วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 151

บทที่ 151 – โลกจาคุ (3)


วูจินเลิกคิ้วเมื่อเห็นกลุ่มที่กำลังใกล้เข้ามา

“อะไรวะ?”

มันเป็นกลุ่มเอลฟ์ที่กำลังหวาดระแวง

วูจินเคี้ยวเนื้อพลางลุกขึ้น

“เจนิส”

เจนิสปรากฎตัวพร้อมควันดำและยืนตรงหน้าวูจิน

“จัดการพวกนั้นแล้วตามฉันมากับซุงกู”

ท้องอิ่มแล้ว ถึงเวลาล่าอีกรอบ

[ข้าทำตามประสงค์ท่านจ้าว]

ไฟสีดำลุกโพลงจากไม้เท้าของลิช

“ไว้เจอกันนะซุงกู...”

“เอื๊อก อั๊บ อู้กพี่”

ซุงกูท่าทางจะใช้พลังงานไปมาก เขายัดอาหารเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวูจินกำลังจะไป พวกเอลฟ์วิ่งเข้ามาคุกเข่า

พวกเขาทำก่อนไฟของเจนิสจะระเบิด เวลาช่างประจวบเหมาะ

“อะไรวะ?”

เอลฟ์ผมเงินหล่อเหลาคุกเข่าพูด

“พวกเราได้ยินว่ามีผู้สูงส่งมาเยี่ยมโลกของเรา ขอท่านให้เกียรติให้ข้าเข้าพบ”

“...”

วูจินหยุดเดิน

เขาไม่ได้เจอเอลฟ์มานานแล้ว ไม่ได้ฟังพวกเอลฟ์พยายามยกยอด้วยคำไร้สาระมานานแล้วเหมือนกัน

“เอาสิ ไม่ยากอะไร”

“ความยินยอมของท่านทำให้ข้าน้ำตาไหล”

เอลฟ์ผมเงินลุกขึ้นแต่ยังก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองวูจินขณะที่พูด รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของวูจิน

“แค่นี้ใช่ไหม?”

“อา ข้าขอแนะนำตัวเอง...”

“ไม่ล่ะ”

เมื่อวูจินตัดบท เอลฟ์ก้มศีรษะลงใหม่ เขาทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธหรือ? เอลฟ์ทบทวนคำพูดและสิ่งที่ทำลงไป

“หมดธุระแล้ว นายตายได้”

วูจินออกเดินใหม่และไฟพุ่งออกจากไม้เท้าลิช

“อ๊าก!”

แสงสีแดงกระพริบในเบ้าตาหัวกะโหลก ให้ความรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะ

[เสียงกรีดร้องของพวกเอลฟ์ฟังแล้วให้อุ่นใจเสมอ]

เอลฟ์สามตนตกอยู่ในเปลวเพลิง พวกมันพยายามใช้เวทน้ำ แต่ไฟนรกดับยากเกินไป

“ข้า...ข้ารับใช้ผู้นำสหพันธ์ค้อนแดง ท่านมอร์โพ...”

เอลฟ์พูดเสียงสั่นแล้วศีรษะก็ระเบิดไป ไฟระเบิดจากที่ๆเคยเป็นที่ตั้งศีรษะของมัน ประกายไฟบินจากไม้เท้าเจนิส ดวงตาสีแดงของลิชมองไปทางซุงกู

[ไม่มีอะไรเป็นเชื้อไฟได้ดีกว่าความกลัว]

“หา?”

เผาอะไรนะ?

ซุงกูรีบเคี้ยวเนื้อแล้วกลืน ลิชพูดต่อ

[เจ้าต้องทำให้ศัตรูสั่นกลัว จากนั้นเวทีจะเป็นของเจ้า ก๊ากฮ่าๆ]

“...”

ซุงกูกลืนอาหารไปแล้วแต่ก็ยังตอบไม่ถูกอยู่ดี

ยังเหลือเอลฟ์อีก 2 ตนยังไม่ตาย

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป? โจมตีสหพันธ์ทั้งสามที่มีอาณานิคมบนโลกจาคุ!”

วูจินหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงโกรธของเอลฟ์

“แล้วไง?”

“ขอข้าดูเถอะว่าความโอหังเสียสติของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน!”

“นายไม่ได้อยู่เห็นหรอก”

“...”

“เพราะนายจะตายตรงนี้”

[ก๊ากฮ่าๆ ถึงเวลาพวกเราปลดปล่อยโลกจาคุแล้ว]

แสงสว่างส่องจากลิชและจอมเวทโครงกระดูกทั้งหมดในสังกัดของมันก็ถูกเรียกออกมา

จอมเวทโครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุก ทั้งหมดมีเวทไฟที่มีพลังเวทต่างกันไปเล็กน้อย นักเวทโครงกระดูกประสานมือสร้างลูกไฟขึ้นมา ลูกไฟทุกลูกถูกส่งไปทางซุงกู

“...!”

เฮ้ย! ทำไมวะ?

เจนิสบอกจะปลดปล่อยจาคุ แล้วทำไมโจมตีเขาล่ะ?

วูจินออกเดินต่อเมื่อการฝึกสอนเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าเหลือง หมวกดำหรือค้อนแดงก็ช่าง เขาจะทำลายพวกมันทั้งหมดและเอาทุกอย่างจากพวกมันมา เขาจะใช้มันเป็นหินเหยียบเพื่อทำลายลอร์ดมิติของทราห์เน็ตทุกตน

***

รักชาวิ่งเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มด้วยความช่วยเหลือจากภูติลมของเธอ

เมื่อเห็นหอคอยขนาดใหญ่อยู่ลิบๆ เธอก็เร่งความเร็วขึ้น

มันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองของเธอ

เสาโบราณที่ใช้ในพิธีกรรมของเผ่าราทิคถูกปล้นไปหมด นี่เป็นหอคอยที่พวกเธอต้องสร้างขึ้นเอง

หอคอยมีบ้านเรือนสร้างจากหิน ไม้และโคลนกระจุกอยู่ใกล้ๆ เมื่อเธอเข้าไปในป่าที่เป็นเส้นทางสู่เมือง
นักรบของเผ่าราทิคก็ปรากฏตรงหน้าเธอทันที

“รัคชา!”

“ริบิโต”

“เป็นยังไง?”

“ข้าต้องเข้าพบชาแมนหญิง”

เมื่อริบิโตเห็นสีหน้าร้อนรนของรักชาเขาก็เปิดทางให้

รักชาวิ่งไปตามเส้นทางป่า เมื่อมาถึงห้องด้านในสุดของหอคอย หญิงชราของเผ่าทักทายเธอ

“รักชา”

“ชาแมนหญิง ชิวชิวชา!”

“เจ้าเห็นอะไรมา? ทำไมดูหวาดกลัวนัก? สงบสติอารมณ์ลงหน่อยเถอะ”

รักชารู้สึกสงบลงบ้างเพียงแค่เห็นชิวชิวชา แต่ความรู้สึกถึงอันตรายเร่งด่วนไม่ลดลงเลย

“ป้อมลีอาห์ถล่มแล้ว”

“ความสงบคงอยู่มาพอสมควรแล้ว สงครามจะเริ่มอีกแล้วสินะ”

ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสหพันธ์ส่งผลให้พวกมันต่อสู้กันเอง ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอรอดเพราะเหตุนี้ ควรจะพูดว่าเผ่าราทิคถูกพวกมันหลงลืมไป

“ไม่ใช่ค่ะ นี่ไม่ใช่สหพันธ์ มันเป็นผู้ล่าคนใหม่ที่เอาชนะรีลิคได้”

“หือ อย่างนั้นเหรอ?”

พวกนั้นคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้า

พวกนั้นสร้างดันเจี้ยนและอาณานิคม สร้างปาฏิหาริย์ที่เหมือนเป็นการกระทำของเทพเจ้า

นานแล้วที่ไม่มีผู้ล่าที่ขึ้นกับสหพันธ์ทั้งสามปรากฏตัว

“ถ้าเป็นลีอาห์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของหมวกดำสินะ?”

“ค่ะ ปัญหาคือเขาก็ล่วงเกินท่านมอร์โพด้วย”

“แม้แต่ค้อนแดง...”

ชาแมนหญิง ชิวชิวชาส่ายหน้าอย่างกังวล

“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมาจากหน่วยลาดตระเวนของเรา ผู้ล่าคนใหม่นี้เคยกระทบกระทั่งกับสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง...”

ผู้ล่าคนใหม่ล่วงเกินสหพันธ์ทั้งสามของโลกจาคุ เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับผู้ล่าทุกคนบนโลกจาคุ

“เขาจะถูกลบไปในไม่นาน”

รักชาส่ายหน้าให้คำพูดของชิวชิวชา

“เขาเป็นผู้ล้มรีลิค! เขาต้องเป็นคนในตำนานแน่ ชาแมนหญิง”

รีลิค นักรบที่เก่งที่สุดของเผ่าราทิค ตายเพราะฝีมือเขา รักชารอดมาได้หวุดหวิด เธอจึงจำภาพเหตุการณ์นั้นได้ชัดเจน เธอเห็นพลังและจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่ามากมาแล้ว

“เจ้าพูดถึงตำนานอะไร?”

“ตำนานที่บอกว่าผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นจะช่วยโลกนี้!”

รักชาตัวสั่นอย่างตื่นเต้น ชิวชิวชากอดเธอแน่นและมองเธออย่างเวทนา

“น่าสงสาร”

“ทำไมเหรอคะ?”

“ตำนานนั้นเป็นเรื่องโกหก”

“อะไรกัน?”

ชิวชิวชาลูบศีรษะนักเวทหญิงวัยเยาว์

“ตำนานฉบับนั้นสร้างขึ้นเพื่อมอบความหวังให้ผู้คน”

“อะไร?”

“เจ้าอยากฟังตำนานจริงที่ส่งต่อมาถึงพวกเราไหม?”

“...”

“เมื่อผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นปรากฏตัว โลกจะใกล้ถึงกาลดับสูญ”

“...!”

ไม่ใช่การรอดแต่เป็นการสิ้นสุด!

รักชาส่ายหน้าแรงอย่างไม่เชื่อ

“มาภาวนาว่าเขาไม่ใช่ผู้ล่าในตำนานเถอะ”

ไม่เช่นนั้น พวกนางจะเป็นรุ่นสุดท้ายของเผ่า และถึงจุดจบไปพร้อมกับโลกของพวกนาง

“ฮึกๆ เราจะทำยังไงดี?”

ไม่มีความหวัง

อนาคตของโลกมีแต่ความสิ้นหวัง รักชาร้องไห้

จิตใจเธอปั่นป่วนจนไม่รู้สึกถึงเงาของเธอว่ากำลังยิ้มอยู่

***

รักชาขังตัวเองในบ้านเป็นเวลาสองวัน ต่อหน้าร่างไร้ชีวิตชีวาของรักชา ชิวชิวชาผู้เปรียบเสมือนมารดาของเธอพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ดื่มสักนิดเถอะ รักชา”

“...ข้าไม่เป็นไร”

ชิวชิวชามองรักชาที่กำลังยิ้มอ่อน นางเสียใจที่บอกความจริงไป นางรู้ว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งจึงคาดหวังให้เธอก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้

บางทีนางควรปล่อยให้รักชาเก็บความหวังจอมปลอมนั้นไว้

รักชากำลังตายช้าๆ มันเริ่มจากจิตใจของเธอ

ตอนนั้นเองก็เกิดการแรงสะเทือนทำให้หน้าต่างสั่น

ชิวชิวชาและรักชามองหน้ากันอย่างแปลกใจ เสียงระฆังดังขึ้น มันเตือนว่ามีผู้บุกรุก

“ข้าต้องออกไป”

เมื่อชิวชิวชาออกจากบ้าน เมืองกำลังปั่นป่วน ควันดำลอยขึ้นจากป่าและในเมืองกำลังวุ่นวายกับการอพยพพวกเด็กๆ

ชิวชิวชาคว้าคนที่วิ่งผ่านเธอไว้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“อา ชาแมนหญิง มีกองทัพผีดิบขนาดใหญ่กำลังฝ่าป่ามุ่งหน้ามาทางพวกเรา”

“ฮ้า ไม่น่าเชื่อ”

ผู้ล่ารวมกันสร้างสหพันธ์ขึ้นมา และยุ่งอยู่กับการสู้กันเอง พวกมันไม่แสดงความสนใจเผ่าเล็กๆอย่างราทิค กองทัพไม่เคยส่งมาล่าพวกมาตลอด 10 ปี

“เขาบอกว่ายังไงคะ?”

รักชาออกมาถามอย่างเป็นกังวล

“ดูเหมือนจะมีผู้บุกรุก เจ้าหลบไปกับคนอื่นเถอะ”

“ไม่ ข้าจะช่วยพวกนักรบ”

ในดวงตาเธอมีประกายชีวิตขึ้นมา แต่ชีวิตนั้นจะถูกนำไปเสี่ยงในฐานะนักเวทหญิง ชิวชิวชาปวดใจเพราะนี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของรักชา

“เจ้าไปเถอะ”

“ค่ะแม่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

รักชาบอกลาอย่างจริงใจ ชิวชิวชาเลี้ยงดูเธอและสอนเวทมนตร์ให้เธอ สำหรับเธอแล้วชิวชิวชาก็คือแม่

เมื่อรักชามาถึง ไฟป่าก็ลามจนดับไม่ได้แล้ว นักรบเผ่าราทิคที่ซ่อนในป่าวิ่งออกมาตั้งทัพหน้าเมือง

นี่เป็นความพยายามยื้อเวลาครั้งสุดท้ายเพื่อให้เด็กๆหลบหนีไป

“รักชา!”

“ริบิโต พวกมันเป็นใคร?”

“มันเป็นกองทัพของผู้ล่าที่ข้าไม่เคยเห็นในแถบนี้ พวกมันเป็นโครงกระดูก”

“โครงกระดูก...”

เธอมั่นใจว่าเป็นชายผู้ล้มรีลิค

เขาบุกมาถึงที่นี่แล้ว...

เกิดอะไรขึ้นกับเสาและเมืองของผู้ล่าคนอื่นที่ควรจะขวางทางเขาไว้?

เคะๆๆ!

ไม่นาน เสียงหัวเราะไม่น่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของโครงกระดูกก็ดังขึ้น พวกมันเดินหน้าผ่านป่าที่ถูกเผามายังหน้าเมือง อัศวินในชุดเกราะขี่ม้าปีศาจและปล่อยจิตคุกคามขณะบุกเข้ามา

“ชิ เราต้องซื้อเวลาไว้”

ริบิโตเป็นผู้นำ คำพูดของเขาปลุกไฟต่อสู้ของนักรบทุกคนขึ้นมา

เขาเป็นคนเดียวที่รอดกลับมาหลังเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบ

คังวูจินกระตุ้นชิงชิงออกมาข้างหน้า

“นี่มันอะไรกัน?”

เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นหอคอยที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ นี่ไม่ใช่เมืองอาณานิคม

“ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นคนพื้นเมืองของโลกนี้”

วูจินดึงเงาของเขากลับมา

“นายพาฉันมาที่ให้ EXP น้อยทำไม กลับมา”

ด้วยคำสั่งของวูจิน กาเกบิออกจากเงาของรักชาและหลอมเข้าไปในเงาของวูจิน ทุกสิ่งที่กาเกบิพบเห็นมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลเข้าไปในสมองของวูจิน

“หืม ที่นี่คือค่ายผู้หลบภัยของคนพื้นเมือง”

นักรบเผ่าราทิคเรียงแถวตรงข้ามกองทัพผีดิบอย่างกังวล ผู้ไม่ตายมองพวกมันและเมืองไร้ค่าเบื้องหลัง
รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้า

“จัดการให้หมด”

ค่าประสบการณ์น้อยแล้วจะทำไม? เขาเดินทางมาถึงที่นี่อย่างน้อยก็ควรจะเก็บเกี่ยวไปบ้าง ชนพื้นเมืองไม่ให้บลัดสโตนและค่าความสำเร็จของเขาก็ไม่เพิ่ม

เคะๆๆ!

กองทัพกำลังจะเดินหน้าแต่ควันดำมาก่อตัวตรงหน้านักรบของเผ่าราทิคเสียก่อน อัศวินมรณะตนหนึ่งออกมา

เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลง

[ราชา!]

“รีลิค?”

มันคือทาสที่ยอมเขาผ่านค่าบงการ

วูจินต้องใช้ค่าบงการ 320 แต้มเพื่อบังคับเขา แต่มันน้อยลงเรื่อยๆ

[ขอให้ท่านเมตตา ไว้ชีวิตพวกเขาด้วย]

“โฮ่”

เป็นเพราะรีลิคยังตกอยู่ใต้อำนาจของเขาไม่เต็มที่หรือ? มันกล้ามาตรงหน้าราชาและบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“น่าสนใจ”

วูจินลงจากหลังชิงชิง

กลุ่มนักรบเผ่าราทิคด้านหลังรีลิคปั่นป่วน วูจินเดินไปหารีลิคช้าๆ เขาไม่ได้ถูกอสูรของตัวเองท้าทายมานานแล้ว

“ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ?”

[…]

“ถ้าฉันบอกให้นายฆ่าคนในเผ่าของนายล่ะ?”

[ข้าจะฆ่าพวกมัน]

“โฮ่”

รีลิคปักดาบโค้งที่พื้น จากนั้นก้มศีรษะแตะพื้น

[ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ]

วูจินได้ยินเสียงประกาศคุ้นหูดังขึ้น

<อัศวินมรณะ ‘รีลิค’ อ้อนวอนคุณ>

<ความเชื่อฟังของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

วูจินยิ้มพลางกางแขนออก

กองทัพผีดิบสลายไปหมด วูจินกับรีลิคมองหน้ากัน จากนั้นรีลิคโขกหัวลงอีกครั้ง

<ความภักดีของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

<ความเชื่อใจของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

ค่าบงการที่ต้องใช้บังคับรีลิคลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือ 1

“เอาล่ะ ฉันจะกลับแล้ว”

วูจินมองผ่านใบหน้าตื่นตระหนกของเผ่าราทิคแต่ละตนจากนั้นหันหลังกลับ

[เพื่อตอบแทนความเมตตาของราชา ข้าขอถวายความจงรักภักดีและดาบ...]

รีลิคเปลี่ยนกลับเป็นควันดำหายไป วูจินจากไป 10 ก้าว ไม่มีนักรบเผ่าราทิคตนไหนขยับ

ดวงตารักชาคลอด้วยน้ำตา เธอมองร่องรอยที่รีลิคทิ้งไว้

แต่แล้ววูจินก็หยุดกึก

“เดี๋ยวก่อน”

เขาหันกลับมองไปที่จุดสูงสุดของหอคอย

‘ดูคุ้นๆนะ’

ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา วูจินเห็นผ้าผืนหนึ่งแขวนเหนือหอคอย

<การปกป้องอันพังพินาศของทราช>

วูจินหรี่ตา

ดูเหมือนเขาจะกลับไปเฉยๆไม่ได้แล้ว



สารบัญ                                                                บทที่ 152



2 ความคิดเห็น: