรที่ยังรอดอยู่ จากนั้นก็ให้โซอาเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จากเมโลดี้

วูจินไปยังห้องจีวอนต่อ

เขาเคาะประตูแล้วเข้าไป เมื่อจีวอนเห็นวูจินเธอรีบมาหาเขา วูจินเหลือบมองซินดี้

“หือ? ยังอยู่อีกเหรอ?”

“เธอยังกลัวเรื่องตอนนั้นอยู่เลย และเธอรู้ว่าที่นี่เป็นที่ปลอดภัยที่สุด”

ปลอดภัย...

“เราจะย้ายบ้าน”

“เอ๊ะ?”

“ที่ไหน? พวกนายจะไปไหนกัน?”

ซินดี้ถามวูจินอย่างแปลกใจ เขาตอบเรียบๆ

“ฉันซื้อเรือ เราจะย้ายไปอยู่ที่นั่น”

“อ๊ะ! หรือว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน?”

ข่าวใดก็ตามถ้าเกี่ยวกับวูจินจะเผยแพร่ภายในเวลาไม่กี่นาที เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นหัวข้อให้คุยกันในช่วงหลายวันนี้

“ใช่”

ซินดี้หน้ามุ่ย

“มีอะไร? ถ้าอยากพูดก็พูดมา อย่าทำหน้าเป็นลูกหมาท้องผูก”

“ฉันไปด้วยได้ไหม?”

“เธอออกจากวงการแล้วเหรอ?”

“เปล่า...แต่...”

“นี่สำหรับพนักงานของอลันดาล”

พูดให้ชัดเจนคือ มันสำหรับพนักงานที่มีสัญชาติอลันดาลตอนถูกจ้างเข้ามา มันสำหรับครอบครัวของพวกเขา วูจินไม่อยากให้พนักงานห่วงหน้าพะวงหลังตอนสู้ จึงจัดให้สมาชิกครอบครัวของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่

“แปลว่าฉันไปด้วยไม่ได้?”

“เธอทำอะไรได้บ้างล่ะ?”

“เอ๊ะ?”

“เธอไม่มีประโยชน์ ทำไมฉันต้องให้เธอขึ้นเรือด้วย?”

“...”

ซินดี้มองวูจินด้วยสีหน้าว่างเปล่าเหมือนช็อกกับคำพูดของเขา

เธอเคยถูกทำเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์แบบนี้มาก่อนไหม?

โดจีวอนช่วยพูดแทน

“ฉันดูแลซินดี้อยู่... ให้เธออยู่จนกว่าจะดีขึ้นไม่ได้เหรอ?”

“ดีขึ้นจากอะไร?”

วูจินมองซินดี้ขึ้นลง

“ไม่เห็นเธอบาดเจ็บตรงไหน”

“มันเป็นบาดแผลทางใจ...”

วูจินยิ้มเยาะเมื่อจีวอนพูดแก้ต่างให้ซินดี้

“เด็กยังรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าอีก เธอไม่ขี้แยไปหน่อยเหรอ?”

ซินดี้กัดริมฝีปาก เธอนึกไปถึงโซอา

เธอรู้ตัว เธอรู้ว่าคนอีกมากแม้จะมีบาดแผลทางใจก็ยังใช้ชีวิตยากลำบากต่อไป เธอรู้ว่ากำลังคร่ำครวญทั้งๆที่ตัวเองมีชีวิตดีกว่าคนอื่น

ซินดี้ตาแดง

“นั่นสินะ ฉันทำตัวเป็นเด็ก”

“รู้ตัวก็ดี”

ว้าว...คำพูดของเขา...

“ฉันจะไปแล้ว”

“อืม ไว้เจอกันใหม่”

ซินดี้ข่มน้ำตาเดินออกจากห้อง

“ซินดี้!”

จีวอนจะตามแต่วูจินคว้าแขนเธอไว้

“อ๊ะ ปล่อยสิ”

“พอตามทันแล้วเธอคิดจะทำอะไร?”

ตอนนี้ซินดี้ต้องการให้คนปลอบหรือเปล่า?

“นายใจร้ายเกินไป น่าจะพูดกับเธอให้นุ่มนวลกว่าหน่อย”

คังวูจินพูดตรงเกินไปแล้ว

จีวอนมองวูจินอย่างตำหนิ วูจินยักไหล่

“เพื่ออะไรล่ะ?”

“...ช่างมันเถอะ ปล่อยฉัน”

“หืม”

จีวอนเงยหน้ามองวูจิน

“เวลานายทำตัวแบบนี้ ฉันกลัวนะ นายจะทิ้งฉันด้วยไหมถ้าฉันไร้ประโยชน์?”

“ไม่ น้ำหนักวิญญาณของเธอต่างจากคนนั้น”

“...?”

จีวอนมีน้ำตาคลอตา เธอหันไปทางอื่นแล้วเดินไปทางที่ซินดี้หายไป วูจินถูกทิ้งไว้คนเดียว เขายักไหล่

“พี่ทำรุนแรงไปหน่อยนะ”

โดเจมินปรากฏตัวจากความมืดอย่างกะทันหัน วูจินทำหน้าบูดมองเขา

“...นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ผมเห็นทุกอย่าง”

“โตขึ้นหน่อยแล้วนี่?”

ความสามารถพรางตัวของเจมินเทียบได้กับกาเกบิแล้วตอนนี้

“แหะ ว่าแต่ เมื่อไหร่พี่ซุงกูจะกลับมาครับ?”

“ไม่รู้สิ ถึงเวลาเขาก็กลับมาเอง”

ซุงกูจะกลับมาเมื่อฝึกเสร็จ วูจินไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนแต่ต้องเป็นภายในวันนี้ การไปอัลเฟนต้องมีทั้งซุงกูและเจนิส


***

 “ฮือ”

เมื่อซินดี้ผ่านประตูออกไป น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ก็ไหล

เธอรู้ การคร่ำครวญของเธอไม่เหมาะกับโลกบ้าๆตอนนี้

“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนคุณ”

เธอร้องไห้วิ่งออกไปข้างนอก พนักงานที่เห็นเธอพยายามเรียกแต่เธอไม่หันกลับไปมอง

“ไอ้คนทุเรศ ฮือ”

เธอหยุดน้ำตาไม่ได้ เรื่องที่เธอสนใจคนเย็นชาแบบนั้นแม้ไม่นานก็ทำให้เธอโกรธตัวเองมาก

“ถ้าออกไปตอนนี้...”

พนักงานพยายามเรียกเธอ แต่ซินดี้เดินต่อด้วยความอาย

‘อ๊า น่าอายจริงๆ!’

เธอตั้งใจจะโทรหาผู้จัดการทันทีที่ออกจากที่นี่ เธอเดินไปทางประตูหน้า แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปหลายสิบกล้องสว่างขึ้นพร้อมกัน นักข่าวมาเฝ้าที่นี่และสนใจทุกคนที่ออกมา

ซินดี้ติดอยู่ในความวุ่นวายนี้

“ว้าว อะไรกัน? นั่นซินดี้ใช่ไหม?”

“โชคดีวุ้ย! ทำไมเธอร้องไห้?”

“หรือจะเป็นเรื่องอื้อฉาวกับราชาของอลันดาล?”

น้ำตาซินดี้หยุดไหลเมื่อได้ยินเสียงกดชัตเตอร์กล้องไม่หยุด เธอคาดไม่ถึงว่าจะวิ่งมาเจอฝูงนักข่าว สีหน้าเธอมึนงง

‘อ๊ะ แย่แล้ว’

ซินดี้ตั้งสติได้ช้าไป

เธออับอายและตกใจ เธอต้องพาตัวไปให้พ้นจากสถานการณ์นี้ แต่นึกวิธีแก้ไม่ออก

สภาพไม่น่าดูของเธอตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับภาพลักษณ์ของเธอถ้ามีข่าวซุบซิบขึ้นมา?

เธออยู่ในสถานการณ์ที่ชวนให้เกิดเรื่องซุบซิบจริงๆ อลันดาลเป็นข่าวดังที่สุดตอนนี้ แล้วนักแสดงคนหนึ่งเพิ่งร้องไห้เดินออกจากที่นี่...

ซินดี้ไม่รู้จะรับมือเรื่องนี้อย่างไร เธอจึงเริ่มมีน้ำตาคลอตาอีกครั้ง ซินดี้หันหลังหลบแต่เสียงถ่ายรูปไม่หยุด

โลกของซินดี้เริ่มหมุน เธอใกล้จะเป็นลม

ตอนนั้นเอง ไฟอบอุ่นหล่นมาจากท้องฟ้าหุ้มตัวเธอเอาไว้

“...”

เมื่อหันมาอีกที ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งพร้อมเปลวไฟหุ้มร่างเขาไว้

“เอ๋? ทำไมคุณร้องไห้ล่ะ?”

“ฮึก คัง คนทุเรศ... ฮือ นักข่าว กล้อง... แง”

“เอ่อ อย่าร้องเลย”

ไฟรอบตัวซุงกูหายไป มันไปลุกไหม้ที่อื่น

“เอ๋?”

“อ๊ะ! อะไรวะ!”

เลนส์จากกล้องทุกกล้องระเบิด เมโมรี่การ์ดติดไฟไหม้ ซินดี้เงยหน้ามองซุงกูอย่างประหลาดใจ

“เฮะๆ คุณมาจากยูริเกิลส์ใช่ไหม? ช่วยเข้าไปเซ็นลายเซ็นให้ผมข้างในได้ไหม?”

“...”

รอยยิ้มสว่างสดใสของฮงซุงกูสะท้อนบนน้ำตาของซินดี้






สารบัญ                                             บทที่ 165



สะท้อนบนน้ำตา? คนแปลเง็ง เห็นได้ด้วยเหรอ?









7 ความคิดเห็น:

  1. ค้างไปกับความเท่ของ #ฮงซุงกู *..*'

    ตอบลบ
  2. คู่รักคู่ใหม่มาแล้วเว้ย

    ตอบลบ
  3. ได้กับซุงกูเฉยเว้ย 555

    ตอบลบ
  4. ซุงกูนายมาไกลมาก จากสัญญาทาสนั่นแท้ ๆ //ปาดน้ำตา

    ตอบลบ
  5. อะไรวะเจนิสพลาด ตามที่คิดไว้ซุงกูต้องบาดเจ็บสาหัสเเล้วกลับมาพร้อมน้ำตาสิ

    ตอบลบ
  6. ไม่นะซูงกุดีเกินไปสำหรับยัยนี่ ม่ายยยยยยซูงกูผู้ใสซื่อของช้านนนนนนน

    ตอบลบ