วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 151

บทที่ 151 – โลกจาคุ (3)


วูจินเลิกคิ้วเมื่อเห็นกลุ่มที่กำลังใกล้เข้ามา

“อะไรวะ?”

มันเป็นกลุ่มเอลฟ์ที่กำลังหวาดระแวง

วูจินเคี้ยวเนื้อพลางลุกขึ้น

“เจนิส”

เจนิสปรากฎตัวพร้อมควันดำและยืนตรงหน้าวูจิน

“จัดการพวกนั้นแล้วตามฉันมากับซุงกู”

ท้องอิ่มแล้ว ถึงเวลาล่าอีกรอบ

[ข้าทำตามประสงค์ท่านจ้าว]

ไฟสีดำลุกโพลงจากไม้เท้าของลิช

“ไว้เจอกันนะซุงกู...”

“เอื๊อก อั๊บ อู้กพี่”

ซุงกูท่าทางจะใช้พลังงานไปมาก เขายัดอาหารเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวูจินกำลังจะไป พวกเอลฟ์วิ่งเข้ามาคุกเข่า

พวกเขาทำก่อนไฟของเจนิสจะระเบิด เวลาช่างประจวบเหมาะ

“อะไรวะ?”

เอลฟ์ผมเงินหล่อเหลาคุกเข่าพูด

“พวกเราได้ยินว่ามีผู้สูงส่งมาเยี่ยมโลกของเรา ขอท่านให้เกียรติให้ข้าเข้าพบ”

“...”

วูจินหยุดเดิน

เขาไม่ได้เจอเอลฟ์มานานแล้ว ไม่ได้ฟังพวกเอลฟ์พยายามยกยอด้วยคำไร้สาระมานานแล้วเหมือนกัน

“เอาสิ ไม่ยากอะไร”

“ความยินยอมของท่านทำให้ข้าน้ำตาไหล”

เอลฟ์ผมเงินลุกขึ้นแต่ยังก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองวูจินขณะที่พูด รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของวูจิน

“แค่นี้ใช่ไหม?”

“อา ข้าขอแนะนำตัวเอง...”

“ไม่ล่ะ”

เมื่อวูจินตัดบท เอลฟ์ก้มศีรษะลงใหม่ เขาทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธหรือ? เอลฟ์ทบทวนคำพูดและสิ่งที่ทำลงไป

“หมดธุระแล้ว นายตายได้”

วูจินออกเดินใหม่และไฟพุ่งออกจากไม้เท้าลิช

“อ๊าก!”

แสงสีแดงกระพริบในเบ้าตาหัวกะโหลก ให้ความรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะ

[เสียงกรีดร้องของพวกเอลฟ์ฟังแล้วให้อุ่นใจเสมอ]

เอลฟ์สามตนตกอยู่ในเปลวเพลิง พวกมันพยายามใช้เวทน้ำ แต่ไฟนรกดับยากเกินไป

“ข้า...ข้ารับใช้ผู้นำสหพันธ์ค้อนแดง ท่านมอร์โพ...”

เอลฟ์พูดเสียงสั่นแล้วศีรษะก็ระเบิดไป ไฟระเบิดจากที่ๆเคยเป็นที่ตั้งศีรษะของมัน ประกายไฟบินจากไม้เท้าเจนิส ดวงตาสีแดงของลิชมองไปทางซุงกู

[ไม่มีอะไรเป็นเชื้อไฟได้ดีกว่าความกลัว]

“หา?”

เผาอะไรนะ?

ซุงกูรีบเคี้ยวเนื้อแล้วกลืน ลิชพูดต่อ

[เจ้าต้องทำให้ศัตรูสั่นกลัว จากนั้นเวทีจะเป็นของเจ้า ก๊ากฮ่าๆ]

“...”

ซุงกูกลืนอาหารไปแล้วแต่ก็ยังตอบไม่ถูกอยู่ดี

ยังเหลือเอลฟ์อีก 2 ตนยังไม่ตาย

“เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป? โจมตีสหพันธ์ทั้งสามที่มีอาณานิคมบนโลกจาคุ!”

วูจินหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงโกรธของเอลฟ์

“แล้วไง?”

“ขอข้าดูเถอะว่าความโอหังเสียสติของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน!”

“นายไม่ได้อยู่เห็นหรอก”

“...”

“เพราะนายจะตายตรงนี้”

[ก๊ากฮ่าๆ ถึงเวลาพวกเราปลดปล่อยโลกจาคุแล้ว]

แสงสว่างส่องจากลิชและจอมเวทโครงกระดูกทั้งหมดในสังกัดของมันก็ถูกเรียกออกมา

จอมเวทโครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุก ทั้งหมดมีเวทไฟที่มีพลังเวทต่างกันไปเล็กน้อย นักเวทโครงกระดูกประสานมือสร้างลูกไฟขึ้นมา ลูกไฟทุกลูกถูกส่งไปทางซุงกู

“...!”

เฮ้ย! ทำไมวะ?

เจนิสบอกจะปลดปล่อยจาคุ แล้วทำไมโจมตีเขาล่ะ?

วูจินออกเดินต่อเมื่อการฝึกสอนเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าเหลือง หมวกดำหรือค้อนแดงก็ช่าง เขาจะทำลายพวกมันทั้งหมดและเอาทุกอย่างจากพวกมันมา เขาจะใช้มันเป็นหินเหยียบเพื่อทำลายลอร์ดมิติของทราห์เน็ตทุกตน

***

รักชาวิ่งเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มด้วยความช่วยเหลือจากภูติลมของเธอ

เมื่อเห็นหอคอยขนาดใหญ่อยู่ลิบๆ เธอก็เร่งความเร็วขึ้น

มันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองของเธอ

เสาโบราณที่ใช้ในพิธีกรรมของเผ่าราทิคถูกปล้นไปหมด นี่เป็นหอคอยที่พวกเธอต้องสร้างขึ้นเอง

หอคอยมีบ้านเรือนสร้างจากหิน ไม้และโคลนกระจุกอยู่ใกล้ๆ เมื่อเธอเข้าไปในป่าที่เป็นเส้นทางสู่เมือง
นักรบของเผ่าราทิคก็ปรากฏตรงหน้าเธอทันที

“รัคชา!”

“ริบิโต”

“เป็นยังไง?”

“ข้าต้องเข้าพบชาแมนหญิง”

เมื่อริบิโตเห็นสีหน้าร้อนรนของรักชาเขาก็เปิดทางให้

รักชาวิ่งไปตามเส้นทางป่า เมื่อมาถึงห้องด้านในสุดของหอคอย หญิงชราของเผ่าทักทายเธอ

“รักชา”

“ชาแมนหญิง ชิวชิวชา!”

“เจ้าเห็นอะไรมา? ทำไมดูหวาดกลัวนัก? สงบสติอารมณ์ลงหน่อยเถอะ”

รักชารู้สึกสงบลงบ้างเพียงแค่เห็นชิวชิวชา แต่ความรู้สึกถึงอันตรายเร่งด่วนไม่ลดลงเลย

“ป้อมลีอาห์ถล่มแล้ว”

“ความสงบคงอยู่มาพอสมควรแล้ว สงครามจะเริ่มอีกแล้วสินะ”

ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสหพันธ์ส่งผลให้พวกมันต่อสู้กันเอง ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอรอดเพราะเหตุนี้ ควรจะพูดว่าเผ่าราทิคถูกพวกมันหลงลืมไป

“ไม่ใช่ค่ะ นี่ไม่ใช่สหพันธ์ มันเป็นผู้ล่าคนใหม่ที่เอาชนะรีลิคได้”

“หือ อย่างนั้นเหรอ?”

พวกนั้นคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้า

พวกนั้นสร้างดันเจี้ยนและอาณานิคม สร้างปาฏิหาริย์ที่เหมือนเป็นการกระทำของเทพเจ้า

นานแล้วที่ไม่มีผู้ล่าที่ขึ้นกับสหพันธ์ทั้งสามปรากฏตัว

“ถ้าเป็นลีอาห์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของหมวกดำสินะ?”

“ค่ะ ปัญหาคือเขาก็ล่วงเกินท่านมอร์โพด้วย”

“แม้แต่ค้อนแดง...”

ชาแมนหญิง ชิวชิวชาส่ายหน้าอย่างกังวล

“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมาจากหน่วยลาดตระเวนของเรา ผู้ล่าคนใหม่นี้เคยกระทบกระทั่งกับสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง...”

ผู้ล่าคนใหม่ล่วงเกินสหพันธ์ทั้งสามของโลกจาคุ เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับผู้ล่าทุกคนบนโลกจาคุ

“เขาจะถูกลบไปในไม่นาน”

รักชาส่ายหน้าให้คำพูดของชิวชิวชา

“เขาเป็นผู้ล้มรีลิค! เขาต้องเป็นคนในตำนานแน่ ชาแมนหญิง”

รีลิค นักรบที่เก่งที่สุดของเผ่าราทิค ตายเพราะฝีมือเขา รักชารอดมาได้หวุดหวิด เธอจึงจำภาพเหตุการณ์นั้นได้ชัดเจน เธอเห็นพลังและจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่ามากมาแล้ว

“เจ้าพูดถึงตำนานอะไร?”

“ตำนานที่บอกว่าผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นจะช่วยโลกนี้!”

รักชาตัวสั่นอย่างตื่นเต้น ชิวชิวชากอดเธอแน่นและมองเธออย่างเวทนา

“น่าสงสาร”

“ทำไมเหรอคะ?”

“ตำนานนั้นเป็นเรื่องโกหก”

“อะไรกัน?”

ชิวชิวชาลูบศีรษะนักเวทหญิงวัยเยาว์

“ตำนานฉบับนั้นสร้างขึ้นเพื่อมอบความหวังให้ผู้คน”

“อะไร?”

“เจ้าอยากฟังตำนานจริงที่ส่งต่อมาถึงพวกเราไหม?”

“...”

“เมื่อผู้ล่าที่ล่าผู้ล่าอื่นปรากฏตัว โลกจะใกล้ถึงกาลดับสูญ”

“...!”

ไม่ใช่การรอดแต่เป็นการสิ้นสุด!

รักชาส่ายหน้าแรงอย่างไม่เชื่อ

“มาภาวนาว่าเขาไม่ใช่ผู้ล่าในตำนานเถอะ”

ไม่เช่นนั้น พวกนางจะเป็นรุ่นสุดท้ายของเผ่า และถึงจุดจบไปพร้อมกับโลกของพวกนาง

“ฮึกๆ เราจะทำยังไงดี?”

ไม่มีความหวัง

อนาคตของโลกมีแต่ความสิ้นหวัง รักชาร้องไห้

จิตใจเธอปั่นป่วนจนไม่รู้สึกถึงเงาของเธอว่ากำลังยิ้มอยู่

***

รักชาขังตัวเองในบ้านเป็นเวลาสองวัน ต่อหน้าร่างไร้ชีวิตชีวาของรักชา ชิวชิวชาผู้เปรียบเสมือนมารดาของเธอพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ดื่มสักนิดเถอะ รักชา”

“...ข้าไม่เป็นไร”

ชิวชิวชามองรักชาที่กำลังยิ้มอ่อน นางเสียใจที่บอกความจริงไป นางรู้ว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งจึงคาดหวังให้เธอก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้

บางทีนางควรปล่อยให้รักชาเก็บความหวังจอมปลอมนั้นไว้

รักชากำลังตายช้าๆ มันเริ่มจากจิตใจของเธอ

ตอนนั้นเองก็เกิดการแรงสะเทือนทำให้หน้าต่างสั่น

ชิวชิวชาและรักชามองหน้ากันอย่างแปลกใจ เสียงระฆังดังขึ้น มันเตือนว่ามีผู้บุกรุก

“ข้าต้องออกไป”

เมื่อชิวชิวชาออกจากบ้าน เมืองกำลังปั่นป่วน ควันดำลอยขึ้นจากป่าและในเมืองกำลังวุ่นวายกับการอพยพพวกเด็กๆ

ชิวชิวชาคว้าคนที่วิ่งผ่านเธอไว้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“อา ชาแมนหญิง มีกองทัพผีดิบขนาดใหญ่กำลังฝ่าป่ามุ่งหน้ามาทางพวกเรา”

“ฮ้า ไม่น่าเชื่อ”

ผู้ล่ารวมกันสร้างสหพันธ์ขึ้นมา และยุ่งอยู่กับการสู้กันเอง พวกมันไม่แสดงความสนใจเผ่าเล็กๆอย่างราทิค กองทัพไม่เคยส่งมาล่าพวกมาตลอด 10 ปี

“เขาบอกว่ายังไงคะ?”

รักชาออกมาถามอย่างเป็นกังวล

“ดูเหมือนจะมีผู้บุกรุก เจ้าหลบไปกับคนอื่นเถอะ”

“ไม่ ข้าจะช่วยพวกนักรบ”

ในดวงตาเธอมีประกายชีวิตขึ้นมา แต่ชีวิตนั้นจะถูกนำไปเสี่ยงในฐานะนักเวทหญิง ชิวชิวชาปวดใจเพราะนี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของรักชา

“เจ้าไปเถอะ”

“ค่ะแม่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

รักชาบอกลาอย่างจริงใจ ชิวชิวชาเลี้ยงดูเธอและสอนเวทมนตร์ให้เธอ สำหรับเธอแล้วชิวชิวชาก็คือแม่

เมื่อรักชามาถึง ไฟป่าก็ลามจนดับไม่ได้แล้ว นักรบเผ่าราทิคที่ซ่อนในป่าวิ่งออกมาตั้งทัพหน้าเมือง

นี่เป็นความพยายามยื้อเวลาครั้งสุดท้ายเพื่อให้เด็กๆหลบหนีไป

“รักชา!”

“ริบิโต พวกมันเป็นใคร?”

“มันเป็นกองทัพของผู้ล่าที่ข้าไม่เคยเห็นในแถบนี้ พวกมันเป็นโครงกระดูก”

“โครงกระดูก...”

เธอมั่นใจว่าเป็นชายผู้ล้มรีลิค

เขาบุกมาถึงที่นี่แล้ว...

เกิดอะไรขึ้นกับเสาและเมืองของผู้ล่าคนอื่นที่ควรจะขวางทางเขาไว้?

เคะๆๆ!

ไม่นาน เสียงหัวเราะไม่น่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของโครงกระดูกก็ดังขึ้น พวกมันเดินหน้าผ่านป่าที่ถูกเผามายังหน้าเมือง อัศวินในชุดเกราะขี่ม้าปีศาจและปล่อยจิตคุกคามขณะบุกเข้ามา

“ชิ เราต้องซื้อเวลาไว้”

ริบิโตเป็นผู้นำ คำพูดของเขาปลุกไฟต่อสู้ของนักรบทุกคนขึ้นมา

เขาเป็นคนเดียวที่รอดกลับมาหลังเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบ

คังวูจินกระตุ้นชิงชิงออกมาข้างหน้า

“นี่มันอะไรกัน?”

เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นหอคอยที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ นี่ไม่ใช่เมืองอาณานิคม

“ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นคนพื้นเมืองของโลกนี้”

วูจินดึงเงาของเขากลับมา

“นายพาฉันมาที่ให้ EXP น้อยทำไม กลับมา”

ด้วยคำสั่งของวูจิน กาเกบิออกจากเงาของรักชาและหลอมเข้าไปในเงาของวูจิน ทุกสิ่งที่กาเกบิพบเห็นมาเปลี่ยนเป็นข้อมูลเข้าไปในสมองของวูจิน

“หืม ที่นี่คือค่ายผู้หลบภัยของคนพื้นเมือง”

นักรบเผ่าราทิคเรียงแถวตรงข้ามกองทัพผีดิบอย่างกังวล ผู้ไม่ตายมองพวกมันและเมืองไร้ค่าเบื้องหลัง
รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้า

“จัดการให้หมด”

ค่าประสบการณ์น้อยแล้วจะทำไม? เขาเดินทางมาถึงที่นี่อย่างน้อยก็ควรจะเก็บเกี่ยวไปบ้าง ชนพื้นเมืองไม่ให้บลัดสโตนและค่าความสำเร็จของเขาก็ไม่เพิ่ม

เคะๆๆ!

กองทัพกำลังจะเดินหน้าแต่ควันดำมาก่อตัวตรงหน้านักรบของเผ่าราทิคเสียก่อน อัศวินมรณะตนหนึ่งออกมา

เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลง

[ราชา!]

“รีลิค?”

มันคือทาสที่ยอมเขาผ่านค่าบงการ

วูจินต้องใช้ค่าบงการ 320 แต้มเพื่อบังคับเขา แต่มันน้อยลงเรื่อยๆ

[ขอให้ท่านเมตตา ไว้ชีวิตพวกเขาด้วย]

“โฮ่”

เป็นเพราะรีลิคยังตกอยู่ใต้อำนาจของเขาไม่เต็มที่หรือ? มันกล้ามาตรงหน้าราชาและบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“น่าสนใจ”

วูจินลงจากหลังชิงชิง

กลุ่มนักรบเผ่าราทิคด้านหลังรีลิคปั่นป่วน วูจินเดินไปหารีลิคช้าๆ เขาไม่ได้ถูกอสูรของตัวเองท้าทายมานานแล้ว

“ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ?”

[…]

“ถ้าฉันบอกให้นายฆ่าคนในเผ่าของนายล่ะ?”

[ข้าจะฆ่าพวกมัน]

“โฮ่”

รีลิคปักดาบโค้งที่พื้น จากนั้นก้มศีรษะแตะพื้น

[ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ]

วูจินได้ยินเสียงประกาศคุ้นหูดังขึ้น

<อัศวินมรณะ ‘รีลิค’ อ้อนวอนคุณ>

<ความเชื่อฟังของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

วูจินยิ้มพลางกางแขนออก

กองทัพผีดิบสลายไปหมด วูจินกับรีลิคมองหน้ากัน จากนั้นรีลิคโขกหัวลงอีกครั้ง

<ความภักดีของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

<ความเชื่อใจของรีลิคเพิ่มขึ้น ความต้องการค่าบงการลดลง>

ค่าบงการที่ต้องใช้บังคับรีลิคลดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือ 1

“เอาล่ะ ฉันจะกลับแล้ว”

วูจินมองผ่านใบหน้าตื่นตระหนกของเผ่าราทิคแต่ละตนจากนั้นหันหลังกลับ

[เพื่อตอบแทนความเมตตาของราชา ข้าขอถวายความจงรักภักดีและดาบ...]

รีลิคเปลี่ยนกลับเป็นควันดำหายไป วูจินจากไป 10 ก้าว ไม่มีนักรบเผ่าราทิคตนไหนขยับ

ดวงตารักชาคลอด้วยน้ำตา เธอมองร่องรอยที่รีลิคทิ้งไว้

แต่แล้ววูจินก็หยุดกึก

“เดี๋ยวก่อน”

เขาหันกลับมองไปที่จุดสูงสุดของหอคอย

‘ดูคุ้นๆนะ’

ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา วูจินเห็นผ้าผืนหนึ่งแขวนเหนือหอคอย

<การปกป้องอันพังพินาศของทราช>

วูจินหรี่ตา

ดูเหมือนเขาจะกลับไปเฉยๆไม่ได้แล้ว



สารบัญ                                                                บทที่ 152



วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 150

บทที่ 150 – โลกจาคุ (2)


วูจินยืนต่อหน้าอาคารที่เป็นศูนย์กลางของอาณานิคม

มันเป็นหอคอยเหล็ก แสงสีเขียวพุ่งออกจากยอดหอคอย

<คุณได้พิชิตอาณานิคมไร้เจ้าของ>

<คุณสามารถเลือกทำลายหรือยึดครอง>

“ยึดครอง?”

เขาได้ตัวเลือกนี้เพราะลอร์ดมิติของที่นี่กำลังตายอยู่เหรอ?

วูจินลังเลกับตัวเลือกที่เพิ่มมาอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้านาย! ขอเรา ขอปราสาทนี้ให้เรานะคะ”

บิบิกระทืบเท้าแต่วูจินตัดสินใจแล้ว

“มันไม่มีประโยชน์”

“ฮือ”

เป้าหมายของเขาคืออะไร?

เขาเหมือนลอร์ดมิติคนอื่นที่มุ่งจะเพิ่มอันดับให้ตัวเองหรือ?

อาณานิคมและสิ่งก่อสร้างสำคัญต่อการหาพลังงาน พลังงานสำคัญในการตัดสินอันดับ เขาสามารถปล้นที่นี่ได้เรื่อยๆ...

แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่การยึดครองโลกอื่น

“ฉันจะทำลายมัน”

วูจินเลือกข้อทำลาย

หอคอยเหล็กถล่มและระเบิด

เสียงระเบิดดังติดต่อกันเมื่อเมืองทั้งเมืองถูกทำลาย

<คุณได้รับชิ้นส่วนมิติ 1 ชิ้น>

<คุณได้รับ 50,000 แต้มจากการทำลายที่นี่>

<คุณปล้นคลังของลอร์ดมิติลีอาห์>

<ได้รับไอเทม สร้อยคอ คำสาปนาฮิม>

<…>

ไอเทมสุ่มถูกนำเข้าไปในคลังของวูจิน เขาส่ายศีรษะเมื่อเห็นไอเทมปริมาณมหาศาล

“เยอะชะมัด”

ระหว่างที่ลอร์ดมิติตาย ระบบจะตั้งให้ไอเทมสามารถถูกเอาไปได้ทั้งหมด

ตอนนี้วูจินเข้าใจที่ลีอาห์พูดแล้ว

เธอพูดไว้ว่าลอร์ดมิติไม่สามารถเพิ่มอันดับได้จากการดวล ต้องเป็นสงครามมิติเท่านั้น

ในการดวลมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงเกินไป สงครามมิติเป็นตัวเลือกที่รอบคอบกว่า

ถ้าไม่มีนักกลยุทธ์ดีๆก็ต้องยอมทิ้งสงครามไปเลยอย่างลีอาห์ หรือต้องทุ่มเททุกอย่างฝึกฝนทำสงครามมิติให้เก่งเอง

การรวบรวมพลังงานไปพลางลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ถ้าลอร์ดมิติยอมให้พลเมืองในอาณาเขตมิติเข้าพื้นที่ล่าผ่านดันเจี้ยนก็จะได้พลังงานจากการเก็บภาษีเป็นจำนวนไม่น้อย

“ฉันแค่ต้องไม่ตาย”

วูจินยิ้ม

บางทีเรื่องเรียบง่ายอย่างการไม่ตายอาจทำให้ได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด

ถ้าสู้โดยห่วงเรื่องตายก็เหมือนแพ้ไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากชนะ เขาจะพิชิตอาณานิคมและดันเจี้ยนทั้งหมด จากนั้นก็ปิดผนึกการเชื่อมต่อ

ถ้าวูจินทำเองไม่ได้ เขาจะสร้างสหพันธ์บนโลกขึ้นมาสนับสนุนเขา

จะต้องมีเวลาที่คนอื่นต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อช่วยกันแบ่งเบาภาระ

“เขาเป็นยังไงมั่งแล้วนะ?”

เจมินกับคนในปาร์ตี้อาจต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากัน

“เจมินจะเข้ากับคนอื่นได้ดีหรือเปล่านะ”

วูจินค่อนข้างกังวลกับนิสัยขี้อายของเจมิน สุดท้ายแล้วเจมินต้องแก้นิสัยนี้ด้วยตัวเอง

***

กำปั้นของเบคจองโดอัดหัวโอเกอร์แหลกในที่สุด เมื่อมันล้มลง ทุกคนหันไปมองเจมิน

“...”

“รีบดื่มเถอะค่ะ เราจะได้ไปต่อ”

เจมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อได้ยินคำพูดของเชฮีซอล สุดท้าย เขาเดินใกล้โอเกอร์และกัดคอมัน

เขารู้สึกต่อต้าน แต่เลือดมีรสหวาน มันเทียบกับเลือดมนุษย์ไม่ได้แต่เขายังรู้สึกดี

“โอ”

เขารู้สึกถึงพลังยากควบคุมพุ่งขึ้นในตัว เขารู้สึกถึงพลังของโอเกอร์ ร่างเจมินสั่นก่อนจะสงบลง

“ฮ้า อิ่มแล้วครับ”

“ไปกันเถอะค่ะ ทางโน้น”

มอนสเตอร์ที่ตามฮีซอลมีพอสมควรแล้ว มีสัตว์มีปีกเหมือนนกตัวเล็กที่มองได้ไกลและทำหน้าที่ระวังภัย และมีมอนสเตอร์นักล่าเช่นหมาป่าที่สามารถไล่ล่าศัตรู

แต่ความสามารถที่แท้จริงของเธอจะแสดงออกมาเมื่อถึงเวลาต่อสู้

กว๊า!

มอนสเตอร์ประเภทตัวตุ่นพุ่งขึ้นมาจากพื้น ฮีซอลใช้ทักษะเทเลพาธี

[ประสานความคิด]

ฮีซอลไม่จำเป็นต้องคุยกับสมาชิกทีมทีละคน ความสามารถของเธอทำให้ทุกคนในปาร์ตี้รับความคิดได้พร้อมกัน แผนที่เธอคิดได้ถูกแบ่งให้สมาชิกทีมรับรู้

“ฮึบ!”

เบคจองโดใช้กำปั้นโจมตี บลังกาเอาไม้เท้าออกมาป้องกันตัวและร่ายบัฟเพิ่มความเร็ว พลังโจมตีให้ทุกคน

กรงเล็บแหลมของตัวตุ่นพุ่งใส่เจมิน

เจมินกัดแขนมัน

อึกๆ

เจมินดูดเลือดมัน ตัวตุ่นสะบัดแขนขัดขืนทำให้เกิดแผลบนร่างเจมิน แต่แผลสมานตัวอย่างรวดเร็วเพราะผลจากการดื่มเลือดตัวตุ่น

ตัวตุ่นที่ขัดขืนเริ่มขยับช้าลงเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็กระตุกแล้วตาย เลือดหยดจากปากของเจมินขณะที่เขาปล่อยตัวตุ่นลง

เจมินตัวสั่น

“โอ”

เขารู้สึกได้

เขารู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งของตัวตุ่น

นิ้วของเขาขยับเหมือนกำลังเล่นเปียโน ได้ยินเสียงข้อต่อลั่น

ทักษะเทเลพาธีของฮีซอลแสดงความคิดของเธอออกมา

[เจมินไปเป็นแนวหน้าค่ะ]

นี่เหมือนเกมที่บทบาทของทุกคนชัดเจน คงดีถ้าทุกคนทำตามบทบาท แต่...

“โอ”

ดวงตาเจมินกลายเป็นสีแดง เขาวิ่งไปข้างหน้าเพื่อสังหารมอนสเตอร์

“เฮ้อ เขาขาดสติอีกแล้ว”

ฮีซอลส่ายศีรษะพลางเรียกสมาชิกทีม

“รีบตามเขาไปเถอะค่ะ”

“ไปกันเถอะ”

ดูเหมือนเจมินได้พลังและความบ้าคลั่งเมื่อดื่มเลือดมอนสเตอร์ บางครั้งเขาจะกลายเป็นบ้าเลือดระหว่างดื่มเลือด จู่ๆจำนวนมอนสเตอร์ตรงหน้าพวกเขาก็เพิ่มพรวดจึงอาจมีอันตรายถ้าปล่อยเจมินไปคนเดียว

โดเจมินไม่ใช่คังวูจิน

ทีมวิ่งไปช่วยเจมิน

เจมินกำลังอยู่ในภาวะบ้าคลั่ง ทีมช่วยสนับสนุนเขา รอบๆตัวพวกเขาเต็มไปด้วยศพมอนสเตอร์

“ฮู้ว พวกมันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ?”

“เรามีปัญหาแล้ว ดูข้างหน้า!”

บลังกาเรียก เชฮีซอลยืมดวงตาของเหยี่ยวมองไปรอบๆ...

“ไม่นะ”

เสาแสงสีเขียวพุ่งสู่ท้องฟ้า มันแสดงว่าตรงนั้นเป็นอาณานิคมของลอร์ดมิติ

จำนวนและชนิดของมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนพวกเขาเดินทางมาใกล้เขตของอาณานิคม

“ถ้าพวกเราไปใกล้เกินกว่านี้จะอันตรายเกินไป”

เมโลดี้เตือน แต่บลังกาส่ายศีรษะ

“สายไปแล้ว ดูโน่น”

เขาชี้ไปที่มอนสเตอร์ฝูงใหญ่กำลังบินมาทางพวกเขา

“เรียกประธานดีไหม?”

“ทั้งๆที่เขาอยู่ในสภาพนั้นน่ะเหรอ?”

เบคจองโดชี้ไปที่เจมินที่กำลังอยู่ในภาวะบ้าคลั่ง

ดวงตาเจมินเป็นสีแดง เขาไม่มีทีท่าจะได้สติ

ฮีซอลมองฝูงมอนสเตอร์บนฟ้าแล้วตัดสินใจ

“ถอยกันก่อนเถอะค่ะ”

“ก็ดีนะ”

เบคจองโดคว้าแขนเจมิน

เจมินกัดแขนเบคจองโดแล้วเขี้ยวเขาก็หัก

แขนของเบคจองโดเปลี่ยนเป็นสีดำ หนังเขาไม่นุ่มขนาดยอมให้เขี้ยวของแวมไพร์ที่ยังโตไม่เต็มที่กัดได้
เบคจองโดเป็นเราส์สายกายภาพแบบสุดขีด

“ซ่อนกันก่อน แล้วล่อมอนสเตอร์มาจำกัดทีละน้อย”

“ได้...”

ทีมเคลื่อนที่เร็วขึ้นหลังจากวางแผนเสร็จแล้ว

***

เขากำลังจะตาย

เขาตายแน่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อ

“ฮู้ว”

ซุงกูตั้งสมาธิทั้งหมดไปที่ไม้เท้าของลิช

[หรือว่าการเฆี่ยนตีเจ้าโง่อย่างเจ้าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์?]

ฟู่วๆ ตูม!

ซุงกูกัดฟันหลบลูกไฟ

ไม่มีคนสติดีที่ไหนคิดว่าลูกไฟใหญ่ขนาดนี้เท่ากับการเฆี่ยนตี ถ้าเขาโดนมันต้องถูกเผาตายแน่

[เจ้าจะขี้ขลาดวิ่งหนีไปอีกนานไหม?]

ฟู่วๆ ตูม!

ลิชโจมตีเหมือนเปลวไฟจากเครื่องพ่นไฟไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะอยู่ใกล้หรือไกล ไฟพุ่งมาทางซุงกูเสมอ ลิชไม่ให้เวลาเขาพัก

‘แบบนี้จะให้ฉันเรียนอะไร?’

เขาได้ยินว่าลิชจากทำให้เขากลายเป็นนักเวทไฟที่เก่งกาจ แต่ดูเหมือนลิชอยากฆ่าเขาจนทนไม่ไหวแล้ว ซุงกูมองรอบตัวระหว่างกลิ้งไปตามพื้นและหยิบกิ่งไม้อันหนึ่งขึ้นมา

เขาใช้พลังเวทในตัวสร้างไฟ ซุงกูถือดาบไฟพุ่งไปทางลิช

[ก๊ากฮ่าๆ ในที่สุดก็อยากโจมตีข้าแล้วหรือ?]

กิ่งไม้กลายเป็นดาบไฟ ซุงกูฟันใส่ลูกไฟที่ลอยมาทางเขา

“ช่า!”

ซุงกูผ่าลูกไฟแล้ววิ่งฝ่าไป ลิชอยู่ตรงหน้าเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใกล้มัน

“ตาย!”

ซุงกูฟันดาบด้วยความแค้นทั้งหมดที่มี แต่ลิชยื่นมือมาหยุดการโจมตี มือกระดูกของมันจับกิ่งไม้

ราวกับลิชไม่รู้สึกถึงความร้อน มันไม่ขยับเลย ไฟรอบดาบถูกดูดเข้าไปในตัวลิช

[ไฟของเจ้าไม่อาจแยกแยะสหายหรือศัตรู]

“...?”

คำพูดนั้นผิดความคาดหมายเกินไป ซุงกูจึงเผลอตัวไปครู่หนึ่ง ตอนนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้น

แรงระเบิดส่งเขากระเด็นขึ้นไปในอากาศ

“อูย”

เขารู้สึกวิงเวียน หมดสติไปวูบหนึ่ง เมื่อได้สติ ร่างเขากำลังจะกระแทกพื้น

“ตาย...”

ถ้าร่วงแบบนี้เขาตายแน่ ซุงกูสะบัดมือเท้าสุดแรงแต่เขาบินไม่ได้

ปั่ก!

ซุงกูกระแทกพื้น เขาตาเหลือก รู้สึกถึงความเจ็บมหาศาล

“เชี่ย!”

ความเจ็บปลุกประสาทสัมผัสเฉื่อยช้าอื่นของเขาขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนจะตายแต่ไม่ตาย ซุงกูร่วงลงมาราว 10 เมตร แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและอึด มันสามารถทนความเสียหายระดับนี้ได้

นี่เป็นผลจากที่เขากินหินเพิ่มพลังที่เพิ่มพลังกาย,ความเร็วและความอึดเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ

เขาไม่มีแรงขยับนิ้ว แต่เขารู้สึกสงบ เขาทำเต็มที่แล้วแต่มันไม่พอ ดูเหมือนการเรียนการสอนวันนี้จะจบลงตรงนี้

ซุงกูมองท้องฟ้า พายุไฟลูกใหญ่ร่วงลงมาทางเขา

[ยอมแพ้หรือ? เจ้ากล้าทิ้งชีวิตในสนามรบอย่างนั้นหรือ?]

“ชิบ!”

บ้าแล้ว ลิชมันจะฆ่าเขาจริงๆ

บ้าไปแล้ว ความรู้สึกเร่งร้อนทำให้ร่างซุงกูขยับ

พลังเวทในร่างตอบสนองเขา ซุงกูดูดเปลวไฟจากรอบตัวเข้ามา

มองจากด้านนอก เหมือนไฟรอบตัวซุงกูกำลังเผาร่างเขา แต่มันตรงข้าม

ซุงกูกำลังใช้ทักษะดูดซับไฟ

พลังเวทที่เกือบหมดฟื้นฟูขึ้นมา มันฟื้นสภาพร่างกายของเขา

เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่พายุไฟใกล้เกินกว่าจะหลบได้

‘ฉันจะทำได้ไหม?’

ซุงกูนึกถึงวิธีที่ลิชใช้ดูดดาบไฟของเขา

เวทไฟเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพลังเวทถูกเผา

พลังเวทของซุงกูต่างจากพลังเวทของลิช

แม้ทั้งคู่จะใช้ไฟ แต่ไฟที่ใช้มีลักษณะต่างกัน หากเขาจะใช้ไฟของลิชจะเป็นเรื่องยากมาก มันเป็นไปไม่ได้นอกจากจะสามารถควบคุมพลังเวทได้เป็นอย่างดี

‘เชี่ย’

คิดว่าจะทำได้หรือเปล่าไปก็ไม่มีประโยชน์

“ว้าก”

ซุงกูกางแขนออก

เขารับเปลวไฟไว้โดยไม่ขัดขืน

มือทั้งสองของเขาร้อน เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสัมผัสเวท

ไฟดูเหมือนกำลังเผามือซุงกู แต่ที่จริงแล้วมันกำลังถูกดูดเข้าไปในมือเขา

[ก๊ากฮ่าๆ ในที่สุดเจ้าก็เรียนพื้นฐานได้]

พลังจากเปลวไฟเติมเต็มร่างซุงกู เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน เขารู้สึกถึงพลังท่วมท้นในร่าง

‘นี่คือพลังเวทของเจนิส’

เขาดูดเวทที่ถูกส่งมาในรูปของไฟ พลังเวทของเจนิสกำลังอาละวาดเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกขัง

เขาเกือบตายแต่ได้เรียนสิ่งสำคัญ

“ขอบ...”

ฟู่วๆๆ

ซุงกูกำลังจะขอบคุณ แต่ไฟลูกเล็กกว่าลอยมาทางซุงกู มันเล็กแต่มีพลังรุนแรง

[ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจบแล้ว?]

“เชี่ย!”

เส้นผมของซุงกูถูกไฟเผา เขากัดฟัน

สุดท้ายแล้วลิชก็คิดจะกดดันเขาจนตาย!

ซุงกูที่มีความคิดต่อสู้เต็มเปี่ยมเตรียมตัวสู้

แต่วูจินเข้ามาขวางไว้ก่อน

“กินข้าวกันก่อนเถอะ”

“...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

“ตอนที่นายกำลังลอยบนฟ้า”

“ลูกพี่น่าจะช่วยผม”

“นายเป็นเด็กเหรอ?”

ถึงเขาจะไม่ใช่เด็ก ซุงกูก็รู้สึกว่าน่าจะช่วยเขาไว้

“มากินข้าวกันเถอะ จากนั้นเราจะไปต่อ”

“ครับ”

อาจเป็นเพราะการต่อสู้ถูกขัดขวาง แต่ซุงกูดีใจที่ได้พัก

“อั่ก?”

เพราะความตึงเครียดหายไปหรือเปล่านะ? ซุงกูรู้สึกว่าพลังเวทในร่างกำลังเดือดพล่าน เขารู้สึกเหมือนจะกระอักเลือด ซุงกูนั่งลงและพยายามควบคุมพลังเวทของเขา

‘อา ลูกพี่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เลยมาขวางไว้’

เมื่อซุงกูลืมตา วูจินกำลังนั่งข้างกองไฟ กินเนื้อย่างปริศนาเสียบไม้

“กินสิ”

วูจินโยนมาให้ซุงกูหนึ่งไม้

ซุงกูค้อมหัวลง

“ขอบคุณครับ”

วูจินยิ้มแล้วมองไปทางอื่น

“หืม”

ไฟมอดลง การต่อสู้จบลงแล้ว วูจินเก็บอสูรเข้าไปและนั่งข้างกองไฟโดยมีเพียงซุงกูอยู่กับเขา

พวกเขาดูอ่อนแอเหรอ? ศัตรูใหม่โผล่มาให้เห็น

จากที่ไกลๆ เห็นมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังเข้ามาทางพวกเขา



                                สารบัญ                                               บทที่ 151

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 149

บทที่ 149 – โลกจาคุ


ร่างนิกาลเปลี่ยนเป็นสีเทาหายไป ลอร์ดมิติคนอื่นและลูกน้องตกตายไปตามนิกาล

เคะๆๆ

พริบตาเดียวในสนามรบก็เหลือแต่เสียงหัวเราะของโครงกระดูก

คนในปาร์ตี้กลืนน้ำลายอย่างงุนงงเมื่อเห็นการประหัตประหารที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

วูจินเดินเข้าไปหาพวกเขาพลางพูด

“เราจะแบ่งเป็นสามกลุ่มตามแผน ถ้าเกิดเรื่องอะไรก็ติดต่อฉัน”

“ครับลูกพี่...”

“เข้าใจแล้วครับ”

ซุงกูคงไม่มีปัญหา เขาเคลื่อนไหวแยกจากวูจินแต่เป้าหมายของซุงกูคือฝึกฝนไม่ใช่การล่า และวูจินจะอยู่ไม่ห่างเขานัก

วูจินหันไปมองเจมิน

“ฉันจะมาเจอนายในอีก 4 วัน ตั้งใจเข้าล่ะ”

“ครับพี่”

เจมินมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว เขารู้สึกกดดันเพราะภาระที่ถูกมอบให้ แต่สุดท้ายเขาต้องทำให้สำเร็จ เจมินชนะในสงครามมิติและได้ช่วงคุ้มครองอาณาเขตมิติมา 4 วัน วูจินใช้เวลานั้นเป็นตัวกำหนดว่าปาร์ตี้จะมาเจอกันเมื่อไหร่

“ไว้เจอกันใหม่”

“เอ่อ ผมควรจะเริ่มล่าตรงไหน...”

วูจินชี้ไปที่เสานีเซีย

“เข้าดันเจี้ยนก็ได้ พอนายเคลียร์ดันเจี้ยนการเชื่อมต่อจะหลุดไป”

วูจินวางแผนจะตัดการเชื่อมต่อกับดันเจี้ยนทุกแห่งที่เป็นของลอร์ดมิติบนโลกจาคุ เป้าหมายหลักของเขาคือเอาค่าประสบการณ์

“ที่นี่ดูไม่มีขอบเขตเลยนะ”

เบคจองโดจุปากพลางมองทุ่งหญ้ากว้าง

สิ่งของเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่สามารถนำผ่านอุโมงค์ได้ เขาไม่มีระบบเนวิเกชั่นหรือแผนที่ พวกเขาต้องสู้กับศัตรูในที่ๆหมู่ดาวบนท้องฟ้าและช่วงเวลาในหนึ่งวันต่างจากโลก

ไม่ ปัญหาคือพวกเขาต้องหาว่าศัตรูอยู่ที่ไหน

ฮีซอลจับนกตัวเล็กตัวหนึ่งมาใกล้ๆ

“เด็กคนนี้จะนำทางเราค่ะ”

“โฮ่?”

ความสามารถของฮีซอลคือฝึกสัตว์ ยิ่งกว่านั้น เธอเน้นไปที่ฝึกทักษะเทเลพาธี

เธอสามารถสื่อสารทางจิตกับคนได้ถึง 5 คนพร้อมกันไม่มีปัญหา มันเป็นทักษะที่ไปกันได้ดีกับความสามารถเดิมฝึกสัตว์ที่ทำให้เธอสื่อสารกับมอนสเตอร์ของเธอได้ ฮีซอลรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นกน้อยเห็นและรับรู้ได้ในระดับหนึ่ง เธอสามารถระบุตำแหน่งของดันเจี้ยนต่างๆได้ไม่ยากนัก

“ท่านประธาน โชคดีนะคะ”

“ไว้เจอกันใหม่ในอีก 4 วัน”

“อืม พวกนายอย่าตายล่ะ”

คนในปาร์ตี้จากไป เหลือแต่ซุงกูกับกองทัพผีดิบ

“เราก็ไปกันเถอะ”

“ครับ? ผมไปกับลูกพี่เหรอ?”

“ถ้าเจอดันเจี้ยนฉันจะเข้าไปเคลียร์มัน นายฝึกข้างนอก”

“อ้อ ครับลูกพี่”

วูจินออกคำสั่งกับกองทัพผีดิบ

“หาพลังชีวิต!”

[รับบัญชาท่านจ้าว!]

อัศวินมรณะออกคำสั่งให้กองทัพโครงกระดูกเดินหน้า นอกจากตามหาและสังหารมอนสเตอร์ท้องถิ่นแล้วเขายังต้องหามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนด้วย

“กาเกบิ หาดันเจี้ยนให้ฉัน”

[คึๆ ท่านเปลี่ยนไปนะ]

บนอัลเฟน วูจินตั้งรับอย่างเดียวเพราะเขาเพียงแต่ปกป้องดินแดนของตัวเอง ตอนนี้ผู้ไม่ตายออกเคลื่อนไหวเพื่อหาศัตรู

“อย่าพูดไร้สาระ หาให้ฉัน”

[รับบัญชาเจ้านาย คึๆ]

กาเกบิออกจากเงาวูจินแล้วเริ่มสำรวจรอบๆ วูจินเรียกชิงชิงออกมาขี่ ซุงกูกำลังจะกระโดดขึ้นไปแต่วูจินห้ามเขาไว้

“ทำอะไรของนาย?”

“เอ๋? ลูกพี่ไม่ให้ผมนั่งด้วยเหรอ?”

“ทุกลมหายใจของนายตอนนี้คือการฝึก”

“ครับ?”

“นายควรฝึกฝนเอาตัวรอดให้เต็มที่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรฉันไม่เกี่ยวด้วย”

“...?”

วูจินกระตุ้นชิงชิงให้ออกวิ่งทิ้งซุงกูที่กำลังงงไว้ มีเมืองอยู่ไม่ไกล วูจินมุ่งหน้าไปทางเมืองนั้นพร้อมกับกองทัพผีดิบ

หลังจากถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียว ควันดำก็รวมร่างกันเป็นลิช

[ไอ้อวดดีคนไหนต้องการให้ข้าสอน!]

ดวงตาสีแดงโพลงของมันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

ซุงกูทำหน้ามุ่ย

ก็รู้อยู่แล้วทำไมต้องถามด้วย?

“...ผมเอง”

[ก๊าก ฮ่าๆ ข้าควรทดสอบว่าเจ้ามีคุณสมบัติหรือไม่ก่อนใช่ไหม?]

ไฟพุ่งออกมาจากคทาของลิช

ซุงกูหลบอย่างว่องไว

“โอ๊ย บ้าไปแล้ว!”

จู่ๆก็โจมตี! แถมยังเป็นเวทระดับที่ถ้าโดนตรงๆร่างมนุษย์ไม่รอดแน่ ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆ

[ฮ่า เจ้าชมข้าเหรอ?]

“...”

ลิชโผล่หัวออกมาจากควันระเบิด ซุงกูมีสีหน้าตกใจกลัว หลังจากนั้น เขาไม่มีเวลารวบรวมความคิดนัก

ฟู่ๆๆ ตูม!

เจนิสไม่ให้เวลาซุงกูคิด

***

วูจินระลึกความหลังอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงระเบิดจากด้านหลัง

“หึๆ”

เขารอดมาแล้วและแข็งแกร่งขึ้น ซุงกูจะเป็นเหมือนกัน

“ว่าแต่ นี่มันอาณานิคมไม่ใช่เหรอ?”

วูจินหรี่ตามองเมืองที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีอาณานิคมแห่งหนึ่งสร้างตรงกลางเมือง มีมันเป็นศูนย์กลาง เมืองตั้งอยู่ในรัศมีที่พลังของลอร์ดมิติแผ่ได้ทั่วถึง

นี่เหมือนกำลังตั้งอาณาเขตมิติบนโลกจาคุ

นี่คือเมืองอาณานิคม

เราสามารถซื้อสิ่งปลูกสร้างจากร้านค้าของมิติหรือส่งกำลังทหารออกมา เราสามารถนำประชากรในอาณาเขตมิติเข้ามาอยู่ในเมือง

มีปราสาทแห่งหนึ่งตั้งอยู่เหนือเนิน

เมืองทั้งเมืองราวกับอิฐและเหล็กเชื่อมประสานกันและกัน มันเหมือนฐานทัพจักรกล

กองทัพโครงกระดูกเดินหน้า หินก้อนใหญ่ลอยมาจากปราสาท

ตูมๆ ตูม!

ที่ลอยมาทางพวกเขาไม่ใช่แค่ก้อนหิน กระสุนปืนใหญ่เมื่อกระแทกพื้นก็ระเบิดหนามออกมา เศษชิ้นส่วนกระเด็นไปทั่ว การโจมตีแรงพอสังหารโครงกระดูกในทีเดียว

อาวุธในการป้องกันเมืองถูกส่งมาทางพวกเขา ถ้าวูจินตอบโต้ช้าไปจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวง

“โดลเซ”

วิ้ง

ราวกับว่าโดลเซรู้ว่าวูจินต้องการอะไร มันรวบรวมก้อนหินและหนามเหล็กมาสร้างเป็นร่างยักษ์ของมัน

[โก!]

“นายไปเปิดทาง”

โกเลมออกวิ่งตามคำสั่งของวูจิน

กึง กึง!

ทุกย่างก้าวของโกเลมสะเทือนพื้นดิน ก้อนหินจากปราสาทเล็งยิงใส่โดลเซที่วิ่งเข้ามา

พวกมันเล็งเป้าได้แม่นทีเดียว

หินกระแทกใส่หัวโดลเซแหลกก่อนจะหล่นลงไปฝังพื้น แต่โดลเซยังพุ่งไปข้างหน้าต่อ

หินที่ฝังพื้นสั่นเหมือนมีแรงดึง มันถูกดึงไปรวมในร่างโดลเซ หัวที่แหลกไปถูกแทนที่ และแขนของมันยาวขึ้น อกมันหนาขึ้น

ไททันแห่งการทำลายล้างที่ร่างใหญ่ขึ้นพุ่งต่อไป

[โก!]

พลังเวทก้อนใหญ่ไหลออกจากร่างวูจินทุกครั้งที่โดลเซเพิ่มขนาดตัวมัน แต่เขาไม่สนใจ วูจินสามารถดื่มโพชั่นหรือฟื้นพลังเวทโดยใช้สกัดวิญญาณ

กึง!

พริบตาเดียว ร่างใหญ่โตของโดลเซก็กระแทกกับกำแพงปราสาท

กำแพงถล่มเกิดช่องโหว่ โดลเซดูดโลหะและเหล็กจากกำแพงที่ถล่ม ตัวมันยิ่งใหญ่ขึ้นอีกและเริ่มอาละวาด

“วิ่ง จัดการพวกมันให้หมด!”

[วิ่ง!]

[ฮ่าๆ เร็วขึ้นอีก!]

อัศวินมรณะเรียกม้าปีศาจออกมาแล้วพุ่งไปข้างหน้า

บิบิถูกเรียกออกมา เธอบินช้าๆเหนือศีรษะของวูจิน

“เรามาสร้างเมืองอาณานิคมของตัวเองที่นี่กันไหม?”

“ทำไมฉันต้องทำด้วย?”

“อืม อืมม ถ้ามีอีกสักแห่งก็ดีนะ”

วูจินกระตุกปากยิ้ม

“ฉันพนันว่าเธออยากตกแต่งปราสาทอีกหลัง”

“ฮิๆๆ”

บิบิหัวเราะเจ้าเล่ห์เหมือนวูจินทายถูกเผง ในอาณาเขตมิติของอลันดาล ไม่มีที่ไหนที่ไม่ถูกบิบิแตะต้อง แต้มที่แบ่งให้เธอถูกเอาไปใช้ในการตกแต่งปราสาท

“ปราสาทในอลันดาลก็ใหญ่พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ฮึ เล็กไปต่างหาก”

“...”

เธออยากได้ปราสาทใหญ่ขนาดไหนกัน? วูจินชี้ไปที่ปราสาทยักษ์เบื้องหน้า

“หลังนี้...”

“อื้อ”

“ทำลายมันสนุกกว่าตกแต่งมัน”

“...ชิ”

บิบิหันหลังให้ เธอทำท่าเหนียมอายเมื่อมองปราสาท

“ฮิๆ ที่เจ้านายพูดก็ถูกนะ”

“ไปเก็บเลเวล”

“จ้า ฮิๆ”

แม่มดมายากลายเป็นควันหายไป

สุดท้ายแล้วพลังของผู้ไม่ตายก็เกี่ยวข้องกับกองทัพของเขาโดยตรง เขามีอสูรรับใช้มากมายจึงต้องจัดการกับเลเวลของพวกมัน สงครามเป็นเวทีที่ดีที่สุดของพวกมัน และที่โลกจาคุมีศัตรูมากมายให้สู้

ระหว่างที่อสูรของเขาเก็บเลเวล ค่าประสบการณ์ส่วนหนึ่งจะส่งมาที่วูจิน เขาไม่ต้องทำอะไรก็ได้ค่าประสบการณ์ แต่เมื่อเทียบกับเขาเก็บเองแล้วน้อยกว่ามาก

“ฉันเริ่มลงมือดีไหม?”

วูจินกระตุ้นชิงชิงให้วิ่ง ข้อความประกาศโผล่ขึ้นมาเมื่อเขาเข้าใกล้กำแพงปราสาท

<คุณได้เข้าสู่อาณานิคมของลีอาห์ ‘ป้อมปราการ’>

<นางหลงอยู่ในความว่างเปล่าของความตาย ไม่สามารถเลือกทำสงครามมิติและท้าดวลได้>

<หากพิชิตได้สำเร็จ สามารถเลือก ‘รื้อถอน’ ได้>

วูจินหัวเราะอย่างโง่งมเมื่ออ่านข้อความ

ตัวเมืองเหมือนมาจากอารยธรรมที่เกี่ยวข้องกับจักรกลและดูคุ้นเคยอยู่บ้าง นี่เป็นอาณานิคมของลีอาห์

เธอเป็นลอร์ดมิติที่เคยท้าดวลกับวูจินและเขาได้กำไรจากเธอมากมาย

ในขณะเดียวกัน วูจินรู้แล้วว่าทำไมการตายของลอร์ดมิติจึงเลวร้ายนัก

‘ระหว่างที่ยังตายอยู่ เธอจะถูกปล้นไปโดยตัวเองไม่รู้เรื่องเลย’

ช่วงคุ้มครอง 12 วัน มันเพียงปกป้องลอร์ดมิติจากสงครามมิติและการดวล

แต่มันไม่ห้ามนักผจญภัยและผู้ท้าชิงเข้ามาพิชิตดันเจี้ยนหรืออาณานิคม ลอร์ดมิติไม่สามารถทำอะไรกับการบุกรุกได้ นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ถ้าไม่มีนักรบที่เก่งกาจเช่นคิบะมาเป็นแม่ทัพป้องกันอาณานิคมก็ได้แต่ถูกปล้น

ยิ่งกว่านั้น ถ้าดันเจี้ยนถูกพิชิต หมายถึงการเชื่อมต่อกับโลกนี้จะถูกตัดขาด เท่ากับเสียชิ้นส่วนมิติไป 1 ชิ้น

กฎนี้ใช้กับอาณานิคมได้ด้วย เพราะมันเป็นประตูเชื่อมต่อที่ติดตั้งในที่หนึ่งเช่นเดียวกับดันเจี้ยน

“แปลว่าฉันทำลายที่นี่ได้?”

วูจินยิ้มกว้าง ถ้าเขาสามารถทำลายดันเจี้ยนได้จะดีแค่ไหนนะ ถ้าเขาสามารถทำลายดันเจี้ยนที่อยู่บนโลกได้ทั้งหมด เขาจะตัดการเชื่อมต่อของลอร์ดมิติได้หมดเช่นกัน

วูจินเรียกอาวุธของนักรบออกมา

“อ๊าก! หยุดพวกมัน”

“พวกผีดิบสกปรก!”

คนในอาณาเขตของลีอาห์ปกป้องปราสาท ทั้งหมดเป็นมนุษย์

มนุษย์จำนวนมากถูกส่งไปประจำยังสิ่งก่อสร้างต่างๆ พวกเขายิงปืนที่ดูหยาบและล้าสมัยเมื่อเทียบกับปืนบนโลก

กระสุนยิงใส่วูจิน แต่ถูกเกราะผีปัดออก

คนเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์จากโลก วูจินไม่มีเหตุผลต้องลังเลที่จะฆ่าพวกเขา

หอกกระดูกพุ่งทะลุเหล่ามนุษย์

“มอนสเตอร์”

บางทีเขาควรเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องมอนสเตอร์ใหม่

บางทีเขาควรมองมันเป็นผู้บุกรุก

วูจินรู้สึกได้ถึงความแค้นจากศัตรู เขาสังหารไปเยอะแล้วและเห็นวิญญาณพวกเขาร่ำร้อง เขาไม่ได้มาอยู่ในนรกบนดินเช่นนี้นานแล้ว

วูจินตัวสั่น

ในอดีต เขาเคยหวังเหลือเกินว่าจะหลุดจากสถานที่แบบนี้ แต่ กลิ่นของนรกบนดินสัมผัสเขา วูจินไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกตื่นเต้นนัก

เขาปฏิเสธความรู้สึกนี้ไม่ได้

“เฮ้อ ฉันฝืนมันไม่ได้”

บางทีเขาอาจถูกทำให้เป็นแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาติญาณของเขา ไม่มีทางรู้ได้

บางทีเขาอาจเป็นมอนสเตอร์จริงๆ

“ทำลายให้หมด”

พลังเวทแผ่ขยายจากร่างวูจิน มันไปเกาะบนศพที่นอนกระจัดกระจายบนพื้น

ศพระเบิดพร้อมกัน ส่วนหนึ่งของเมืองถล่มลง

โครงกระดูกที่ถูกสิ่งปลูกสร้างถล่มใส่ดันซากปรักหักพังออกมาและมุ่งหน้าไปทางเมืองส่วนที่ยังไม่ถูกทำลาย

“เฮ้อ”

วูจินสูดหายใจลึก และวิญญาณเนืองแน่นรอบด้านก็ถูกดูดเข้าไปในตัวเขา

พลังเวทที่หดหายไปเกือบหมดถูกเติมเต็ม

เทศกาลเลือดอันอึกทึกครึกโครมเริ่มต้นเผาผลาญโลกจาคุให้ราบคาบ

***

ไม่ไกลจากป้อมปราการลีอาห์มีภูเขาเตียนโล่งลูกหนึ่ง

รักชา นักเวทหญิงของเผ่าราทิคกำลังกลมกลืนไปกับสภาพรอบกาย

ดวงตาสีน้ำเงินของเธอเต็มไปด้วยความอาดูรเมื่อมองสนามรบที่เดือดพล่าน ไม่สิ ควรจะเรียกว่าลานสังหารมากกว่า

สายตาของเธอหยุดตรงอัศวินเกราะดำตนหนึ่ง มันกำลังจดจ่ออยู่กับการเหวี่ยงอาวุธคมโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว

เธอไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตจากเขา ความกล้าและความโหดร้ายทารุณของเขาเทียบไม่ได้กับสมัยก่อน

“รีลิค...”

นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าราทิคกลายเป็นเครื่องมือของศัตรู

รักชา นักเวทหญิงเข้าใจในทันที

“ผู้ล่าที่ดื่มกินผู้ล่าอื่น...”

บางที คำทำนายของเทพของเธอกำลังกลายเป็นความจริง



สารบัญ                                                    บทที่ 150



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 148

บทที่ 148 –ออกสำรวจ (2)


คนมารุมล้อมหน้าสถานีโซลทางออกที่ 1

มีรถเข็นขายอาหารคันหนึ่งและนักข่าวตั้งวงล้อมรอบมันโดยรักษาระยะห่างประมาณ 10 เมตร ดูเหมือนมีนักข่าวจากสถานีข่าวทั่วโลกอยู่ที่นั่น

ในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่ดึงดูดนักข่าวได้มากขนาดนี้

เสียงชัตเตอร์กล้องดังเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้

วูจินกำลังกินโอเด้งหน้ารถเข็นขายอาหารคันหนึ่ง

“อันนี้อร่อยแฮะ”

“ชิมซุปด้วยสิครับ”

วูซุงฮุนเทน้ำโอเด้งใส่ถ้วยกระดาษแล้วยื่นให้วูจิน

วูจินมองซุงกู ฮีซอล บลังกาและเมโลดี้ พวกเขากำลังยืนเฉย

“พวกนายน่าจะกินด้วย”

“ครับ? ไม่ใช่พวกเรากำลังรีบไปดันเจี้ยนเหรอ?”

“ก็ใช่ แต่ต้องรออีกคนมาด้วย”

“เอ๋? ลูกพี่ มีคนอื่นอีกเหรอ?”

“ใช่”

วูจินหันไปมองวูซุงฮุน

“นายติดต่อเขาแล้วใช่ไหม?”

“ติดต่อแล้วครับ”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างใหญ่ร่างหนึ่งก็ฝ่าฝูงนักข่าวเข้ามา

“โย่ น้องคัง”

“พี่เบคมาแล้ว”

เบคจองโดเดินยิ้มเข้ามาโดยมีจุงชานซุงเลขานุการของเขาติดมาด้วย

เขาหยิบโอเด้งเข้าปากอย่างสบายใจ

“เอ๋? ประธานเบคมาทำอะไรที่นี่หรือครับ?”

เบคจองโดยิ้มกับคำถามซุงกู

“ทำอะไร? ตอนนี้เราเป็นทีมเดียวกันแล้ว ฮ่าๆ”

อ้อ ประธานคงเรียกเขามาที่นี่

ดูเหมือนเขาจะชอบเบคจองโดจริงๆจึงชวนมาร่วมการสำรวจด้วย

“อืม เราไม่มีแทงค์ไง”

ซุงกูทำหน้างงเมื่อได้ยินวูจินพูด

“ก็ผมไง?”

วูจินดื่มน้ำซุปแล้วยิ้ม

“นายต้องแยกไปฝึก”

“...อึ๋ย”

เขาตายแน่!

ซุงกูทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ วูจินเปลี่ยนไปมองฮีซอล

“เรามีคนไคท์ควบหน้าที่เป็นอุปกรณ์สื่อสาร” (kite – ลากยิง)

วูจินมองบลังกาแล้วหัวเราะ

“แล้วก็แทงค์สำรองที่ฮีลได้บัฟได้”

วูจินสบตาเมโลดี้แล้วพูดต่อ

“เรายังมีฮีลเลอร์ที่รักษาชีวิตคนอื่น”

เมื่อวูจินพูดจบ ซุงกูก็ตาเป็นประกาย

“ลูกพี่ยังไม่มีคนทำดาเมจนะครับ อย่างที่คิดเลย ผมจะ...”

“ฉันมีคนอื่นแล้ว นายไปฝึกต่างหาก”

“ฮึก...”

หนีไม่พ้นแล้ว อา เขากลัวขึ้นมาแล้วนะ

วูจินกินโอเด้งจนหมดไม้แล้วมองซุงฮุน ซุงฮุนถาม

“ค่าโอเด้งเท่าไหร่?”

“100,000 วอนจ้า”

“หา ไม้ละ 20,000 เหรอ?”

“จ้า”

ซุงฮุนบ่นพึมพำพลางจ่ายเงินให้คนขาย จากนั้นพวกเขามุ่งหน้าไปทางสถานีโซลทางออกที่ 1 เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว นักข่าวเข้ามารุมล้อมรถเข็น

พวกเขาถ่ายรูปไม้เสียบโอเด้งที่วูจินทิ้งไว้อย่างตั้งใจ รวมทั้งรูปรถเช็น ไม่ต้องอ่านบทความที่พวกเขาจะเขียนก็พอเดาหัวข้อได้

วูจินมองความวุ่นวายด้านหลังพลางแอบถามซุงฮุน

“ตอนนี้เราอยู่ในพื้นที่ของเกาหลีใช่ไหม?”

“ครับ”

“พยายามซื้อทุกอย่างที่นี่ซะนะ”

ซุงฮุนยิ้มกริ่ม

“สมเป็นท่านประธาน ท่านก็คิดว่าโอเด้งไม้ละ 20,000 มันแพงไปใช่ไหมครับ ผมจะซื้อที่รอบๆนี้ทันทีแล้วก็เก็บภาษีซะ”

ผัวะ

วูจินตบท้ายทอยซุงฮุน

“คิดว่าฉันเป็นนายเหรอ? ฉันแค่จะให้นายซื้อที่รอบๆนี้ ฉันไม่รู้ว่าจะมีอะไรติดมาจากดันเจี้ยนมั่ง ฉันต้องการที่ว่าง”

“ครับ...”

ซุงฮุนลูบท้ายทอยพลางร่วมทางไปถึงทางเข้าดันเจี้ยน

“ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ ท่านประธาน”

จุงชานซุงมองเบคจองโดอย่างเป็นห่วง เบคจองโดหัวเราะตามสไตล์ของเขาพลางตบบ่าจุงชานซุง

“ฮ่าๆ กังวลเกินไปแล้ว ฉันไปกับน้องคังนะ เขาเก่งที่สุดในโลก”

‘เพราะแบบนั้นล่ะผมถึงเป็นห่วง’

ทีมเข้าดันเจี้ยนไปพร้อมกับสายตาเป็นห่วงของจุนชานซุง

หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว วูซุงฮุนแบมือออกมา จุงชานซุงสบตาวูซุงฮุนเหมือนจะถาม

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ประธานเบคกินโอเด้งหนึ่งไม้ 20,000 วอนครับ”

“...คุณเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศนะ”

“อ่าฮะ ไม่ได้หมายความว่าผมจะคำนวณถี่ถ้วนไม่ได้นี่ครับ”

“...”

วูซุงฮุนมีประสบการณ์เป็นคนขายของมา 8 ปีก่อนชีวิตจะเปลี่ยน

การคำนวณของวูซุงฮุนเฉียบคม จุงชานซุงเปิดกระเป๋าตังค์

***

มีม่านคลุมรอบทางออกที่ 1 ของสถานีโซล

ดันเจี้ยนนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาในหลายๆเรื่อง

หลังจากคังวูจินพิชิตมัน อาร์ติแฟคก็มีออกมาไม่หมดสิ้น มันยังเป็นที่ๆเขาฆาตกรรมชายคนหนึ่งและทิ้งศพไว้ในดันเจี้ยน มันเป็นดันเจี้ยนที่ถูกเล่าลือแปลกๆไปมากมาย

แน่นอน มีคนที่ถูกเลือกไม่กี่คนรู้ตัวจริงของมัน

มันคืออาณาเขตมิติของคังวูจิน

คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้คือบลังกา

“เอ๊ะ ประธาน? อุโมงค์...”

เมื่อวูจินเข้าดันเจี้ยน ดันเจี้ยนไม่สร้างมอนสเตอร์ขึ้นมา บลังกาสงสัยเมื่อเห็นอุโมงสีแดงที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตมิติปรากฏตรงหน้าพวกเขาทันที

และประธานก็ไม่ใจดีพอจะคลายความสงสัยของบลังกาด้วย

เมื่อวูจินผ่านอุโมงค์เข้าไป คนที่เหลือก็ตามไปทีละคน

“หืม”

เมื่อบลังกาผ่านอุโมงค์ก็มาอยู่ในตึกที่มีเพดานสูง มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่พบในปราสาท เบื้องหน้าเขามีบัลลังก์

นอกจากนั้นยังมีอุโมงค์สีแดง 3 อุโมงค์อยู่ถัดจากบัลลังก์

บลังกามองไปรอบๆจนเห็นวูจินที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์

“ยินดีต้อนรับพวกนายทุกคนสู่อาณาเขตมิติของอลันดาล”

คนในกลุ่มรู้สึกปั่นป่วนกับเสียงหัวเราะของวูจิน

มีมอนสเตอร์แบบใหม่ปรากฏในโลก พวกมันสามารถบงการมอนสเตอร์อื่นได้

มอนสเตอร์ลอร์ด นี่คือชื่อที่ทุกคนเรียกลอร์ดมิติ

เราส์ทุกคนในอลันดาลรู้ว่าวูจินครอบครองดันเจี้ยนและเป็นลอร์ดมิติ แน่นอนยกเว้นบลังกา

“ป...เป็นไปไม่ได้”

“ฮะๆ ดูเหมือนคนที่ไม่รู้จะมีแต่เพื่อนชาวต่างชาติกับฉันนะ”

แม้แต่เบคจองโดก็ไม่รู้ตัวจริงของวูจิน เขารู้ว่าวูจินใช้ดันเจี้ยนได้แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลอร์ดมิติ...

“ให้เวลาพวกนายเที่ยวปราสาทหนึ่งชั่วโมง”

“ฮะๆ น้องคัง ที่นี่เป็นอาณาเขตมิติจริงเหรอ?”

“ถ้ามีคำถามอะไรถามบิบิได้เลยครับ”

วูจินมีงานต้องทำ

บิบิวิ่งมาหาสมาชิกทีม

“ฮิๆ กรุณาตามเรามา เราจะพานำเที่ยว”

เมื่อทุกคนตามบิบิออกไปข้างนอก เจมินก็เดินออกมา ตอนแรกเขาซ่อนตัวอยู่ในความมืด

“นายเป็นผู้ชาย ทำไมขี้อายนัก?”

“ฮะๆ ไม่รู้สิครับ”

เจมินยังรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นแวมไพร์ เขาต้องลำบากมามากกว่าจะก้าวข้ามความรู้สึกขัดแย้งได้ แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไร? เขาไม่มีความกล้ายืนต่อหน้าคนอื่นอย่างมั่นใจนัก

“ชิ แล้วที่ฉันให้นายเรียนไปล่ะ?”

“ผมเรียนหมดแล้วครับ”

วูจินใช้แต้มซื้อทักษะมาจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นทักษะที่มีแต่แวมไพร์เท่านั้นที่เรียนได้

“แต่นายจะใช้ทักษะพวกนั้นได้คล่องหรือเปล่าก็อีกเรื่อง”

“ผมฝึกอยู่ครับ”

“ความจริงมันโหดร้ายนะ นายไม่มีเวลาฝึกนักหรอก”

“ผมพยายามอยู่ครับ”

“ฉันรู้สึกว่าความพยายามของนายมันไม่เท่าไหร่”

“ผมพยายามมมมอยู่ครับ?”

เส้นเลือดที่ขมับวูจินปูดขึ้นมา

“อยากโดนอัดเหรอ?”

“ขอโทษครับ”

“เราจะเดินทางไปที่โลกจาคุหลังจากนี้ 1 ชั่วโมง”

“อะไรนะ?”

เจมินแปลกใจ

“ฉันหาคนร่วมทีมที่ดีที่สุดให้นาย นายไปกับพวกเขา”

จู่ๆเขาก็ถูกให้ไปสู้จริง...

เจมินมีสีหน้ากังวล วูจินจึงพูดตรงๆ

“นายอยากร้องไห้ไม่ทำอะไรเลยอีกแล้วเหรอ?”

“...”

เขาต้องเข้มแข็ง

ถ้าเขาต้องการปกป้องครอบครัวและคนที่รัก...

“ฉันตั้งปาร์ตี้ให้มีจุดเด่นคือนายจะไม่ตาย...”

อา คุณพี่ช่างเอาใจใส่เขานัก

เขาจะอยู่ในปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยเราส์แรงค์ A ดังนั้นเขาก็แค่ติดสอยห้อยตามไป

ราวกับวูจินอ่านความคิดของเจมินออก เขาอดหัวเราะหึไม่ได้

“...ถ้านายทำได้ดี”

“...”

“ถ้านายทำไม่ดีก็ตายยกตี้”

“...”

“ถึงนายตายฉันก็ชุบชีวิตให้นายได้ แต่ถ้าคนอื่นตายก็เป็นอันจบ”

อา ทำไมยกหน้าที่หนักหนาขนาดนี้ให้เขาล่ะ?

เจมินขบกรามเหมือนน้ำหนักของภาระมันมากเกินไป

เขาเป็นคนทำดาเมจ ถ้าเขาพึ่งไม่ได้...ปาร์ตี้ก็จะถูกทำลาย

เขาไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่ที่โลกจาคุ

“มาสร้างกำแพงไว้ก่อนไปเถอะ”

“ครับพี่”

ช่วงคุ้มครองของอาณาเขตกำลังจะหมด เขาต้องทำสงครามอาณาเขต เพราะอย่างนี้วูจินจึงให้เวลาว่างกับสมาชิกทีม 1 ชั่วโมง เจมินนั่งลง วูจินหาคู่ต่อสู้ทันที

ศัตรูเป็นยังไงไม่สำคัญ เจมินจะชนะหรือแพ้ก็ได้ ไม่ว่าผลออกมาแบบไหนก็ดีสำหรับวูจิน เขาตรวจดูสถานะของอาณาเขตมิติของเขาแทนที่จะดูสงคราม

อุโมงค์ 3 อุโมงค์ที่ก่อตัวขึ้นข้างบัลลังก์

<ดาวโลก – สถานีโซลทางออกที่ 1>

<ดาวจาคุ – เสาของนีเซีย>

<ดาวอัลเฟน – วิหารของราห์ท>

อัลเฟนมีวิหารเป็นร้อยแห่ง

แต่ละแห่งถูกเปลี่ยนเป็นดันเจี้ยน หลายแห่งอยู่ในเขตอลันดาลเก่า เพราะเหตุนี้กองทัพผีดิบของวูจินจึงทำสงครามกับลูกน้องของทราห์เน็ตไม่จบไม่สิ้น

<อาณาเขตมิติกำลังทำการเชื่อมต่อกับอัลเฟน เหลือเวลาอีก 20 วัน 17 ชั่วโมง...>

วูจินใช้ชิ้นส่วนมิติ 1 ชิ้นซื้อดันเจี้ยนในอัลเฟน

เขาวางแผนจะกวาดล้างโลกจาคุก่อน

ถ้าถึงเลเวล 90 ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ไม่สนว่าจะเป็นสหพันธ์กิ้งก่าหรือกองกำลังอื่นๆ นี่เป็นการประกาศสงครามถึงลอร์ดมิติทุกคน
ถ้าใครแตะต้องโลก ไม่ว่าจะเป็นลอร์ดมิติหรือสหพันธ์ เขาจะทำให้พวกมันเห็นว่าต้องจ่ายไปเท่าไหร่

***

ทีมรวมกันรอบอุโมงค์ที่นำไปสู่เสานีเซีย

“พร้อมไหม?”

“พวกเราพร้อมแล้ว!”

วูจินมองกลุ่มที่รวมกันต่อหน้าเขา

ซุงกูกับเจนิสไปทำธุระของตัวเองจึงถูกตัดออกจากปาร์ตี้ ในนี้มีฮีซอลนักฝึกสัตว์ บลังกาสายสนับสนุน เราส์สายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายเบคจองโด เมโลดี้ผู้รักษา และแวมไพร์มือใหม่ โดเจมิน

ถ้าพวกเขาทำงานได้เข้าขากัน นี่จะเป็นทีมที่สามารถจัดการลอร์ดมิติได้เกือบหมด แน่นอน ขึ้นอยู่กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเจมิน

วูจินเรียกให้ทุกคนฟัง

“ถ้าเห็นอะไรเข้าท่าก็ให้เขาดูดเลือดมันซะ”

“...”

โดเจมินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาต้องดื่มเลือดมอนสเตอร์ต่อหน้าคนอื่น...

“นายไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”

โดเจมินเป็นแวมไพร์ เขาไม่เพิ่มค่าสถานะด้วยหินเพิ่มพลังธรรมดา

นักรบตายกับนักเวท... ต้องดื่มเลือดของศัตรูที่พ่ายแพ้เพื่อดูดซับพลังมา แวมไพร์เพิ่มสถานะของตัวเองเช่นนี้ ถ้านับจำนวนศัตรูที่เขาสังหารดื่มเลือดที่นี่...

นี่คือสาเหตุว่าทำไมวูจินคาดว่าเจมินเติบโตรวดเร็วและสร้างปาร์ตี้นี้ขึ้นมา

“เอาล่ะ พอพวกนายผ่านเข้าไปในดันเจี้ยนก็เป็นเรื่องของพวกนายเองแล้ว ติดต่อฉันถ้าเจออะไรผิดปกติ”

“รับทราบ!”

วูจินให้ซุงกูกับเจนิสอยู่ด้วยกันจึงมีวิธีติดต่อพวกเขาได้ ส่วนโดเจมิน ในฐานะเป็นนักกลยุทธ์ของอาณาเขต วูจินสามารถติดต่อเขาได้แม้จะอยู่คนละมิติ

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

วูจินเปิดอุโมงค์ไปยังดันเจี้ยนเสานีเซีย

นี่เป็นการมาเยี่ยมโลกจาคุครั้งแรกของเขา

เมื่อผ่านอุโมงค์ มีเสาขนาดใหญ่มีบาเรียกว้างครอบเหมือนน้ำพุ ดูเหมือนบาเรียจะก่อตัวขึ้นเมื่อผู้ท้าเข้ามาในระยะที่ถูกกำหนดไว้

การทำงานต่างจากสถานีใต้ดินของโลกเล็กน้อย แต่ให้ผลเหมือนกัน

บาเรียจางลงเมื่อวูจินมาถึง ดูเหมือนจะเป็นผลจากการเชื่อมต่อสมบูรณ์

“เทียบกับที่โลกก็เหมือนเราเป็นมอนสเตอร์สินะ?”

นี่เหมือนดันเจี้ยนเบรกในโลกไม่ผิด ยกเว้นตอนนี้พวกเขาเป็นผู้บุกรุก

เพราะไม่ได้ทำมานานแล้วหรือเปล่านะ? วูจินใจเต้นเร็วขึ้นและเขารู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ

“ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด”

มันเหมือนคังวูจินกลับมาเป็นผู้ไม่ตาย

เขาข้ามเส้นแบ่งเขตของดันเจี้ยนออกมา

เสียงประหลาดของเผ่าพันธุ์ต่างๆดังขึ้น

ท่ามกลางพวกมัน มนุษย์กิ้งก่าตัวเขียวเลื้อยเข้ามา

มันสวมมงกุฎดำ ดูตลกแต่บรรยากาศรอบตัวมันทำให้ดูถูกไม่ได้

คนในทีมเป็นกังวล แต่วูจินเดินออกไป

[ยินดีต้อนรับ นักรบ!]

[นายเป็นใคร?]

[ข้าชื่อนิกาล ลอร์ดมิติที่รับใช้ท่านเชน หัวหน้าสหพันธ์หมวกดำ]

[นายรอฉันอยู่เหรอ?]

[ถูกต้อง! ข้าได้ยินพฤติกรรมกล้าหาญของเจ้าในการปราบพวกกิ้งก่าเหลือง ท่านเชนรอเจ้าอยู่ ท่านผู้นั้นจะมอบตำแหน่งสูง...]

วูจินเรียกอาวุธขวานออกมา

ฉับ! กลุกๆ

หัวของนิกาลกระเด็นแล้วกลิ้งไปบนพื้น

แม้หัวจะขาดจากร่าง ดวงตามันยังจ้องตามวูจิน

[...นี่มันหมายความว่ายังไง?]

[หมายความว่ายังไง? เริ่มปาร์ตี้ยังไงล่ะ]

วูจินยิ้ม

หลังจากนั้น กองทัพผีดิบถูกเรียกออกมาด้านหลัง


สารบัญ                                            บทที่ 149