วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 114

บทที่ 114 – การชี้แจง (3)

ซุงฮุน,มือจับพวงมาลัยรถ,เขารู้สึกตึงเครียด

‘ฉันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์’

เขาคิดจริงๆว่าเป็นไปได้

ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าได้รับการจดจำในแง่ดีก็ดีสิ...

ซุงฮุนเหลือบมองกระจกหลัง เขาเห็นวูจินกำลังกอดอกมองออกไปข้างนอก

“ไม่ทำเลือดตกยางออกจริงๆนะท่านประธาน?”

“ถ้าถามอีก ฉันจะทำละ”

“เฮือก เข้าใจแล้วครับ”

ถามผิดก็มีแต่เจ็บตัว ซุงฮุนจึงปิดปากเงียบ คำว่ากลับบ้านไปเตะหมาไม่ได้มีไว้เปล่าๆ ซุงฮุนหันไปโกรธการจราจร  (TN-ประมาณว่าอยู่นอกบ้านเป็นลูกน้องคนอื่นต้องทำตัวนอบน้อม พอกลับบ้านก็ไปลงกับหมา (แล้วก็โดนเมียด่า-ชีวิต))

“เฮ้อ ถ้าจะประท้วงกันก็น่าจะทำให้เป็นระเบียบกว่านี้หน่อย”

พวกเขาติดอยู่บนถนนจากสถานีโซลไปชองวาแดมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว

“ไปช้าๆก็ได้ไม่ต้องรีบ”

“ครับ”

ถ้าวูจินรีบจริงๆเขาก็ขี่ชิงชิงไปแล้ว

วูจินมองไปข้างนอกแล้วถามแก้เบื่อ

“พวกเขาประท้วงเรื่องอะไรกันเหรอ?”

“ดันเจี้ยนเบรกติดต่อกันเมื่อหลายวันก่อนทำให้เกิดความเสียหายเยอะมากครับ คนเรียกร้องให้รัฐบาลหาวิธีแก้ไข”

“วิธีแก้ไข?”

“ครับ พวกเขาบอกว่าความไม่แน่ไม่นอนทำให้พวกเขาไม่สบายใจ พวกเขาต้องการวิธีแก้ปัญหาอย่างปลอดภัย”

วูจินหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“อยากได้ความปลอดภัยอะไรกับที่ใกล้ๆดันเจี้ยน?”

เรื่องแบบนั้นจะมีได้เหรอ? ไม่ต่างกับการยกมือยอมแพ้ในสนามรบและขอความช่วยเหลือ ถ้าอยากมีชีวิตรอดจริงๆ ถ้าไม่หนีก็ต้องสู้ มันมีแค่สองทางเลือก

“ถ้าอยากอยู่แบบปลอดภัย ออกไปจากโซลดีกว่ามาประท้วงนะ”

“พูดง่ายกว่าทำครับ คนมีเงินออกไปเรียบร้อยแล้ว นี่เดานะแต่ผมว่าไม่มีส.ส.คนไหนอยู่ในโซลแล้วล่ะ”

“ถ้าหนีไม่ได้ก็ต้องสู้”

“เฮ้อ พวกเขาไม่ใช่เราส์ มันจะง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอครับ?”

ต่อให้เป็นเราส์ ไม่ใช่ว่าเราส์มือใหม่จะฆ่ามอนสเตอร์ได้ง่ายๆ คนในสังคมสมัยใหม่นั้นอ่อนแอ มีความสามารถดีไม่ได้หมายความว่าจะสู้เก่ง

แต่ ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตอยู่ เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงมาส่งเสียงดังอยู่แบบนี้

“...”

รถที่วูจินนั่งเคลื่อนที่ราวเต่าคลาน เมื่อรถผ่านผู้ประท้วงเขามองไปแบบเบื่อๆ พวกเขาตะโกนถ้อยคำเดิมซ้ำๆอย่างขุ่นเคือง วูจินอ่านข้อความบนป้าย

-รับประกันชีวิตของพวกเรา!

-รับผิดชอบความปลอดภัยของโซล!

วูจินมองบรรดาตำรวจที่กำลังบังผู้ประท้วง เมื่อเห็นกำแพงมนุษย์ เขาคิด

ถ้ากองทัพมอนสเตอร์บุกโลก จะมีใครในนี้ไปสู้ตรงแถวหน้าไหม?

ที่พวกเขากล้าหาญชาญชัยเพราะอยู่ตรงนี้ไม่ต้องเสียชีวิตหรือเปล่า? ผู้ประท้วงแสดงท่าทีแข็งกร้าว มีกี่คนที่จะสู้กับดันเจี้ยนเบรกเพื่อปกป้องโลก?

“...ดูแล...”

“ครับ?”

“เปล่า”

ซุงฮุนมองกระจกหลังเมื่อวูจินพูดพึมพำบางอย่าง วูจินหันหน้าจากกระจกมาสบตาซุงฮุน

“ถ้าบอกว่าฉันต้องปกป้องพวกเขา ฉันต้องปกป้องพวกที่ไม่มีความกล้าด้วยหรือเปล่า?”

“เอ๋?”

ซุงฮุนไม่เข้าใจ วูจินจึงถามใหม่

“ถ้ามีคนหนีจากสนามรบ ฉันต้องสู้แทนส่วนของพวกนั้นด้วยไหม?”

“อืม ถ้าปล่อยให้หนีไปคงเป็นปัญหานะครับ”

“ใช่ไหมล่ะ?”

“...”

“ถ้าไม่มีความกล้า ให้พวกนั้นสู้หลังตายไปแล้วก็ดีนะ”

ซุงฮุนพูดขึ้นหลังจากแอบอ่านสีหน้าของวูจิน

“ขอโทษนะครับ”

“หือ อะไร?”

“การหนีทัพเป็นปัญหาใหญ่ก็จริง แต่ว่า... ผมว่าการให้ทุกคนเข้าสนามรบเป็นปัญหาใหญ่กว่า”

“เอ๊ะ?”

“อ่า ไม่ใช่เหรอครับ? เราให้ผู้หญิงกับเด็กสู้ไม่ได้หรอก พวกเขาเป็นคนที่เราต้องปกป้อง”

“...!”

วูจินตาโต ปฏิกิริยาของเขาทำให้ซุงฮุนพูดตะกุกตะกัก

หรือว่าเขาทำพลาดไปแล้ว? วันนี้ท่านประธานดูอารมณ์ไม่ค่อยดี

“เปล่าๆ ผมรู้ว่ามีผู้หญิงในกองทัพด้วย ผมไม่ได้พูดว่าไม่เห็นด้วยที่จะให้ผู้หญิงเป็นทหาร ผมยังไม่มีแฟนแต่แค่คิดว่าเธอต้องออกไปสู้... อ้า ฝันร้ายชัดๆ ให้ผมไปสู้แทนดีกว่า”

“...”

วูจินหลับตาลง

แม่ของเขา โซอา และกระทั่งจีวอนต้องเข้าสู่สนามรบ...

เขาจะทำได้เหรอ ยื่นดาบให้พวกเธอแล้วบอกให้ไปรบเหมือนกับคนอื่น?

วูจินขมวดคิ้ว เขายิ่งกังวลกว่าเดิม ซุงฮุนเริ่มอึดอัด

“ผมขอโทษ”

“เรื่องอะไร?”

วูจินลืมตา

“พ่อแม่ผมก็แก่แล้ว พวกเขาก็ป้องกันไม่ไหว...”

“ไม่เป็นไร”

วูจินยิ้ม

ทุกคนไม่มีความกล้า แต่เขาใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างไม่ได้

เขาเพิ่งตระหนักถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

‘อลันดาลก็คือนรกเช่นกัน’

สุดท้าย เขาฆ่าทุกคน

คนจำนวนนับไม่ถ้วน... คนเหล่านั้นอยากมีชีวิต วูจินจึงผลักพวกเขาเข้าสู่สนามรบ คนที่กลัวถูกคืนชีพกลับมาสู้ในสภาพโครงกระดูก คนที่ยังมีชีวิตอยู่หวาดกลัวว่าจะถูกเปลี่ยนให้เป็นผีดิบ

บางทีศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาอาจไม่ใช่ทราห์เน็ต แต่เป็นผู้ไม่ตาย

“เฮ้อ รถติดเป็นบ้า”

พวกเขามาถึงลานกว้าง จุดหมายอยู่ไม่ไกลแต่พวกเขาไปต่อไม่ได้เลย ที่นี่มีคนแออัด เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้คนกำลังกังวลใจมาก

“แล้วพวกเขาต้องการอะไรถึงไปบ่นกับสภา?”

“...”

ซุงฮุนไม่รู้จะตอบดีไหม มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ยกเว้นท่านประธาน...

“อะไร? ทำไมไม่พูดล่ะ?”

“เอ่อ จำเรื่องที่เราปฏิเสธรัฐบาลไปเมื่อสองสามวันก่อนได้ไหมครับ? ที่ให้กิลด์คุ้มครอง...”

“มันทำไมเหรอ?”

“พวกเขาอยากให้รัฐบาลเจรจาใหม่”

“พวกนี้?”

“...ครับ”

“พูดง่ายๆคืออยากให้ฉันสู้แทน”

“...”

มันก็ใช่ แต่...

“งั้นลงกันเถอะ”

“ครับ? มันอันตรายนะครับ”

“ฉันเหรอ?”

“...”

แน่นอน ประธานน่ะไม่ห่วงหรอก เขาห่วงคนอื่นจะเจ็บตัวแบบไม่จำเป็น

วูจินเปิดประตูแล้วออกจากรถ

“ป...ประธาน”

ซุงฮุนรีบลงจากรถแล้วตามหลังวูจิน

คนทั้งสองเดินฝ่าฝูงชนไป มีคนมารวมกันที่นี่เยอะจนซุงฮุนเกือบคลาดจากวูจิน

วูจินไปถึงกำแพงโล่ของตำรวจ

วูจินเดินพ้นแถวคน และกระสุนน้ำยิงมาทางเขา สายน้ำทำให้บาเรียเวทย์กางขึ้นตรงหน้า ตำรวจใช้วิทยุทันที

“มีเราส์ ช่วยส่งทีมรับมือเราส์มาด้วย”

กฎหมายห้ามไม่ให้เราส์เข้าร่วมการประท้วง การที่มีเราส์อยู่ที่นี่แปลว่าเขากำลังทำผิดกฎหมาย

ก่อนทีมรับมือเราส์มาถึง วูจินกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถบัสของตำรวจ ทำให้พนักงานตำรวจที่กำลังออกคำสั่งทางเครื่องขยายเสียงตกใจ

“ท...ทำอะไรน่ะ คุณรู้ไหมว่านี่เป็นอาชญากรรมนะ”

“เอามานี่”

“อะไร?”

วูจินคว้าเครื่องขยายเสียงมา

วี้---

เสียงแสบแก้วหูดึงความสนใจผู้คนมาที่วูจิน

[อา อา!]

ชายคนหนึ่งในชุดออกกำลังกายยืนบนหลังคารถ เขากำลังพูดผ่านเครื่องขยายเสียง หน้าเขาดูคุ้นอย่างน่าแปลก...

“คังวูจินนี่!”

“ประธานกิลด์อลันดาล!”

เมื่อคนหนึ่งจำวูจินได้แล้วตะโกนขึ้นมา ข่าวก็กระจายไปเหมือนไฟไหม้ วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นความวุ่นวายตรงหน้า

[เงียบ!]

เสียงวูจินกระจายออกไปและความเงียบเข้ามาครอบคลุมลาน เสียงเงียบกะทันหันทำให้คนอยู่ห่างไปไม่ได้ยินเสียงของวูจินก็หยุดพูดเช่นกัน ไม่นานคนมาประท้วงทุกคนก็เงียบลง

คนบนหลังคารถมองรอบๆหลายครั้ง จากนั้นเสียงจากเครื่องขยายเสียงก็ดังขึ้น

[เราหยุดดันเจี้ยนเบรกไม่ได้]

วูจินพูดต่อระหว่างมองคนฮือฮา เขาไม่ได้ออกมาปราศรัย เขาแค่จะบอกความจริงและให้ทางเลือกพวกเขา

[ถ้าพวกนายอยากหนีก็ออกไปจากโซลเสีย ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดไปเรื่อยๆ]

จำนวนอาณาเขตมิติที่เชื่อมต่อกับโลกจะเพิ่มขึ้นและโซลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

[เราหยุดดันเจี้ยนเบรกไม่ได้ แต่เราหยุดมอนสเตอร์ได้]

ผู้คนเริ่มส่งเสียงดังอีกครั้ง แต่หลังจากมองวูจิน พวกเขาเงียบรอให้วูจินพูดต่อ

[คนที่อยากสู้กับพวกมอนสเตอร์ควรอยู่ในโซล]

ต่อให้เขามีผีดิบมากแค่ไหนเขาก็ปกป้องทั้งเมืองไม่ไหว ทุกคนต้องช่วยกัน

[ฉันจะอยู่ที่โซลนี่]

วูจินส่งเครื่องขยายเสียงคืนตำรวจ

“ป...เป็นเกียรติอย่างสูง”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดตะกุกตะกักของตำรวจ

เป็นเกียรติ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเกียรติ?

“ฝากด้วย”

“ค...ครับ!”

วูจินกระโดดลงจากรถ ลานเต็มไปด้วยคน แต่ด้านหลังรถมีแต่ตำรวจเดินไปมา

“ท...ท่านประธาน”

ซุงฮุนตามวูจินจนทัน เขากำลังลูบเสื้อสูทยับๆให้เรียบ

“พูดได้ยอดเยี่ยมมากครับ ตกลงท่านตัดสินใจปกป้องโซลแล้วสินะ”

“ฉันเหรอ?”

วูจินยิ้มกริ่มขณะเดินไปทางชองวาแด

อยู่ในโซลแปลว่าเขาจะปกป้องเมืองนี้ไม่ใช่เหรอ? ซุงฮุนเอียงคองงแล้วเดินตามวูจิน

***

ห้องทำงานรูปไข่ในชองวาแด

รอยย่นบนหน้าคิมบย็องแมนลึกขึ้นทุกวันๆ

“ประท้วงยังไม่จบเหรอ?”

“ครับ แรงโกรธของประชาชนมีไม่น้อย”

คิมบย็องแมนฟังคำตอบแล้วหลับตา เอนหลังบนโซฟา

เขารู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกผิด เหมือนทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาละอายใจจนไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน

การปรากฏตัวของมอนสเตอร์เป็นหายนะที่ต่อต้านไม่ได้ ขณะเดียวกัน ประเทศที่ปกป้องพลเมืองไม่ได้คือหายนะที่คนทำผิดพลาด

“เฮ้อ คุณคังวูจินมาแล้วหรือยัง?”

“ยังครับ”

เมื่อคังวูจินไปถึงรัฐสภา เขาวางแผนจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่นั่น

ผู้ประท้วงกำลังยึดลานกว้าง และมองอีกแง่เขาคือคนทำให้เกิดการประท้วง ถ้าประธานาธิบดีออกจากชองวาแด เขาคิดว่านั่นเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ประท้วง

มันทรมาน แต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพวกเขาอยากด่าเขาก็จำต้องยอมรับ

“เฮ้อ เขาติดต่อพวกเราเพราะข้อตกลงการป้องกันหรือเปล่านะ?”

“ผมคิดอย่างนั้นครับ”

“ถ้าสำเร็จก็ดี”

ข้อเสนอก่อนหน้านี้ก็ดีมากอยู่แล้ว แต่คังวูจินอยู่ในสถานะที่เรียกร้องได้มากกว่านั้น ความจริงนี้เห็นได้ชัดเมื่อคังวูจินไปตะวันออกกลาง เขาเป็นเมสสิอาห์ เรื่องที่เขาเป็นชาวเกาหลีถือว่าเป็นโชคดีของเกาหลีมาก

ถ้าประเทศอื่นชิงเขาไป... ประเทศนี้จะขาดความปลอดภัยและอาจนำไปสู่รัฐบาลไม่สามารถปกป้องประชาชน ต่อให้เขาถูกรุมขว้างด้วยก้อนหินก็คงพูดอะไรไม่ได้

“เขาคงใกล้ถึงแล้ว ผมจะไปเตรียมเฮลิคอปเตอร์ครับ”

“ไปเถอะ”

เสนาธิการทำเนียบเพิ่งยืนขึ้นเมื่อรปภ.คนหนึ่งวิ่งมากระซิบที่หูของเขา เขาเบิกตาโตแล้วพูดกับประธานาธิบดี

“คุณคังวูจินอยู่ที่ชองวาแดนี่ครับ”

“อะไรนะ?”

ทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ

กิลด์อลันดาลบอกพวกเขาว่าคังวูจินจะไปที่รัฐสภา แล้วทำไม...

“เขาอยู่ไหน?”

“เราให้เขารอที่ห้องรับรองครับ”

“ดี ฉันจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

“ครับ”

คิมบย็องแมนใส่เสื้อสูทแล้วออกเดิน

เราส์ที่สำคัญที่สุดของเกาหลี เขาคนเดียวมีกองทัพหนึ่งกองทัพ

เขาเป็นวีรบุรุษของโลกที่ขจัดกลุ่มผู้ก่อการร้ายไปจากตะวันออกกลาง

คิมบย็องแมนรู้สึกใจเต้นแรงขณะเดินไปทางห้องรับรอง

***

รัฐสภา

มันเป็นภาพที่หาชมได้ยากเมื่อสมาชิกสภาทุกคนอยู่พร้อมกัน พวกเขาเต็มไปด้วยความรำคาญใจ

“มันบอกว่าจะมา ทำไมถึงช้านัก?”

“ไม่ใช่ว่าเขาก่อกวนพวกเรามาแค่วันหรือสองวันสักหน่อย อวดดีไม่มีที่สิ้นสุด!”

“คิดว่าสภาคืออะไรกัน? ดูถูกประเทศของพวกเราหรือไง? เขาไม่สนใจความโกรธของประชาชนด้วยซ้ำ”

ขณะทุกคนออกปากบ่น ปาร์คโซกุคกับชอยเทโอกระซิบแก่กัน

“หรือเขาจะกลับคำพูด?”

“ฮืม ผมไม่รู้ เขาไม่เคยสนใจคำขอของรัฐบาลอยู่แล้ว”

กี่ครั้งแล้วที่อลันดาลเพิกเฉยคำขอของรัฐบาล?

เขาอาจพูดว่าจะมา แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาเปลี่ยนใจ ขณะปาร์คโซกุคคิดแบบนั้น ผู้ช่วยของเขาก็มาหาเขา

“คังวูจินกำลังอยู่ระหว่างเข้าพบประธานาธิบดี...”

ปาร์คโซกุคนิ่วหน้า

“อะไร? เขาไปที่นั่นทำไม?”

ทำไมเขาบอกว่าจะมาที่รัฐสภาแต่กลับไปที่ชองวาแด?

เขากล้าดูถูกประเทศและประชาชนได้อย่างไร?

“ไอ้เด็กอวดดี”

ปาร์คโซกุคแสดงอารมณ์เสียออกมาอย่างไม่ปิดบัง



สารบัญ                                           บทที่ 115

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น