“ตอนที่ผู้ไม่ตายไปเยือนป่าแห่งเอลฟ์...”
“หือ?”
“ตอนนั้น... ท่านผู้อาวุโสเป็นผู้ปกป้องกิ่งไม้โลก...”
“หา? ตายเพราะฉันเหรอ?”
“...”
“ฉันทำเหรอ?”
วูจินยกมือแตะคาง สตรีศักดิ์สิทธิ์ช่วยเตือน
“อัศวินแห่งความตาย”
“อ้อ คิบะเป็นคนทำ”
วูจินจำได้รางๆ เขาต้องใช้กิ่งไม้โลก จึงไปหาที่ป่าแห่งเอลฟ์ สุดท้ายก็เปิดทางโดยใช้อัศวินแห่งความตายกับกองทัพผีดิบ
“เฮ้อ แค่ให้ฉันก็สิ้นเรื่อง”
“...มันเป็นหน้าที่...”
“อะไร?”
“ปละ...เปล่าค่ะ”
ถ้าวูจินอยากได้กิ่งไม้สักกิ่งพวกเอลฟ์คงมอบให้ แต่เขาจะถอนต้นไม้ทั้งต้น ใครจะยอมดูอยู่เฉยๆเล่า
“นักปราชญ์ล่ะ ชื่ออะไรแล้วนะ โนติง...”
“ท่านนักปราชญ์โนทีอุสตายเพราะโรคเก่าที่เป็นเรื้อรังกำเริบค่ะ...”
“...”
วูจินตัดสินไม่ถามว่าอะไรเป็นสาเหตุ มันจะยิ่งทำให้กระอักกระอ่วนกันไปใหญ่
“อ้า ช่างมันเถอะ แล้วทำไมนายมองฉันแบบนั้น?”
“...”
จุงมินชานมองวูจินด้วยสายตาว่างเปล่า กระตุ้นให้วูจินโมโหขึ้นมา มินชานกระแอมแล้วถามอย่างระวัง
“เอ่อ ดูท่าท่านประธานจะก้าวร้าวไปหน่อยนะ?”
“อ๊ะ...”
เมโลดี้อุทาน ถ้าแค่ก้าวร้าวไปนิดก็ดีสิ ชายคนนี้แค่จัดการกระทำของผู้ไม่ตายไว้ที่ระดับก้าวร้าวเล็กน้อย เจ้านี่ก็เป็นคนของอลันดาล
ปีศาจร้าย สตรีศักดิ์สิทธิ์จำหน้าจุงมินชานเอาไว้
“ก็นิดหน่อย
“...”
สตรีศักดิ์สิทธิ์กลืนคำที่จะพูดกลับไปเมื่อวูจินยอมรับตรงๆ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยท่านประธานก็น่าจะจำชื่อคนที่ตายไว้...”
ระหว่างสตรีศักดิ์สิทธิ์กับวูจินมีบรรยากาศน่าอึดอัด มินชานจึงพูดเพื่อคลายความเงียบ แต่วูจินตอบกลับอย่างขึงขัง
“เฮ้ มินชาน นายจำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียนสมัยประถมได้เหรอ?”
“นั่น...?”
เขาจะจำศัพท์เป็นร้อยเป็นพันคำได้ยังไง? ไม่ใช่สิ...
“ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนมัธยมต้น...”
เริ่มจะนอกประเด็นแล้ว...
“นั่นสินะ เรื่องที่ทำลงไป ถ้าฉันไม่ได้ทำมันคงดี”
“...”
วูจินพูดความจริง
ตอนแรก เขาฆ่าเพื่อป้องกันตัว แต่หลังๆเขาเริ่มชินกับการฆ่า
เขาไม่มีความสามารถท่วมท้นขนาดยอมยืนเฉยๆในระหว่างที่ศัตรูจ้องจะเอาชีวิต
ไม่ใช่ผู้ใฝ่สันติอย่างคานธีครับ
“คุยเรื่องนี้แล้วเซ็งแฮะ...”
เมโลดี้ตัวสั่น
“อย่าโกรธนะคะ...”
“อ๊ะ ไม่ใช่”
วูจินขมวดคิ้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องตัวสั่นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร? คิดว่าเขาจะฆ่าเธอเหรอ? เขาไม่มีเหตุผลต้องฆ่าคนที่ไม่คิดร้ายเขาสักหน่อย...
“แล้วเรื่องที่เธอพูดก่อนหน้านี้หมายความว่ายังไง?”
“...เรื่องอะไรคะ?”
“เธอยุให้พวกนั้นบุกอัลเฟนนี่?”
“...”
“อยากให้พวกนั้นตายเหรอ?”
เธอหน้าซีด
“ถ้าเธอเอาเราส์ทุกคนไปที่อัลเฟน พวกเขาจะตายที่นั่น แล้วที่โลกจะเป็นยังไง? เธอก็รู้ว่าไม่ว่าจะทำยังไงดันเจี้ยนก็จะระเบิดอยู่ดี ถึงตอนนั้นใครจะปกป้องโลก?”
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เธอไม่ได้พูดออกมา เมโลดี้หน้าซีด
ไม่ควรดูถูกวูจินเพราะเขาหัวเราะเลย เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“คิดจะประกาศสงครามกับฉันเหรอ?”
“ไม่จริงค่ะ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทิ้งตัวลงหมอบกับพื้นอีกครั้ง
“ไม่ต้องหมอบแล้ว มานั่งที่ อธิบายมาดีๆ”
“มีวิธีหยุดดันเจี้ยนระเบิดอยู่ค่ะ”
“ฟังน่าสนใจนี่”
ถ้าหยุดดันเจี้ยนระเบิดได้เด็ดขาด จะใช้อัลเฟนเป็นสนามรบก็ไม่เป็นไร
“พูด”
“ถ้าท่านมีอาณาเขตมิติสักแห่ง ท่านจะสามารถยึดดันเจี้ยนไปเรื่อยๆ เมื่อเป็นเจ้าของดันเจี้ยน มอนสเตอร์
จะออกมาไม่ได้ถ้าลอร์ดผู้ครองดันเจี้ยนไม่สั่ง”
“หือ? เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก”
“แม่ทัพ 72 นายของทราห์เน็ตเป็นเกรทลอร์ด และยังมีลอร์ดอีกมากเป็นบริวารค่ะ”
“เหรอ?”
“...ท่านไม่ทราบหรือคะ?”
“มันเป็นเรื่องที่ฉันต้องรู้เหรอ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หน้าเบี้ยว ทำไมอยู่ต่อหน้าผู้ไม่ตายเธอถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลยนะ?
ถ้าอย่างนั้นทำไมอลันดาลถึงรบกับทราห์เน็ต? เขาสู้เพื่ออะไร?
“ฉันสู้เพราะมันมายุ่มย่ามกับดินแดนของฉัน”
“...”
เมโลดี้นึกย้อนกลับไป ผู้ไม่ตายสังหารทุกคนที่ล่วงล้ำดินแดนของเขา ไม่แบ่งแยกว่าเป็นทราห์เน็ตหรือทัพพันธมิตร เขาโจมตีศัตรูเพื่อตอบโต้ แต่ไม่เคยยึดดินแดนอื่น
ใช่ เป็นการแก้แค้นเท่านั้นจริงๆ แค่ทำลายถอนรากถอนโคนโดยไม่ยึดครอง
“ตอนนี้ โลกมีแต่ดันเจี้ยนที่ไม่มีลอร์ดครอบครอง ดันเจี้ยนระดับต่ำเป็นพื้นที่เก็บเกี่ยว ลอร์ดอาจสนใจดันเจี้ยนระดับสูง แต่เกรทลอร์ดไม่พอใจแค่นี้”
ดันเจี้ยนระดับต่ำคือดันเจี้ยน 1-3 ดาว ดันเจี้ยนระดับสูงคือ 4-6 ดาว
“เมื่อมีดันเจี้ยนระดับสูงสุดปรากฏขึ้น พวกเกรทลอร์ดถึงจะมุ่งเป้ามาที่โลกค่ะ”
“หืม”
วูจินเคาะนิ้วกับที่วางแขน
อย่างที่คิดไว้ เมื่อดันเจี้ยน 7 ดาวปรากฏขึ้น แม่ทัพของทราห์เน็ตจะออกมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์รู้เรื่องของทราห์เน็ตยิ่งกว่าเขา เธอยังรู้ว่าพลังล้นเหลือของศัตรูมาจากไหน
“แล้วทำไมถึงเกิดดันเจี้ยนระเบิดล่ะ?”
“นั่นเป็นขั้นตอนการประสานกับโลกค่ะ”
“ประสาน?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์อธิบายอย่างอดทน
“อย่างเช่น ถ้าดันเจี้ยนที่มีพลังงาน 30,000 หน่วยรีเซ็ท ถ้าดันเจี้ยนนั้นไม่ถูกพิชิตภายในช่วงการประสานกับโลก 30 วัน มันจะระเบิด มอนสเตอร์จะออกมาอาละวาด และมานาเท่ากับพลังงาน 30,000 หน่วยจะกระจายไปทั่วโลก”
“แล้วถ้าดันเจี้ยนนั้นถูกพิชิตภายใน 30 วันล่ะ?”
“มันจะกลายเป็นเหมืองปกติสำหรับสร้างบลัดสโตน เมื่อบลัดสโตนถูกเก็บไปเท่ากับพลังงาน 30,000 หน่วย ดันเจี้ยนจะรีเซ็ท สุดท้าย บลัดสโตนที่ถูกเก็บออกไปจะไปเพิ่มมานาบนโลกเท่ากับพลังงาน 30,000 หน่วยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางหยุดมันได้ สุดท้ายโลกก็จะเปลี่ยนเป็นเหมือนอัลเฟนอยู่ดี?”
“ค่ะ...”
“แล้วดันเจี้ยนเบรกคือ?”
“เมื่อมานาบนโลกมีเพียงพอและไม่จำเป็นต้องประสานแล้ว ช่วง 30 วันก็จะหมดไป...”
“...”
เท่ากับมอนสเตอร์จะออกมาทันทีเมื่อดันเจี้ยนรีเซ็ท
มันคือหายนะ
ไม่มีเวลาสำหรับเคลียร์ดันเจี้ยนอีกต่อไป ปัญหาใหญ่กว่าคือไม่มีเวลาให้คนในพื้นที่หลบหนี
“ไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อดันเจี้ยนเปิดออกหมด ต้องเกิดความวุ่นวายก่อนทุกอย่างจะพังพินาศ”
“....”
ทั้งโลกจะตกในสภาพวุ่นวาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์แอบโล่งใจเมื่อเห็นวูจินยอมรับคำพูดของเธอ นี่เป็นข้อมูลที่เธอบอกหัวหน้ากิลด์ไททันเช่นกัน
“ก็ได้ สรุปว่าเราหยุดดันเจี้ยนเบรกได้ถ้าได้ครอบครองดันเจี้ยน แล้วทำไมเราต้องไปอัลเฟน?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์กลืนน้ำลาย
“อาณาเขตมิติถูกแย่งได้ค่ะ”
“โฮ่?”
วูจินสนใจขึ้นมาทันที
“ถ้าใครได้ดันเจี้ยนมาครอบครอง ผู้นั้นมีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น และ...”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดต่อ
“อัลเฟนจะเป็นสนามฝึกอย่างดี”
สุดท้ายโลกจะเต็มไปด้วยมานา หลังจากนั้น โลกจะไปหาพลังงานจากที่ไหน? อัลเฟนจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
“ก็สมเหตุสมผลดี” (TN- แต่คนแปลไม่เข้าใจวุ้ย...รอวูจินได้ดันเจี้ยนมาสักที่น่าจะเก็ทขึ้น...)
สตรีศักดิ์สิทธิ์แอบถอนหายใจ
“ถ้าเราแย่งดันเจี้ยนจากลูกน้องของทราห์เน็ตมาหมด พวกมันก็ตกงานใช่ไหม?”
“...”
สมเป็นผู้ไม่ตาย เขาคิดเรื่องยึดมาแทนที่จะป้องกัน สมชื่อจริงๆ
“ค่ะ”
วูจินยิ้มกริ่ม
“ถ้าฉันแย่งมาหมดก็จะได้เจอทราห์เน็ตที่ไม่เคยโผล่หัวออกมาเลย”
“...”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ฟังแผนร้ายของวูจินเงียบๆ
ความจริงและหลอกลวงอยู่คู่กันเหมือนเหรียญมีสองด้าน
“เอาล่ะ บอกสิว่าฉันจะเอาอาณาเขตมิติมาได้ยังไง”
“ท่านสามารถแย่งมา...หรือประกาศครอบครองดันเจี้ยน ทั้งสองทางต้องใช้พลอยชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเศษเสี้ยวแห่งมิติ...”
วูจินหยิบพลอยสีม่วงเจิดจ้าออกมาจากคลัง
“ท่าน...ท่านไปได้มาจากที่ไหนคะ?”
“ก็หยิบมา”
“...”
“แล้วไงต่อ?”
“เศษเสี้ยวมิติหนึ่งชิ้นใช้สำหรับแย่งชิงดันเจี้ยน แต่ผู้ไม่ตายยังไม่มีอาณาเขตมิติ ท่านต้องใช้เศษเสี้ยวมิติ 3 ชิ้นเพื่อประกาศเป็นเจ้าของอาณาเขตแรก”
“ดันเจี้ยนไหนก็ได้เหรอ?”
“ดันเจี้ยนจะเป็นผู้เลือกค่ะ”
“ทำไมยุ่งยากนัก?”
เมโลดี้ก้มหน้า
“จะมีดันเจี้ยนเฉพาะที่ตอบรับเศษเสี้ยวมิติแต่ละชิ้นค่ะ”
“หืม ต้องใช้สามอันเหรอ?”
วูจินเก็บเศษเสี้ยวมิติเข้าคลัง
“เอามาให้ฉันสองอัน”
“...”
เมโลดี้ตัวเกร็ง
“ไม่พูดแสดงว่ามีอยู่สินะ”
“...”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดโกหกไม่ได้ วูจินยิ้มพลางยื่นมือออกมา
“เดี๋ยวคืนให้น่า เอามา”
“ให้ยืมชิ้นเดียวนะคะ”
เมโลดี้คิดจะใช้มันเปิดดันเจี้ยนที่โลก ถ้าวูจินแย่งไป เธอ...
แต่ใช่ว่าเธอจะมีทางเลือกว่าจะให้หรือไม่ให้
เมโลดี้หยิบเศษเสี้ยวมิติจากคลังของเธอ วูจินคว้าไว้
“ปล่อยสิ”
“...ผู้น้อยลำบากมากเลยนะคะกว่าจะหามาได้”
ต้องเสียเลือดเนื้อไปเท่าไหร่เพื่อสิ่งนี้? คนที่อัลเฟนกำลังรอเธออยู่...
เธอต้องครองดันเจี้ยนบนโลกให้ได้สักแห่ง จากนั้นเปิดทางไปสู่อัลเฟนผ่านอาณาเขตมิติ
“รู้น่า ฉันจะคืนแน่ เอามา”
“ต้องคืนจริงๆนะคะ”
“อยากถูกแย่ง? หรือจะให้ฉันยืม?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์คลายมือออก วูจินคว้าชิ้นส่วนมิติเอาไว้ หัวเราะพลางเก็บมัน
“ที่เหลือก็แค่หาดันเจี้ยนที่ตอบรับมันใช่ไหม?”
“...”
ทำไมถึงตื่นเต้นนัก นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของทั้งโลกเลยนะ?
วูจินถามเรื่องอาณาเขตมิติต่อ ระหว่างนั้นก็มีสิ่งหนึ่งลอดเข้ามาในเงาเขา วูจินสะดุ้ง
‘มีอะไร’
วูจินถามในใจ กาเกบิที่กลับมาสิงเงาของเขาตอบกลับเสียงเครียด
[นายท่าน...แม่มดมายาถูกจับ]
‘อะไรนะ? บิบิน่ะเหรอ?’
วูจินตกใจ อสูรในห้องรออัญเชิญร่วมรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเดียวกับเขา โดลเซออกมาทั้งๆที่วูจินไม่ได้เรียก
“ไอ้หยา”
มินชานตกใจที่โดลเซโผล่มากะทันหัน มันเป็นแสงสว่างดวงหนึ่ง กับแสงเล็กๆจำนวนมากเหมือนหิ่งห้อยลอยรอบๆมัน
แสงที่เป็นร่างของโดลเซสั่นระริก
[วิ้ง]
โดลเซสนิทกับบิบิมาก เขาจึงเป็นห่วงมาก วูจินก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
กล้าจับอสูรของเขาเหรอ?
‘ใครทำ?’
[ลูกน้องของทราห์เน็ต...ราชโมด ข้าหนีออกมาตอนที่แม่มดถูกจับ]
‘นายทำได้ดีแล้ว’
ราชโมดเป็นหนึ่งในแม่ทัพ 72 ตน
วูจินลุกพรวดขึ้น
“ฉันต้องไปก่อน...”
“แต่ทีมยังไม่พร้อม”
เขาไม่มีเวลามารอทีมแล้ว
“ราชโมดอยู่ที่นี่”
เมโลดี้ตาเป็นประกาย
ราชโมดเป็นหนึ่งในแม่ทัพ 72 ตน ในที่สุดดันเจี้ยนระดับสูงสุดก็ปรากฏบนโลก ถ้าเธอครองดันเจี้ยนนั้นได้...
‘แต่เศษเสี้ยวมิติถูกเอาไปแล้ว’
เธอเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ทำอะไรไม่ได้
“รวบรวมทีมดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วตามฉันมา สถานที่...”
วูจินถ่ายทอดข้อมูลที่ได้จากกาเกบิ เขาหยุดกึก
“แถวนั้นไม่มีสถานีรถไฟใต้ดิน?”
“...”
วูจินมองเมโลดี้ รอคำอธิบาย
“การประสาน...ใกล้จะสมบูรณ์แล้วค่ะ”
วูจินขมวดคิ้ว
“ตามฉันมา”
“รับบัญชา...”
วูจินมีบรรยากาศเย็นเยือกรอบตัวเหมือนกำลังโกรธ เมโลดี้ตามเขาไปอย่างระวังตัว
-----
รู้สึกมุ้งมิ้งตอนเมโลดี้กับวูจินแย่งชิ้นส่วนมิติกัน
เมโลดี้เจอวูจินยังกับลูกแกะเจอหมาป่าเลย คู่ชิพSMชัดๆ แต่ดูจากที่เล่าพอมาโลกตาวูจินเหมือนจะลดดีกรีความโฉดลงไปเยอะเลย ตอนหน้าสงสารแม่ทัพ(เหยื่อ)คนแรกเลยน่าจะไม่ตายดี 555
ตอบลบตามนั้นเลยค่ะ ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันพระเอกจะโหดมาก แต่เป็นคนรักลูกน้องรักครอบครัวนะ
ลบขอบคุณครับ
ตอบลบ