วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 146

บทที่ 146 – ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ (2)


“เป้าหมายของผมเป็นไปทางเดียวกับของคุณ”

“หมายถึงปกป้องโลกน่ะเหรอ?”

ท็อปเลอร์ยิ้มพยักหน้า

“ผมเป็นคนสนับสนุนให้ทุกคนสามารถปกป้องโลกของตัวเองได้”

ชาสีขาวน้ำนมละลายเมื่อน้ำร้อนเทลงบนถุงชา วูจินหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบ

“นายอยู่บนโลกมานานแค่ไหนแล้ว?”

“ถ้าหมายถึงอายุ ผม 45 ปี”

“นายล้อฉันเล่นเหรอ?”

“ผมพูดจริง...”

วูจินจ้องเขาก่อนถามต่อ

“ทำไมนายไม่บอกคนอื่นว่าจะเกิดดันเจี้ยนช็อก?”

“คนจะคิดว่าผมบ้าน่ะสิ”

“ก็จริง”

วูจินพยักหน้า

“แล้วการคาดคะเนที่นายพูดในรายการทีวีล่ะ?”

ท็อปเลอร์เป็นที่รู้จักในฐานะยอดนักวิจัยด้านดันเจี้ยน

เขาสร้างสมมติฐานขึ้นมาไม่น้อยและพูดถึงเหตุผลเบื้องหลังรูปแบบดันเจี้ยนและความเกี่ยวพันกับมอนสเตอร์ในนั้น ยิ่งกว่านั้นเขายังประกาศว่าธุรกิจดันเจี้ยนเป็นตัวเร่งให้เกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท

“ทั้งหมดนั่นเป็นความจริง”

มันไม่ใช่สมมติฐาน เขาบอกความจริง

ท็อปเลอร์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?

จากประสบการณ์ตรงเหรอ?

“ทำไมนายไม่เปิดเผยข้อมูลให้มากกว่านี้?”

“ถ้าผมบอกทุกอย่างที่รู้คงไม่มีใครเชื่อ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?”

การค้นคว้าของเขาไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในอังกฤษ การค้นคว้าของเขาเกี่ยวกับดันเจี้ยนเป็นที่รู้จักทั่วโลก คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักยิ่งกว่า 5 ปีก่อน

“ผมไม่มีทางแก้ ถ้าพูดถึงมันก็มีแต่จะทำให้ปั่นป่วน”

ท็อปเลอร์ถูกอีกแล้ว

วูจินเลิกคิ้ว

“งั้นบอกเรื่องที่นายยังไม่พูดมา”

“คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เขาพูดเป็นนัยว่าวูจินเห็นทุกอย่างแล้วบนอัลเฟนที่มีดันเจี้ยนเกิดขึ้น

เมโลดี้หน้าหม่นลง

วูจินเอนหลังพิงเก้าอี้พลางดื่มชา

“ก็ได้ ดูจากท่าทางของนาย นายรู้อยู่แล้วว่าฉันจะกลับมาที่โลกใช่ไหม?”

“ผมรอใครสักคน”

“งั้นก็ไม่ต้องเป็นฉันก็ได้?”

ท็อปเลอร์นิ่งเป็นการยอมรับ วูจินถามอีก

“โลกของนายชื่ออะไร?”

“ผมจะบอกคุณทีหลัง”

วูจินยักไหล่

“ก็ได้ นายจะมาจากโลกไหนไม่สำคัญกับฉัน”

วูจินร่วมมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากอัลเฟน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ร่วมมือกับคนจากมิติอื่น แน่นอนมีเหตุผลอื่นที่เขาอยากร่วมมือกับท็อปเลอร์

“มาแบ่งสิ่งที่ต่างคนต้องการเถอะ”

วูจินตามหาคำตอบของคำถามจำนวนหนึ่งมา 20 ปีแต่ไม่สำเร็จ เขาถามหนึ่งในคำถามนั้น

“ฉันไม่อยากให้ลอร์ดมิติเชื่อมต่อกับโลกได้อีก ไม่สิ ฉันอยากทำลายดันเจี้ยนทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับโลก นายรู้วิธีไหม?”

เสียงวูจินเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ถ้าท็อปเลอร์ไม่รู้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะร่วมมือกับคนจากมิติอื่น

“แน่นอน”

วูจินตาพราว เขารักษาท่าทางเยือกเย็นเอาไว้เพื่อซ่อนเสียงหัวใจเต้นแรง

“ต้องทำยังไง?”

“คุณรู้จักตัวจริงของทราห์เน็ตหรือเปล่า?”

“พอรู้คร่าวๆ”

“ผมว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคงไม่สำคัญ ทราห์เน็ตทำให้เกิดเครือข่ายเหนือธรรมชาติระหว่างโลกต่างๆ”

“การเคลื่อนที่ระหว่างมิติ”

“ใช่แล้ว การเชื่อมโยงแบบไม่เสถียรที่ยอมให้สิ่งมีชีวิตเดินทางไปยังมิติอื่น”

นั่นเป็นสิ่งที่เกิดกับวูจิน เขาข้ามมิติไปยังอัลเฟน

มันเหมือนท็อปเลอร์รู้อดีตของเขา วูจินตงิดใจกับเรื่องนี้

“นายสังเกตฉันมานานแล้วเหรอ?”

“ไม่เลย ผมเพิ่งรู้เรื่องของคุณจากข่าว”

เรื่องเกี่ยวกับวูจินถูกแปลและเผยแพร่ไปทั่วโลก มันเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผล

“ไม่ใช่ว่าผมรอคุณคังวูจิน ผมแค่รอใครสักคนที่สามารถแก้ไขโลกของผมได้”

“อืม ก็ได้ ฉันไม่รู้ว่านายรอใคร แต่ที่ฉันเคยไปอัลเฟนแล้วกลับมาเป็นเรื่องจริง”

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด มีหลายคนที่หลงไปมิติอื่นเหมือนคุณ แต่คนที่รอดจากประสบการณ์นั้นมาได้นี่สิที่หายาก”

อาจมีคนอื่น แต่วูจินเป็นคนเดียวที่ได้กลับโลก

“ถ้าทราห์เน็ตคือเครือข่ายเหนือธรรมชาติ อย่างนั้นอาณาเขตมิติก็คือจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกต่างๆ”

“ฉันถามถึงวิธีแก้ไม่ใช่เหรอ?”

ท็อปเลอร์กระแอม

มาเริ่มอธิบายตั้งแต่ทฤษฎีกับคนใจร้อนไม่ใช่เรื่องฉลาด

“ถ้าคุณอยากหยุดการเชื่อมโยง คุณต้องสร้างไฟร์วอล”

“ทำยังไง?”

ท็อปเลอร์มองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ วูจินมองตาม

วูจินขมวดคิ้ว

“เทพ...”

“ถ้าไฟร์วอลอ่อนแอ ช่องโหว่จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามันแข็งแรง มันจะสะท้อนการบุกรุกทุกอย่าง”

บนโลกไม่มีเทพ

ไม่ใช่ มีองค์หนึ่งกำลังจะตื่นขึ้นนี่?

แต่การมีอยู่ของเทพไม่สำคัญแล้วเพราะเกิดการเชื่อมต่อขึ้นแล้ว พวกเขาไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอีกต่อไป

“การเชื่อมต่อไม่ใช่ไม่ดี มันทำให้คนท่องไปยังมิติอื่นๆได้โดยไม่สนเรื่องระยะทาง”

“แล้วฉันจะตัดมันได้ยังไง?”

“โลกไม่สามารถตัดการเชื่อมต่อได้อีกแล้ว”

“...”

วูจินลุกขึ้น

“คุยจบแล้ว”

วูจินเรียกหอกออกมาแต่ท็อปเลอร์ไม่แสดงความกังวลแม้แต่น้อย

“คุณบอกว่าผมไม่มีวิญญาณ”

“ใช่”

“คุณทำให้ผมมีความหวัง”

“หมายความว่าไง?”

“คุณมีดวงตาที่เห็นถึงความจริง คุณใกล้เคียงกับลักษณะคนที่ผมกำลังตามหามากที่สุด”

“แล้วไง? สำหรับฉันแล้วนายดูช่วยอะไรฉันไม่ได้มาก”

เขาไม่สนท็อปเลอร์ที่รอคนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง สิ่งสำคัญคือคำพูดของท็อปเลอร์ไม่มีประโยชน์กับเขา เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องสานสัมพันธ์ไร้ประโยชน์

ท็อปเลอร์พูดก่อนวูจินจะขยับหอก

“ปัญหาไม่ใช่การเชื่อมโยงแต่เป็นคนที่ใช้มันในทางที่ผิด ผมพูดถึงพวกลอร์ดมิติ”

พวกมันเป็นผู้รักษาจุดเชื่อมต่อ แต่พวกมันปรารถนาโลกต่างๆ

รากเหง้าของโศกนาฏกรรมทั้งหมดมาจากความโลภของพวกมัน

“ฉันฆ่าพวกมันแต่ไม่จบสิ้นเสียที ฉันจะหยุดพวกมันได้ยังไง?”

“ถ้าพวกมันแอบแฝงเหมือนไวรัส คุณต้องเป็นวัคซีน”

“...”

วูจินหน้าเครียด

“คุณคงรู้มาสักวิธีแล้ว”

“...”

มหาปราชญ์ของอัลเฟน

เจนิสเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นลิชและต่อสู้กับการบุกรุกของทราห์เน็ต วูจินจำคำพูดของครูเขาได้

‘อาวุธประหารของทราช’

ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าไอเทมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่และไม่มีวิธีหาข้อมูลของมัน

ดูเหมือนท็อปเลอร์จะไม่ตอบปัญหาเขาเลย

ตึง!

ท็อปเลอร์ลุกพรวดจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางห้องนอน

“ถ้าอยู่นานกว่านี้ผมคงถูกฆ่า การพบกันครั้งแรกของเราจบตรงนี้เถอะ”

“ฮะ!”

วูจินสูดลมหายใจสั้นๆ เขาเผลอปล่อยให้ท็อปเลอร์วิ่งหนี เมื่อท็อปเลอร์ผ่านประตูร่างเขาก็หายไป วูจินเห็นเหตุประหลาดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

“มันเป็นดันเจี้ยน”

บาเรียจะก่อตัวขึ้นภายใน 30 วินาทีหลังจากมีคนเข้าไป คนๆนั้นจะถูกตัดออกจากโลกภายนอกบาเรียโดยสิ้นเชิง วูจินกระโจนเข้าไปทางประตูอย่างเร็ว

“รอตรงนี้”

เขาทิ้งสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้วเข้าไปในดันเจี้ยน วูจินมองรอบห้องนอน

ซ่า

เขาขมวดคิ้วเมื่อบาเรียก่อตัวขึ้นที่ทางเข้าประตู

“ไอ้เปรตนั่น”

วูจินมองไม่เห็นวิญญาณของเขา จึงหาท็อปเลอร์ไม่ได้

โชคดีว่าที่นี่เป็นดันเจี้ยนที่เล็กที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

วูจินเตะเตียงเคลื่อนไปทางอื่น

เขาใช้หอกแทงใส่ตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อเปิดตู้ก็เห็นแต่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด

ห้องนอนเล็กนี้ๆมีเตียง,ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเท่านั้น

“เฮ้อ...มันเป็นตัวอะไรแน่?”

เหมือนกับว่าการสร้างดันเจี้ยนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท็อปเลอร์ เขาสร้างดันเจี้ยนเล็กๆนี้ขึ้นมา

วูจินรู้ว่าเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างดันเจี้ยนนอกสถานีใต้ดินจึงไม่ประหลาดใจนัก แต่วูจินตามท็อปเลอร์เข้าดันเจี้ยนมา ท็อปเลอร์กลับหายไปจากดันเจี้ยน นี่แสดงว่าเขาเอาทฤษฎีดันเจี้ยนมาใช้เต็มที่

วูจิต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าท็อปเลอร์ไม่ได้ใช้ทักษะพรางตัวจึงปล่อยพิษออกมาเต็มห้อง เขายังโจมตีรอบห้องด้วยหอกวิญญาณ

“ฉันทำบ้าอะไรอยู่วะ...”

สายตาวูจินหยุดตรงหินรีเทิร์นสโตนที่วางบนโต๊ะ

ในนี้ไม่มีมอนสเตอร์ ไม่มีแม้แต่อุโมงค์ไปยังอาณาเขตมิติ มันเป็นแค่ห้องนอนห้องหนึ่ง

ต่อให้หาละเอียดกว่านี้เขาก็หาท็อปเลอร์ไม่เจอ วูจินจึงออกจากดันเจี้ยนโดยใช้หินรีเทิร์นสโตน

“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ?”

“ไม่เป็นไร เธอพอจะรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมโลดี้เลิกคิ้ว จากมุมมองของเธอ ท็อปเลอร์ทำตัวแปลก แต่เธอบอกไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

“ฉันไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษค่ะ”

“เฮ้อ เจนิส”

ควันดำมารวมกันและลิชปรากฏตัว

เจนิสขมวดคิ้วเมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ มันขยับห่างจากเธอ วูจินถาม

“นายจำตอนนั้นได้ไหม”

[ท่านหมายถึงตอนไหน?]

“วันที่นายเลือกเป็นอสูรของฉัน”

[...]

วูจินมีสีหน้าจริงจัง

“ทำไมนายเลือกฉัน?”

[ท่านจ้าวมีคุณสมบัติพิเศษ]

“ตอนนั้นฉันไม่มี”

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้บอกท็อปเลอร์

[คุณสมบัติพิเศษที่ข้าพูดถึงไม่ใช่พรจากเทพ]

ความสามารถมองสีของวิญญาณได้มาหลังจากวูจินไปเจอเทพ แต่เจนิสมีเหตุผลอื่นที่ยืนยันจะเป็นอสูรของวูจิน

[มีเพียงไม่กี่คนที่มีศักยภาพขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเนโครแมนเซอร์ ในที่สุดแล้วท่านก็ไปถึงจุดนั้น ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกท่าน]

“เนโครแมนเซอร์...”

คุณสมบัติของการเป็นเนโครแมนเซอร์

เขาไปถึงจุดสูงสุดและเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับความตายมาแล้ว

เขาพร้อมจะสืบต่อเส้นทางของทราช...

“สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องหาอาวุธประหาร”

[ข้าคิดว่าการต่อชิ้นส่วนปริศนาดีกว่าพยายามทายคำปริศนา]

เซ็ทไอเทมของทราช มีหมวก เกราะ เข็มขัด ถุงมือและรองเท้า

เขาต้องหาชิ้นส่วน 5 อย่างนี้ก่อน อาวุธประหารของทราชยังไม่แน่ว่าจะมีจริงหรือเปล่า เขาจะห่วงเรื่องนั้นทีหลัง

“กลับกันเถอะ”

วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมอาณาเขตมิติอลันดาล

***

รถกำลังวิ่งไปทางเมืองหลวงอลันดาล จุงมินชานและวูซุงฮุนที่นั่งด้านหลังเอาแต่หัวเราะ

พวกเขาทำสัญญากับรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย เห็นได้ชัดทีเดียวว่าฝ่ายไหนเหนือกว่าดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หยา ตอนนี้ผมต้องเรียกคุณว่ารัฐมนตรีแล้วสิ? คุณไปเรียนภาษาต่างประเทศมากมายนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำได้ดีมาก”

มุมปากวูซุงฮุนกระตุกยิ้ม

“เฮ้อ นายกจุงต่างหากครับที่ทำงานหนัก”

“ฮ่าๆ นายกจุง!”

จุงมินชานทวนคำ มันทำให้เขาหัวเราะต่อ

เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขนาดนี้ กลายเป็นนายกรัฐมนตรี...

ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศตั้งใหม่ที่มีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นในโลก

เขาพยายามทำใจเย็นแต่ที่จริงแล้วแทบจะกดความทะเยอทะยานไว้ไม่ไหว

“เอ๊ะ? ดูเหมือนว่าท่านประธานจะเสร็จธุระที่อังกฤษแล้ว”

“อะไรกัน? ยังไม่มีใครติดต่อมานี่”

วูจินไปด้วยเครื่องบินของกิลด์ KH วูซุงฮุนควรเป็นคนไปกับวูจินแต่เขามีงานต้องทำจึงส่งลูกน้องไปแทน แต่ลูกน้องคนนั้นยังไม่ติดต่อมาเลย

“ดูนี่ครับ”

ซุงฮุนหันโทรศัพท์มือถือออกมา ในนั้นเป็นภาพเซลฟี่ของวูจิน สตรีศักดิ์สิทธิ์และนักข่าวชื่อโจนี่ที่อัพโหลดลง SNS

“คุณรู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมมีคนรู้จักในประเทศต่างๆเพราะเป็นหัวหน้าฝ่ายการทูต? ผมพบนักข่าวคนนี้ตอนไปตะวันออกกลางกับท่านประธาน เธอเป็นเพื่อนทาง SNS”

“ฮะๆ ถ้าเขาจัดการอาณานิคมที่อังกฤษเสร็จแล้วก็คงใกล้กลับมาแล้วล่ะ”

“นั่นสิ เราต้องรีบรายงานท่านประธานเรื่องวันนี้”

“ฮะๆ เราทำเรื่องใหญ่สำเร็จ”

จุงมินชานและวูซุงฮุนมีสีหน้าภูมิใจ

พวกเขาทำธุระสำคัญเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่พวกเขาทำจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลก จุงมินชานอ่านรายงานสนธิสัญญาอีกครั้งอย่างไม่กลัวเมารถ

รถพาทั้งสองไปถึงประตูหน้าของอลันดาล แต่เกิดความวุ่นวายที่ประตู

“เฮ้ ผมบอกว่าคุณเข้ามาไม่ได้”

“เอ๋ ที่นี่คืออลันดาลไม่ใช่เหรอ? ผมรู้จักประธานนะ”

“ประธานไม่รู้จักคนอย่างคุณหรอก”

“ผมสัญญากับเขาว่าจะมาที่นี่”

“เฮ้อ คุณไม่มีชื่อในรายชื่อนัดพบนะ”

“คุณไม่รู้จักผมเหรอ? ผมมีชื่อเสียงในอินเดียอยู่นะ”

“ผมจะไปรู้จักคนจากอินเดียได้ยังไง?”

รปภ.ที่เฝ้าประตูหน้ากำลังโต้เถียงกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง โชคดีที่วูซุงฮุนเคยเจอคนๆนี้มาก่อน เขาลดกระจกรถแล้วตะโกนทัก

“บลังกา!”

“โอ้ ซุงฮุน!”

ตามที่สัญญาไว้ บลังกาออกจากกิลด์วิษณุและมาเกาหลี


สารบัญ                                               บทที่ 147




สงสัยเพราะอาทิตย์ก่อนมีหยุดยาวเลยมีนักอ่านคนใหม่แวะมา ยินดีต้อนรับค่ะ :D ช่วงวันหยุดเราก็ไปติดนิยายเหมือนกัน XD

3 ความคิดเห็น: