บทที่ 151 – โลกจาคุ (3)
วูจินเลิกคิ้วเมื่อเห็นกลุ่มที่กำลังใกล้เข้ามา
“อะไรวะ?”
มันเป็นกลุ่มเอลฟ์ที่กำลังหวาดระแวง
วูจินเคี้ยวเนื้อพลางลุกขึ้น
“เจนิส”
เจนิสปรากฎตัวพร้อมควันดำและยืนตรงหน้าวูจิน
“จัดการพวกนั้นแล้วตามฉันมากับซุงกู”
ท้องอิ่มแล้ว ถึงเวลาล่าอีกรอบ
[ข้าทำตามประสงค์ท่านจ้าว]
ไฟสีดำลุกโพลงจากไม้เท้าของลิช
“ไว้เจอกันนะซุงกู...”
“เอื๊อก อั๊บ อู้กพี่”
ซุงกูท่าทางจะใช้พลังงานไปมาก เขายัดอาหารเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวูจินกำลังจะไป พวกเอลฟ์วิ่งเข้ามาคุกเข่า
พวกเขาทำก่อนไฟของเจนิสจะระเบิด เวลาช่างประจวบเหมาะ
“อะไรวะ?”
เอลฟ์ผมเงินหล่อเหลาคุกเข่าพูด
“พวกเราได้ยินว่ามีผู้สูงส่งมาเยี่ยมโลกของเรา ขอท่านให้เกียรติให้ข้าเข้าพบ”
“...”
วูจินหยุดเดิน
เขาไม่ได้เจอเอลฟ์มานานแล้ว ไม่ได้ฟังพวกเอลฟ์พยายามยกยอด้วยคำไร้สาระมานานแล้วเหมือนกัน
“เอาสิ ไม่ยากอะไร”
“ความยินยอมของท่านทำให้ข้าน้ำตาไหล”
เอลฟ์ผมเงินลุกขึ้นแต่ยังก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองวูจินขณะที่พูด รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของวูจิน
“แค่นี้ใช่ไหม?”
“อา ข้าขอแนะนำตัวเอง...”
“ไม่ล่ะ”
เมื่อวูจินตัดบท เอลฟ์ก้มศีรษะลงใหม่ เขาทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธหรือ? เอลฟ์ทบทวนคำพูดและสิ่งที่ทำลงไป
“หมดธุระแล้ว นายตายได้”
วูจินออกเดินใหม่และไฟพุ่งออกจากไม้เท้าลิช
“อ๊าก!”
แสงสีแดงกระพริบในเบ้าตาหัวกะโหลก ให้ความรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะ
[เสียงกรีดร้องของพวกเอลฟ์ฟังแล้วให้อุ่นใจเสมอ]
เอลฟ์สามตนตกอยู่ในเปลวเพลิง พวกมันพยายามใช้เวทน้ำ แต่ไฟนรกดับยากเกินไป
“ข้า...ข้ารับใช้ผู้นำสหพันธ์ค้อนแดง ท่านมอร์โพ...”
เอลฟ์พูดเสียงสั่นแล้วศีรษะก็ระเบิดไป ไฟระเบิดจากที่ๆเคยเป็นที่ตั้งศีรษะของมัน ประกายไฟบินจากไม้เท้าเจนิส ดวงตาสีแดงของลิชมองไปทางซุงกู
[ไม่มีอะไรเป็นเชื้อไฟได้ดีกว่าความกลัว]
“หา?”
เผาอะไรนะ?
ซุงกูรีบเคี้ยวเนื้อแล้วกลืน ลิชพูดต่อ
[เจ้าต้องทำให้ศัตรูสั่นกลัว จากนั้นเวทีจะเป็นของเจ้า ก๊ากฮ่าๆ]
“...”
ซุงกูกลืนอาหารไปแล้วแต่ก็ยังตอบไม่ถูกอยู่ดี
ยังเหลือเอลฟ์อีก 2 ตนยังไม่ตาย
“เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป? โจมตีสหพันธ์ทั้งสามที่มีอาณานิคมบนโลกจาคุ!”
วูจินหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงโกรธของเอลฟ์
“แล้วไง?”
“ขอข้าดูเถอะว่าความโอหังเสียสติของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน!”
“นายไม่ได้อยู่เห็นหรอก”
“...”
“เพราะนายจะตายตรงนี้”
[ก๊ากฮ่าๆ ถึงเวลาพวกเราปลดปล่อยโลกจาคุแล้ว]
แสงสว่างส่องจากลิชและจอมเวทโครงกระดูกทั้งหมดในสังกัดของมันก็ถูกเรียกออกมา
จอมเวทโครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุก ทั้งหมดมีเวทไฟที่มีพลังเวทต่างกันไปเล็กน้อย นักเวทโครงกระดูกประสานมือสร้างลูกไฟขึ้นมา ลูกไฟทุกลูกถูกส่งไปทางซุงกู
“...!”
เฮ้ย! ทำไมวะ?
เจนิสบอกจะปลดปล่อยจาคุ แล้วทำไมโจมตีเขาล่ะ?
วูจินออกเดินต่อเมื่อการฝึกสอนเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าเหลือง หมวกดำหรือค้อนแดงก็ช่าง เขาจะทำลายพวกมันทั้งหมดและเอาทุกอย่างจากพวกมันมา เขาจะใช้มันเป็นหินเหยียบเพื่อทำลายลอร์ดมิติของทราห์เน็ตทุกตน
***
รักชาวิ่งเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มด้วยความช่วยเหลือจากภูติลมของเธอ
เมื่อเห็นหอคอยขนาดใหญ่อยู่ลิบๆ เธอก็เร่งความเร็วขึ้น
มันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองของเธอ
เสาโบราณที่ใช้ในพิธีกรรมของเผ่าราทิคถูกปล้นไปหมด นี่เป็นหอคอยที่พวกเธอต้องสร้างขึ้นเอง
หอคอยมีบ้านเรือนสร้างจากหิน ไม้และโคลนกระจุกอยู่ใกล้ๆ เมื่อเธอเข้าไปในป่าที่เป็นเส้นทางสู่เมือง
นักรบของเผ่าราทิคก็ปรากฏตรงหน้าเธอทันที
“รัคชา!”
“ริบิโต”
“เป็นยังไง?”
“ข้าต้องเข้าพบชาแมนหญิง”
เมื่อริบิโตเห็นสีหน้าร้อนรนของรักชาเขาก็เปิดทางให้
รักชาวิ่งไปตามเส้นทางป่า เมื่อมาถึงห้องด้านในสุดของหอคอย หญิงชราของเผ่าทักทายเธอ
“รักชา”
“ชาแมนหญิง ชิวชิวชา!”
“เจ้าเห็นอะไรมา? ทำไมดูหวาดกลัวนัก? สงบสติอารมณ์ลงหน่อยเถอะ”
รักชารู้สึกสงบลงบ้างเพียงแค่เห็นชิวชิวชา แต่ความรู้สึกถึงอันตรายเร่งด่วนไม่ลดลงเลย
“ป้อมลีอาห์ถล่มแล้ว”
“ความสงบคงอยู่มาพอสมควรแล้ว สงครามจะเริ่มอีกแล้วสินะ”
ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสหพันธ์ส่งผลให้พวกมันต่อสู้กันเอง ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอรอดเพราะเหตุนี้ ควรจะพูดว่าเผ่าราทิคถูกพวกมันหลงลืมไป
“ไม่ใช่ค่ะ นี่ไม่ใช่สหพันธ์ มันเป็นผู้ล่าคนใหม่ที่เอาชนะรีลิคได้”
“หือ อย่างนั้นเหรอ?”
พวกนั้นคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้า
พวกนั้นสร้างดันเจี้ยนและอาณานิคม สร้างปาฏิหาริย์ที่เหมือนเป็นการกระทำของเทพเจ้า
นานแล้วที่ไม่มีผู้ล่าที่ขึ้นกับสหพันธ์ทั้งสามปรากฏตัว
“ถ้าเป็นลีอาห์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของหมวกดำสินะ?”
“ค่ะ ปัญหาคือเขาก็ล่วงเกินท่านมอร์โพด้วย”
“แม้แต่ค้อนแดง...”
ชาแมนหญิง ชิวชิวชาส่ายหน้าอย่างกังวล
“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมาจากหน่วยลาดตระเวนของเรา ผู้ล่าคนใหม่นี้เคยกระทบกระทั่งกับสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง...”
ผู้ล่าคนใหม่ล่วงเกินสหพันธ์ทั้งสามของโลกจาคุ เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับผู้ล่าทุกคนบนโลกจาคุ
“เขาจะถูกลบไปในไม่นาน”
รักชาส่ายหน้าให้คำพูดของชิวชิวชา
“เขาเป็นผู้ล้มรีลิค! เขาต้องเป็นคนในตำนานแน่ ชาแมนหญิง”
รีลิค นักรบที่เก่งที่สุดของเผ่าราทิค ตายเพราะฝีมือเขา รักชารอดมาได้หวุดหวิด เธอจึงจำภาพเหตุการณ์นั้นได้ชัดเจน เธอเห็นพลังและจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่ามากมาแล้ว
“เจ้าพูดถึงตำนานอะไร?”
“ตำนานที่บอกว่าผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นจะช่วยโลกนี้!”
รักชาตัวสั่นอย่างตื่นเต้น ชิวชิวชากอดเธอแน่นและมองเธออย่างเวทนา
“น่าสงสาร”
“ทำไมเหรอคะ?”
“ตำนานนั้นเป็นเรื่องโกหก”
“อะไรกัน?”
ชิวชิวชาลูบศีรษะนักเวทหญิงวัยเยาว์
“ตำนานฉบับนั้นสร้างขึ้นเพื่อมอบความหวังให้ผู้คน”
“อะไร?”
“เจ้าอยากฟังตำนานจริงที่ส่งต่อมาถึงพวกเราไหม?”
“...”
“เมื่อผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นปรากฏตัว โลกจะใกล้ถึงกาลดับสูญ”
“...!”
ไม่ใช่การรอดแต่เป็นการสิ้นสุด!
รักชาส่ายหน้าแรงอย่างไม่เชื่อ
“มาภาวนาว่าเขาไม่ใช่ผู้ล่าในตำนานเถอะ”
ไม่เช่นนั้น พวกนางจะเป็นรุ่นสุดท้ายของเผ่า และถึงจุดจบไปพร้อมกับโลกของพวกนาง
“ฮึกๆ เราจะทำยังไงดี?”
ไม่มีความหวัง
อนาคตของโลกมีแต่ความสิ้นหวัง รักชาร้องไห้
จิตใจเธอปั่นป่วนจนไม่รู้สึกถึงเงาของเธอว่ากำลังยิ้มอยู่
***
รักชาขังตัวเองในบ้านเป็นเวลาสองวัน ต่อหน้าร่างไร้ชีวิตชีวาของรักชา ชิวชิวชาผู้เปรียบเสมือนมารดาของเธอพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ดื่มสักนิดเถอะ รักชา”
“...ข้าไม่เป็นไร”
ชิวชิวชามองรักชาที่กำลังยิ้มอ่อน นางเสียใจที่บอกความจริงไป นางรู้ว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งจึงคาดหวังให้เธอก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้
บางทีนางควรปล่อยให้รักชาเก็บความหวังจอมปลอมนั้นไว้
รักชากำลังตายช้าๆ มันเริ่มจากจิตใจของเธอ
ตอนนั้นเองก็เกิดการแรงสะเทือนทำให้หน้าต่างสั่น
ชิวชิวชาและรักชามองหน้ากันอย่างแปลกใจ เสียงระฆังดังขึ้น มันเตือนว่ามีผู้บุกรุก
“ข้าต้องออกไป”
เมื่อชิวชิวชาออกจากบ้าน เมืองกำลังปั่นป่วน ควันดำลอยขึ้นจากป่าและในเมืองกำลังวุ่นวายกับการอพยพพวกเด็กๆ
ชิวชิวชาคว้าคนที่วิ่งผ่านเธอไว้
“เกิดอะไรขึ้น?”
“อา ชาแมนหญิง มีกองทัพผีดิบขนาดใหญ่กำลังฝ่าป่ามุ่งหน้ามาทางพวกเรา”
“ฮ้า ไม่น่าเชื่อ”
ผู้ล่ารวมกันสร้างสหพันธ์ขึ้นมา และยุ่งอยู่กับการสู้กันเอง พวกมันไม่แสดงความสนใจเผ่าเล็กๆอย่างราทิค กองทัพไม่เคยส่งมาล่าพวกมาตลอด 10 ปี
“เขาบอกว่ายังไงคะ?”
รักชาออกมาถามอย่างเป็นกังวล
“ดูเหมือนจะมีผู้บุกรุก เจ้าหลบไปกับคนอื่นเถอะ”
“ไม่ ข้าจะช่วยพวกนักรบ”
ในดวงตาเธอมีประกายชีวิตขึ้นมา แต่ชีวิตนั้นจะถูกนำไปเสี่ยงในฐานะนักเวทหญิง ชิวชิวชาปวดใจเพราะนี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของรักชา
“เจ้าไปเถอะ”
“ค่ะแม่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
รักชาบอกลาอย่างจริงใจ ชิวชิวชาเลี้ยงดูเธอและสอนเวทมนตร์ให้เธอ สำหรับเธอแล้วชิวชิวชาก็คือแม่
เมื่อรักชามาถึง ไฟป่าก็ลามจนดับไม่ได้แล้ว นักรบเผ่าราทิคที่ซ่อนในป่าวิ่งออกมาตั้งทัพหน้าเมือง
นี่เป็นความพยายามยื้อเวลาครั้งสุดท้ายเพื่อให้เด็กๆหลบหนีไป
“รักชา!”
“ริบิโต พวกมันเป็นใคร?”
“มันเป็นกองทัพของผู้ล่าที่ข้าไม่เคยเห็นในแถบนี้ พวกมันเป็นโครงกระดูก”
“โครงกระดูก...”
เธอมั่นใจว่าเป็นชายผู้ล้มรีลิค
เขาบุกมาถึงที่นี่แล้ว...
เกิดอะไรขึ้นกับเสาและเมืองของผู้ล่าคนอื่นที่ควรจะขวางทางเขาไว้?
เคะๆๆ!
ไม่นาน เสียงหัวเราะไม่น่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของโครงกระดูกก็ดังขึ้น พวกมันเดินหน้าผ่านป่าที่ถูกเผามายังหน้าเมือง อัศวินในชุดเกราะขี่ม้าปีศาจและปล่อยจิตคุกคามขณะบุกเข้ามา
“ชิ เราต้องซื้อเวลาไว้”
ริบิโตเป็นผู้นำ คำพูดของเขาปลุกไฟต่อสู้ของนักรบทุกคนขึ้นมา
เขาเป็นคนเดียวที่รอดกลับมาหลังเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบ
คังวูจินกระตุ้นชิงชิงออกมาข้างหน้า
“นี่มันอะไรกัน?”
เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นหอคอยที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ นี่ไม่ใช่เมืองอาณานิคม
“ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นคนพื้นเมืองของโลกนี้”
วูจินดึงเงาของเขากลับมา
“นายพาฉันมาที่ให้ EXP น้อยทำไม กลับมา”
ด้วยคำสั่งของวูจิน กาเกบิออกจากเงาของรักชาและหลอมเข้าไปในเงาของวูจิน ทุกสิ่งที่กาเกบิพบเห็นมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลเข้าไปในสมองของวูจิน
“หืม ที่นี่คือค่ายผู้หลบภัยของคนพื้นเมือง”
นักรบเผ่าราทิคเรียงแถวตรงข้ามกองทัพผีดิบอย่างกังวล ผู้ไม่ตายมองพวกมันและเมืองไร้ค่าเบื้องหลัง
รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้า
“จัดการให้หมด”
ค่าประสบการณ์น้อยแล้วจะทำไม? เขาเดินทางมาถึงที่นี่อย่างน้อยก็ควรจะเก็บเกี่ยวไปบ้าง ชนพื้นเมืองไม่ให้บลัดสโตนและค่าความสำเร็จของเขาก็ไม่เพิ่ม
เคะๆๆ!
กองทัพกำลังจะเดินหน้าแต่ควันดำมาก่อตัวตรงหน้านักรบของเผ่าราทิคเสียก่อน อัศวินมรณะตนหนึ่งออกมา
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลง
[ราชา!]
“รีลิค?”
มันคือทาสที่ยอมเขาผ่านค่าบงการ
วูจินต้องใช้ค่าบงการ 320 แต้มเพื่อบังคับเขา แต่มันน้อยลงเรื่อยๆ
[ขอให้ท่านเมตตา ไว้ชีวิตพวกเขาด้วย]
“โฮ่”
เป็นเพราะรีลิคยังตกอยู่ใต้อำนาจของเขาไม่เต็มที่หรือ? มันกล้ามาตรงหน้าราชาและบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“น่าสนใจ”
วูจินลงจากหลังชิงชิง
กลุ่มนักรบเผ่าราทิคด้านหลังรีลิคปั่นป่วน วูจินเดินไปหารีลิคช้าๆ เขาไม่ได้ถูกอสูรของตัวเองท้าทายมานานแล้ว
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ?”
[…]
“ถ้าฉันบอกให้นายฆ่าคนในเผ่าของนายล่ะ?”
[ข้าจะฆ่าพวกมัน]
“โฮ่”
รีลิคปักดาบโค้งที่พื้น จากนั้นก้มศีรษะแตะพื้น
[ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ]
วูจินได้ยินเสียงประกาศคุ้นหูดังขึ้น
<อัศวินมรณะ ‘รีลิค’ อ้อนวอนคุณ>
<ความเชื่อฟังของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>
วูจินยิ้มพลางกางแขนออก
กองทัพผีดิบสลายไปหมด วูจินกับรีลิคมองหน้ากัน จากนั้นรีลิคโขกหัวลงอีกครั้ง
<ความภักดีของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>
<ความเชื่อใจของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>
ค่าบงการที่ต้องใช้บังคับรีลิคลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือ 1
“เอาล่ะ ฉันจะกลับแล้ว”
วูจินมองผ่านใบหน้าตื่นตระหนกของเผ่าราทิคแต่ละตนจากนั้นหันหลังกลับ
[เพื่อตอบแทนความเมตตาของราชา ข้าขอถวายความจงรักภักดีและดาบ...]
รีลิคเปลี่ยนกลับเป็นควันดำหายไป วูจินจากไป 10 ก้าว ไม่มีนักรบเผ่าราทิคตนไหนขยับ
ดวงตารักชาคลอด้วยน้ำตา เธอมองร่องรอยที่รีลิคทิ้งไว้
แต่แล้ววูจินก็หยุดกึก
“เดี๋ยวก่อน”
เขาหันกลับมองไปที่จุดสูงสุดของหอคอย
‘ดูคุ้นๆนะ’
ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา วูจินเห็นผ้าผืนหนึ่งแขวนเหนือหอคอย
<การปกป้องอันพังพินาศของทราช>
วูจินหรี่ตา
ดูเหมือนเขาจะกลับไปเฉยๆไม่ได้แล้ว
หืม? ชุดเก่า?
ตอบลบโหดจริงๆ พี่แก
ตอบลบ