วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 114

บทที่ 114 – การชี้แจง (3)

ซุงฮุน,มือจับพวงมาลัยรถ,เขารู้สึกตึงเครียด

‘ฉันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์’

เขาคิดจริงๆว่าเป็นไปได้

ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าได้รับการจดจำในแง่ดีก็ดีสิ...

ซุงฮุนเหลือบมองกระจกหลัง เขาเห็นวูจินกำลังกอดอกมองออกไปข้างนอก

“ไม่ทำเลือดตกยางออกจริงๆนะท่านประธาน?”

“ถ้าถามอีก ฉันจะทำละ”

“เฮือก เข้าใจแล้วครับ”

ถามผิดก็มีแต่เจ็บตัว ซุงฮุนจึงปิดปากเงียบ คำว่ากลับบ้านไปเตะหมาไม่ได้มีไว้เปล่าๆ ซุงฮุนหันไปโกรธการจราจร  (TN-ประมาณว่าอยู่นอกบ้านเป็นลูกน้องคนอื่นต้องทำตัวนอบน้อม พอกลับบ้านก็ไปลงกับหมา (แล้วก็โดนเมียด่า-ชีวิต))

“เฮ้อ ถ้าจะประท้วงกันก็น่าจะทำให้เป็นระเบียบกว่านี้หน่อย”

พวกเขาติดอยู่บนถนนจากสถานีโซลไปชองวาแดมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว

“ไปช้าๆก็ได้ไม่ต้องรีบ”

“ครับ”

ถ้าวูจินรีบจริงๆเขาก็ขี่ชิงชิงไปแล้ว

วูจินมองไปข้างนอกแล้วถามแก้เบื่อ

“พวกเขาประท้วงเรื่องอะไรกันเหรอ?”

“ดันเจี้ยนเบรกติดต่อกันเมื่อหลายวันก่อนทำให้เกิดความเสียหายเยอะมากครับ คนเรียกร้องให้รัฐบาลหาวิธีแก้ไข”

“วิธีแก้ไข?”

“ครับ พวกเขาบอกว่าความไม่แน่ไม่นอนทำให้พวกเขาไม่สบายใจ พวกเขาต้องการวิธีแก้ปัญหาอย่างปลอดภัย”

วูจินหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“อยากได้ความปลอดภัยอะไรกับที่ใกล้ๆดันเจี้ยน?”

เรื่องแบบนั้นจะมีได้เหรอ? ไม่ต่างกับการยกมือยอมแพ้ในสนามรบและขอความช่วยเหลือ ถ้าอยากมีชีวิตรอดจริงๆ ถ้าไม่หนีก็ต้องสู้ มันมีแค่สองทางเลือก

“ถ้าอยากอยู่แบบปลอดภัย ออกไปจากโซลดีกว่ามาประท้วงนะ”

“พูดง่ายกว่าทำครับ คนมีเงินออกไปเรียบร้อยแล้ว นี่เดานะแต่ผมว่าไม่มีส.ส.คนไหนอยู่ในโซลแล้วล่ะ”

“ถ้าหนีไม่ได้ก็ต้องสู้”

“เฮ้อ พวกเขาไม่ใช่เราส์ มันจะง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอครับ?”

ต่อให้เป็นเราส์ ไม่ใช่ว่าเราส์มือใหม่จะฆ่ามอนสเตอร์ได้ง่ายๆ คนในสังคมสมัยใหม่นั้นอ่อนแอ มีความสามารถดีไม่ได้หมายความว่าจะสู้เก่ง

แต่ ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตอยู่ เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงมาส่งเสียงดังอยู่แบบนี้

“...”

รถที่วูจินนั่งเคลื่อนที่ราวเต่าคลาน เมื่อรถผ่านผู้ประท้วงเขามองไปแบบเบื่อๆ พวกเขาตะโกนถ้อยคำเดิมซ้ำๆอย่างขุ่นเคือง วูจินอ่านข้อความบนป้าย

-รับประกันชีวิตของพวกเรา!

-รับผิดชอบความปลอดภัยของโซล!

วูจินมองบรรดาตำรวจที่กำลังบังผู้ประท้วง เมื่อเห็นกำแพงมนุษย์ เขาคิด

ถ้ากองทัพมอนสเตอร์บุกโลก จะมีใครในนี้ไปสู้ตรงแถวหน้าไหม?

ที่พวกเขากล้าหาญชาญชัยเพราะอยู่ตรงนี้ไม่ต้องเสียชีวิตหรือเปล่า? ผู้ประท้วงแสดงท่าทีแข็งกร้าว มีกี่คนที่จะสู้กับดันเจี้ยนเบรกเพื่อปกป้องโลก?

“...ดูแล...”

“ครับ?”

“เปล่า”

ซุงฮุนมองกระจกหลังเมื่อวูจินพูดพึมพำบางอย่าง วูจินหันหน้าจากกระจกมาสบตาซุงฮุน

“ถ้าบอกว่าฉันต้องปกป้องพวกเขา ฉันต้องปกป้องพวกที่ไม่มีความกล้าด้วยหรือเปล่า?”

“เอ๋?”

ซุงฮุนไม่เข้าใจ วูจินจึงถามใหม่

“ถ้ามีคนหนีจากสนามรบ ฉันต้องสู้แทนส่วนของพวกนั้นด้วยไหม?”

“อืม ถ้าปล่อยให้หนีไปคงเป็นปัญหานะครับ”

“ใช่ไหมล่ะ?”

“...”

“ถ้าไม่มีความกล้า ให้พวกนั้นสู้หลังตายไปแล้วก็ดีนะ”

ซุงฮุนพูดขึ้นหลังจากแอบอ่านสีหน้าของวูจิน

“ขอโทษนะครับ”

“หือ อะไร?”

“การหนีทัพเป็นปัญหาใหญ่ก็จริง แต่ว่า... ผมว่าการให้ทุกคนเข้าสนามรบเป็นปัญหาใหญ่กว่า”

“เอ๊ะ?”

“อ่า ไม่ใช่เหรอครับ? เราให้ผู้หญิงกับเด็กสู้ไม่ได้หรอก พวกเขาเป็นคนที่เราต้องปกป้อง”

“...!”

วูจินตาโต ปฏิกิริยาของเขาทำให้ซุงฮุนพูดตะกุกตะกัก

หรือว่าเขาทำพลาดไปแล้ว? วันนี้ท่านประธานดูอารมณ์ไม่ค่อยดี

“เปล่าๆ ผมรู้ว่ามีผู้หญิงในกองทัพด้วย ผมไม่ได้พูดว่าไม่เห็นด้วยที่จะให้ผู้หญิงเป็นทหาร ผมยังไม่มีแฟนแต่แค่คิดว่าเธอต้องออกไปสู้... อ้า ฝันร้ายชัดๆ ให้ผมไปสู้แทนดีกว่า”

“...”

วูจินหลับตาลง

แม่ของเขา โซอา และกระทั่งจีวอนต้องเข้าสู่สนามรบ...

เขาจะทำได้เหรอ ยื่นดาบให้พวกเธอแล้วบอกให้ไปรบเหมือนกับคนอื่น?

วูจินขมวดคิ้ว เขายิ่งกังวลกว่าเดิม ซุงฮุนเริ่มอึดอัด

“ผมขอโทษ”

“เรื่องอะไร?”

วูจินลืมตา

“พ่อแม่ผมก็แก่แล้ว พวกเขาก็ป้องกันไม่ไหว...”

“ไม่เป็นไร”

วูจินยิ้ม

ทุกคนไม่มีความกล้า แต่เขาใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างไม่ได้

เขาเพิ่งตระหนักถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

‘อลันดาลก็คือนรกเช่นกัน’

สุดท้าย เขาฆ่าทุกคน

คนจำนวนนับไม่ถ้วน... คนเหล่านั้นอยากมีชีวิต วูจินจึงผลักพวกเขาเข้าสู่สนามรบ คนที่กลัวถูกคืนชีพกลับมาสู้ในสภาพโครงกระดูก คนที่ยังมีชีวิตอยู่หวาดกลัวว่าจะถูกเปลี่ยนให้เป็นผีดิบ

บางทีศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาอาจไม่ใช่ทราห์เน็ต แต่เป็นผู้ไม่ตาย

“เฮ้อ รถติดเป็นบ้า”

พวกเขามาถึงลานกว้าง จุดหมายอยู่ไม่ไกลแต่พวกเขาไปต่อไม่ได้เลย ที่นี่มีคนแออัด เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้คนกำลังกังวลใจมาก

“แล้วพวกเขาต้องการอะไรถึงไปบ่นกับสภา?”

“...”

ซุงฮุนไม่รู้จะตอบดีไหม มันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ยกเว้นท่านประธาน...

“อะไร? ทำไมไม่พูดล่ะ?”

“เอ่อ จำเรื่องที่เราปฏิเสธรัฐบาลไปเมื่อสองสามวันก่อนได้ไหมครับ? ที่ให้กิลด์คุ้มครอง...”

“มันทำไมเหรอ?”

“พวกเขาอยากให้รัฐบาลเจรจาใหม่”

“พวกนี้?”

“...ครับ”

“พูดง่ายๆคืออยากให้ฉันสู้แทน”

“...”

มันก็ใช่ แต่...

“งั้นลงกันเถอะ”

“ครับ? มันอันตรายนะครับ”

“ฉันเหรอ?”

“...”

แน่นอน ประธานน่ะไม่ห่วงหรอก เขาห่วงคนอื่นจะเจ็บตัวแบบไม่จำเป็น

วูจินเปิดประตูแล้วออกจากรถ

“ป...ประธาน”

ซุงฮุนรีบลงจากรถแล้วตามหลังวูจิน

คนทั้งสองเดินฝ่าฝูงชนไป มีคนมารวมกันที่นี่เยอะจนซุงฮุนเกือบคลาดจากวูจิน

วูจินไปถึงกำแพงโล่ของตำรวจ

วูจินเดินพ้นแถวคน และกระสุนน้ำยิงมาทางเขา สายน้ำทำให้บาเรียเวทย์กางขึ้นตรงหน้า ตำรวจใช้วิทยุทันที

“มีเราส์ ช่วยส่งทีมรับมือเราส์มาด้วย”

กฎหมายห้ามไม่ให้เราส์เข้าร่วมการประท้วง การที่มีเราส์อยู่ที่นี่แปลว่าเขากำลังทำผิดกฎหมาย

ก่อนทีมรับมือเราส์มาถึง วูจินกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถบัสของตำรวจ ทำให้พนักงานตำรวจที่กำลังออกคำสั่งทางเครื่องขยายเสียงตกใจ

“ท...ทำอะไรน่ะ คุณรู้ไหมว่านี่เป็นอาชญากรรมนะ”

“เอามานี่”

“อะไร?”

วูจินคว้าเครื่องขยายเสียงมา

วี้---

เสียงแสบแก้วหูดึงความสนใจผู้คนมาที่วูจิน

[อา อา!]

ชายคนหนึ่งในชุดออกกำลังกายยืนบนหลังคารถ เขากำลังพูดผ่านเครื่องขยายเสียง หน้าเขาดูคุ้นอย่างน่าแปลก...

“คังวูจินนี่!”

“ประธานกิลด์อลันดาล!”

เมื่อคนหนึ่งจำวูจินได้แล้วตะโกนขึ้นมา ข่าวก็กระจายไปเหมือนไฟไหม้ วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นความวุ่นวายตรงหน้า

[เงียบ!]

เสียงวูจินกระจายออกไปและความเงียบเข้ามาครอบคลุมลาน เสียงเงียบกะทันหันทำให้คนอยู่ห่างไปไม่ได้ยินเสียงของวูจินก็หยุดพูดเช่นกัน ไม่นานคนมาประท้วงทุกคนก็เงียบลง

คนบนหลังคารถมองรอบๆหลายครั้ง จากนั้นเสียงจากเครื่องขยายเสียงก็ดังขึ้น

[เราหยุดดันเจี้ยนเบรกไม่ได้]

วูจินพูดต่อระหว่างมองคนฮือฮา เขาไม่ได้ออกมาปราศรัย เขาแค่จะบอกความจริงและให้ทางเลือกพวกเขา

[ถ้าพวกนายอยากหนีก็ออกไปจากโซลเสีย ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดไปเรื่อยๆ]

จำนวนอาณาเขตมิติที่เชื่อมต่อกับโลกจะเพิ่มขึ้นและโซลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

[เราหยุดดันเจี้ยนเบรกไม่ได้ แต่เราหยุดมอนสเตอร์ได้]

ผู้คนเริ่มส่งเสียงดังอีกครั้ง แต่หลังจากมองวูจิน พวกเขาเงียบรอให้วูจินพูดต่อ

[คนที่อยากสู้กับพวกมอนสเตอร์ควรอยู่ในโซล]

ต่อให้เขามีผีดิบมากแค่ไหนเขาก็ปกป้องทั้งเมืองไม่ไหว ทุกคนต้องช่วยกัน

[ฉันจะอยู่ที่โซลนี่]

วูจินส่งเครื่องขยายเสียงคืนตำรวจ

“ป...เป็นเกียรติอย่างสูง”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดตะกุกตะกักของตำรวจ

เป็นเกียรติ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเกียรติ?

“ฝากด้วย”

“ค...ครับ!”

วูจินกระโดดลงจากรถ ลานเต็มไปด้วยคน แต่ด้านหลังรถมีแต่ตำรวจเดินไปมา

“ท...ท่านประธาน”

ซุงฮุนตามวูจินจนทัน เขากำลังลูบเสื้อสูทยับๆให้เรียบ

“พูดได้ยอดเยี่ยมมากครับ ตกลงท่านตัดสินใจปกป้องโซลแล้วสินะ”

“ฉันเหรอ?”

วูจินยิ้มกริ่มขณะเดินไปทางชองวาแด

อยู่ในโซลแปลว่าเขาจะปกป้องเมืองนี้ไม่ใช่เหรอ? ซุงฮุนเอียงคองงแล้วเดินตามวูจิน

***

ห้องทำงานรูปไข่ในชองวาแด

รอยย่นบนหน้าคิมบย็องแมนลึกขึ้นทุกวันๆ

“ประท้วงยังไม่จบเหรอ?”

“ครับ แรงโกรธของประชาชนมีไม่น้อย”

คิมบย็องแมนฟังคำตอบแล้วหลับตา เอนหลังบนโซฟา

เขารู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกผิด เหมือนทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาละอายใจจนไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน

การปรากฏตัวของมอนสเตอร์เป็นหายนะที่ต่อต้านไม่ได้ ขณะเดียวกัน ประเทศที่ปกป้องพลเมืองไม่ได้คือหายนะที่คนทำผิดพลาด

“เฮ้อ คุณคังวูจินมาแล้วหรือยัง?”

“ยังครับ”

เมื่อคังวูจินไปถึงรัฐสภา เขาวางแผนจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่นั่น

ผู้ประท้วงกำลังยึดลานกว้าง และมองอีกแง่เขาคือคนทำให้เกิดการประท้วง ถ้าประธานาธิบดีออกจากชองวาแด เขาคิดว่านั่นเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ประท้วง

มันทรมาน แต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพวกเขาอยากด่าเขาก็จำต้องยอมรับ

“เฮ้อ เขาติดต่อพวกเราเพราะข้อตกลงการป้องกันหรือเปล่านะ?”

“ผมคิดอย่างนั้นครับ”

“ถ้าสำเร็จก็ดี”

ข้อเสนอก่อนหน้านี้ก็ดีมากอยู่แล้ว แต่คังวูจินอยู่ในสถานะที่เรียกร้องได้มากกว่านั้น ความจริงนี้เห็นได้ชัดเมื่อคังวูจินไปตะวันออกกลาง เขาเป็นเมสสิอาห์ เรื่องที่เขาเป็นชาวเกาหลีถือว่าเป็นโชคดีของเกาหลีมาก

ถ้าประเทศอื่นชิงเขาไป... ประเทศนี้จะขาดความปลอดภัยและอาจนำไปสู่รัฐบาลไม่สามารถปกป้องประชาชน ต่อให้เขาถูกรุมขว้างด้วยก้อนหินก็คงพูดอะไรไม่ได้

“เขาคงใกล้ถึงแล้ว ผมจะไปเตรียมเฮลิคอปเตอร์ครับ”

“ไปเถอะ”

เสนาธิการทำเนียบเพิ่งยืนขึ้นเมื่อรปภ.คนหนึ่งวิ่งมากระซิบที่หูของเขา เขาเบิกตาโตแล้วพูดกับประธานาธิบดี

“คุณคังวูจินอยู่ที่ชองวาแดนี่ครับ”

“อะไรนะ?”

ทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ

กิลด์อลันดาลบอกพวกเขาว่าคังวูจินจะไปที่รัฐสภา แล้วทำไม...

“เขาอยู่ไหน?”

“เราให้เขารอที่ห้องรับรองครับ”

“ดี ฉันจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

“ครับ”

คิมบย็องแมนใส่เสื้อสูทแล้วออกเดิน

เราส์ที่สำคัญที่สุดของเกาหลี เขาคนเดียวมีกองทัพหนึ่งกองทัพ

เขาเป็นวีรบุรุษของโลกที่ขจัดกลุ่มผู้ก่อการร้ายไปจากตะวันออกกลาง

คิมบย็องแมนรู้สึกใจเต้นแรงขณะเดินไปทางห้องรับรอง

***

รัฐสภา

มันเป็นภาพที่หาชมได้ยากเมื่อสมาชิกสภาทุกคนอยู่พร้อมกัน พวกเขาเต็มไปด้วยความรำคาญใจ

“มันบอกว่าจะมา ทำไมถึงช้านัก?”

“ไม่ใช่ว่าเขาก่อกวนพวกเรามาแค่วันหรือสองวันสักหน่อย อวดดีไม่มีที่สิ้นสุด!”

“คิดว่าสภาคืออะไรกัน? ดูถูกประเทศของพวกเราหรือไง? เขาไม่สนใจความโกรธของประชาชนด้วยซ้ำ”

ขณะทุกคนออกปากบ่น ปาร์คโซกุคกับชอยเทโอกระซิบแก่กัน

“หรือเขาจะกลับคำพูด?”

“ฮืม ผมไม่รู้ เขาไม่เคยสนใจคำขอของรัฐบาลอยู่แล้ว”

กี่ครั้งแล้วที่อลันดาลเพิกเฉยคำขอของรัฐบาล?

เขาอาจพูดว่าจะมา แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาเปลี่ยนใจ ขณะปาร์คโซกุคคิดแบบนั้น ผู้ช่วยของเขาก็มาหาเขา

“คังวูจินกำลังอยู่ระหว่างเข้าพบประธานาธิบดี...”

ปาร์คโซกุคนิ่วหน้า

“อะไร? เขาไปที่นั่นทำไม?”

ทำไมเขาบอกว่าจะมาที่รัฐสภาแต่กลับไปที่ชองวาแด?

เขากล้าดูถูกประเทศและประชาชนได้อย่างไร?

“ไอ้เด็กอวดดี”

ปาร์คโซกุคแสดงอารมณ์เสียออกมาอย่างไม่ปิดบัง



สารบัญ                                           บทที่ 115

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 113

บทที่ 113 – การชี้แจง (2)

วูจินออกจากสถานีโซลทางออกที่ 1 ซุงฮุนเข้ามาต้อนรับ

“กลับแล้วเหรอครับ”

“ใช่ มินชานล่ะ?”

“เขาไปที่สนามบินเพื่อต้อนรับเธอ”

“คงใกล้จะกลับแล้วมั้ง ไปที่สำนักงานกันเถอะ”

“ครับ ผมจะนำทางไปเอง”

วูจินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสร้างอาณาจักร เวลาสั้นๆที่เขาไม่ได้อยู่ในอาณาเขตมิติใช้ไปกับการไปอยู่กับครอบครัวและจีวอน เพราะอย่างนี้เขาจึงยังไม่เคยเห็นสำนักงานใหม่

วูจินหยุดหลังจากเดินตามซุงฮุนได้สองสามก้าว

“ตรงนั้นมีอะไรเหรอ?”

“คนเริ่มมารวมกันที่นี่น่ะครับแล้วก็...”

“ฮะ”

วูจินยิ้มเมื่อมองไปที่แผงลอยตั้งเป็นแถวหน้าดันเจี้ยน มีขนมปังปลา มีโอเด้ง แผงขายของกินตั้งเรียงราย

“ใครซื้อของพวกนี้เหรอ?”

“พวกนักข่าวกับคนทั่วไปที่มาดูน่ะครับ ตอนนี้อากาศเย็นเลยขายได้”

“อะไรอร่อยมั่ง?”

“แผงลอยแบบนี้เราไม่ซื้อหรอกครับ”

“ไม่ต้องโกหกเลย”

“พุงออปังร้านโน้นอร่อยสุด”

“ซื้อให้ฉันสักอันสองอันสิ”

“ครับผม”

ซุงฮุน หัวหน้าเลขานุการพาสมาชิก 6 คนมาอารักขาวูจิน เขาไปไหนมาไหนกับกลุ่มนี้จนชินแล้ว คนหนึ่งในกลุ่มวิ่งไปซื้อขนมปังปลา

นักข่าวที่มาเฝ้าอยู่นานแล้วเริ่มกดชัตเตอร์กล้องเมื่อเห็นวูจิน ในบรรดานักข่าวมีพวกปาปารัซซี่รวมอยู่ด้วย ที่ตลกคือนักข่าวครึ่งหนึ่งเป็นคนต่างชาติ

ไม่ได้มีแต่คนเกาหลีที่สนใจวูจิน เขาได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกพอๆกับดาราฮอลลีวูด ระดับความสนใจนี้ทำให้คนของอลันดาลรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่วูจินดูไม่รู้สึกอะไรเลย

“อืม อร่อยดี”

วูจินกัดขนมปังปลาไปหนึ่งคำแล้วพยักหน้า

“ตรงนี้ครับ”

“หา?”

“ที่นี่เหรอ?”

“ครับ”

“ใกล้จริงแฮะ”

“เราทำตามคำสั่งของท่านประธานครับ ได้ที่ๆใกล้ที่สุด...”

“พวกนายทำได้ดีแล้ว”

พวกเขาทำตามคำสั่งของวูจินอย่างเคร่งครัด วูจินพอใจกับการทำงานของมินชาน สำนักงานใหม่ห่างจากทางออกที่ 1 ไปแค่ 100 เมตร ดันเจี้ยนเบรกทำให้เกิดที่ว่างมากมายและอาคาร 5 ชั้นแห่งนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

มันไม่ใช่อาคารสูงแต่กว้างมากเหมือนเป็นตึกเรียน วูจินยังชอบกำแพงแข็งแรงที่ล้อมรอบพื้นที่

“มันใช้เป็นอะไรมาก่อนเหรอ”

“มันเคยใช้เป็นฐานทัพมาก่อนน่ะครับ”

หลังดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก ซากปรักหักพังรอบสถานีโซลถูกปล่อยไว้เฉยๆและอาคารนี้ตั้งในพื้นที่ว่างเปล่า การออกแบบล้าสมัยแต่แข็งแรง มันเป็นอาคารที่เหมาะกับการตั้งรับ มันเคยเป็นฐานทัพมาก่อนจึงมีการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างด้านหลังกำแพง

“ฉันเห็นมีการก่อสร้างอยู่ตอนที่ออกมา มันเป็นสำนักงานของเรานี่เอง”

“...ครับ”

เขาแน่ใจว่าเรื่องนี้เคยรายงานวูจินไปแล้ว แต่ดูท่าจะไม่ได้ฟัง

“แม่ฉันจะย้ายเมื่อไหร่?”

“เสร็จภายในสัปดาห์หน้าครับ”

“ดี เข้าไปกันเถอะ”

“ครับผม”

วูจินผ่านประตูกำแพงเข้าไป เขาต้องเดินไกลกว่าจากทางออกที่1 มาที่นี่สองเท่าถึงจะได้เข้าไปในตัวตึก

ภายในไม่มีการประดับตกแต่งมากมาย พวกเขาแค่ทำความสะอาดและทาสีตึก เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ต่างถูกกองรวมกันเพราะต้องแบ่งไปตามแผนกต่างๆตามการใช้งาน

“นี่เป็นห้องประธานครับ”

พวกเขาเดินผ่านห้องเลขานุการและห้องรักษาความปลอดภัยหน้าลิฟต์ มาถึงห้องประธานกว้างขวาง มันไม่ต่างจากห้องของเขาก่อนหน้านี้นักเพราะต่างก็ออกแบบเรียบง่ายทั้งคู่ อย่างเดียวที่เปลี่ยนคือโต๊ะประชุมยาวกว่าเดิมหน่อย

วูจินนั่งบนโซฟา เลขานุการหญิงคนหนึ่งวางเครื่องดื่มบนโต๊ะ เขามองเลขานุการคนนั้นแล้วถามซุงฮุน

“เรามีพนักงานกี่คน?”

“ตอนนี้เกือบ 400 ครับ”

นี่เป็นตัวเลขของฝ่ายสนับสนุนไม่รวมเราส์ แน่นอน เราส์ของอลันดาลมีแค่ 3 คน วูจิน ซุงกูและฮีซอล

“ถึงเวลาสัมภาษณ์เราส์แล้ว จัดการด้วย”

“ครับ ตอนนี้มีจดหมายสมัครงานเข้ามาเยอะมาก”

ช่วงนี้มานาบนโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำนวนเราส์จึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน เลเวล 1-9 เป็นคนธรรมดา เมื่อถึงเลเวล 10 จึงกลายเป็นเราส์มีพลังเท่ากับวงแหวนที่ 1

“ซุงกูอยู่ไหนล่ะ?”

“กำลังเคลียร์ดันเจี้ยนอยู่ครับ”

“กี่ดาว?”

“6 ดาวครับ”

“โอ้โห?”

ซุงกูโตจนเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวคนเดียวได้แล้ว

“แล้วฮีซอลล่ะ?”

“คงอยู่ในเขตกักกันครับ จะดูไหม?”

“หา? จากที่นี่เหรอ?”

ซุงกูยิ้มแล้วไปเปิดบังตาหน้าต่างห้อง วูจินเดินไปที่หน้าต่างแล้วยิ้มเมื่อมองไปข้างล่าง

“พวกนายสร้างสวนสัตว์ซะงั้น”

เขตกักกันไม่ใช่ของยิ่งใหญ่อะไร แค่ที่ๆจัดขึ้นต่างหากเพื่อนักฝึกสัตว์ให้มอนสเตอร์ที่ถูกฝึกมาอยู่ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนทั่วไป

ที่ว่างถูกเปลี่ยนเป็นสวนสัตว์เปิด เขาเห็นแจ็คสันเสือเขี้ยวดาบกับฝูงกาปากมีด และยังมีมอนสเตอร์อีกหลายตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

‘ถ้าเธอฝึกไวเวิร์นได้ก็เยี่ยมเลย’

วูจินคิดถูก ฮีซอลเป็นคนที่มีศักยภาพสูง ความสามารถของเธอพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วูจินตั้งใจจะเลือกเราส์แบบฮีซอลอีก

“จะดูห้องอื่นไหมครับ?”

“ไม่ต้อง เปิดทีวีเถอะ”

วูจินดูทีวีไปราว 1 ชั่วโมง

“รองประธานมาแล้วครับ”

“บอกให้เขาเข้ามาที่นี่เลย”

“ครับผม”

ไม่นานจุงมินชาน เมโลดี้และอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง

เมื่อเมโลดี้เห็นวูจินก็จะคุกเข่าลงแต่วูจินหยุดไว้

“ผู้ไม่ตาย...”

“เฮ้ยๆ พอแล้ว นั่งตรงนี้”

“ค่ะ”

เมื่อเธอนั่งลง วูจินก็เข้าเรื่อง

“เธอเอาของที่ฉันขอมาด้วยหรือเปล่า?”

“อยู่ในนี้ค่ะ...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ดันกระเป๋าเอกสารที่เธอถือมาราวเป็นของล้ำค่า วูจินเปิดอ่านเอกสารกองหนาคร่าวๆโดยเจมส์ อัศวินศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างนอบน้อม

“ข้อมูลพวกนี้มอบให้คุณเป็นของขวัญแสดงมิตรภาพของรัฐบาลสหรัฐ และเพื่อผูกสัมพันธ์กับกิลด์ไททัน...”

“อ้า รู้แล้วพวก”

“ครับ”

เจมส์ตอบอย่างจริงจัง เขาเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกิลด์ไททันกับสหรัฐอเมริกา พวกเขาไม่ถือวูจินเป็นเราส์ของรัฐบาลเกาหลี แต่มองวูจินเป็นกองทัพหนึ่งที่เท่าเทียมกับประเทศๆหนึ่ง

มินชานสงสัยว่าเอกสารเกี่ยวกับอะไร เขาเหลือบมองมันจากข้างๆวูจินไม่หยุด สงสัยว่าอะไรทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์มีท่าทีแบบนี้

“ท่านประธาน มันคืออะไรเหรอ?”

“บัญชีคู่แค้น”

“อ๋อ บัญชีคู่แค้น...อะไรนะ?”

มินชานตาโต ทำไมประธานเป็นแบบนี้อีกแล้ว?

“ข...ขอผมดูด้วยได้ไหม?”

“อื้อ ดูสิ”

มินชานหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน

“น...นี่คือ...”

รายชื่อผู้บริหารระดับสูงในองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง

“ฮ้า”

ข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองที่สนับสนุนผู้ก่อการร้ายในการทดลองสร้างดันเจี้ยนเบรก พวกนักการเมืองใช้มันเพื่อคุกคามความเป็นอยู่และทรัพย์สินของประชาชน

“แล้วนี่...”

หลักฐานและร่องรอยการโอนเงินที่บันทึกไว้อย่างเป็นระเบียบของแต่ละคน แหล่งข้อมูลมาจากหน่วยข่าวกรองต่างๆของสหรัฐ ความเชื่อถือได้จึงไม่น้อยกว่าใคร

ไม่ใช่สิ มันคือข้อมูลที่รัฐบาลที่ไม่ใช่รัฐบาลเกาหลีรวบรวมมาจึงควรแม่นยำกว่า

สีหน้ามินชานมืดครึ้ม

เอกสารหนาเป็นปึก ครึ่งหนึ่งเป็นนักการเมือง

“ท...ท่านวางแผนจะฆ่าหมดเลยเหรอ?”

“แน่อยู่แล้ว พวกเวรนี่พยายามจะฆ่าฉัน”

นี่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลสหรัฐจึงสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด

“ระ...หรือว่าท่านรอนี่อยู่?”

“รออะไร?”

“ท่านไม่ยอมไปที่สภาแห่งชาติสักที”

สภาขอให้ไปพบวันละหลายครั้ง แต่วูจินไม่ขยับพวกเขาจึงต้องปฏิเสธไป ทำให้พวกพนักงานลำบากใจ เขาสงสัยว่าทำไมวูจินถึงไม่ไป ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเพราะรอเอกสารพวกนี้อยู่

“อ้อ ใช่ รอพวกมันมารวมกันแล้วเก็บกวาดทีเดียวมันง่ายกว่า”

“...”

ว้าว มินชานรู้สึกเหมือนเส้นผมเขาลุกชัน

อะไรจะคิดทำน้อยได้มากขนาดนี้? เขาหัวเราะแหะๆ

ความคิดของวูจินเกี่ยวข้องแต่กับตัวเอง เขาทำเรื่องนี้โดยไม่สนความคิดของสังคม

เราส์ที่มีความสามารถระดับวูจินจำเป็นต่อการป้องกันดันเจี้ยนเบรก แต่ไม่มีใครทนได้ถ้าเขาก่ออาชญากรรม

โลกต้องการวีรบุรุษ ไม่ใช่ตัวร้าย ถ้าสภาถูกสังหารหมู่ ผลที่ตามมาจะเลวร้าย

“คิดใหม่เถอะครับ”

“ทำไม?”

ต้องตอบแบบไหนถึงจะเปลี่ยนใจเขาได้นะ?

“มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก”

“มันยุ่งยากไปแล้ว ฉันพยายามทำให้มันง่ายลงก่อนที่มันจะยุ่งไปกว่านี้”

“...”

ดูท่าวูจินจะตัดสินใจแล้ว ต้องใช้อะไรถึงจะเปลี่ยนใจเขาได้? สตรีศักดิ์สิทธิ์มองมินชานที่กำลังคิดหนักแล้วส่ายหน้า

“หรือว่าท่านคิดจะอพยพไปอเมริกา”

มินชานเดา นอกจากวูจินพร้อมจะออกจากเกาหลีแล้วแผนที่เขาคิดจะทำก็เป็นไปไม่ได้ ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

“ฉันไม่ย้าย”

วูจินถามเมโลดี้

“อะไรคืออลันดาล?”

“คือแผ่นดินของท่านจ้าว”

“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”

“ที่อลันดาลค่ะ”

“นายได้ยินเธอพูดแล้ว”

“...”

มินชานคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะตอบยังไงดี

วูจินหัวเราะ

“พวกนั้นกล้าฆ่าฉัน เพราะงั้นฉันต้องให้มันไสหัวไปจากดินแดนของฉัน”

เขามีดันเจี้ยนอยู่ที่นี่ เขากระทั่งย้ายสำนักงานใหม่ ทำไมเขาต้องไปอเมริกาด้วย เขาแค่ต้องไล่พวกเวรออกไป

มินชานหัวหมุน ประชาธิปไตยในเกาหลีจะล่มแล้ว

มินชานร้อนใจ เขาพูดอย่างขอร้อง

“คนรอบๆตัวท่านจะรับไม่ไหวนะ ท่านเอาตัวรอดได้ แต่เราไม่”

“หา?”

“ได้โปรดมองรอบๆตัวด้วยเถอะครับ”

วูจินมองมินชานที่เหมือนอยากจะร้องไห้แล้วมองซุงฮุน และเขาต้องประหลาดใจที่หน้าของซุงฮุนแข็งค้าง เขามองเลขานุการคนอื่น พวกเขามองมาด้วยแววตาหวาดกลัว

“หืม”

วูจินวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วเอนหลังพิงโซฟา

“ราชาต้องดูแลคนที่ยังมีชีวิตอยู่”

คำพูดของคิบะวนในหัวเขา

‘ฉันคงอยู่ตัวคนเดียวนานเกินไป’

เขาเคยแต่มีผู้ตายล้อมรอบ... วูจินส่ายหน้าแล้วผลักเอกสารออกไป

“ติดต่อสภา ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

“คิดใหม่เถอะครับ...”

“วันนี้ไม่มีเลือดตกยางออก ไม่ต้องห่วง โทรไป”

มินชานหน้าชื่นขึ้น วูจินที่หัวดื้อเปลี่ยนใจแล้ว... แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ยังประหลาดใจ เธอมองสีหน้าวูจิน ผู้ไม่ตายเปลี่ยนใจแล้วจริงๆเหรอ?

เรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้ว

***

“ไอ้หยา ผู้แทนชอย”

“โอ้ พี่ อย่าเรียกผู้แทนเลย เราคนกันเอง”

“ฮะๆๆ คุณอยู่ในตำแหน่งนี้มานาน ผมก็ต้องทำตัวให้เหมาะ”

“ฮะๆ ผู้แทนปาร์คพูดถูก ไม่ใช่ทุกคนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเป็นครั้งที่ 4”

ชอยเทโอกับปาร์คโซกุคหัวเราะจนหน้าย่น จากนั้นปาร์คโซกุคพูดอย่างขึงขัง

“ในที่สุดคังวูจินก็มาแล้วสิ?”

“ฮ่าๆ แน่นอน เขาคิดว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้อีกเหรอ?”

“ชิ เขาเป็นคนหนุ่ม เขามีหน้าที่ต่อประเทศ”

“แน่นอน เขาไม่เห็นหน้าที่สำคัญอย่างการป้องกันประเทศเป็นเรื่องจริงจัง พูดถึงเรื่องนี้ ข้อเสนอของเราดีพอหรือเปล่า? เขาขนาดปฏิเสธข้อเสนอให้กิลด์ของเขามีฐานะเดียวกับกระทรวงกลาโหม เฮ้อ”

“เราใส่ปลอกคอให้เขาได้แล้วทีนี้”

“ถ้าเขายังอยากอยู่ในเกาหลี เขามีทางเลือกอื่นเหรอ? เขาแค่เล่นตัวเพื่อให้ค่าตัวสูงขึ้น”

“อืม ผู้แทนชอยเก่งเรื่องต่อรองคนที่มาชี้แจงนี่นา??”

“ฮะๆ คุณก็เกินไป ผู้แทนปาร์ค ผมจะกดขี่เด็กเวรนั่นอย่างสุดความสามารถก็แล้วกัน”

เด็กเวรนั่นเหมือนลูกโป่ง ค่าตัวเขาเพิ่มพรวด พวกเขาต้องลดค่าตัวของเขาลง

พวกเขาสามารถลดภาระของประเทศลง พร้อมกับทำให้การป้องกันของเกาหลีแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาไม่ใช่เหรอที่รักชาติอย่างแท้จริง?

ชอยเทโอกับปาร์คโซกุคมองหน้ากันอย่างมีความหมายแล้วหัวเราะ





สารบัญ                                        บทที่ 114


วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 112

บทที่ 112 – ได้ยิน


วูจินนั่งบนบัลลังก์และสำรวจสิ่งก่อสร้างที่เขาสร้างได้

เขาสามารถสร้างที่นากับเหมืองเพื่อรวบรวมบลัดสโตน ยังมีร้านของชำ ร้านอาหารและร้านกาแฟสำหรับผู้อาศัยในอาณาเขต... มีร้านค้าหลายอย่าง มีหอคอย หอสังเกตการณ์ มีกระทั่งลานฝึกซ้อมกำลังรบ

“นึกว่ากำลังรบได้มาด้วยการซื้ออย่างเดียวซะอีก?”

<ค่ายทหาร – สิ่งก่อสร้างด้านกองรบ> - 1000p – รวมและฝึกฝนกองทหารตามที่ต้องการ

เมื่อสร้างค่ายทหาร เขาแค่ต้องหาครูฝึกมาฝึกหัดทหาร จากนั้นส่งประกาศรับสมัครไปทั่วอาณาเขตเพื่อรวมสมาชิกมาฝึก

ไม่ได้มีแต่สิ่งก่อสร้างสำหรับฝึกทหารเท่านั้น ยังมีสิ่งก่อสร้างสำหรับฝึกมอนสเตอร์และเผ่าต่างๆ เช่น ศูนย์ฝึกหมาป่า ลานฝึกยิงธนูของเอลฟ์ ยิ่งกว่านั้น...

“ฮะๆ แบบนี้ก็มีแฮะ”

<รังไวเวิร์น – สิ่งก่อสร้างด้านกองรบ> - 3000p – ไวเวิร์นวางไข่และเลี้ยงตัวลูก
ระยะเติบโต : 90 วัน, จำนวน : 1

ซื้อไวเวิร์น 1 ตัว ราคา 300p รังไวเวิร์นแพงกว่า 10 เท่า แต่มันได้เปรียบตรงที่จะได้ไวเวิร์นเพิ่ม 1 ตัวทุก 90 วันโดยไม่ต้องเสียพลังงานเพิ่มอีก

“หือ? จะว่าไป...”

วูจินเปิดหน้าต่างจัดการอาณาเขตเพื่อตรวจดูสิ่งก่อสร้างที่เขามีอยู่ ปราสาทมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างที่บิบิสร้าง แต่สิ่งหนึ่งดึงดูดสายตาเขา

รังไวเวิร์น (12)

“ฮะ ฉันได้มาฟรี”

ชื่อเดิมของอาณาเขตมิตินี้คือรังไวเวิร์น ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน เมื่ออาณาเขตส่งมาที่วูจินเขาก็ได้รับมอบรังไวเวิร์น 12 รัง

ค่าความเข้ากันได้ของเขาตัดบางส่วนของอาณาเขตเดิมไปดังนั้นเขาคงเสียรังไวเวิร์นไปบ้าง เขาโชคดีทีเดียวที่ได้มา 12 รังโดยไม่ต้องเสียพลังงานเลย

“งั้นนี่ก็คือวิธีดูแลรักษาที่นี่”

ถ้ามองว่าสงครามจะมีไปไม่จบสิ้น อย่างนั้นพลังงานก็จะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายอาณาเขตที่มีพลังงานไม่พอใช้ก็จะล่มสลายไป ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วอาณาเขตมิติหลายพันแห่งอยู่มาได้อย่างไร?

“สรุปว่าการใช้พลังงานซื้อกำลังรบควรเป็นเฉพาะตอนฉุกเฉิน”

วูจินเข้าใจระบบขึ้นมาทันที

พลังงานไม่ควรเอาไปใช้ผิดๆด้วยการซื้อกำลังรบ

จำนวนพลังงานที่อาณาเขตมีควรสำรองไว้เท่ากับจำนวนกำลังรบที่ควรมี

พลังงานยิ่งน้อยหมายถึงกำลังรบจะอ่อนแอลง

“ซื้อพวกนี้ก่อน”

เผ่าพันธุ์ของประชากรขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสร้างที่ฝึกกำลังพลแบบไหน

“จะเอามนุษย์มาก็เสี่ยงไปหน่อย”

วูจินไม่ได้ใส่ใจ แต่เขาเป็นห่วงเรื่องเจมินที่หมกตัวอยู่ในบ้าน เจมินไม่มีความมั่นใจที่จะเจอกับมนุษย์จึงไม่กลับไปที่โลก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ควรปล่อยมนุษย์เข้ามาในอาณาเขต

คิดแล้ววูจินก็ตัดสินใจซื้อค่ายทหารอันเป็นปัจจัยพื้นฐาน

<ลานฝึกนักรบออร์ค> - 1000p

ที่ในปราสาทไม่ได้กว้างขวางนักจึงต้องวางผังเมืองเพื่อรองรับแผนงานในอนาคต ปราสาทสร้างบนภูเขาที่ยอดถูกปรับให้เรียบ ด้านหลังปราสาทเป็นภูเขายอดแหลม รังไวเวิร์นอยู่บนภูเขาเหล่านั้น

เมื่อภาพแผนที่แผ่ออกตรงหน้า วูจินตัดสินใจวางลานฝึกตรงเชิงเขาที่ตั้งปราสาท

เสียงสร้างสิ่งก่อสร้างดังขึ้น และในเนื่องจากมันเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐานเวลาที่ใช้จึงค่อนข้างสั้น

“อืม เลือกอะไรดีล่ะ?”

เขาสร้างลานฝึกแต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังรบจะแห่เข้าไปทันที วูจินมองรายชื่อผู้ฝึกที่จะมารับผิดชอบการสอน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พลังงานซื้อผู้ฝึก

ถ้าคิดถึงกำลังพลที่จะได้จากการสอนของผู้ฝึกก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

<อารัค เผ่าศิลาดำ>
<ริทิน เผ่าปีกเดียวดาย>
<โตรูอา เผ่าปีกแสงเทา>

“หือ?”

วูจินคุ้นเคยกับชื่อเผ่าของโตรูอาจึงเลือกมัน

<โตรูอา> 900p
นักรบออร์คแห่งเผ่าปีกแสงเทา
เชี่ยวชาญในการฝึก : ทหารออร์ค (3 วัน), นักรบออร์ค (30 วัน)
จำนวนการฝึกต่อเนื่อง : 10

อุโมงค์สีแดงเกิดขึ้นตรงหน้าบัลลังก์ ออร์คเทาร่างใหญ่เดินออกมาจากอุโมงค์  เหนือดวงตามีสันหนา เขี้ยวงอกออกมาจากปาก ออร์คท่าทางน่าเกรงขามมองลอร์ดเจ้าของอาณาเขต

“ถ้าเจ้าต้องการจ้างข้า ต้องให้บลัดสโตนข้าเท่ากับ 70 แต้มทุกสัปดาห์”

วูจินยิ้มกับคำพูดก้าวร้าวของโตรูอา เผ่าปีกแสงเทาคือเผ่าของมหาราชาคิบะ เขาดีใจที่เห็นชื่อนี้จึงเลือกโตรูอา

“นายรู้จักคิบะไหม?”

“ลอร์ดใหม่อย่างเจ้ารู้จักชื่ออันทรงเกียรตินั้นได้ยังไง? ข้าเป็นหนึ่งในสมุนของเขา”

พวกเขายังไม่ทำสัญญาจ้างงานกัน โตรูอาจึงตอบอย่างไม่เป็นมิตร

วูจินเรียกคิบะ

‘มานี่หน่อย’

เมื่อคิบะได้ยินเสียงเรียกในใจของวูจิน คิบะกลายเป็นควันดำแล้วมาปรากฏตรงหน้าวูจิน

[ท่านเรียกข้า]

“ฉันคิดว่าเขาเป็นลูกน้องเก่านาย รู้จักไหม?”

คิบะเดินไปทางโตรูอา คิบะตายแล้วจึงไม่มีเนื้อหนังติดอยู่ แต่เขาสูงกว่าโตรูอาหนึ่งช่วงศีรษะ ร่างใหญ่โตของคิบะส่งพลังงานอันตรายมีอำนาจไม่ต่างจากก่อนตาย

หรืออาจจะรุนแรงกว่าเพราะมีพลังความตายเข้ามาด้วย...

[เจ้ารู้ไหมข้าคือใคร?]

“จ...เจ้าคือหัวหน้าเผ่าคิบะจริงๆเหรอ?”

โตรูอากลืนน้ำลายแล้วจ้องอัศวินมรณะตรงหน้า ทำให้คิบะสะบัดเท้า

หน้าแข้งของคิบะกระแทกหลังเข่าของโตรูอา แล้วผลักหัวโตรูอากระแทกพื้น

“คึ ทำไมทำแบบนี้...”

ทำเหมือนไม่ได้ยินโตรูอา คิบะหันไปทางบัลลังก์มองวูจิน

[เขาคงเป็นเด็กใหม่]

“รู้ได้ยังไง?”

[ไม่มีสมุนคนไหนกล้ามองหน้าข้า]

“ฮะ”

วูจินหัวเราะ ท่าทางแบบนี้สมเป็นคิบะ โตรูอาตัวสั่นเมื่อวูจินถามเขา

“นายอยากทำสัญญากับฉันไหม?”

“น...แน่นอน ท่านไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้ข้า”

แสงพุ่งจากบัลลังก์ไปล้อมรอบตัวโตรูอา มันกลายเป็นตราบนไหล่เขา เป็นรูปแมวกำลังหาว...

<ท่านได้เพิ่มรายการอาชีพที่สามารถฝึกได้! ‘ทหารออร์ค’ ‘นักรบออร์ค’>

“ข้าจะรับใช้ท่านอย่างซื่อสัตย์”

หลังจากได้รับตรา โตรูอาก็คำนับวูจินอย่างนอบน้อมเหมือนเป็นลอร์ดของเขา จากนั้นไปที่ลานฝึกเพื่อติดป้ายรับสมัคร ถ้าออร์คร่อนเร่ตอบรับก็จะถูกฝึกเป็นทหารในเวลาไม่นาน

เขาสามารถฝึกทหารได้ 10 รายพร้อมกัน ดังนั้นอีก 3 วันวูจินจะได้ทหารออร์ค 10 ตน

หลังหมดช่วงคุ้มครอง 30 วันเขาจะมีทหารออร์ค 300 ตน

เขาลงทุนเบื้องต้นไป 1900p จึงไม่ขาดทุนถ้าได้กองพลนี้มา นอกจากลานฝึกจะถูกทำลายหรือโตรูอาตาย จำนวนทหารของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“แล้วตราพิลึกนี่คืออะไร?”

วูจินเปิดดูข้อมูลของตราแมวหาว

<สัญลักษณ์ของอลันดาล>

เขานึกได้ว่าเห็นธงบนกำแพงปราสาทแวบๆ มันมีรูปเหมือนแมวกำลังหาว... นึกว่าบิบิแค่ใช้ประดับ แต่เธอทำสัญลักษณ์ของอาณาเขตเป็นแบบนั้น...

“เฮ้อ”

วูจินเปิดร้านค้ามิติเพื่อดูตราต่างๆแล้วต้องตาถลน

“ทำไมแพงขนาดนี้?”

แค่ภาพธรรมดาแต่อันที่ถูกที่สุดราคา 5000p ราคาเฉลี่ยอยู่มากกว่า 10000p และแพงกว่านั้นอีกมาก

“เฮ้อ เธอใช้พลังงานไปกับอันนี้”

เขาสงสัยว่าบิบิใช้พลังงานไปกับอะไร แน่ใจแล้วว่าใช้ไปกับการเลือกสัญลักษณ์ เขาอ่านแคตตาล็อกแล้วส่ายหน้า

“มีแต่ของฟุ่มเฟือย”

พวกนี้คือของฟุ่มเฟือยสำหรับตกแต่งปราสาท ราคาแพงเหลือเชื่อเทียบกับประโยชน์ของมัน ใช้พลังงานไปกับของพวกนี้เป็นเรื่องสิ้นเปลือง วูจินเห็นภาพลอร์ดที่มีพลังงานมากซื้อของพวกนี้มาตกแต่งปราสาทให้ดูอลังการ

หลังจากนั้น พวกเขาจะทำสงครามปล้นอาณาเขตอื่นเพื่อเอาพลังงานที่จ่ายไปคืนมา ลอร์ดพวกนี้คงซื้อของฟุ่มเฟือยก่อนแล้วนึกถึงราคาของมันทีหลัง

“ทำโรงผลิตสักหน่อยก่อนดีไหมนะ?”

วูจินมองสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในหมวดโรงผลิต

มีสิ่งก่อสร้างหลายประเภทที่ล่อมอนสเตอร์เข้ามาได้ เหยื่อล่อ กับดัก ต้นไม้ที่ส่งฟีโรโมนดึงดูดเหยื่อ

ลอร์ดต้องเลือกสิ่งก่อสร้างแบบต่างๆขึ้นอยู่กับว่าอยากล่อมอนสเตอร์แบบไหน

วูจินปลูกต้นไม้ล่อเหยื่อไปทั่วอาณาเขต ต้นไม้พวกนี้ดึงดูดหมูป่าเหล็กและหมาป่าเทา จากนั้นเขาซื้อต้นไม้เลือดมากองหนึ่ง

<ต้นไม้เลือด> -30p
พืชที่ให้ผลเป็นบลัดสโตน มันออกผลวันละครั้ง ถ้าไม่เด็ดผลไม้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสัตว์กินมันบ่อยๆจะสร้างบลัดสโตนขึ้นมาในร่าง เมื่อหมดวัน +1p

ถ้าเขาเก็บผลไม้ทุกวันเขาจะได้ 1p และเขาไม่รู้ว่าสัตว์จะกินเท่าไหร่...

และเขาไม่แน่ใจกับราคา 30p เขาจะได้ทุนคืนมาหลังจากเก็บผลไม้ 30 วัน แต่เขาไม่มีความอดทนพอจะฟาร์มต้นไม้เลือด มันไม่ใช่นิสัยเขา

<ต้นไม้เลือดเริ่มโตในอาณาเขต>

ต้นไม้เลือดที่ซื้อมาจะเติบโตในอาณาเขตแบบสุ่มๆ จึงเก็บเกี่ยวยาก เขาจะทำงานนี้เองก็ได้หรือให้แรงงานมาทำ แต่ตอนนี้เขาขาดจำนวนคน...

“เพราะอย่างนี้คนอื่นเลยเลือกทำสงคราม”

เพราะมันดีกว่าเก็บบลัดสโตนจากโรงผลิต อีกอย่างต้นไม้เลือดซื้อได้ในจำนวนจำกัด

<ท่านมีที่ดินไม่เพียงพอสำหรับปลูกต้นไม้เลือดมากไปกว่านี้>

วูจินปลูกต้นไม้เลือดไป 1000 ต้น

เขาใช้ไป 30,000p แต่เขาถือว่าเป็นการลงทุนและไม่เสียดาย หลังผ่านไป 30 วันเขาจะได้ทุนคืนมา หลังจากนั้นเขาจะได้วันละ 1,000 แต้มฟรีๆ

“พอเริ่มใช้ก็ใช้พลังงานไปอย่างเร็วเลยแฮะ”

เขาเหลือพลังงานในอาณาเขตมิติแค่ 70,000 แต้ม

พลังงานเป็นตัวกำหนดลำดับ เขาร่วงจากลำดับ 1317 เป็น 3212 แค่ 30,000 แต้มทำให้ลำดับเขาลดลงขนาดนี้ นั่นหมายความว่าในแต่ละช่วงอันดับมีหลายๆอาณาเขตเบียดกันแน่น

“อืม แบบนี้ก็แย่เหมือนกัน”

ไม่ได้มีแต่เกรทลอร์ด 72 คนที่ต้องการโลก ยังมีลอร์ดลำดับต่ำลงมา ทุกคนพยายามเจาะดันเจี้ยนเข้ามาที่โลกและใช้เป็นพื้นที่ล่า ตอนนี้โลกยังมีกองทัพมีอารยธรรมของตัวเอง สามารถหยุดดันเจี้ยนเบรกได้ แต่สุดท้ายลอร์ดคนใดคนหนึ่งก็จะฝ่าเข้ามาได้ เมื่อฝ่าเข้ามาได้ครั้งหนึ่งแล้วโลกก็จะหยุดยั้งดันเจี้ยนเบรกไม่ได้อีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วมนุษย์จะกลายเป็นเหยื่อ

“ฉันไม่น่าทิ้งอัลเฟนเลย...”

โลกกำลังเดินตามรอยอัลเฟนไม่ใช่เหรอ? วูจินเสียดายที่ไม่ได้ฆ่ามอนสเตอร์ของทราห์เน็ตให้มากกว่านี้ ถ้าทำให้อัลเฟนถูกยึดช้าลง ดันเจี้ยนต่างๆบนโลกคงระเบิดช้าลง

แต่เรื่องมันเกิดไปแล้ว เสียใจไปก็ไม่ได้อะไร

วูจินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง เขามองรายการสิ่งก่อสร้างต่างๆในร้านค้ามิติด้วยตาวาววับ

“เอาล่ะ ต้องวางแผนกันจริงๆแล้วใช่ไหม?”

วูจินดึงแผนที่ออกมาและเริ่มวางแผนพัฒนาเมือง ในระหว่างนั้นก็มีผู้อพยพเข้ามาในอาณาเขตเขาทีละหนึ่งหรือสองกลุ่ม

***

ยี่สิบวันผ่านไป

อาณาเขตมิติอลันดาลเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“เท่านี้น่าจะพอ”

วูจินเก็บแผนที่แล้วลุกขึ้น เขาใช้เวลา 20 วันในดันเจี้ยน แต่ข้างนอกเวลาผ่านไปแค่ 5 วัน

วูจินออกไปหาครอบครัวทุกๆ 4 วันหรือ 1 วันตามเวลาข้างนอก และต้องไปหาจีวอนเพื่ออธิบายเรื่องเจมิน

กิลด์อลันดาลย้ายที่อย่างราบรื่นและกำลังซื้อตึกทั้งหมดใกล้สถานีโซล

“เห็นบอกว่าเมโลดี้มาแล้วใช่ไหม?”

วันที่ 5 เขาได้ข่าวว่าเมโลดี้มาพร้อมกับ ‘เอกสาร’ วูจินกำลังมุ่งหน้าไปทางดันเจี้ยนแต่แล้วก็เปลี่ยนเส้นทาง

“ไปที่สภาสักหน่อยดีกว่าไหม?”

วูจินหัวเราะเมื่อคิดว่าจะได้แก้แค้นเสียที

เขาหวังให้เมโลดี้มาถึงสำนักงานของเขาเร็วๆ


สารบัญ                                          บทที่ 113




วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 111

บทที่ 111 – อลันดาลแห่งที่สอง (2)


วูจินดูในแผนที่เล็ก เขาเห็นจุดสีส้มห่างไปไม่ไกลจากขอบเขตของอาณาเขตนัก

“มันคือ? คนเหรอ?”

เขาเข้าไปใกล้พอเห็นสิ่งมีชีวิตพวกนั้นเดินสองขา เข้าไปใกล้อีกและเห็นว่าไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นเผ่าสัตว์ป่าเผ่าหนึ่ง เป็นเผ่าโฮอิน

ไวเวิร์นลงพื้นก่อให้เกิดลมหมุน หมาป่าปีศาจของคิบะตามมาถึงในเวลาไม่นาน

[ฮื่อ เจ้ามีธุระอะไรกับอลันดาล?]

คิบะจับขวานและถามอย่างข่มขู่ โฮอินผู้มีร่างใหญ่ตนหนึ่งเดินออกมา

“ท่านนักรบผีดิบ โปรดให้พวกเราพบกับเจ้าของอาณาเขตนี้”

วูจินกระโดดลงจากอานไวเวิร์นแล้วเดินออกมา

“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่”

“ข้าขอร้อง ให้ครอบครัวของข้าได้อาศัยในอาณาเขตของท่านสักพัก”

วูจินมองทั้งกลุ่ม พวกเขาเป็นครอบครัวมีสมาชิก 8 คน ชาย 5 หญิง 3 ชายที่เป็นคนคุยอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าครอบครัว

“ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไข”

พวกเขามีสีหน้าแช่มชื่นเมื่อวูจินยอมรับ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียด สีหน้าพวกเขาบอกว่าผ่านความลำบากมามาก

“เงื่อนไขของท่านคือ?”

“ฉันอยากฟังเรื่องของพวกนาย”

เงื่อนไขไม่ได้ยากอะไร

“ถ้าอย่างนั้นข้ายินดีอย่างยิ่ง”

วูจินหันไปมองคิบะ

“พาพวกเขาไปที่ปราสาท”

วูจินปล่อยพวกเขาให้ตามคิบะ ส่วนเขาขี่ไวเวิร์นกลับไปก่อน วูจินจอดตรงที่ว่างของปราสาท บิบิออกมารับเขาเหมือนกำลังรออยู่

“เจ้านาย มีผู้บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตเรา”

บิบิเป็นหัวหน้าพ่อบ้านมีหน้าที่ดูแลปราสาทลอร์ด เธอจึงรู้

“ฉันรู้ เตรียมตัวรับแขก”

“ฮิๆ งั้นเจ้านายต้องเติมพลังงานให้เราแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไร ฉันทำเอง”

“แหม ฮึ”

บิบิทำแก้มป่องแล้วเตะพื้น วูจินยิ้มพลางเปิดร้านค้ามิติ เขาหาบ้านที่เหมาะสำหรับครอบครัวเผ่าโฮอิน

<กระท่อมสองชั้น > - 300P

<เซ็ทสำหรับผู้อพยพตั้งถิ่นฐาน> - 150P

“...”

สิ่งก่อสร้างราคาถูกกว่าที่คาด วูจินจึงพูดไม่ออก บิบิใช้ 10,000 หน่วยพลังงานไปกับอะไรล่ะหวา?

เมื่อวูจินซื้อบ้าน แผนที่เล็กก็ขยายใหญ่เหมือนเป็นกระดานสามมิติ

เมื่อวูจินเลือกที่วาง สิ่งก่อสร้างก็โผล่ขึ้นมา

“...สนุกแฮะ?”

เหมือนเขากำลังเล่นเกมแนววางแผนที่เคยเล่นเมื่อก่อน สิ่งก่อสร้างถูกสร้างขึ้นมา ไอเทมถูกสร้างขึ้นมา วูจินลากเซ็ทสำหรับผู้อพยพเข้าไปในบ้าน ไอเทมหลายๆอย่างก็ออกมา

เตียง,เครื่องเรือน,เครื่องครัว มีกระทั่งวัตถุดิบทำอาหาร... เป็นของที่เพียงพอให้อยู่อย่างสบายไปหลายวัน

เมื่อทุกอย่างเข้าที่ แผนที่เล็กก็หายไป

“ชิ ทีนี้เจ้านายก็รู้จักความสนุกของการซื้อของแล้ว”

บิบิทำปากยื่นยาวเป็นฟุต วูจินเมินเสียงบ่นแล้วเดินไปต้อนรับครอบครัวเผ่าโฮอินที่ผ่านประตูปราสาทเข้ามา

“นายจะพักอยู่ที่นี่”

ครอบครัวโฮอินมองทางบ้านที่วูจินชี้แล้วตาโตอย่างประหลาดใจ

“ท่านไม่ต้องต้อนรับเราขนาดนี้ก็ได้...”

พวกเขาไปมาหลายอาณาเขตมิติแต่ไม่เคยได้รับการต้อนรับดีถึงขั้นนี้ พวกเขาแค่หวังว่าจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่

หนึ่งในเผ่าโฮอิน ซูซุนอาคส่งบลัดสโตนเล็กๆก้อนหนึ่งให้

เมื่อวูจินรับมาก็มีข้อความบอกว่าหินก้อนนี้สามารถเติมพลังงานได้ 50 หน่วย

‘อ้อ นี่คือวิธีเพิ่มพลังงานดันเจี้ยน’

วูจินส่งหินบลัดสโตนคืน

“ฉันแค่อยากได้ยินการผจญภัยของพวกนาย”

“เรื่องนั้นข้าไม่ปฏิเสธ”

ซูซุนอาคซาบซึ้งในความใจดีของวูจิน ท่าทางของเขาบอกว่าจะตอบคำถามวูจินทุกอย่าง

“เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”

วูจินเข้าไปในบ้าน ซูซุนอาคกับครอบครัวเดินตาม เห็นบ้านน่าสบายทำให้ทุกคนในเผ่าโฮอินมีท่าทางดีใจ วูจินโบกมือให้เด็กๆในเผ่า

“มีชั้นสองด้วยนะ พวกนายขึ้นไปดูได้”

“...ครับ”

พวกเด็กๆพยักหน้าอายๆแล้ววิ่งขึ้นบันได ถ้าไม่ใช่เพราะมีหูเสือแล้วพวกเขาก็เหมือนมนุษย์ดูน่ารักมาก

“นั่ง”

“ครับ”

ซูซุนอัคกำลังตื่นเต้นแต่เขานั่งตรงหน้าวูจินอย่างเชื่อฟัง ภรรยาของเขาทำตัวไม่ถูก เธอเห็นเครื่องครัวในห้องครัวจึงไปชงชา

“ท่านอยากรู้เรื่องอะไร?”

“อืม ทุกอย่าง อย่างแรก นายมาที่นี่ได้ยังไง?”

ซูซุนอัคเข้าใจเรื่องที่วูจินสงสัย เขาพยักหน้า เขาเคยสงสัยว่าทำไมลอร์ดคนนี้ไม่มีท่าทางวางโต ดูเหมือนเขาจะเป็นลอร์ดคนใหม่ที่ได้อาณาเขตมาไม่นานนัก

“ท่านได้อาณาเขตมิตินี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”

“หนึ่งวัน”

ซูซุนอัคพยักหน้าแล้วเริ่มพูด

“ก่อนมาที่นี่ พวกเราพักในอาณาเขตแห่งหนึ่งที่หัวหน้าเผ่าออร์คชื่อออร์ตเป็นผู้ปกครอง เมื่อเกิดสงครามที่ชายแดนเขาเรียกเก็บภาษีรุนแรงขึ้น พวกเราจึงต้องกลายมาเป็นคนเร่ร่อน”

แปลว่าพวกเขาเคยเป็นผู้อาศัยในอาณาเขตมิติแห่งอื่นมาก่อน

“นายเห็นฝูงควายข้างนอกไหม? พวกมันมาจากมิติอื่นด้วยเหรอ?”

“ใช่ พรมแดนของอาณาเขตสามารถเคลื่อนที่ไปไหนก็ได้”

ดูเหมือนต่อไปพวกมอนสเตอร์จะหลงเข้ามาในอาณาเขตของเขาเช่นกัน

“มีอาณาเขตมิติกี่แห่ง?”

ซูซุนอัคส่ายหน้า

“มากมายนับไม่ถ้วน”

“เข้าใจล่ะ เมื่อกี๊นายพูดถึงภาษี มันเรียกเก็บกับผู้อาศัยในอาณาเขตเหรอ?”

ดูเหมือนนี่จะเป็นหัวข้ออ่อนไหว สีหน้าซูซุนอัคขรึมลงและพูดอย่างระแวงนิดๆเหมือนนี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขามาก

“สามารถเก็บภาษีกับผู้อาศัยในอาณาเขตได้”

“หืม”

เขาให้บลัดสโตนมา ดังนั้นวูจินจึงสรุปว่าภาษีจ่ายด้วยบลัดสโตน

ถ้าอย่างนั้นผู้อาศัยในอาณาเขตได้บลัดสโตนมาอย่างไร? จับจากมอนสเตอร์ที่หลงเข้ามาในอาณาเขต? หรือปลูกเอา?

วูจินคิดหาหลายๆคำตอบ แต่ถามเอาง่ายกว่า

“แล้วผู้อาศัยจ่ายภาษียังไง?”

“เราออกล่า”

“อ้อเหรอ”

ดูเหมือนการล่าจะเป็นวิธีหลัก แต่แบบนี้ก็แปลว่ามีมอนสเตอร์เข้ามาในอาณาเขตเยอะกว่าผู้อาศัยนี่? ตัวเลขไม่สมเหตุสมผลเลย

“จำนวนมอนสเตอร์ที่หลงเข้ามาจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้อาศัยในอาณาเขตเหรอ?”

“เอ๋? อาณาเขตใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ จำนวนสิ่งมีชีวิตที่หลงมาก็จะมากขึ้นเท่านั้นแต่ทั้งหมดเป็นผู้เร่ร่อน”

ดูเหมือนขนาดของอาณาเขตเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อขอบเขตขยายขึ้นก็จะไปติดกับอาณาเขตมิติอื่นมากขึ้น
แต่เขาก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี

“งั้นพวกนายล่าที่ไหน?”

“ถ้าลอร์ดเปิดประตู ผู้อาศัยจะออกล่า พวกเขาจะรวบรวมบลัดสโตนและเอาบลัดสโตนนั้นมาส่งภาษี”

“...”

สีหน้าวูจินแข็งกระด้างเมื่อซูซุนอัคถาม

“ถ้าท่านเป็นลอร์ดเมื่อวานอย่างนั้นคงมีประตูสักบานเป็นอย่างน้อย มันเชื่อมต่อกับโลกไหน?”

ซูซุนอัคถามเหมือนเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาแทบไม่เคยตั้งคำถามกับวูจินมาก่อน

“มันเป็นที่ๆเรียกว่าโลก”

“อา...ข้าเคยได้ยิน มันมีมนุษย์อาศัยเป็นหลัก... มนุษย์เป็นเหยื่อล่าง่ายมาก”

“...”

ซูซุนอัคมีท่าทางดีใจ

ประตูมิติของอาณาเขตเชื่อมต่อไปที่ไหนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของผู้อาศัยในอาณาเขต

อาณาเขตใหญ่จะมีประตูหลายแห่ง สามารถเลือกได้ว่าจะล่าที่ไหน แต่อาณาเขตเล็กจะมีประตูแค่หนึ่งหรือสองบาน จึงต้องใส่ใจว่าประตูจะไปเชื่อมต่อกับที่ไหน

“ถ้าค่าใช้จ่ายในการตั้งถิ่นฐานต่ำ ข้าก็อยากอยู่ที่นี่”

“ฮืม”

คำพูดของซูซุนอัคทำให้วูจินนิ่งคิด

‘ช่วงคุ้มครอง 30 วัน’

มันคือช่วงที่อาณาเขตมิติและดันเจี้ยนได้รับการปกป้องไม่ให้อาณาเขตมิติอื่นเข้ามา

ถ้าเขาได้ดันเจี้ยนใหม่ น่าจะได้ช่วงคุ้มครองอีก 30 วัน นี่เป็นไปได้มาก

“ดันเจี้ยนเบรก...”

วูจินหลับตา

ทำไมมอนสเตอร์ถึงออกมา?

พวกมันออกมาล่ามนุษย์ ในทางกลับกัน มนุษย์ล่าพวกมัน

อาณาเขตมิติหาพลังงานได้หลายวิธี ดูดซับพลังงานหลังจากฆ่านักผจญภัยที่เข้ามาในดันเจี้ยน  เก็บภาษีจากการให้ผู้อาศัยในอาณาเขตออกล่า นี่เป็นวิธีคิดทั่วไป

หรือทำสงครามกับอาณาเขตมิติอื่น แต่วิธีนี้เสี่ยงมาก

“ฉันจะไม่เปิดประตู”

“อะไรกัน?”

ถ้าไม่เปิดประตูแล้วจะเก็บภาษีได้อย่างไร ถ้าพลังงานมิติลดลงหมายถึงหน่วยรบก็จะลดลงด้วย สิ่งที่ลอร์ดทำได้จะลดลง สุดท้ายลอร์ดคนอื่นจะชิงอาณาเขตไป

“โลกเป็นดาวบ้านเกิดของฉัน”

“อา นี่...ขออภัย”

ซูซุนอัคตกใจจนผุดลุกจากเก้าอี้ จากนั้นเขาก้มหัวติดพื้น

เผ่าพันธุ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในอาณาเขตมิติ มนุษย์ล่ามนุษย์ เอลฟ์กับออร์คที่เป็นที่รู้กันว่าเกลียดกันกลับร่วมมือกัน

แต่ดาวบ้านเกิดมีความหมายสำคัญสำหรับทุกคนเสมอ ซูซุนอัคพูดผิดไป แม้แต่เขาที่กลายเป็นผู้เร่ร่อนไปตามมิติต่างๆยังคิดถึงดาวบ้านเกิดของเขาเอง

“อืม ไม่เป็นไร ไปพักเถอะ”

“ครับ”

“งั้นไว้เจอกันใหม่”

เมื่อวูจินลุกขึ้น ซูซุนอัคก็พูดอย่างประหม่า

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดกับท่านลอร์ด”

“อะไร?”

ระหว่างพักที่นี่เขาไม่ควรทำให้ลอร์ดโกรธ ถ้าลอร์ดปฏิเสธไม่ให้พวกเขาตั้งรกราก พวกเขาก็ต้องไปที่อื่นอีก มันเป็นการเดินทางที่อันตรายมาก

ไม่ใช่ลอร์ดเป็นคนมีเหตุผลเหมือนวูจินทุกคน

“ถ้าล่านอกดันเจี้ยนไม่ได้ ยังมีวิธีเพิ่มพลังงานดันเจี้ยนวิธีอื่นอีก”

ผลที่ได้อาจไม่มาก แต่ยังมีวิธีอื่น

“ทำยังไง?”

“ปลูกดอกไม้เลือด หรือเลี้ยงมอนสเตอร์...”

วูจินพยักหน้า

‘สรุปว่าฉันต้องทำโรงผลิต’

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

เขาสามารถเน้นไปลงทุนที่กองทัพเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ จากนั้นออกล่าเพื่อบลัดสโตน หรือลงทุนในโรงผลิตเพื่อผลิตบลัดสโตน

อาณาเขตจะพัฒนาไปทางไหนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลอร์ด

แน่นอน ถ้าเขาเลือกลงทุนในกองทัพก็จะได้กำไรเร็วและพัฒนาได้เร็ว การลงทุนในโรงผลิตมีแต่กลายเป็นประโยชน์ของอาณาเขตอื่นหากเขามีพลังป้องกันอาณาเขตไม่เพียงพอ

“คงต้องทดลองไปเรื่อยๆ”

เขาต้องหาสมดุลระหว่างการพัฒนากับความมั่นคง เขาต้องตัดสินใจว่าอะไรสำคัญในฐานะเจ้าของอาณาเขต

วูจินถามอีกคำถามก่อนออกจากบ้าน

“เห็นนายมีบลัดสโตน นายใช้ร้านค้าได้ด้วยเหรอ?”

“แน่นอน ถ้าท่านสร้างร้านขายของในปราสาทเราสามารถซื้อได้ด้วยบลัดสโตน”

“เอ่อ นายเข้าใจผิด ฉันหมายถึงร้านค้าของมิติ”

ซูซุนอัคตกใจแล้วส่ายหน้ารุนแรง

“นั่นมีแต่ลอร์ดที่ใช้ได้”

วูจินพยักหน้า

เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงสามารถสร้างร้านของชำหรือร้านขายเนื้อได้ มันมีเพื่อผู้อาศัยกับนักเดินทางนี่เอง บริการพวกนี้จะกลายเป็นรายได้หลักของอาณาเขตมิติโดยเฉพาะถ้าเก็บภาษีเพิ่ม

‘ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก’

เขาคงมีธุระยุ่งถ้าต้องการจัดการอาณาเขตมิติให้ดี

ช่วงคุ้มครอง 30 วันที่ได้มาดูเหมือนจะไม่พอ ถ้าเขาไม่เตรียมตัวให้ดีอาจเสียอาณาเขตให้กับลอร์ดคนอื่น

วูจินออกจากบ้านของซูซุนอัค แล้วเดินไปทางปราสาทที่ตั้งบัลลังก์ของเขา


สารบัญ                                                บทที่ 112