สถานีรถไฟที่ต้องเคลียร์คือสถานีนัมบะ
วูซุงฮุนตีหน้าเข้มพูดกดดันคนจากกิลด์เซ็นเซย์ด้วยภาษาญี่ปุ่นชัดเจน
[นี่มันเรื่องอะไรกัน? เรามาช่วยพวกคุณแต่คุณอยากเข้าดันเจี้ยนด้วย!]
[ใจเย็นก่อนครับ นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงไม่ใช่เหรอ? เราจำเป็นต้องรู้ว่าคุณเคลียร์ดันเจี้ยนยังไง ไม่อย่างนั้นต่อไปเราจะเก็บบลัดสโตนได้ยังไง?]
คำขอของกิลด์เซ็นเซย์มีเหตุผล พวกวูจินตั้งใจจะเคลียร์ดันเจี้ยนรอบโลกจึงต้องเคลียร์ให้เร็วที่สุด จะไปมีเวลาเขียนคู่มือเคลียร์ดันเจี้ยนได้เหรอ?
“เฮ้อ เหมือนช่วยคนกำลังจมน้ำแล้วโดนคนขโมยของเลย”
“อะไรนะ?”
คนฟังหน้าตึงเมื่อได้ยินที่ซุงฮุนพูดกับตัวเอง
สุดท้ายก็ตัดสินใจกันไม่ได้ พวกเขาจึงถามวูจิน
“คุณจะทำยังไงครับ?”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
วูจินถามคนจากกิลด์เซ็นเซย์
“ผมรู้ว่าธุรกิจดันเจี้ยนมันดี แต่ช่วยโลกก่อนดีไหม”
“คุณได้รางวัลจากการเคลียร์ดันเจี้ยนจากรัฐบาลญี่ปุ่นใช่ไหม? เรากำลังคุยเรื่องข้อตกลงทางธุรกิจ คนที่เสนอเรื่องนี้คืออลันดาลนะครับ”
“หา?”
วูจินถามซุงฮุน
“ใครรับผิดชอบเรื่องประสานงานกับจัดตารางเวลา?”
“กรรมการคิมเฮมินครับ”
วูจินพูดกับคนจากกิลด์เซ็นเซย์
“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมที”
“เราตกลงกันว่าสมาชิกคนหนึ่งของกิลด์เราจะได้สังเกตการณ์คุณระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยน ไอเทมกับบลัดสโตนทั้งหมดที่ได้จากการเคลียร์ครั้งแรกเป็นของอลันดาล หลังจากนั้นจะแบ่งกัน 7:3”
วูจินหันไปมองซุงฮุน ซุงกูกับเบคจองโด
เป็นสัญญาที่ดีทีเดียว หลังจากเคลียร์ครั้งแรก กิลด์เซ็นเซย์จะรับหน้าที่ขุดบลัดสโตนเรื่อยๆและเขาจะได้ส่วนแบ่งด้วย
“ก็ดี ได้ 30% ก็โอเค”
“อลันดาลได้ 70% ครับ...”
“...?”
วูจินมีสีหน้าสับสน คนจากกิลด์เซ็นเซย์เลยเอาสัญญาออกมา
ในสัญญาเขียนความเป็นไปได้ไว้หลายข้อ เราส์หนึ่งคนจากฝ่ายญี่ปุ่นต้องร่วมกับปาร์ตี้เคลียร์ดันเจี้ยน และสิทธิ์ในการใช้ดันเจี้ยนจะส่งผ่านไปยังกิลด์เซ็นเซย์
กำไร 70% มอบให้อลันดาล...
‘เจ้าบ้านั่นโหดน่าดู’
อาจเพราะเฮมินตรากตรำอยู่ด้านล่างมานาน เขาจึงเขียนสัญญาอันโหดร้ายขึ้นมาได้ ฝ่ายกิลด์เซ็นเซย์ ถ้าวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้พวกเขาก็ไม่เสียอะไร ถ้าวูจินเคลียร์ได้ พวกเขาก็เหมือนได้ดันเจี้ยน 6 ดาวมาฟรีๆ แม้จะได้ส่วนแบ่งแค่ 30% ก็ไม่เสียหาย
‘ฉันชอบแฮะ’
วูจินชมคิมเฮมินในใจ
“งั้นบอกให้ทุกคนเตรียมตัวได้แล้ว”
“เราพร้อมแล้วครับ”
ทากุจิเดินออกมาจากด้านหลังพนักงานกิลด์ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เหตุผลที่ทากุจิมาต้อนรับกลุ่มวูจินแต่แรกก็เพราะเขาเป็นเราส์แรงค์ A อย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวถ่วง
“ตกลงมีพวกเรา 4 คนใช่ไหม?”
กลุ่มประกอบด้วย วูจิน ซุงกู เบคจองโดและทากุจิ
“ไปกันเถอะ”
วูจินลงบันไดสถานีโดยไม่ลังเล ซุงกูคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดีอยู่แล้วจึงตามไปทันที เบคจองโดเข้าดันเจี้ยนไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ทากุจิเข้าไปเป็นคนสุดท้ายด้วยความกังวล
‘เขาจะเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยคนแค่นี้จริงๆน่ะ?’
ทากุจิรู้ว่าวูจินเคยเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียวมาก่อน แต่เขารู้ว่าจะเชื่อข่าวนี้ได้หรือไม่ ถ้าวูจินพลาดเขาก็ตายด้วย
‘นี่ไม่ใช่ดันเจี้ยน 6 ดาวธรรมดา’
ถ้าดูตามตัวเลขค่าพลังงาน ดันเจี้ยนนี้สูงกว่า 6 ดาว
ถ้าเป็นดันเจี้ยน 6 ดาวธรรมดา ดันเจี้ยนคงถูกทีมเราส์ของญี่ปุ่นพิชิตไปแล้ว เราส์ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นมารวมตัวกันเป็นทีมแต่ก็ยังล้มเหลว 3 ครั้ง หลังจากล้มเหลว ทุกคนแค่รอให้เกิดดันเจี้ยนเบรก
ทากุจิร่วมทีม 2 ครั้ง เขาจึงรู้ดีถึงความยากของดันเจี้ยนนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่อาจใช้อุโมงค์ย้อนกลับ ถ้าเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้พวกเขาจะตาย
ทากุจิรู้สึกคาดหวัง แต่ก็รู้สึกกังวลด้วย
บาเรียก่อตัวขึ้นหลังจากเขาเข้าดันเจี้ยนไป
[เริ่มแรก พวกมนุษย์หมาป่า... เอ๊ะ?]
ทากุจิเข้าดันเจี้ยนนี้ 2 ครั้งแล้ว เขาจึงคิดจะแนะนำคนอื่น เพิ่งจะเริ่มอธิบายเขาก็ลืมตาโต
เปรี๊ยะๆ
เถ้าถ่านและไฟคงเหลือตามที่ต่างๆในสถานี
สิ่งที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านก็คือศพมนุษย์หมาป่านั่นเอง
[ข...เขาไปไหนแล้วครับ?]
“ผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น”
เบคจองโดเป็นคนเดียวที่รั้งท้ายอยู่กับทากุจิ เขายื่นดาบสั้นให้ ทากุจิรับมางงๆ
“เขาบอกให้ตามมาแล้วเก็บบลัดสโตนไปด้วย”
มนุษย์หมาป่าโจมตีทันทีที่พวกเขาเข้าดันเจี้ยน และถูกฆ่าในวินาทีเดียว เบคจองโดประหลาดใจมาก
ฉายาคุณชายไฟฮงซุงกูไม่ได้มีไว้เปล่าๆ คังวูจินเป็นภูเขาใหญ่และฮงซุงกูได้รับความสนใจเพราะเป็นคนข้างกายเขา แต่ฮงซุงกูมีพลังโจมตียอดเยี่ยมและถือเป็นมหาอำนาจคนหนึ่ง
ทางที่ฮงซุงกูวิ่งไปกลายเป็นเปลวไฟ และวูจินเรียกอัศวินมรณะออกมา พวกเขากวาดล้างดันเจี้ยน
พวกเขาเดินหน้าไปโดยไม่มีความระมัดระวัง นี่ไม่ใช่การล่า เหมือนการวิ่งแข่งกันมากกว่า
“พี่เบค ค่อยๆเก็บบลัดสโตนไปแล้วตามผมมานะ”
คังวูจินพูดประโยคนี้เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของเขาแล้ว วูจินลงไปชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว
[อะไรกัน]
ทากุจิก็ตกใจ โชคดีแม้เขาพูดภาษาเกาหลีไม่คล่องแต่ฟังเข้าใจ เขาทำตามเบคจองโด พวกเขาผ่าหน้าอกมนุษย์หมาป่าเอาบลัดสโตนออกมา แต่ไม่นานก็ต้องหยุดมือ
มีเสียงฝีเท้ารีบร้อน วูจิน ซุงกูและพวกทหารผีดิบกำลังกลับขึ้นมา
“กลับกันเถอะ”
ทากุจิยืดหลังแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม เขาอดร้องออกมาด้วยความทึ่งไม่ได้
[เป็นไปไม่ได้ เพิ่งจะ 5 นาที 5 นาทีนะ]
5 นาทีนับจากพวกเขาเข้าดันเจี้ยนมา มอนสเตอร์พื้นฐานถูกฆ่าจนหมด หลักฐานคืออุโมงค์สีแดงที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“ระวังตัวด้วย พวกนายต้องรักษาชีวิตตัวเองตอนตามฉัน”
วูจินเตือนสมาชิกกลุ่มแล้วผ่านอุโมงค์แดงไปเป็นคนแรก
หลังผ่านอุโมงค์เข้ามา สิ่งแรกที่ทักทายพวกเขาคือไอร้อน อากาศปนควันร้อนเข้าไปในปอดจนเจ็บ
“มันคือภูเขาไฟ”
ลาวาไหล พ่นแก๊สออกมา
มีหุบเขาเป็นลาวาร้อนหลายลูก หินก้อนใหญ่เป็นร้อยๆเหมือนเกาะ ทั้งกลุ่มกำลังยืนบนเกาะหินแห่งหนึ่งสูงประมาณ 10 เมตร
ลาวาเดือดอยู่ด้านล่างและแสงสีเขียวจากหินรีเทิร์นสโตนอยู่ห่างไปมาก
[ถ้ากำจัดปลาบินลาวาได้เกาะจะเคลื่อนไปประกบกับเกาะอื่น นี่เป็นวิธีหลุดจากเขตลาวานี้ครับ]
วูจินส่ายหน้า
[ช้าเกินไป บินกันเถอะ]
วูจินเรียกชิงชิงออกมา อัศวินมรณะ 2 นายถูกเรียกออกมาและพวกเขาเรียกม้าปีศาจของตัวเองออกมา
[แต่เราเดินทางกลางอากาศไม่ได้นะครับ]
[ทำไมล่ะ?]
[ถ้ามีคนพ้นจากเกาะไปถึงตรงส่วนหนึ่ง มันจะระเบิด]
วูจินหรี่ตามองท้องฟ้าตอนที่ฟังคำอธิบายของทากุจิ
“ซุงกู”
“ครับลูกพี่”
“มียุงลูกระเบิดบนฟ้า พวกมันเข้ามาใกล้ลาวาไม่ได้”
“อ้อ! ให้ผมโยนลาวาใส่พวกมันไหม?”
“ไม่ล่ะ ยุ่งยากเกินไป”
วูจินเรียกโดลเซออกมา โดลเซหล่นลงไปในลาวา ไม่นานยักษ์ไฟก็ปรากฏตัวขึ้น
[โอ!]
เมื่อมันขยับตัวไฟก็ลุกโพลง มันคือโกเลมไฟ
ยุงลูกระเบิดหลบร่างยักษ์ของโดลเซอย่างรวดเร็ว
“ขึ้นมา ตามเขาไป”
วูจินขี่ชิงชิง ซุงกูนั่งข้างหลัง เบคจองโดกับทากุจิได้ประสบการณ์แปลกใหม่ของการซ้อนท้ายอัศวินมรณะ ม้าปีศาจไต่อากาศและตามติดหลังโกเลมไฟ
[ฮ้า ง่ายไปแล้ว...]
ทากุจิส่งเสียงหดหู่ มีปลาบินลาวาและปลาโลมาลาวากระโจนออกมาโจมตี พวกมันเป็นมอนสเตอร์ธาตุไฟและใช้ความร้อนของร่างกายมันเป็นอาวุธ พวกมันต้องเข้าใกล้เป้าหมายถึงจะทำอันตรายได้ พวกวูจินจึงปลอดภัย
และมียุงลูกระเบิดอยู่กลางอากาศ... ทากุจิได้รู้ว่ามียุงระเบิดเพราะวูจินบอก ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่ามีการตั้งระบบบางอย่างทำให้เกิดการระเบิด
‘เขาเป็นคนน่าทึ่ง’
ทากุจิประทับใจวูจินตรงความรู้และวิธีแก้ปัญหาของเขามากกว่ากองทัพผีดิบหรือพลังต่อสู้ เขารู้สิ่งที่คนในโลกนี้ยังไม่รู้
วูจินอธิบายพลางทำไม้ทำมือกับซุงกูที่นั่งด้านหลัง
ทากุจิเข้าใจภาษาเกาหลีอยู่บ้าง เขาไม่เข้าใจทุกคำแต่รู้ว่าวูจินกำลังพูดถึงข้อมูลสำคัญบางอย่างของดันเจี้ยนนี้
“คุณวูจินรู้เรื่องพวกนี้จากที่ไหนครับ?”
“หา? นายพูดเกาหลีได้ด้วยเหรอ?”
“น้อยมากๆครับ”
วูจินยิ้ม
“จะใครล่ะ? ฉันเรียนมาจากครู”
“อา”
ใครเป็นครูที่สั่งสอนคังวูจินนะ? ทากุจิได้แต่คิดอย่างนับถือ
ซุงกูถามด้วยตาเป็นประกาย
“ลูกพี่มีครูด้วยเหรอครับ?”
“แน่สิ...”
“ว้าว... ตอนลูกพี่ถูกอัญเชิญไปที่อัลเฟน ลูกพี่เรียนเวทย์มนตร์จากครูคนนั้นเหรอครับ?”
วูจินยิ้มแล้วส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่ อันนั้นฉันฝึกเอาเอง”
พลังเวทย์ของวูจินมาจากความรู้จากการเล่นเกมของเขา เขาไม่ได้รู้จักพวกมันทุกอย่างแต่เขาเรียนทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จากนั้นเขาเริ่มใช้เวทย์มนตร์และในที่สุดก็บังคับเหล่าผีดิบได้
“เห ถ้าไม่ได้เรียนเวทย์มนตร์มาจากเขา หรือว่าลูกพี่เรียนศิลปะการต่อสู้?”
การเคลื่อนไหวและการใช้อาวุธของวูจินดูช่ำชองมาก ทักษะด้านกายภาพของเขาสูงจนอาจถูกเข้าใจผิดได้ว่าเป็นเราส์สายกายภาพ
“เปล่า”
ศิลปะการต่อสู้นี่เขาเรียนตอนกลับมาที่โลก เขาถูกลดเลเวลเป็น 1 และได้ทักษะพวกนี้มาจากอาชีพที่สอง
“เอ๋? งั้นลูกพี่เรียนอะไรมาครับ?”
“เอาตัวรอด”
“อา...”
ซุงกูพยักหน้าอย่างเข้าใจ วูจินยังพูดไม่จบ เขาพูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง
“ความบ้าคลั่งกับความโหดร้าย”
“...!”
ทำไมต้องเรียนของพวกนี้ด้วย?
“ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว”
“...”
“ความกลัวที่ท่วมท้น”
“เฮือก”
วูจินปล่อยจิตสังหารออกมาโดยไม่ตั้งใจและทำให้ซุงกูกลัว วูจินมารู้ตัวทีหลังและสลายจิตสังหารไป
“อื้ม ฉันเรียนพวกนั้นแหละ”
“โอ ฟังแล้วเหมือนเขาเป็นคนที่สุดยอดมากเลยครับ”
“สุดยอดจริงๆ”
“แล้วครูลูกพี่ยังอยู่ที่โลกอัลเฟนเหรอครับ?”
“ไม่ เขาตายแล้ว”
ซุงกูรู้ตัวว่าพลาดไป
“อา ขอโทษครับ...ผมไม่ควรพูด...”
“ไม่เป็นไร ตอนฉันเจอเขา เขาก็ตายอยู่แล้ว”
“อะไรนะ?”
ลูกพี่พูดอะไรเนี่ย? วูจินกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางสับสนของซุงกู
“เดี๋ยวนายก็ได้เจอ”
เขาเคยเป็นนักปราชญ์และจอมเวทย์ของโลกอัลเฟน
เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นลิชด้วยความตั้งใจของตัวเองและสู้กับทราห์เน็ตมา 200 ปี ในบรรดาอสูรของวูจิน เขาเป็นคนสำคัญมาก วูจินจะได้เจอเขาอีกครั้งในอีกไม่นาน
“เขาถนัดด้านเวทย์ไฟ นายควรเรียนจากเขา”
“...จะดีเหรอครับ?”
เท่านี้ซุงกูก็รู้สึกเหมือนปัสสาวะจะราดแล้ว เขาคิดว่าตัวเองชินกับสไตล์การสอนของวูจินแล้ว แต่วูจินมาพูดถึงครูสุดโหดอีกคน...
“ฉันรับรองกับนายได้อย่าง”
“อ...อะไรครับ?”
“มันจะได้ผลสองแบบ”
วูจินเหลียวกลับไปมองซุงกู เขาหัวเราะพลางมองซุงกูที่กำลังทำคอหด
ครูเกลียดคนขี้ขลาดแบบนี้ที่สุด แต่ครูเก่งเรื่องเปลี่ยนนิสัยคน
“ไม่นายเป็นนักเวทย์ไฟที่เก่งที่สุดในโลกก็ตาย”
“...”
ผลลัพธ์มันไม่สุดโต่งไปหน่อยเหรอ?
ซุงกูกลืนน้ำลาย
ขอบคุณครับ รอติดตามครับ
ตอบลบเวท ควรใช้เวทนะครับ(><)
ตอบลบประโยคสุดท้ายตก'ไม่'ครับ
จะจำไว้ใช้ตอนต่อไปค่ะ มึนทุกทีเลย เวทกับเวทย์นี่ ^^"
ลบอย่าบอกนะว่าอจ.วูจินคือ เจนิช? (ตามชื่อตอน)
ตอบลบไม่ได้สปอยล์น้า วูจินเคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนก่อนๆแล้วว่าเจนิชเป็นครูเขาค่ะ :D
ลบ