บทที่ 41 – ข่าวเด่นประเด็นร้อน
“เฮ้ย? บาเรียกำลังจะหายไป”
“อะไร? พูดเป็นเล่น”
นักข่าวที่อยู่ตรงหน้าสถานีมหาวิทยาลัยโซลทางออกที่ 6 ต่างประหลาดใจเมื่อเห็นบาเรียกำลังสลายตัว
เวลาเฉลี่ยในการเคลียร์ดันเจี้ยน 5 ดาวคือ 8 ชั่วโมง แต่วูจินกับซุงกูปรากฏตัวหลังจากเข้าดันเจี้ยนไปได้ 4 ชั่วโมง
ต่อให้ข้างในดันเจี้ยนเวลาไหลไปเร็วกว่าข้างนอก 4 เท่า พวกเขาเคลียร์ดันเจี้ยนในเวลา 16 ชั่วโมง
“รีบๆเขียนสกู๊ปเถอะ”
“เราต้องขอสัมภาษณ์เขาให้ได้ ว้าว นี่มันทำได้ไง”
“แบบนี้ก็แปลว่าเขาฝีมือพอๆกับคิมกังชุนเลยสิ?”
“เฮ้ย เอาไปเทียบกับคิมกังชุนเลยเหรอ”
ถ้าให้บอกว่าใครเป็นเราส์อันดับหนึ่งของเกาหลี ทุกคนต้องตอบว่าคิมกังชุน
“ถึงงั้นก็เถอะ ผลงานของเขานี่ดูถูกไม่ได้เลยนา”
“นั่นสิ อ้า ออกมากันแล้ว”
แน่นอน ตอนนี้เราส์ในเกาหลีที่ดังที่สุดไม่มีใครเกินวูจิน เขาเป็นเราส์ที่เคลียร์ดันเจี้ยน 5 ดาวตามลำพัง
ที่มาที่ไปของเขายังไม่ชัดเจนในฐานะเป็นเราส์แรงค์ A คนใหม่ แต่มีการถกเถียงเรื่องของเขาอยู่มาก
ทำไมเขาถึงไม่เผยแรงค์จริง? ระหว่างที่หายตัวไป 5 ปี เขาทำอะไร? เขามีพลังพิเศษอะไร...ฯลฯ
ในเมื่อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคังวูจินนักจึงคาดเดากันไปต่างๆนานา โดยเฉพาะในอินเตอร์เน็ต
เป็นงานของนักข่าวที่ต้องเผยข้อมูลอะไรก็ได้ของเราส์คังวูจิน ผู้ซ่อนตัวอยู่หลังม่าน
“คุณคังวูจิน ช่วยให้สัมภาษณ์ด้วยครับ”
นักข่าวล้อมเข้าหาคังวูจิน เขาจ้องกลับพลางเดินลงบันไดมา
“ผมอารมณ์ไม่ดี ระหว่างผมยังทำตัวสุภาพอยู่พวกคุณควรจะหลีกทาง”
น้ำเสียงยามโกรธของเขาดุร้ายเหมือนสัตว์ป่า บรรดานักข่าวสะดุ้งเมื่อรู้สึกถูกคุกคามและถอยไป
แต่ในนี้มีนักข่าวมากกว่า 20 คน คนที่อยู่รอบนอกตะโกนถาม
“คุณคังวูจิน กล่าวอะไรหน่อยครับ”
“...”
วูจินยืนนิ่งมองนักข่าวรอบๆ สายตาหยุดลงตรงไมโครโฟนที่จ่อหน้าเขา
“เอามันออกไป”
“...”
นักข่าวลดไมโครโฟนลงเงียบๆเมื่อได้ยินเสียงข่มขู่ วูจินจ้องพวกเขา นักข่าวต่างหลบตา
‘อึก นี่ใช่สายตาของคนธรรมดาเหรอ’
วูจินเริ่มออกเดิน บรรยากาศกดดันไม่ให้นักข่าวคุยกับเขาอีก พวกเขาหันไปทางซุงกูที่เดินมาอย่างท้อแท้
“คุณฮงซุงกู คุณเป็นคนเดียวที่ร่วมทีมกับคุณคังวูจิน พวกคุณเจอกันได้อย่างไร”
“มีการเทียบคุณคังวูจินกับคุณคิมกังชุน คุณคิดว่าใครแข็งแกร่งกว่า”
กับคำถามที่ไหลมาเทมา ในที่สุดซุงกูก็โกรธอย่างไม่สมเป็นตัวเขาเลย
“มากไปหรือเปล่าพวกคุณ นี่คิดว่าดันเจี้ยนเป็นสนามเด็กเล่นเหรอ เรารอดกลับมา ยังไม่ทันได้หายใจเอาอากาศบนโลกเข้าไปเลยพวกคุณก็เอากล้องมาจ่อหน้าพวกเราแล้ว”
“...”
นักข่าวเงียบ ยิ่งทำให้ซุงกูหงุดหงิด เขาตะโกนอีก
“พวกคุณทำแบบนี้กับทีมอื่นไหม คิดว่าจะทำยังไงกับพวกเราก็ได้เหรอ”
นักข่าวเข้ามารุมพวกเขาเพราะคิดว่าพวกเขารับมือง่าย ทีมของกิลด์ใหญ่ทีมอื่นจะไม่ยอมให้นักข่าวเข้าใกล้ตั้งแต่แรก ทีมสนับสนุนจะพวกนักข่าวไว้เป็นเรื่องธรรมดา
“หลีกทางด้วยครับ...”
ซุงกูหลุดจากพวกนักข่าวมาได้ วูจินเดินห่างไปไกลแล้ว ซุงกูวิ่งจนตามทัน
“ลูกพี่ เรื่องก่อนหน้านี้ผมขอโทษ”
“เฮ้ย”
“ครับ”
“พอ แค่นี้พอ”
“ครับลูกพี่”
“นายต้องทำแต่พอดีไม่งั้นพวกนั้นจะไม่ชอบหน้านาย เมื่อกี๊นายออกจะลงมือหนักไปหน่อย”
“ผมจะระวังครับ”
วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหงอยๆของซุงกู ซุงกูอ่อนไหวเกินไป แต่ถ้าเพิ่งรอดตายมาหยกๆแล้วยังทำตัวตามสบายได้นี่ต่างหากที่แปลก
วูจินผ่านอะไรมาขนาดไหนตอนอยู่บนโลกอัลเฟน?
“นายเป็นผู้ชาย... ยืดอกไว้ไอ้หนุ่ม”
“ครับผม”
“กล้าไว้ โดนด่านิดหน่อยไม่ต้องทำจะเป็นจะตายขนาดนั้น”
อ่า ซุงกูรู้สึกไม่ยุติธรรม เขาถูกคนร้ายตัวจริงที่ด่าเขาปลอบใจ
แต่ซุงกูกลับรู้สึกสบายใจแปลกๆ
“ครับผม!”
“เอาล่ะ ไปกัน”
วูจินขึ้นไปนั่งในรถซุงกูแล้วโทรหาคิมเฮมิน
[คุณคังวูจิน เอ๊ย ท่านประธาน ออกมาแล้วเหรอครับ]
“ตอนนี้นายทำอะไรอยู่ หัวหน้าทีมจุงล่ะ”
[หัวหน้าทีมกลับบ้านครับ หลังทำสัญญาเช่าออฟฟิศเสร็จแล้ว เขากลับไปตรวจเอกสารที่จะเอาไปยื่นพรุ่งนี้...]
“นี่หาออฟฟิศได้แล้วเหรอ?”
[ครับ อยากมาดูไหมครับ]
ดูไปทำไม วันนี้เขาอยากพักผ่อน
“พรุ่งนี้แล้วกัน เอาที่อยู่มาก็พอ”
[ได้ครับผม เดี๋ยวส่งไปทางข้อความเลยครับ]
เมื่อตัดสาย ข้อความก็เข้ามา เขากดตรงที่อยู่แล้วแอพพลิเคชั่นแผนที่ก็แสดงออกมา
“ใกล้ๆนี่เอง”
ฟังแล้วซุงกูก็ถาม
“แบบนี้มันเหมือนประกาศสงครามกับกิลด์แฮมเมอร์ไปหน่อยหรือเปล่าครับ”
“ทำไม”
“ถ้าสำนักงานใหญ่ของพวกเราอยู่แถวนี้ก็แสดงว่าเราต้องแข่งกับพวกเขาตรงๆ...”
ในยามเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท ทีมแรกที่ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนจะได้เป็นทีมจู่โจม กิลด์ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ใกล้ๆก็ย่อมมีโอกาสไปถึงก่อนสูงกว่ากิลด์อื่น
กิลด์ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กันย่อมแข่งขันกันสูงเป็นธรรมดา
กิลด์ใหญ่ทั้ง 3 กิลด์ของเกาหลีต่างตั้งห่างกัน
KH อยู่กังบุก ฮวารางอยู่อินชอน แฮมเมอร์อยู่กังนัม แม้แต่กิลด์ขนาดกลางก็อยู่ห่างจากทั้งสามกิลด์ที่ว่า นี่เป็นวิธีที่กิลด์ใหญ่นี้ใช้เป็นข้อได้เปรียบเหนือกิลด์อื่นๆ
“แล้วไง? เราไม่ได้ไปสู้กับพวกนั้นสักหน่อย เราแค่ตั้งกิลด์เพื่อให้มีทางเลือก”
“ก็จริงนะครับ...”
จุดประสงค์หลักของกิลด์นี้คือตั้งขึ้นเพื่อหนีทหาร แต่กิลด์แฮมเมอร์จะคิดอย่างนั้นหรือเปล่า...
บ้านของเจมินอยู่ห่างจากสถานีไปเพียงสองสถานี ไม่นานพวกวูจินซุงกูก็ไปถึง
“เจอกันพรุ่งนี้ที่ออฟฟิศ”
“ครับลูกพี่ เข้าบ้านดีๆนะครับ”
“อืม”
“เดี๋ยวก่อนครับ ลูกพี่”
“อะไร?”
“ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมไว้...”
“ไม่มีปัญหา”
วูจินโบกมือแล้วเข้าไปในบ้านเจมิน
***
วูจินเปิดประตูบ้าน ดูเหมือนเจมินจะยังไม่กลับจากเรียนพิเศษ
“เมี้ยว เจ้านายเก่งขึ้นเยอะอีกแล้วล่ะเมี้ยว”
วูจินยิ้มให้บิบิที่เข้ามาทักทายทุกครั้ง
“บิบิ เธอจำพวกลูกน้องของทราห์เน็ตได้หรือเปล่า”
“เมี้ยว? มันทำไมเหรอเหมียว”
“ฉันสงสัย ถ้าถือว่าไอ้ดันเจี้ยนพวกนี้เป็นของที่ทราห์เน็ตสร้างมาบุกโลก ที่ไอ้เวรนั่นพยายามสร้างอุโมงค์มิติฉันเข้าใจ แต่ทำไมไม่เห็นลูกน้องของทราห์เน็ตเลยล่ะ”
“เหมียว ก็มีนี่เหมียว”
“ฉันหมายถึงลูกน้องมันจริงๆ”
ราควิหรือแดรบบิทเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำ ไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทราห์เน็ตด้วยซ้ำ สัตว์ป่าพวกนี้มักจะโผล่มาใกล้ๆเขตแดนของทราห์เน็ต จะบอกว่าเป็นเครื่องมือก็ใช่อยู่
ที่วูจินพูดถึงไม่ใช่มอนสเตอร์ระดับต่ำ ถ้ากองทัพของทราห์เน็ตปรากฏขึ้นจริงๆตอนนี้ กองกำลังในโลกไม่มีทางเผชิญหน้ากับพวกมันได้เลย
เราส์แรงค์ A สิบคนในเกาหลีที่ยกย่องกันนักหนามีพลังพอๆกับเลเวล 60
ถือว่าเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนรอบที่ 6
พลังระดับนั้นก็พอมีอิทธิพลอยู่บ้างในโลกอัลเฟน แต่ยังสู้กับกองทัพของทราห์เน็ตไม่ได้
“เหมียว เพราะพลังไม่พอหรือเปล่าเมี้ยว”
“พลัง?”
“อย่างเรานี่ไงเมี้ยว บนโลกนี้เราสร้างร่างจริงไม่ได้เลยเป็นแบบนี้ บางทีพวกมันยังสร้างร่างจริงบนโลกนี้ไม่ได้เมี้ยว?”
วูจินกระจ่างขึ้นมาทันที
“ไอ้เวรพวกนั้นยังมีพลังก่อร่างไม่พอ?”
“เมี้ยว น่าจะเป็นอย่างนั้นนาเมี้ยว?”
น่าจะใช่ ไม่สิ เป็นไปได้ทีเดียว ไม่อย่างนั้นทำไมพวกมันไม่โจมตีให้บ่อยกว่านี้?
“พวกมันส่งพวกเผ่ารูปร่างเหมือนคนที่จับได้มาเป็นแนวหน้า”
พวกมันใช้ดันเจี้ยนและใช้ดันเจี้ยนระเบิด เป็นไปได้ว่าคนในโลกอัลเฟนจะข้ามมายังโลกนี้ เป็นไปได้ว่าคนบนโลกมองพวกเขาเป็นชาวโลกเหมือนกัน
“หืม ทำไมดันเจี้ยนระเบิดถึงเกิดทุกสามสิบวันล่ะ”
“เมี้ยว อาจจะเพราะนั่นน่ะเหมียว”
“หมายความว่าไง”
“ดูเหมือนกองทัพของทราห์เน็ตจะฟื้นพลังใหม่ทุกเดือนเหมียว”
“...!”
“เมื่อก่อนเจ้านายก็พูดว่า ไอ้เวรพวกนั้นโผล่หน้าออกมาเฉพาะวันเงินเดือนออกเมี้ยว”
“อ้า ฉันเคยพูดจริง”
บิบิพูดอย่างเคร่งขรึมด้วยสีหน้าแมวๆ
“ที่แน่ๆคือกลิ่นของทราห์เน็ตแรงขึ้นทุกครั้งที่เกิดดันเจี้ยนระเบิดล่ะเหมียว”
นั่นฟังไม่ดีเลย มนุษย์โลกยังไม่พร้อมสู้กับกองทัพของทราห์เน็ต บางทีโลกอาจพ่ายแพ้ให้กับทราห์เน็ตอย่างอนาถยิ่งกว่าอัลเฟน
ถ้ากำจัดดันเจี้ยนไปเลยได้ก็ดี แต่วูจินนึกไม่ออกว่าจะทำได้อย่างไร แต่เขารู้สึกว่ามันต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม
“อ้อ ถ้าเธอกลับห้องอัญเชิญ น่าจะเจอกับโดลเซนะ”
“แม้ว? จริงอ่ะเมี้ยว?”
อสูรอัญเชิญลำดับที่สองของวูจิน
บิบิดีใจมากที่ได้ยินว่าโกเลมโดลเซออกมาแล้ว
“เมี้ยว ดีใจจังเลยเมี้ยว เราไปเล่นกับโดลเซนะ?”
“เอาสิ”
“เย้เมี้ยว คราวหน้าเจ้านายเข้าดันเจี้ยนเรียกเราด้วยนะเมี้ยว”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ท่าทางบิบิจะดีใจจริงๆ เธอแปลงเป็นควันดำแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฮืม ฉันก็น่าจะเริ่มเรียนรู้สังคมต่อแล้ว”
วูจินหารีโมทคอนโทรลแล้วเปิดโทรทัศน์ จากนั้นเริ่มเขียนข้อความส่งเจมิน
[ซื้อส้มมาฝากถุงนึงด้วย]
ติ๊ง
ข้อความตอบกลับภายใน 10 วินาที
[ผมใกล้ถึงบ้านแล้ว]
“อ้าว?”
ประตูเปิดออกก่อนวูจินจะตอบกลับ
“เฮ้ ออกไปซื้อให้หน่อยสิ”
“ครับ ขอผมเปลี่ยนชุดก่อน”
“หืม?”
วูจินงงเมื่อเจมินตอบอย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวผมมา”
เจมินวางกระเป๋า เปลี่ยนเสื้อผ้า วูจินมองเจมินออกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เอาเงินจากเขา
“ไม่ขอเงินด้วยวุ้ย”
ไม่นานเจมินก็กลับมาพร้อมส้มหนึ่งถุง เขาส่งมันให้วูจิน
“เฮ้ ที่โรงเรียนมีเรื่องเหรอ ใครมายุ่งกับนายอีกหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เพราะพี่ผมเลยสบายดี ขอบคุณอีกครั้งนะครับ...”
เจมินโค้ง วูจินตาค้างอย่างไม่ชินกับเจมินที่เป็นแบบนี้ ทำไมเขาถึงทำตัวแบบนี้กัน?
“มีเรื่องต้องใช้เงินหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เงินที่พี่ให้ยังใช้ได้อีกนาน”
“เฮ้ย วันนี้หมอนี่เอาจริงเอาจังน่าดูแฮะ ประหลาด”
“เอาล่ะ ผมต้องไปทบทวนบทเรียนก่อน ใกล้สอบแล้ว”
“อะ อา เอาสิ”
เมื่อเห็นเจมินนั่งลงตรงโต๊ะและเปิดหนังสือวูจินก็ขมวดคิ้ว จู่ๆเด็กคนนี้ก็กลายเป็นเด็กเคร่งขรึม ทำให้วูจินไม่สบายใจ
วูจินลดเสียงโทรทัศน์ลง (TN-วูจินเกรงใจเพื่อนร่วมบ้านเป็นด้วย!)
เจมินเปิดหนังสือ แต่เขาไม่มีสมาธิเลย เขาไม่สนใจเสียงละครในโทรทัศน์หรือเสียงปอกส้มของวูจิน
เขารู้สึกหนักข้างใน เหมือนกำลังจมน้ำ
“เฮ้อ”
ก่อนจะรู้ตัวก็ส่งเสียงถอนหายใจออกไป วูจินได้ยินก็ถาม
“เฮ้ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น วัยแตกหนุ่มเรอะ”
“ไม่ใช่ครับ...”
สีหน้าเจมินเต็มไปด้วยความกลุ้มใจ เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ
วูจินเดาะลิ้นรำคาญแล้วเรียก
“ไอ้หนู มีอะไรก็บอกมา เลิกถอนหายใจได้แล้ว”
“...”
เจมินฟังแล้วปิดหนังสือ จากนั้นไปนั่งข้างวูจินดังตุบ
“พี่”
“เออ”
วูจินปิดโทรทัศน์ เจมินอ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะพูดออกมา
“จำที่ผมบอกเรื่องความฝันของผมได้ไหม”
“อะไรนะ ที่นายบอกว่าอยากเข้ากิลด์ใช่ไหม”
“ครับ”
“จำได้ นายบอกว่าอยากได้เงินเยอะๆ”
เมื่อเห็นว่าวูจินจำได้ เจมินรวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ
“ตอนนี้เรื่องของเขาคุยเรื่องพี่กันทั่ว เมื่อก่อนผมไม่รู้เลยว่าพี่จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
วูจินไถเงินนักเรียน... ไม่สิ เงินก็คืนแล้ว แต่วูจินยืมเงินค่ารถ วูจินไม่มีที่อยู่เลยมาอยู่บ้านเจมิน ถ้าคิดว่าวูจินเป็นผู้ยิ่งใหญ่สิถึงแปลก
“แล้วไง นายไม่ชอบใจที่ฉันไม่บอกนาย?”
“เปล่าครับ ผมได้ยินว่าพี่กำลังจะตั้งกิลด์...”
วูจินยิ้มในใจ
“อ้อ อย่างนี้เอง นายอยากให้ฉันเอานายเข้ากิลด์สิท่า ฉันก็กะอย่างนั้นอยู่นะ แต่ว่าเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ากิลด์ไม่ได้ ผิดหวังหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
เขาไม่ผิดหวังก็จริง แต่ว่า...
“ความฝันของผมคือได้งานในกิลด์ใหญ่ 3 แห่งของเกาหลี ผมจะได้มีโอกาสหายานั่น ที่ผมเรียนหนักก็เพราะอย่างนั้น”
“ยาเหรอ”
“มันไม่ใช่ของที่มีเงินก็ซื้อได้ มันเป็นของที่จะได้รับเมื่อกลายเป็นที่ยอมรับในกิลด์...”
“ยาแบบไหน”
“ยาฟื้นสภาพครับ...”
“อ้อ ให้พี่นายล่ะสิ?”
“...”
เจมินหุบปากเงียบ
ไม่นานมานี้เขาหาชื่อของวูจินในอินเตอร์เน็ตแก้เบื่อแล้วเห็นวูจินถูกเปรียบเทียบกับคิมกังชุน...
จะเป็นไปได้ไหมถ้า...?
แต่ เขาทำไม่ได้... เขาไม่หน้าด้านพอจะขอสิ่งนั้นจากวูจิน
กริ๊งๆ
เสียงโทรศัพท์ของเจมินดังขึ้น บรรยากาศอึดอัดหายไป
“พี่ ผมไปข้างนอกแป๊บนะ”
“อ่า เอาสิ”
เจมินสวมรีบโค้ทแล้วออกไป วูจินยิ้ม
“เจ้าหนูนี่ใจไม่กล้าเลย”
เจมินเรียนหนักตลอด เงินไม่ใช่เหตุผลที่เขาอยากเข้ากิลด์ แต่เป็นเพราะพี่สาวเขา พี่สาวที่กำลังทำงานหนักเพื่อน้องชาย...
วูจินคิดว่าเป็นพี่น้องที่รักกันดี
“ถ้าอยากได้ก็ขอมาสิ”
วูจินหัวเราะแล้วเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จขึ้นมา
ขอบคุณครับ
ตอบลบ