“เป้าหมายของผมเป็นไปทางเดียวกับของคุณ”
“หมายถึงปกป้องโลกน่ะเหรอ?”
ท็อปเลอร์ยิ้มพยักหน้า
“ผมเป็นคนสนับสนุนให้ทุกคนสามารถปกป้องโลกของตัวเองได้”
ชาสีขาวน้ำนมละลายเมื่อน้ำร้อนเทลงบนถุงชา วูจินหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบ
“นายอยู่บนโลกมานานแค่ไหนแล้ว?”
“ถ้าหมายถึงอายุ ผม 45 ปี”
“นายล้อฉันเล่นเหรอ?”
“ผมพูดจริง...”
วูจินจ้องเขาก่อนถามต่อ
“ทำไมนายไม่บอกคนอื่นว่าจะเกิดดันเจี้ยนช็อก?”
“คนจะคิดว่าผมบ้าน่ะสิ”
“ก็จริง”
วูจินพยักหน้า
“แล้วการคาดคะเนที่นายพูดในรายการทีวีล่ะ?”
ท็อปเลอร์เป็นที่รู้จักในฐานะยอดนักวิจัยด้านดันเจี้ยน
เขาสร้างสมมติฐานขึ้นมาไม่น้อยและพูดถึงเหตุผลเบื้องหลังรูปแบบดันเจี้ยนและความเกี่ยวพันกับมอนสเตอร์ในนั้น ยิ่งกว่านั้นเขายังประกาศว่าธุรกิจดันเจี้ยนเป็นตัวเร่งให้เกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท
“ทั้งหมดนั่นเป็นความจริง”
มันไม่ใช่สมมติฐาน เขาบอกความจริง
ท็อปเลอร์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?
จากประสบการณ์ตรงเหรอ?
“ทำไมนายไม่เปิดเผยข้อมูลให้มากกว่านี้?”
“ถ้าผมบอกทุกอย่างที่รู้คงไม่มีใครเชื่อ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
การค้นคว้าของเขาไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในอังกฤษ การค้นคว้าของเขาเกี่ยวกับดันเจี้ยนเป็นที่รู้จักทั่วโลก คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักยิ่งกว่า 5 ปีก่อน
“ผมไม่มีทางแก้ ถ้าพูดถึงมันก็มีแต่จะทำให้ปั่นป่วน”
ท็อปเลอร์ถูกอีกแล้ว
วูจินเลิกคิ้ว
“งั้นบอกเรื่องที่นายยังไม่พูดมา”
“คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาพูดเป็นนัยว่าวูจินเห็นทุกอย่างแล้วบนอัลเฟนที่มีดันเจี้ยนเกิดขึ้น
เมโลดี้หน้าหม่นลง
วูจินเอนหลังพิงเก้าอี้พลางดื่มชา
“ก็ได้ ดูจากท่าทางของนาย นายรู้อยู่แล้วว่าฉันจะกลับมาที่โลกใช่ไหม?”
“ผมรอใครสักคน”
“งั้นก็ไม่ต้องเป็นฉันก็ได้?”
ท็อปเลอร์นิ่งเป็นการยอมรับ วูจินถามอีก
“โลกของนายชื่ออะไร?”
“ผมจะบอกคุณทีหลัง”
วูจินยักไหล่
“ก็ได้ นายจะมาจากโลกไหนไม่สำคัญกับฉัน”
วูจินร่วมมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากอัลเฟน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ร่วมมือกับคนจากมิติอื่น แน่นอนมีเหตุผลอื่นที่เขาอยากร่วมมือกับท็อปเลอร์
“มาแบ่งสิ่งที่ต่างคนต้องการเถอะ”
วูจินตามหาคำตอบของคำถามจำนวนหนึ่งมา 20 ปีแต่ไม่สำเร็จ เขาถามหนึ่งในคำถามนั้น
“ฉันไม่อยากให้ลอร์ดมิติเชื่อมต่อกับโลกได้อีก ไม่สิ ฉันอยากทำลายดันเจี้ยนทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับโลก นายรู้วิธีไหม?”
เสียงวูจินเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ถ้าท็อปเลอร์ไม่รู้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะร่วมมือกับคนจากมิติอื่น
“แน่นอน”
วูจินตาพราว เขารักษาท่าทางเยือกเย็นเอาไว้เพื่อซ่อนเสียงหัวใจเต้นแรง
“ต้องทำยังไง?”
“คุณรู้จักตัวจริงของทราห์เน็ตหรือเปล่า?”
“พอรู้คร่าวๆ”
“ผมว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคงไม่สำคัญ ทราห์เน็ตทำให้เกิดเครือข่ายเหนือธรรมชาติระหว่างโลกต่างๆ”
“การเคลื่อนที่ระหว่างมิติ”
“ใช่แล้ว การเชื่อมโยงแบบไม่เสถียรที่ยอมให้สิ่งมีชีวิตเดินทางไปยังมิติอื่น”
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดกับวูจิน เขาข้ามมิติไปยังอัลเฟน
มันเหมือนท็อปเลอร์รู้อดีตของเขา วูจินตงิดใจกับเรื่องนี้
“นายสังเกตฉันมานานแล้วเหรอ?”
“ไม่เลย ผมเพิ่งรู้เรื่องของคุณจากข่าว”
เรื่องเกี่ยวกับวูจินถูกแปลและเผยแพร่ไปทั่วโลก มันเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผล
“ไม่ใช่ว่าผมรอคุณคังวูจิน ผมแค่รอใครสักคนที่สามารถแก้ไขโลกของผมได้”
“อืม ก็ได้ ฉันไม่รู้ว่านายรอใคร แต่ที่ฉันเคยไปอัลเฟนแล้วกลับมาเป็นเรื่องจริง”
“นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด มีหลายคนที่หลงไปมิติอื่นเหมือนคุณ แต่คนที่รอดจากประสบการณ์นั้นมาได้นี่สิที่หายาก”
อาจมีคนอื่น แต่วูจินเป็นคนเดียวที่ได้กลับโลก
“ถ้าทราห์เน็ตคือเครือข่ายเหนือธรรมชาติ อย่างนั้นอาณาเขตมิติก็คือจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกต่างๆ”
“ฉันถามถึงวิธีแก้ไม่ใช่เหรอ?”
ท็อปเลอร์กระแอม
มาเริ่มอธิบายตั้งแต่ทฤษฎีกับคนใจร้อนไม่ใช่เรื่องฉลาด
“ถ้าคุณอยากหยุดการเชื่อมโยง คุณต้องสร้างไฟร์วอล”
“ทำยังไง?”
ท็อปเลอร์มองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ วูจินมองตาม
วูจินขมวดคิ้ว
“เทพ...”
“ถ้าไฟร์วอลอ่อนแอ ช่องโหว่จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามันแข็งแรง มันจะสะท้อนการบุกรุกทุกอย่าง”
บนโลกไม่มีเทพ
ไม่ใช่ มีองค์หนึ่งกำลังจะตื่นขึ้นนี่?
แต่การมีอยู่ของเทพไม่สำคัญแล้วเพราะเกิดการเชื่อมต่อขึ้นแล้ว พวกเขาไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอีกต่อไป
“การเชื่อมต่อไม่ใช่ไม่ดี มันทำให้คนท่องไปยังมิติอื่นๆได้โดยไม่สนเรื่องระยะทาง”
“แล้วฉันจะตัดมันได้ยังไง?”
“โลกไม่สามารถตัดการเชื่อมต่อได้อีกแล้ว”
“...”
วูจินลุกขึ้น
“คุยจบแล้ว”
วูจินเรียกหอกออกมาแต่ท็อปเลอร์ไม่แสดงความกังวลแม้แต่น้อย
“คุณบอกว่าผมไม่มีวิญญาณ”
“ใช่”
“คุณทำให้ผมมีความหวัง”
“หมายความว่าไง?”
“คุณมีดวงตาที่เห็นถึงความจริง คุณใกล้เคียงกับลักษณะคนที่ผมกำลังตามหามากที่สุด”
“แล้วไง? สำหรับฉันแล้วนายดูช่วยอะไรฉันไม่ได้มาก”
เขาไม่สนท็อปเลอร์ที่รอคนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง สิ่งสำคัญคือคำพูดของท็อปเลอร์ไม่มีประโยชน์กับเขา เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องสานสัมพันธ์ไร้ประโยชน์
ท็อปเลอร์พูดก่อนวูจินจะขยับหอก
“ปัญหาไม่ใช่การเชื่อมโยงแต่เป็นคนที่ใช้มันในทางที่ผิด ผมพูดถึงพวกลอร์ดมิติ”
พวกมันเป็นผู้รักษาจุดเชื่อมต่อ แต่พวกมันปรารถนาโลกต่างๆ
รากเหง้าของโศกนาฏกรรมทั้งหมดมาจากความโลภของพวกมัน
“ฉันฆ่าพวกมันแต่ไม่จบสิ้นเสียที ฉันจะหยุดพวกมันได้ยังไง?”
“ถ้าพวกมันแอบแฝงเหมือนไวรัส คุณต้องเป็นวัคซีน”
“...”
วูจินหน้าเครียด
“คุณคงรู้มาสักวิธีแล้ว”
“...”
มหาปราชญ์ของอัลเฟน
เจนิสเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นลิชและต่อสู้กับการบุกรุกของทราห์เน็ต วูจินจำคำพูดของครูเขาได้
‘อาวุธประหารของทราช’
ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าไอเทมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่และไม่มีวิธีหาข้อมูลของมัน
ดูเหมือนท็อปเลอร์จะไม่ตอบปัญหาเขาเลย
ตึง!
ท็อปเลอร์ลุกพรวดจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางห้องนอน
“ถ้าอยู่นานกว่านี้ผมคงถูกฆ่า การพบกันครั้งแรกของเราจบตรงนี้เถอะ”
“ฮะ!”
วูจินสูดลมหายใจสั้นๆ เขาเผลอปล่อยให้ท็อปเลอร์วิ่งหนี เมื่อท็อปเลอร์ผ่านประตูร่างเขาก็หายไป วูจินเห็นเหตุประหลาดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
“มันเป็นดันเจี้ยน”
บาเรียจะก่อตัวขึ้นภายใน 30 วินาทีหลังจากมีคนเข้าไป คนๆนั้นจะถูกตัดออกจากโลกภายนอกบาเรียโดยสิ้นเชิง วูจินกระโจนเข้าไปทางประตูอย่างเร็ว
“รอตรงนี้”
เขาทิ้งสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้วเข้าไปในดันเจี้ยน วูจินมองรอบห้องนอน
ซ่า
เขาขมวดคิ้วเมื่อบาเรียก่อตัวขึ้นที่ทางเข้าประตู
“ไอ้เปรตนั่น”
วูจินมองไม่เห็นวิญญาณของเขา จึงหาท็อปเลอร์ไม่ได้
โชคดีว่าที่นี่เป็นดันเจี้ยนที่เล็กที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
วูจินเตะเตียงเคลื่อนไปทางอื่น
เขาใช้หอกแทงใส่ตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อเปิดตู้ก็เห็นแต่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด
ห้องนอนเล็กนี้ๆมีเตียง,ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเท่านั้น
“เฮ้อ...มันเป็นตัวอะไรแน่?”
เหมือนกับว่าการสร้างดันเจี้ยนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท็อปเลอร์ เขาสร้างดันเจี้ยนเล็กๆนี้ขึ้นมา
วูจินรู้ว่าเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างดันเจี้ยนนอกสถานีใต้ดินจึงไม่ประหลาดใจนัก แต่วูจินตามท็อปเลอร์เข้าดันเจี้ยนมา ท็อปเลอร์กลับหายไปจากดันเจี้ยน นี่แสดงว่าเขาเอาทฤษฎีดันเจี้ยนมาใช้เต็มที่
วูจิต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าท็อปเลอร์ไม่ได้ใช้ทักษะพรางตัวจึงปล่อยพิษออกมาเต็มห้อง เขายังโจมตีรอบห้องด้วยหอกวิญญาณ
“ฉันทำบ้าอะไรอยู่วะ...”
สายตาวูจินหยุดตรงหินรีเทิร์นสโตนที่วางบนโต๊ะ
ในนี้ไม่มีมอนสเตอร์ ไม่มีแม้แต่อุโมงค์ไปยังอาณาเขตมิติ มันเป็นแค่ห้องนอนห้องหนึ่ง
ต่อให้หาละเอียดกว่านี้เขาก็หาท็อปเลอร์ไม่เจอ วูจินจึงออกจากดันเจี้ยนโดยใช้หินรีเทิร์นสโตน
“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ?”
“ไม่เป็นไร เธอพอจะรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมโลดี้เลิกคิ้ว จากมุมมองของเธอ ท็อปเลอร์ทำตัวแปลก แต่เธอบอกไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น
“ฉันไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษค่ะ”
“เฮ้อ เจนิส”
ควันดำมารวมกันและลิชปรากฏตัว
เจนิสขมวดคิ้วเมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ มันขยับห่างจากเธอ วูจินถาม
“นายจำตอนนั้นได้ไหม”
[ท่านหมายถึงตอนไหน?]
“วันที่นายเลือกเป็นอสูรของฉัน”
[...]
วูจินมีสีหน้าจริงจัง
“ทำไมนายเลือกฉัน?”
[ท่านจ้าวมีคุณสมบัติพิเศษ]
“ตอนนั้นฉันไม่มี”
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้บอกท็อปเลอร์
[คุณสมบัติพิเศษที่ข้าพูดถึงไม่ใช่พรจากเทพ]
ความสามารถมองสีของวิญญาณได้มาหลังจากวูจินไปเจอเทพ แต่เจนิสมีเหตุผลอื่นที่ยืนยันจะเป็นอสูรของวูจิน
[มีเพียงไม่กี่คนที่มีศักยภาพขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเนโครแมนเซอร์ ในที่สุดแล้วท่านก็ไปถึงจุดนั้น ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกท่าน]
“เนโครแมนเซอร์...”
คุณสมบัติของการเป็นเนโครแมนเซอร์
เขาไปถึงจุดสูงสุดและเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับความตายมาแล้ว
เขาพร้อมจะสืบต่อเส้นทางของทราช...
“สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องหาอาวุธประหาร”
[ข้าคิดว่าการต่อชิ้นส่วนปริศนาดีกว่าพยายามทายคำปริศนา]
เซ็ทไอเทมของทราช มีหมวก เกราะ เข็มขัด ถุงมือและรองเท้า
เขาต้องหาชิ้นส่วน 5 อย่างนี้ก่อน อาวุธประหารของทราชยังไม่แน่ว่าจะมีจริงหรือเปล่า เขาจะห่วงเรื่องนั้นทีหลัง
“กลับกันเถอะ”
วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมอาณาเขตมิติอลันดาล
***
รถกำลังวิ่งไปทางเมืองหลวงอลันดาล จุงมินชานและวูซุงฮุนที่นั่งด้านหลังเอาแต่หัวเราะ
พวกเขาทำสัญญากับรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย เห็นได้ชัดทีเดียวว่าฝ่ายไหนเหนือกว่าดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หยา ตอนนี้ผมต้องเรียกคุณว่ารัฐมนตรีแล้วสิ? คุณไปเรียนภาษาต่างประเทศมากมายนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำได้ดีมาก”
มุมปากวูซุงฮุนกระตุกยิ้ม
“เฮ้อ นายกจุงต่างหากครับที่ทำงานหนัก”
“ฮ่าๆ นายกจุง!”
จุงมินชานทวนคำ มันทำให้เขาหัวเราะต่อ
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขนาดนี้ กลายเป็นนายกรัฐมนตรี...
ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศตั้งใหม่ที่มีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นในโลก
เขาพยายามทำใจเย็นแต่ที่จริงแล้วแทบจะกดความทะเยอทะยานไว้ไม่ไหว
“เอ๊ะ? ดูเหมือนว่าท่านประธานจะเสร็จธุระที่อังกฤษแล้ว”
“อะไรกัน? ยังไม่มีใครติดต่อมานี่”
วูจินไปด้วยเครื่องบินของกิลด์ KH วูซุงฮุนควรเป็นคนไปกับวูจินแต่เขามีงานต้องทำจึงส่งลูกน้องไปแทน แต่ลูกน้องคนนั้นยังไม่ติดต่อมาเลย
“ดูนี่ครับ”
ซุงฮุนหันโทรศัพท์มือถือออกมา ในนั้นเป็นภาพเซลฟี่ของวูจิน สตรีศักดิ์สิทธิ์และนักข่าวชื่อโจนี่ที่อัพโหลดลง SNS
“คุณรู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมมีคนรู้จักในประเทศต่างๆเพราะเป็นหัวหน้าฝ่ายการทูต? ผมพบนักข่าวคนนี้ตอนไปตะวันออกกลางกับท่านประธาน เธอเป็นเพื่อนทาง SNS”
“ฮะๆ ถ้าเขาจัดการอาณานิคมที่อังกฤษเสร็จแล้วก็คงใกล้กลับมาแล้วล่ะ”
“นั่นสิ เราต้องรีบรายงานท่านประธานเรื่องวันนี้”
“ฮะๆ เราทำเรื่องใหญ่สำเร็จ”
จุงมินชานและวูซุงฮุนมีสีหน้าภูมิใจ
พวกเขาทำธุระสำคัญเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่พวกเขาทำจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลก จุงมินชานอ่านรายงานสนธิสัญญาอีกครั้งอย่างไม่กลัวเมารถ
รถพาทั้งสองไปถึงประตูหน้าของอลันดาล แต่เกิดความวุ่นวายที่ประตู
“เฮ้ ผมบอกว่าคุณเข้ามาไม่ได้”
“เอ๋ ที่นี่คืออลันดาลไม่ใช่เหรอ? ผมรู้จักประธานนะ”
“ประธานไม่รู้จักคนอย่างคุณหรอก”
“ผมสัญญากับเขาว่าจะมาที่นี่”
“เฮ้อ คุณไม่มีชื่อในรายชื่อนัดพบนะ”
“คุณไม่รู้จักผมเหรอ? ผมมีชื่อเสียงในอินเดียอยู่นะ”
“ผมจะไปรู้จักคนจากอินเดียได้ยังไง?”
รปภ.ที่เฝ้าประตูหน้ากำลังโต้เถียงกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง โชคดีที่วูซุงฮุนเคยเจอคนๆนี้มาก่อน เขาลดกระจกรถแล้วตะโกนทัก
“บลังกา!”
“โอ้ ซุงฮุน!”
ตามที่สัญญาไว้ บลังกาออกจากกิลด์วิษณุและมาเกาหลี
สารบัญ บทที่ 147
สงสัยเพราะอาทิตย์ก่อนมีหยุดยาวเลยมีนักอ่านคนใหม่แวะมา ยินดีต้อนรับค่ะ :D ช่วงวันหยุดเราก็ไปติดนิยายเหมือนกัน XD
ติดตามเรื่อยๆฮะ ติดนิยางอมแงมเลย 5555
ตอบลบบลังก้ามาแล้ว 55555
ตอบลบผู้เกือบถูกลืม
ตอบลบ