บทที่ 150 – โลกจาคุ (2)
วูจินยืนต่อหน้าอาคารที่เป็นศูนย์กลางของอาณานิคม
มันเป็นหอคอยเหล็ก แสงสีเขียวพุ่งออกจากยอดหอคอย
<คุณได้พิชิตอาณานิคมไร้เจ้าของ>
<คุณสามารถเลือกทำลายหรือยึดครอง>
“ยึดครอง?”
เขาได้ตัวเลือกนี้เพราะลอร์ดมิติของที่นี่กำลังตายอยู่เหรอ?
วูจินลังเลกับตัวเลือกที่เพิ่มมาอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้านาย! ขอเรา ขอปราสาทนี้ให้เรานะคะ”
บิบิกระทืบเท้าแต่วูจินตัดสินใจแล้ว
“มันไม่มีประโยชน์”
“ฮือ”
เป้าหมายของเขาคืออะไร?
เขาเหมือนลอร์ดมิติคนอื่นที่มุ่งจะเพิ่มอันดับให้ตัวเองหรือ?
อาณานิคมและสิ่งก่อสร้างสำคัญต่อการหาพลังงาน พลังงานสำคัญในการตัดสินอันดับ เขาสามารถปล้นที่นี่ได้เรื่อยๆ...
แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่การยึดครองโลกอื่น
“ฉันจะทำลายมัน”
วูจินเลือกข้อทำลาย
หอคอยเหล็กถล่มและระเบิด
เสียงระเบิดดังติดต่อกันเมื่อเมืองทั้งเมืองถูกทำลาย
<คุณได้รับชิ้นส่วนมิติ 1 ชิ้น>
<คุณได้รับ 50,000 แต้มจากการทำลายที่นี่>
<คุณปล้นคลังของลอร์ดมิติลีอาห์>
<ได้รับไอเทม สร้อยคอ คำสาปนาฮิม>
<…>
ไอเทมสุ่มถูกนำเข้าไปในคลังของวูจิน เขาส่ายศีรษะเมื่อเห็นไอเทมปริมาณมหาศาล
“เยอะชะมัด”
ระหว่างที่ลอร์ดมิติตาย ระบบจะตั้งให้ไอเทมสามารถถูกเอาไปได้ทั้งหมด
ตอนนี้วูจินเข้าใจที่ลีอาห์พูดแล้ว
เธอพูดไว้ว่าลอร์ดมิติไม่สามารถเพิ่มอันดับได้จากการดวล ต้องเป็นสงครามมิติเท่านั้น
ในการดวลมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงเกินไป สงครามมิติเป็นตัวเลือกที่รอบคอบกว่า
ถ้าไม่มีนักกลยุทธ์ดีๆก็ต้องยอมทิ้งสงครามไปเลยอย่างลีอาห์ หรือต้องทุ่มเททุกอย่างฝึกฝนทำสงครามมิติให้เก่งเอง
การรวบรวมพลังงานไปพลางลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ถ้าลอร์ดมิติยอมให้พลเมืองในอาณาเขตมิติเข้าพื้นที่ล่าผ่านดันเจี้ยนก็จะได้พลังงานจากการเก็บภาษีเป็นจำนวนไม่น้อย
“ฉันแค่ต้องไม่ตาย”
วูจินยิ้ม
บางทีเรื่องเรียบง่ายอย่างการไม่ตายอาจทำให้ได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด
ถ้าสู้โดยห่วงเรื่องตายก็เหมือนแพ้ไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากชนะ เขาจะพิชิตอาณานิคมและดันเจี้ยนทั้งหมด จากนั้นก็ปิดผนึกการเชื่อมต่อ
ถ้าวูจินทำเองไม่ได้ เขาจะสร้างสหพันธ์บนโลกขึ้นมาสนับสนุนเขา
จะต้องมีเวลาที่คนอื่นต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อช่วยกันแบ่งเบาภาระ
“เขาเป็นยังไงมั่งแล้วนะ?”
เจมินกับคนในปาร์ตี้อาจต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากัน
“เจมินจะเข้ากับคนอื่นได้ดีหรือเปล่านะ”
วูจินค่อนข้างกังวลกับนิสัยขี้อายของเจมิน สุดท้ายแล้วเจมินต้องแก้นิสัยนี้ด้วยตัวเอง
***
กำปั้นของเบคจองโดอัดหัวโอเกอร์แหลกในที่สุด เมื่อมันล้มลง ทุกคนหันไปมองเจมิน
“...”
“รีบดื่มเถอะค่ะ เราจะได้ไปต่อ”
เจมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดของเชฮีซอล สุดท้าย เขาเดินใกล้โอเกอร์และกัดคอมัน
เขารู้สึกต่อต้าน แต่เลือดมีรสหวาน มันเทียบกับเลือดมนุษย์ไม่ได้แต่เขายังรู้สึกดี
“โอ”
เขารู้สึกถึงพลังยากควบคุมพุ่งขึ้นในตัว เขารู้สึกถึงพลังของโอเกอร์ ร่างเจมินสั่นก่อนจะสงบลง
“ฮ้า อิ่มแล้วครับ”
“ไปกันเถอะค่ะ ทางโน้น”
มอนสเตอร์ที่ตามฮีซอลมีพอสมควรแล้ว มีสัตว์มีปีกเหมือนนกตัวเล็กที่มองได้ไกลและทำหน้าที่ระวังภัย และมีมอนสเตอร์นักล่าเช่นหมาป่าที่สามารถไล่ล่าศัตรู
แต่ความสามารถที่แท้จริงของเธอจะแสดงออกมาเมื่อถึงเวลาต่อสู้
กว๊า!
มอนสเตอร์ประเภทตัวตุ่นพุ่งขึ้นมาจากพื้น ฮีซอลใช้ทักษะเทเลพาธี
[ประสานความคิด]
ฮีซอลไม่จำเป็นต้องคุยกับสมาชิกทีมทีละคน ความสามารถของเธอทำให้ทุกคนในปาร์ตี้รับความคิดได้พร้อมกัน แผนที่เธอคิดได้ถูกแบ่งให้สมาชิกทีมรับรู้
“ฮึบ!”
เบคจองโดใช้กำปั้นโจมตี บลังกาเอาไม้เท้าออกมาป้องกันตัวและร่ายบัฟเพิ่มความเร็ว พลังโจมตีให้ทุกคน
กรงเล็บแหลมของตัวตุ่นพุ่งใส่เจมิน
เจมินกัดแขนมัน
อึกๆ
เจมินดูดเลือดมัน ตัวตุ่นสะบัดแขนขัดขืนทำให้เกิดแผลบนร่างเจมิน แต่แผลสมานตัวอย่างรวดเร็วเพราะผลจากการดื่มเลือดตัวตุ่น
ตัวตุ่นที่ขัดขืนเริ่มขยับช้าลงเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็กระตุกแล้วตาย เลือดหยดจากปากของเจมินขณะที่เขาปล่อยตัวตุ่นลง
เจมินตัวสั่น
“โอ”
เขารู้สึกได้
เขารู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งของตัวตุ่น
นิ้วของเขาขยับเหมือนกำลังเล่นเปียโน ได้ยินเสียงข้อต่อลั่น
ทักษะเทเลพาธีของฮีซอลแสดงความคิดของเธอออกมา
[เจมินไปเป็นแนวหน้าค่ะ]
นี่เหมือนเกมที่บทบาทของทุกคนชัดเจน คงดีถ้าทุกคนทำตามบทบาท แต่...
“โอ”
ดวงตาเจมินกลายเป็นสีแดง เขาวิ่งไปข้างหน้าเพื่อสังหารมอนสเตอร์
“เฮ้อ เขาขาดสติอีกแล้ว”
ฮีซอลส่ายศีรษะพลางเรียกสมาชิกทีม
“รีบตามเขาไปเถอะค่ะ”
“ไปกันเถอะ”
ดูเหมือนเจมินได้พลังและความบ้าคลั่งเมื่อดื่มเลือดมอนสเตอร์ บางครั้งเขาจะกลายเป็นบ้าเลือดระหว่างดื่มเลือด จู่ๆจำนวนมอนสเตอร์ตรงหน้าพวกเขาก็เพิ่มพรวดจึงอาจมีอันตรายถ้าปล่อยเจมินไปคนเดียว
โดเจมินไม่ใช่คังวูจิน
ทีมวิ่งไปช่วยเจมิน
เจมินกำลังอยู่ในภาวะบ้าคลั่ง ทีมช่วยสนับสนุนเขา รอบๆตัวพวกเขาเต็มไปด้วยศพมอนสเตอร์
“ฮู้ว พวกมันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ?”
“เรามีปัญหาแล้ว ดูข้างหน้า!”
บลังกาเรียก เชฮีซอลยืมดวงตาของเหยี่ยวมองไปรอบๆ...
“ไม่นะ”
เสาแสงสีเขียวพุ่งสู่ท้องฟ้า มันแสดงว่าตรงนั้นเป็นอาณานิคมของลอร์ดมิติ
จำนวนและชนิดของมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนพวกเขาเดินทางมาใกล้เขตของอาณานิคม
“ถ้าพวกเราไปใกล้เกินกว่านี้จะอันตรายเกินไป”
เมโลดี้เตือน แต่บลังกาส่ายศีรษะ
“สายไปแล้ว ดูโน่น”
เขาชี้ไปที่มอนสเตอร์ฝูงใหญ่กำลังบินมาทางพวกเขา
“เรียกประธานดีไหม?”
“ทั้งๆที่เขาอยู่ในสภาพนั้นน่ะเหรอ?”
เบคจองโดชี้ไปที่เจมินที่กำลังอยู่ในภาวะบ้าคลั่ง
ดวงตาเจมินเป็นสีแดง เขาไม่มีทีท่าจะได้สติ
ฮีซอลมองฝูงมอนสเตอร์บนฟ้าแล้วตัดสินใจ
“ถอยกันก่อนเถอะค่ะ”
“ก็ดีนะ”
เบคจองโดคว้าแขนเจมิน
เจมินกัดแขนเบคจองโดแล้วเขี้ยวเขาก็หัก
แขนของเบคจองโดเปลี่ยนเป็นสีดำ หนังเขาไม่นุ่มขนาดยอมให้เขี้ยวของแวมไพร์ที่ยังโตไม่เต็มที่กัดได้
เบคจองโดเป็นเราส์สายกายภาพแบบสุดขีด
“ซ่อนกันก่อน แล้วล่อมอนสเตอร์มาจำกัดทีละน้อย”
“ได้...”
ทีมเคลื่อนที่เร็วขึ้นหลังจากวางแผนเสร็จแล้ว
***
เขากำลังจะตาย
เขาตายแน่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อ
“ฮู้ว”
ซุงกูตั้งสมาธิทั้งหมดไปที่ไม้เท้าของลิช
[หรือว่าการเฆี่ยนตีเจ้าโง่อย่างเจ้าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์?]
ฟู่วๆ ตูม!
ซุงกูกัดฟันหลบลูกไฟ
ไม่มีคนสติดีที่ไหนคิดว่าลูกไฟใหญ่ขนาดนี้เท่ากับการเฆี่ยนตี ถ้าเขาโดนมันต้องถูกเผาตายแน่
[เจ้าจะขี้ขลาดวิ่งหนีไปอีกนานไหม?]
ฟู่วๆ ตูม!
ลิชโจมตีเหมือนเปลวไฟจากเครื่องพ่นไฟไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะอยู่ใกล้หรือไกล ไฟพุ่งมาทางซุงกูเสมอ ลิชไม่ให้เวลาเขาพัก
‘แบบนี้จะให้ฉันเรียนอะไร?’
เขาได้ยินว่าลิชจากทำให้เขากลายเป็นนักเวทไฟที่เก่งกาจ แต่ดูเหมือนลิชอยากฆ่าเขาจนทนไม่ไหวแล้ว ซุงกูมองรอบตัวระหว่างกลิ้งไปตามพื้นและหยิบกิ่งไม้อันหนึ่งขึ้นมา
เขาใช้พลังเวทในตัวสร้างไฟ ซุงกูถือดาบไฟพุ่งไปทางลิช
[ก๊ากฮ่าๆ ในที่สุดก็อยากโจมตีข้าแล้วหรือ?]
กิ่งไม้กลายเป็นดาบไฟ ซุงกูฟันใส่ลูกไฟที่ลอยมาทางเขา
“ช่า!”
ซุงกูผ่าลูกไฟแล้ววิ่งฝ่าไป ลิชอยู่ตรงหน้าเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใกล้มัน
“ตาย!”
ซุงกูฟันดาบด้วยความแค้นทั้งหมดที่มี แต่ลิชยื่นมือมาหยุดการโจมตี มือกระดูกของมันจับกิ่งไม้
ราวกับลิชไม่รู้สึกถึงความร้อน มันไม่ขยับเลย ไฟรอบดาบถูกดูดเข้าไปในตัวลิช
[ไฟของเจ้าไม่อาจแยกแยะสหายหรือศัตรู]
“...?”
คำพูดนั้นผิดความคาดหมายเกินไป ซุงกูจึงเผลอตัวไปครู่หนึ่ง ตอนนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้น
แรงระเบิดส่งเขากระเด็นขึ้นไปในอากาศ
“อูย”
เขารู้สึกวิงเวียน หมดสติไปวูบหนึ่ง เมื่อได้สติ ร่างเขากำลังจะกระแทกพื้น
“ตาย...”
ถ้าร่วงแบบนี้เขาตายแน่ ซุงกูสะบัดมือเท้าสุดแรงแต่เขาบินไม่ได้
ปั่ก!
ซุงกูกระแทกพื้น เขาตาเหลือก รู้สึกถึงความเจ็บมหาศาล
“เชี่ย!”
ความเจ็บปลุกประสาทสัมผัสเฉื่อยช้าอื่นของเขาขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนจะตายแต่ไม่ตาย ซุงกูร่วงลงมาราว 10 เมตร แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและอึด มันสามารถทนความเสียหายระดับนี้ได้
นี่เป็นผลจากที่เขากินหินเพิ่มพลังที่เพิ่มพลังกาย,ความเร็วและความอึดเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ
เขาไม่มีแรงขยับนิ้ว แต่เขารู้สึกสงบ เขาทำเต็มที่แล้วแต่มันไม่พอ ดูเหมือนการเรียนการสอนวันนี้จะจบลงตรงนี้
ซุงกูมองท้องฟ้า พายุไฟลูกใหญ่ร่วงลงมาทางเขา
[ยอมแพ้หรือ? เจ้ากล้าทิ้งชีวิตในสนามรบอย่างนั้นหรือ?]
“ชิบ!”
บ้าแล้ว ลิชมันจะฆ่าเขาจริงๆ
บ้าไปแล้ว ความรู้สึกเร่งร้อนทำให้ร่างซุงกูขยับ
พลังเวทในร่างตอบสนองเขา ซุงกูดูดเปลวไฟจากรอบตัวเข้ามา
มองจากด้านนอก เหมือนไฟรอบตัวซุงกูกำลังเผาร่างเขา แต่มันตรงข้าม
ซุงกูกำลังใช้ทักษะดูดซับไฟ
พลังเวทที่เกือบหมดฟื้นฟูขึ้นมา มันฟื้นสภาพร่างกายของเขา
เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่พายุไฟใกล้เกินกว่าจะหลบได้
‘ฉันจะทำได้ไหม?’
ซุงกูนึกถึงวิธีที่ลิชใช้ดูดดาบไฟของเขา
เวทไฟเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพลังเวทถูกเผา
พลังเวทของซุงกูต่างจากพลังเวทของลิช
แม้ทั้งคู่จะใช้ไฟ แต่ไฟที่ใช้มีลักษณะต่างกัน หากเขาจะใช้ไฟของลิชจะเป็นเรื่องยากมาก มันเป็นไปไม่ได้นอกจากจะสามารถควบคุมพลังเวทได้เป็นอย่างดี
‘เชี่ย’
คิดว่าจะทำได้หรือเปล่าไปก็ไม่มีประโยชน์
“ว้าก”
ซุงกูกางแขนออก
เขารับเปลวไฟไว้โดยไม่ขัดขืน
มือทั้งสองของเขาร้อน เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสัมผัสเวท
ไฟดูเหมือนกำลังเผามือซุงกู แต่ที่จริงแล้วมันกำลังถูกดูดเข้าไปในมือเขา
[ก๊ากฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็เรียนพื้นฐานได้]
พลังจากเปลวไฟเติมเต็มร่างซุงกู เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน เขารู้สึกถึงพลังท่วมท้นในร่าง
‘นี่คือพลังเวทของเจนิส’
เขาดูดเวทที่ถูกส่งมาในรูปของไฟ พลังเวทของเจนิสกำลังอาละวาดเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกขัง
เขาเกือบตายแต่ได้เรียนสิ่งสำคัญ
“ขอบ...”
ฟู่วๆๆ
ซุงกูกำลังจะขอบคุณ แต่ไฟลูกเล็กกว่าลอยมาทางซุงกู มันเล็กแต่มีพลังรุนแรง
[ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจบแล้ว?]
“เชี่ย!”
เส้นผมของซุงกูถูกไฟเผา เขากัดฟัน
สุดท้ายแล้วลิชก็คิดจะกดดันเขาจนตาย!
ซุงกูที่มีความคิดต่อสู้เต็มเปี่ยมเตรียมตัวสู้
แต่วูจินเข้ามาขวางไว้ก่อน
“กินข้าวกันก่อนเถอะ”
“...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“ตอนที่นายกำลังลอยบนฟ้า”
“ลูกพี่น่าจะช่วยผม”
“นายเป็นเด็กเหรอ?”
ถึงเขาจะไม่ใช่เด็ก ซุงกูก็รู้สึกว่าน่าจะช่วยเขาไว้
“มากินข้าวกันเถอะ จากนั้นเราจะไปต่อ”
“ครับ”
อาจเป็นเพราะการต่อสู้ถูกขัดขวาง แต่ซุงกูดีใจที่ได้พัก
“อั่ก?”
เพราะความตึงเครียดหายไปหรือเปล่านะ? ซุงกูรู้สึกว่าพลังเวทในร่างกำลังเดือดพล่าน เขารู้สึกเหมือนจะกระอักเลือด ซุงกูนั่งลงและพยายามควบคุมพลังเวทของเขา
‘อา ลูกพี่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เลยมาขวางไว้’
เมื่อซุงกูลืมตา วูจินกำลังนั่งข้างกองไฟ กินเนื้อย่างปริศนาเสียบไม้
“กินสิ”
วูจินโยนมาให้ซุงกูหนึ่งไม้
ซุงกูค้อมหัวลง
“ขอบคุณครับ”
วูจินยิ้มแล้วมองไปทางอื่น
“หืม”
ไฟมอดลง การต่อสู้จบลงแล้ว วูจินเก็บอสูรเข้าไปและนั่งข้างกองไฟโดยมีเพียงซุงกูอยู่กับเขา
พวกเขาดูอ่อนแอเหรอ? ศัตรูใหม่โผล่มาให้เห็น
จากที่ไกลๆ เห็นมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังเข้ามาทางพวกเขา
สารบัญ บทที่ 151
มะ...มาแล้ววววววว
ตอบลบ