วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 33

บทที่ 33 – ดันเจี้ยนรีเซ็ท

“โอ๊ย”
จีวอนรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยง เธอครางพลางลุกขึ้น เมื่อมองรอบตัวก็พบว่าอยู่ในบ้านของเจมิน ความทรงจำของเธอเริ่มคืนมา
รุ่นน้องของวูจินที่ชื่อซุงกูเป็นคนเริ่ม ให้เธอเล่นเกมแล้วเกมเล่า ดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า ซุงกูตื๊อให้เธอถอดหมวกออกแต่ไม่สำเร็จ และพยายามจะมอมเหล้าเธอ
แล้วเธอก็รู้สึกวิงเวียนมากจนฟุบกับโต๊ะ หมวกหลุดไป
“พวกเขาเห็นแล้ว...”
เธออยากปิดมัน ได้เจอกับคนที่รู้จักแต่เธอคนเก่าตอนที่ยังสวย แต่เธอกลับแสดงส่วนที่น่าอับอายออกมา
จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม ก็ยังสวยอยู่นี่
ตอนที่หมวกหลุด เธอไม่กล้าลุกขึ้นเลย ดังนั้นจำแกล้งทำเป็นหลับ แต่เพราะดื่มไปมากเลยเคลิ้มไป...
เธอเข้าใจว่าเป็นวูจินที่อุ้มเธอกลับ... จากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
จีวอนเอามือทาบแก้มที่เริ่มเป็นสีแดงแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ายังสวมหมวกอยู่ เธอถอดมันออก
“โอ๊ย”
จีวอนดึงหมวกออก มีเส้นผมหลายเส้นถูกดึงออกมาด้วย
ที่หมวกมีเทปใสปิดอยู่ จีวอนเห็นแล้วหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
“แหม”
จีวอนจำไม่ได้ว่าวูจินเอาของแบบนี้มาติดไว้ตอนไหน แต่แปลกที่มันทำให้หัวใจเธอเต้นแรง ทำไมของอย่างเทปใสถึงทำให้หัวใจสั่นไหวได้นะ?
เป็นครั้งแรก
คนๆนี้พูดว่าเธอสวยทั้งๆที่เธอเปลี่ยนเป็นตัวประหลาด เธอเชื่อว่าไม่มีใครคิดแบบนั้นถ้าไม่บ้าพอ แต่วูจินกลับพูด
หัวใจเธอเต้นแรง และยังเมาค้าง หลังจากดื่มน้ำดับกระหายก็คิดจะเข้าห้องน้ำ แต่ประตูถูกล็อค
“เอ๋? พี่ตื่นแล้วเหรอ? รอแป๊บนะ”
“ทำไมเธอตื่นเช้านัก?”
“เอ่อ ตอนผมกำลังนอนก็นึกได้ว่ายัง... ไม่ได้ซักผ้า ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อยซักแทนผม”
“อะไรของเธอ อย่างน้อยก็เปิดประตูไว้สิ”
“โว้ๆ แป๊บครับแป๊บเดียว จะเสร็จแล้ว”
ตอนนี้เป็นตีห้า
ประตูห้องน้ำยังไม่เปิดออกอีกนาน
***
“เมี้ยว”
วูจินตื่นนอน สิ่งแรกที่ทักทายเขาคือบิบิ
“นอนหลับสบายไหมเหมียว?”
“ฮู้ว ไอ้พวกตัวที่วิ่งไล่ฉันมันอะไร?”
“ผองเพื่อนโปโรโรไงล่ะเมี้ยว เราเห็นในทีวีเมี้ยว”
“ฮู้ว”
พวกมันวิ่งตามเขาอย่างเริงร่า... เสียงหัวเราะของสหายสัตว์ป่ายังติดหูเขาอยู่เลย
“หยิบมือถือให้ที”
“รับทราบจ้าเมี้ยว”
บิบิคาบมือถือมาให้ วูจินเปิดแล้วส่งข้อความ
[โรงแรมแฮมเมอร์ ห้อง 1703 ถ้านายมาสายเกิน 9 โมง เละ]
ตอนนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา เวลาหนึ่งชั่วโมงมากพอจะเดินทางมาถึงที่นี่ ร่างของวูจินชุ่มเหงื่อ เขาจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
หลังอาบน้ำเสร็จ วูจินออกมาเห็นบิบิกำลังอ่านอะไรอยู่
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
“รูมเซอร์วิสเมี้ยว เราอยากกินนี่จังเลยเมี้ยว”
“รูมเซอร์วิส?”
วูจินอ่านใบคู่มือ จากนั้นยกหูโทรศัพท์ของโรงแรมขึ้น
“คือส่งอาหารสินะ”
วูจินสั่งรูมเซอร์วิส ไม่นานอาหารที่บิบิเลือกก็มาถึง มันวางเรียงรายเหมือนเขาอยู่ในภัตตาคาร วูจินทึ่ง
เรื่องนี้โลกไม่แพ้อัลเฟนเลย
ถ้าเข้าใจไม่ผิด พวกขุนนางที่อัลเฟนใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่ที่นี่ ถ้ามีเงินก็อยู่หรูได้พอกัน
ไม่สิ วูจินยังไม่เคยเห็นวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในโลกนี้ เป็นไปได้ว่าที่นี่อาจจะอยู่หรูกว่า
หลังจากอาหารถูกจัดวางเรียบร้อย บิบิกระโดดขึ้นบนโต๊ะอย่างว่องไวแล้วหยิบส้อมขึ้นมา
“เมี้ยว อันนี้ที่เราอยากกินเมี้ยว”
บิบิเลือกหมูทอด ที่ไม่มีในอัลเฟน
“เมี้ยว ทอดหมูกันล่ะ วิธีปรุงอาหารของชาวโลกนี่สุดยอดเลยเมี้ยว”
“ไม่แค่หมู อะไรก็เอามาทอดหมดแหละ”
“จริงเหรอเมี้ยว?”
ในอัลเฟนไม่มีอาหารทอด บิบิเริ่มพูดถึงอาหารหลายชนิดที่เธอเห็นในโทรทัศน์ และบอกว่าจะกินให้หมด
ฟังแล้ววูจินก็นึกขึ้นได้
“อ้า ฉันก็ควรดูทีวีด้วย”
ห้าปี ยี่สิบปีที่เขาจากโลกไป จะบอกว่าโลกในความทรงจำของเขาเป็นคนละโลกกับโลกปัจจุบันนี้ก็ไม่แปลกเกินไป
ยกเว้นตอนอยู่ในดันเจี้ยน วูจินตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือไปกับการดูโทรทัศน์ เพื่อเพลิดเพลินไปกับวัฒนธรรมสมัยใหม่และช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับสังคมได้
ระหว่างกินข้าว เสียงออดก็ดังขึ้น
“บิบิ กลับห้องอัญเชิญไป”
“แม้ว ยังกินไม่อิ่มเลยเมี้ยว”
“ไว้จะซื้อให้อีกเยอะๆ”
“ก็ได้ ห้ามลืมนะเหมียว...”
บิบิกลายเป็นควันดำและหายไปในทันใด วูจินเก็บข้าวของของตัวเองแล้วเปิดประตู
ซุงกูกำลังคุกเข่าตรงหน้าประตู เมื่อวูจินเดินออกมา เขาก็หมอบกราบกับพื้น
“ขอโทษครับลูกพี่ เมื่อวานผมเมาจนเสียสติไป ยกโทษให้ผมด้วย”
“ไม่เป็นไร นายได้จองดันเจี้ยนสี่ดาวไว้แล้วยัง?”
ถ้าคิดจะหาเงินเร็วๆ ดันเจี้ยนสามดาวเป็นทางเลือกที่ดี แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้จะน้อย
ถ้าเป้าหมายคือเพิ่มเลเวล เข้าดันเจี้ยนสี่ดาวจะดีกว่า เงินที่หมดไปกับการซื้อบ้านนั้นเขาน่าจะหาคืนมาได้ครบก่อนย้ายบ้าน
“ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้ครับ”
“ลงไปหากาแฟดื่มกันสักแก้ว”
วูจินซุงกูลงไปที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมซึ่งมีร้านกาแฟเปิดอยู่ สั่งอาหารแล้วนั่งที่
“กาแฟที่นี่แพงจริง”
“โรงแรมนี่ครับ... อะไรในโรงแรมปกติก็แพงทั้งนั้น”
“เชด ช่างมัน รีบหาสิ ไหนๆก็หาแล้วก็หาจองไปทั้งอาทิตย์เลย”
“ได้ครับ”
วูจินต่างจากเราส์ธรรมดาอยู่บ้าง ถ้าเป็นปกติดันเจี้ยน 4 ดาวย่อมทำเงินได้มากกว่าดันเจี้ยน 3 ดาว แต่กรณีของวูจินนั้นตรงข้าม เพราะเขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนสามดาวได้ในพริบตา
แต่ถ้าเขาคุ้นเคยกับดันเจี้ยน 4 ดาวแล้วก็เป็นไปได้ว่าเวลาที่ใช้ในการเคลียร์ดันเจี้ยนจะลดลง
ดันเจี้ยน 4 ดาวนั้นกว้างมากและหลากหลายเกินไป มันอันตราย ดังนั้นทีมเราส์จึงค่อยๆเคลียร์มันอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ดันเจี้ยน 4 ดาวมีไม่กี่แห่ง จึงจองที่ได้ค่อนข้างยาก
ระหว่างซุงกูยุ่งอยู่กับการหาดันเจี้ยน วูจินก็ตั้งสมาธิอยู่กับเกมมือถือ
เฟี้ยว เฟี้ยว ปังย่า!
“ใครกันนี่?”
วูจินได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีที่เขาไม่ค่อยอยากจะได้ยินเท่าไหร่ วูจินหันไปเห็นจุงมินชานยิ้มแป้นอยู่
“โห อยู่ๆก็โผล่มา”
“ฮะๆๆ ผมดื่มกาแฟที่นี่ก่อนไปทำงานทุกทีน่ะ”
จุงมินชานโกหก โรงแรมแฮมเมอร์เป็นของกิลด์แฮมเมอร์ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าวูจินเข้าพักที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน
“บังเอิญอีกแล้วเหรอลุง?”
“ฮ่าๆๆ คงงั้น หรือจะเรียกว่าพรหมลิขิตดี?”
วูจินยักไหล่ จากนั้นชี้ไปที่ที่นั่ง
“ไหนๆก็มาแล้ว นั่งสิ”
“ได้เหรอ?”
จุงมินชานนั่งเรียบร้อยแล้ววูจินก็ถามขึ้น
“ถ้ามีธุระอะไรก็พูดมาเลย”
“ฮะๆ ผมจะมีธุระอะไรกับคุณ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษด้วยนะ ถ้าต้องการอะไรคุณบอกมา ผมจะช่วยเต็มที่ ถือว่าไถ่โทษ”
วูจินยิ้ม คนๆนี้นี่ช่างตั้งอกตั้งใจดึงตัวเขาเข้ากิลด์จริงๆ ทำแล้วได้อะไร?
“คุณซุงกูกำลังหาจองที่ลงดันเจี้ยนหรือเปล่า?”
“อะ? ครับ ผมกำลังหาดันเจี้ยนสี่ดาวที่ว่างอยู่ แต่ไม่มีเลย...”
“ดันเจี้ยนฟอรั่มใช้งานได้หลายอย่าง แต่มันไม่เน้นอะไรเป็นพิเศษน่ะนะ รอสักครู่”
มินชานเอาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาวางบนโต๊ะ เปิดโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา ตารางเวลาของแต่ละดันเจี้ยนระดับสูงปรากฎบนหน้าจอ
“ว้าว”
ซุงกูสนใจ แต่วูจินไม่ เขาไม่สนว่าเป็นฝีมือของโปรแกรมหรือของลูกน้องเขา ขอให้จองเวลาสำหรับลงดันเจี้ยนได้ก็พอแล้ว
“หน่วยสนับสนุนของกิลด์มีฝีมือด้านจัดการงานยุ่งยากแบบนี้โดยเฉพาะ อีกอย่าง ถ้าเราส์อย่างคุณวูจินเข้ากิลด์เรา คุณจะมีที่พักฟรี ถ้าอยากพักในโรงแรมก็ใช้ที่นี่ได้เลย เราส์ของเราใช้ที่นี่เป็นที่พักเยอะทีเดียว”
วูจินมองมินชาน
“ฟังดูดีนะ”
“ฮะๆ เริ่มสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหม? ดูสิ นี้คือช่วงว่างของดันเจี้ยน 4 ดาว”
ช่วง สิบเอ็ดโมงเช้า บ่ายสองโมง ห้าโมงเย็น และสี่ทุ่มว่างอยู่ ค่าจอง ค่าธรรมเนียมก็บอกไว้ข้างๆ โปรแกรมนี้ดีกว่าดันเจี้ยนฟอรั่มจริงๆ
“เอาไงคุณ? ให้ผมจองให้เลยไหม ถ้าคุณเข้ากิลด์นะ เรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้ไม่ต้องห่วงเลย”
เข้ากิลด์แล้วสะดวกจริงๆ วูจินถาม
“ถ้าฉันจัดการหัวหน้ากิลด์ของนายแล้วจะได้เป็นหัวหน้ากิลด์แทนไหม?”
“ไม่มีทาง”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ”
“...”
จุงมินชานอึ้งไปนานเมื่อได้ยิน
ว่าแล้ว เขาอยากได้ตำแหน่งระดับหัวหน้าจริงๆด้วย
มินชานคิดว่าการเดาของเขาถูกต้อง วูจินกำลังต่อรองกับเขาอยู่ เขาทำเป็นไม่สนใจแต่ส่งสัญญาณเป็นนัยๆให้ตลอด
เรื่องที่ว่าวูจินเข้าพักในโรงแรมในสังกัดของกิลด์ก็เป็นสัญญาณที่ส่งมาถึงมินชาน บอกว่าฉันอยู่นี่ มาหาสิ
ฉันไม่มีอะไรมาดึงคนๆนี้ไว้ แต่ฉันต้องเอาคนมีความสามารถระดับนี้มาให้ได้
ถ้าได้วูจินมาผลประโยชน์ย่อมเป็นของกิลด์ เขาให้ตำแหน่งรองประธานไม่ได้เพราะประธานไม่อนุญาต แต่ถ้าเป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมเราส์สักทีม วูจินจะยอมไหม?
มินชานคิด วูจินชี้ไปที่ดันเจี้ยนที่อยู่บนสุดของรายการ
“ฉันใช้ไอ้นี่จองได้ไหม?”
“แน่นอน”
“ช่วยคนนอกกิลด์จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“เรื่องเล็กน้อยน่ะคุณ”
มินชานหัวเราะ วูจินก็หัวเราะด้วย
***
จะบอกว่าบังเอิญก็เกินไป คิมเฮมินเตรียมรถรออยู่นอกโรงแรมเรียบร้อย
“ไปกันเถอะ”
“รถผมจอดอยู่ที่จอดรถน่ะครับ”
“ไม่ต้องห่วง พอเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ ผมจะพาคุณกลับมาที่นี่ อ้อ ใช่ๆ นี่ก็เป็นสวัสดิการสำหรับเราส์ในกิลด์”
มินชานโฆษณากิลด์ วูจินซุงกูฟังพลางเข้าไปนั่งในรถ เฮมินขับเลยสถานีซาดางอีกสองสถานี พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางสถานีมหาวิทยาลัยกรุงโซล
เป็นระยะทางที่สามารถเดินไปได้
“ผมจองเสร็จแล้ว เหลือเวลาอีกหน่อยก่อนถึงเวลาจอง ไปดื่มชากันก่อนไหม?”
เหลือหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด 11 โมง นี่เป็นโอกาสดีสำหรับมินชาน
“ดันเจี้ยนสถานีมหาวิทยาลัยแห่งกรุงโซลมีอธิบายไว้ในคู่มือแล้ว แต่ขอผมสรุปให้คุณฟังหน่อยได้ไหม?”
ดันเจี้ยนแห่งนี้ไม่ใช่ของกิลด์แฮมเมอร์ แต่กิลด์ต่างๆจะแลกเปลี่ยนข้อมูลดันเจี้ยนระดับสูงให้กัน ดังนั้นมินชานจึงรู้รายละเอียดของดันเจี้ยนนี้
การสรุปรายละเอียดก่อนเข้าดันเจี้ยนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทีมตั้งใจและปฏิบัติตามข้อมูลที่ได้มา การเข้าดันเจี้ยนก็ง่ายกว่าเดิมมาก
ปัญญาประดุจดังอาวุธ! ถ้าเข้ากิลด์จะเคลียร์ดันเจี้ยนได้สบาย! นี่คือสิ่งที่มินชานอยากจะสื่อ
“อา แบบนั้นก็ดีสิ”
สีหน้ามินชานแช่มชื่นเมื่อได้ฟังคำตอบของวูจิน แต่แล้วแสงจากทางออกที่หกของสถานีซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนก็สว่างขึ้น
“ฮ้า ดันเจี้ยนรีเซ็ท”
เคยเห็นในหนังมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ซุงกูมาเห็นของจริง เขาโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ
เหตุผลเดียวที่ดันเจี้ยนเรืองแสงคือดันเจี้ยนรีเซ็ท
สภาพเหมืองได้จบสิ้นลง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นดันเจี้ยนใหม่แห่งหนึ่ง ถ้าดันเจี้ยนนี้ไม่ถูกพิชิตภายใน 30 วันก็จะเกิดดันเจี้ยนระเบิด
“ฮึ้ย ติดต่อกิลด์เร็ว เฮมิน”
“รับทราบ”
คิมเฮมินรีบโทรศัพท์ วูจินมองไปยังจุดตรงข้ามนิ่ง
“ตรงนั้นมีดันเจี้ยนให้เข้าฟรีๆสินะ”
“ฮะ?”
เมื่อดันเจี้ยนรีเซ็ท ก็เท่ากับยังไม่มีใครเคลียร์เป็นคนแรก มันจึงไม่มีเจ้าของ
แต่ พิชิตดันเจี้ยนไม่ง่ายเหมือนเก็บเงินตกข้างถนนนะ มันเสี่ยงเกินไป...
วูจินตื่นตัวเต็มที่เมื่อเห็นคนเคลื่อนไหวกันพลุกพล่านรอบๆทางออกที่หก



ปัญญาประดุจดังอาวุธ หรือสั้นๆง่ายๆ ปญฺญา วุโธ เป็นคำขวัญของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่เราชอบมากค่ะ (ไม่ได้หมายถึงหลวงพ่อที่ไหนนะ ><) ขนาดจำได้ทั้งๆที่คำขวัญโรงเรียนเก่าตัวเองนี่จำไม่ได้


2 ความคิดเห็น: