วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 30

บทที่ 30 – โลกเดียวกัน (3)

ในรถของซุงกู
“เฮ้อ หนังจระเข้ขายได้แพงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“นั่นสิครับ...”
วูจินดูของขวัญที่ได้จากมินชาน หนึ่งในนั้นมีไกด์บุ๊กของดันเจี้ยนสถานีศาลากลางเมืองกวาชุนทางออกที่ 11 มันบอกว่ามอนสเตอร์ชนิดใดบ้างปรากฏตัวในดันเจี้ยนแห่งนี้ บริเวณที่มันปรากฏตัวและจุดอ่อน ข้อมูลต่างๆที่จำเป็นต้องรู้ในการเข้าดันเจี้ยน
มันบอกว่าส่วนไหนของมอนสเตอร์ขายได้เท่าไหร่ ทั้งยังบอกว่าพืชและแร่อะไรที่หาได้จากที่นี่มีค่าบ้าง
ของพวกนี้ล้วนหาง่าย วูจินไม่รู้เลยว่ามีตลาดรับซื้อของแบบนี้ในราคางามอยู่ด้วย
“เฮ้อ แย่ชะมัด แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ”
วูจินรู้ว่าเขาแบกของมากมายขนาดนั้นกลับมาไม่ได้ แต่เขาไม่เสียดาย แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาห่วงเรื่องเข้าดันเจี้ยนครั้งหน้าจะรวบรวมของพวกนั้นด้วยวิธีไหนด้วย
“เฮ้ ซุงกู คราวหน้านายก็จัดการเรื่องนี้ด้วย”
“...ครับ”
ถ้าให้เลือก ซุงกูขอแงะบลัดสโตนดีกว่า ถ้าต้องชำแหละเนื้อมอนสเตอร์ด้วยนี้มันออกจะ...
โอ ความฝันจะเป็นนักเวทย์ไฟของเรา...
เขาอยากพัฒนาพลังของตัวเองไม่ต่างจากอยากได้เงิน เขานับถือเลื่อมใสเราส์แรงค์สูง แต่หลังจากเจอวูจิน ซุงกูใช้มีดแล่เนื้อบ่อยกว่าใช้เวทย์ไฟของตัวเองเสียอีก
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแงะหินบลัดสโตน แต่เวทย์ไฟเขายังไม่ก้าวหน้า
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สัญญาไว้แล้ว ดังนั้นซุงกูตั้งใจจะทำหน้าที่ผู้จัดการให้ดีที่สุดเป็นเวลา 1 ปี เงินที่เขาได้มานั้นเยอะอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยคาดคิดถึง เขาจะตั้งใจเก็บเงิน จากนั้นก็ซื้อตำราเวทย์เพื่อเพิ่มความสามารถให้ตัวเอง
“ว่าแต่ ลูกพี่ครับ”
“หืม?”
วูจินยังไม่อ่านไกด์บุ๊คจดจ่อ เขาขานตอบแบบไม่สนใจนัก
“ทำไมลูกพี่ถึงให้เบอร์ผู้ช่วยคิมไปล่ะครับ”
“เขาบอกว่าอยากดื่มโซจูกับฉัน”
เหตุผลง่ายๆแบบนั้นเลย? ลูกพี่โง่หรือ... ไม่สิ ลูกพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น
“ถ้าผู้ช่วยคิมรู้เบอร์ลูกพี่ หัวหน้าทีมจุงก็ต้องรู้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”
“ก็รู้สิ”
“งั้นทำไมถึงให้เบอร์เขาไปล่ะครับ?”
“อืม ทำไมถึงให้ไม่ได้ล่ะ?”
วูจินหันมามองซุงกู วูจินตอบอย่างมาดมั่นจนซุงกูสงสัยว่าเขาถามผิดหรือเปล่า
“ลูกพี่อยากเข้ากิลด์หรือครับ?”
“ไม่”
“ลูก... ลูกพี่ไม่ใช่ว่าไม่อยากถูกกวนเหรอครับ? หัวหน้าทีมจุงท่าทางจะเป็นพวกช่างตื๊อด้วย”
วูจินเหยียดยิ้ม
“ถามอะไรหน่อยสิ ถ้านายบล็อกสแปมเมล์ เมล์พวกนั้นจะมาอีกไหม?”
“ถึงบล็อกไปก็โผล่มาอยู่ดีครับ”
“นี่ก็เหมือนกัน ถ้าบล็อกไม่ได้ เราก็ทำเป็นสนใจสักหน่อย แล้วพวกนั้นก็จะให้เราเข้าดันให้ของขวัญแบบวันนี้ ดีออก”
ลูกพี่ ชอบแบบนี้เหรอเนี่ย จิตใจของลูกพี่นี่โคตร...
“ถ้าเราอยู่ในดัน คิดว่าเขาจะตามเข้ามาได้ไหม? ฉันไม่อยู่นอกดันนักหรอกเพราะไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ”
“...”
“อีกหน่อยก็เขาก็จะเบื่อไปเอง”
มาร...ร้าย
ซุงกูจับพวงมาลัยรถเงียบๆ วูจินมองไปนอกรถอย่างไม่มีอะไรทำแล้วเบิกตาโต
“เอ๊ะ เจมินนี่?”
“ครับ? นักเรียนที่อยู่บ้านเดียวกับลูกพี่หรือครับ?”
“ใช่ จอดรถใกล้ๆเขาสิ”
รถของซุงกูหยุดข้างทาง วูจินลงจากรถแล้วตะโกนอย่างยินดี
“เจมินเจมิน!” (ยังไม่เลิก ชอบจัดจริงๆ XD – TN)
“โอ๊ะ?”
เจมินชะงัก เขามาแถวโรงเรียนเพราะจะไปกินข้าวกับพี่สาว เขาเห็นวูจินยิ้มกว้างโบกมือให้ เจมินก้มหัวให้โดยไม่รู้ตัว
“สวัสดีครับพี่”
***
ณ ชั้นบนสุดของอาคารที่ตั้งกิลด์แฮมเมอร์
หนึ่งในเราส์แรงค์ A 10 คนของเกาหลีอยู่ที่นี่
ตรงโต๊ะทำงานติดป้าย [หัวหน้ากิลด์ ปาร์คซางโอ] อินเตอร์คอมที่วางถัดจากป้ายชื่อนั้นส่งเสียงขึ้น
เมื่อปาร์คซางโอกดปุ่ม เสียงเลขานุการของเขาดังขึ้น
[ท่านประธาน หัวหน้าทีมสนับสนุนที่สามขอเข้าพบค่ะ]
“เชิญเขาเข้ามา”
ตี๊ด
อินเตอร์คอมตัดสัญญาณไป แล้วไม่นานประตูห้องก็เปิดออก หัวหน้าทีมสนับสนุนผู้กระตือรือร้นคนนี้มีอายุอานามไล่เลี่ยกับเขา 35 ปี แม้จะเข้ากิลด์แฮมเมอร์ทีหลังแต่สร้างผลงานสำคัญช่วยให้กิลด์เติบโต
เขาจัดการดันเจี้ยนระดับต่ำซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของกิลด์ได้อย่างรัดกุม เขายังมีความสามารถมองคนที่มีแววออก ดังนั้นเขาจึงโดดเด่นกว่าคนอื่นๆในกิลด์
“ท่านประธาน ผมมารายงานความคืบหน้าในการทาบทามครับ เกี่ยวกับคังวูจินที่ผมรายงานไปคราวที่แล้ว”
“สำเร็จหรือเปล่า?”
“ยังเลยครับ...”
“เรื่องเกี่ยวกับทาบทามตัวเราส์นี่ผมให้สิทธิ์คุณตัดสินใจได้เต็มที่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมารายงานความคืบหน้ากับผมหรอก หรือว่าการต่อรองมีปัญหา?”
ถ้าต่อรองมีปัญหาก็ดีสิ นี่ปัญหาก็คือวูจินไม่สนใจจะต่อรองด้วยซ้ำ
“ถ้าหัวหน้าทีมจุงสนใจเขา งั้นต้องจ่ายเท่าไหร่ผมไม่ว่า แล้วแต่คุณตัดสินใจเลย”
“ท่านประธานต้องตัดสินใจครับเรื่องนี้”
เรื่องเงิน วูจินหาได้เยอะแล้ว เขามีวิธีหาเงินจากดันเจี้ยนสามดาวได้พอๆกับดันเจี้ยนสี่ดาวด้วยซ้ำ
จุงมินชานต้องการสิ่งที่เหนือกว่าเงินมาล่อใจเขา
ปาร์คซางโออ่านเอกสารที่ยื่นให้เขาเซ็นแล้วขมวดคิ้ว
“จำเป็นต้องให้ตำแหน่งถึงรองประธานเลยเหรอ? เขามีค่าขนาดนั้นเลย? ตำแหน่งรองประธานนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ....”
ปาร์คซางโออ่านรายละเอียดในเอกสารอื่นๆที่เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับคังวูจิน
“เขากลับมาหลังจากหายสาบสูญไป 5 ปี ทันทีที่มาถึงเขาได้เข้าดันเจี้ยน 2 ดาว 1 ครั้ง และดันเจี้ยน 3 ดาว 1 ครั้ง วันนี้ เขาเคลียร์ดันเจี้ยน 4 ดาว 1 ครั้ง”
“ครับ ผมคาดว่าเขาเป็นเราส์ที่มีความสามารถโดดเด่นมาก”
“คุณเห็นหรือเปล่า?”
“อะไรนะครับ?”
“ผมถามว่าคุณเห็นหรือเปล่า”
“ผมยังไม่เห็น แต่การคาดคะเนของผม...”
ปาร์คซางโอโยนเอกสารกลับบนโต๊ะ แล้วเอนตัวจมเก้าอี้
“ฟังนี่นะ หัวหน้าทีมจุง”
“ครับท่านประธาน”
ถึงจะอายุใกล้ๆกัน แต่ในบริษัท ลูกน้องกับหัวหน้านั้นห่างกันราวฟ้ากับเหว มินชานมีพื้นฐานการศึกษาดีกว่า กระนั้นช่องว่างระหว่างพวกเขาก็ยังมีมากอยู่ดี เหมือนช่องว่างระหว่างเราส์กับคนปกติ
“ถ้าเขาเก่งขนาดนั้นจริงๆผมก็ไม่หวงตำแหน่งรองประธานหรอก แต่ นี่มันตลกแล้ว ตำแหน่งรองประธานของกิลด์แฮมเมอร์ไม่ใช่งานพาร์ทไทม์นะคุณ เจ้านี่มันยังเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเพิ่งจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้สามครั้งเท่านั้นเอง ความสามารถของเขายังไม่แน่นอน คุณจะให้ตำแหน่งกับเขาแค่เพราะเขามีแววได้เหรอ?”
ประธานกิลด์กล่าวเสริมอีก
“อีกอย่าง คุณใช้แค่ลางสังหรณ์บอกว่าเขามีแววด้วยนี่?”
จุงมินชานขบกรามกรอด ก็ลางสังหรณ์ของเขานี่ไงเล่าที่เขาใช้ดึงเราส์เก่งๆเข้ามานักต่อนัก กิลด์แฮมเมอร์นำหน้ากิลด์อื่นๆในด้านหาคนเก่ง และจุงมินชานมีส่วนในเรื่องนี้อย่างมาก
“เขาต้องแสดงความสามารถให้เห็นชัดก่อน ถ้าทำไม่ได้ หาให้รู้ว่าเขามีความสามารถอะไรบ้าง แล้วผมถึงจะตัดสินใจได้ว่าเขาคู่ควรให้กิลด์ลงทุนในตัวเขาหรือเปล่า หัวหน้าทีมจุงจะหวังให้พวกเราลงทุนตามลางสังหรณ์ของคุณไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าคุณจะสำเร็จทุกครั้งนี่?”
ถูกต้อง
มีเราส์หลายคนที่จุงมินชานยืนกรานดึงตัวเข้ามา ในนั้นมีหลายคนที่ยังพัฒนาความสามารถไม่ถึงขั้นที่คาดไว้
แต่ ถ้าบวกลบผลประโยชน์ที่เราส์เหล่านั้นทำให้ ที่เขาลงทุนไปไม่ถือว่ามากเกินไป...
“เราจะให้ตำแหน่งรองประธานง่ายๆไม่ได้ คนอื่นจะดูถูกเอา ทำให้ชื่อเสียงของกิลด์ตกต่ำลง คุณเข้าใจนะ?”
“ครับ...”
ตี๊ดๆ
อินเตอร์คอมส่งเสียงพอดี ประธานกิลด์กดปุ่มแล้วเสียงของเลขานุการก็ดังออกมา
[ท่านประธาน รองประธานขอเข้าพบค่ะ]
รองประธาน ปาร์คจินวู
เราส์ที่เก่งที่สุดที่หัวหน้าทีมจุงมินชานดึงตัวเข้ามา อายุ 27 และมีหน้าตาหล่อเหลา ช่วงนี้เขาปรากฏในโทรทัศน์บ่อยๆ จึงเป็นที่ชื่นชอบเหมือนดารานักแสดง
นอกจากประธานแล้วเขาเป็นเราส์แรงค์ A อีกคนของกิลด์ คุณค่าของเขาไม่ต้องอธิบายเพิ่ม
ปาร์คจินวูร่างสูง สวมสูท เมื่อประตูเปิดก็พบหัวหน้าทีมจุงมินชาน เขาเบิกตากว้าง จากนั้นยิ้มพลางเอ่ยทัก
“อ้าว หัวหน้าทีมจุงก็อยู่ที่นี่ด้วย...”
“ครับ เอ่อ คุยกันตามสบายนะครับ”
เมื่อก่อน ปาร์คจินวูเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มินชานพบ แต่ตอนนี้เขาเป็นรองประธานแล้ว ฐานะของเขาต่างจากเมื่อก่อนชัดเจน
จุงมินชานเดินผ่านเขาไปทื่อๆ ปาร์คจินวูยักไหล่ ดูท่าแล้วหัวหน้าทีมจุงคงถูกประธานด่าอีกแล้ว
แต่หัวหน้าทีมจุงเป็นคนเห็นความสามารถของปาร์คจินวูในตอนที่เขายังเป็นมือใหม่ ยังพาเขาเข้ากิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คจินวูจึงเห็นใจเขา
“หัวหน้าทีมเป็นอะไรครับ?”
“เชอะ ไม่รู้สิ เขาเจอเนโครแมนเซอร์คนหนึ่งแล้วก็อยากเสนอตำแหน่งรองประธานให้เขา”
ปาร์คจินวูหัวเราะ
“ถ้าหัวหน้าทีมจุงสนับสนุนเขาขนาดนั้น เราก็ต้องใช้ทุกวิถีทางดึงเขาเข้ามาให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“ทุกวิถีทางอะไรของคุณ ผมว่าสายตาเขาแย่ลงแล้วล่ะ เด็กๆที่เขาดึงเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็ธรรมดาทั้งนั้น”
พวกเขามีความสามารถจริง แต่พัฒนาความสามารถได้ไม่เร็วพอ
“ที่หัวหน้าทีมจุงเจอคุณน่ะเพราะโชคเท่านั้น”
“ฮะๆ ยังไงก็อย่าใจร้ายกับเขานักเลยครับ”
“ชิ เอาเถอะ งานที่อเมริกาเป็นไงบ้าง”
ปาร์คจินวูได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากกิลด์เนื่องเพราะเป็นเราส์แรงค์ A นอกจากนั้นเขายังเป็นหน้าเป็นตาของกิลด์แฮมเมอร์ จึงได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นรองประธาน
การประชุมกิลด์นานาชาติจัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะตัวแทนของกิลด์แฮมเมอร์เขาจึงต้องเข้าร่วม เขาเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ค
สีหน้าปาร์คจินวูเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมประเมินจากสภาพรอบๆแล้ว คิดว่าข่าวลือน่าจะเป็นจริง...”
“จริงเหรอ?”
สีหน้าประธานปาร์คซางโอเครียดตาม ไม่นานมานี้มีข่าวลือประหลาดมากแพร่สะพัดในกิลด์ต่างๆ เขาส่งรองประธานไปเข้าประชุมเพื่อยืนยันว่าข่าวลือเป็นจริงหรือไม่
“ในความเห็นคุณ คิดว่าอยู่ที่ใคร?”
“น่าจะเป็นพวกไททันครับ”
“ไททัน...”
ในสหรัฐอเมริกามีกิลด์ใหญ่หลายกิลด์ แต่ถ้าให้เลือกว่ากิลด์ไหนยอดเยี่ยมที่สุดย่อมเป็นไททัน ถ้าข่าวลือเป็นจริงโอกาสที่ไททันจะได้คนๆนั้นไว้ก็สูงมาก
“คนที่ออกมาจากดันเจี้ยน...”
สีหน้าปาร์คซางโอเคร่งขรึม เขาควรจะเรียกคนๆนั้นว่าอะไร มนุษย์ต่างดาว? มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เขายังไม่เคยเห็นคนที่ว่านั้นเลยตัดสินใจไม่ได้
ไม่ บางทีอาจเป็นไททันที่สร้างข่าวลือขึ้นมา ความจริงเป็นอย่างไรคงมีแต่ระดับหัวหน้าของกิลด์ไททันที่รู้
ถ้าข่าวลือนี้เป็นจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่มีดันเจี้ยนมา 5 ปี
***
ใจกลางแมนฮัตตัน ลีมูซีนคันหนึ่งจอดตรงหน้าตึกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่าน คนที่ดูเหมือนเป็นบอดี้การ์ดล้อมรอบรถคันนั้น พวกเขาขยับไปเปิดกระโปรงรถอย่างว่องไวแล้วยกเก้าอี้รถเข็นคันหนึ่งออกมา
ประตูรถลีมูซีนเปิดออก หญิงสาววัยกลางคนผมสีน้ำตาลถูกพามาที่เก้าอี้รถเข็น
หญิงสาวผมบลอนด์หน้าตางดงามในชุดเรียบร้อยเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มิสซิสแฮมิลตัน การเดินทางมีตรงไหนไม่สะดวกสบายบ้างไหมคะ”
“ไม่สะดวกสบายเหรอคะ? นี่เป็นครั้งแรกเชียวนะที่ฉันได้เดินทางหรูหราขนาดนี้”
เธอนั่งเครื่องบินหกชั่วโมง แต่ไม่มีสักครั้งที่เธอรู้สึกไม่ดี
“ขอบคุณที่รับคำร้องขอของกิลด์เรานะคะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ถ้ามีคนต้องการให้ฉันช่วยฉันก็จะช่วยเต็มที่”
มิสซิสแฮมิลตันเป็นนักจิตบำบัดที่ได้รับการยอมรับนับถือที่สุดในอเมริกา หญิงสาวผมบลอนด์นำทางเธอมายังชั้นบนสุดของอาคาร
“มิสซิสแฮมิลตัน ก่อนจะพบคนไข้ กรุณาเซ็นสัญญาฉบับนี้ด้วยค่ะ”
สัญญาที่สาวผมบลอนด์ส่งให้เธอเป็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูลของคนไข้ คนไข้ประจำของเธอหลายคนมีฐานะชื่อเสียงดีดังนั้นนี่จึงเป็นสัญญาที่เธอเห็นบ่อยๆ
เมื่อเซ็นสัญญาแล้ว สาวผมบลอนด์นำทางเธอไปยังห้องคนไข้ เธอได้รายงานสรุปเกี่ยวกับคนไข้ เมื่ออ่านแล้วเธอก็ถามอย่างงุนงง
“เธอสูญเสียความสามารถในการสื่อสารเหรอคะ?”
“ค่ะ”
มิสซิสแฮมิลตันไม่ถามต่อ เอกสารที่ให้มาบอกไว้แค่นี้ ไม่มีข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
“เธอไม่มีชื่อ สถานที่เกิด อายุ อะไรพวกนั้นเลย”
สาวผมบลอนด์พยักหน้า
“เธอได้รับการช่วยเหลือออกมาจากดันเจี้ยนค่ะ”
“...”
“งานของคุณคือทำให้เธอสื่อสารได้อีกครั้ง มิสซิสแฮมิลตันคะ ข้อมูลส่วนตัวของคนไข้ที่ว่างเปล่านี้เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องเติมมัน”
เลขานุการสาวผมบลอนด์พามิสซิสแฮมิลตันเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปเธอก็อุทานอย่างแปลกใจ
“โอ้ พระเจ้า”
เธอไม่เคยเห็นคนที่งดงามขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันยังประหลาดใจในความงามเหนือธรรมชาตินี้
ในห้องตกแต่งอย่างอลังการราวกับโรงแรม 5 ดาว แต่มิสซิสแฮมิลตันไม่เหลือบแล ได้แต่มองหญิงสาวเจ้าของห้อง
เธอเป็นสาวงามลึกลับ และให้ความรู้สึกเหนือธรรมชาติ
สำหรับผู้หญิงที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากดันเจี้ยน ท่าทางของเธอสงบเกินไป นักจิตบำบัดขยับเก้าอี้รถเข็นไปทางเธอช้าๆ
เลขานุการยืนมองอยู่ข้างๆ
หลังจากสงบใจลงบ้างแล้ว มิสซิสแฮมิลตันเริ่มคุยกับสาวงามปริศนาผู้นั้น หญิงสาวยิ้มบางๆดูแปลกแยก
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมิสซิสแฮมิลตัน”
หญิงงามไม่ตอบคำทักทายอ่อนโยนนั้น เธอพูดไม่ได้ แต่แววตาส่งแสงเหมือนคาดหวังอะไรบางอย่าง
“ถ้ามันลำบากเกินไป คุณไม่ต้องพูดก็ได้ คุณอยากเขียนอะไรไหม หรือวาดรูปก็ได้”
บนโต๊ะข้างพวกเขามีกระดาษปากกาวางอยู่ เหมือนเคยลองวิธีนี้มาแล้ว แฮมิลตันยิ้มแล้วเริ่มวาดรูปก่อน
เธอต้องไม่รีบร้อน คุณผู้หญิงคนนี้คงไม่ดีขึ้นในทีเดียว เธอคงฝ่ากำแพงจิตใจของคนไข้ไปไม่ได้ในทันที ได้แต่ค่อยๆสนิทกับเธอ
สิ่งสำคัญคือต้องมีความจริงใจ
“เอาล่ะ ฉันอยากเข้าใจคุณ”
[คุณได้ยินฉันไหม]
“เอ๊ะ?”
มิสซิสแฮมิลตันประหลาดใจเมื่อเสียงใสดังก้องในหัว เธอหันไปทางเลขานุการ
“เมื่อกี๊คุณได้ยินเสียงใครพูดหรือเปล่าคะ?”
“เอ๋? ไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ...”
[ความเชื่อใจของคุณทำให้ได้ยินเสียงของฉัน]
ดวงตาประหลาดใจของมิสซิสแฮมิลตันมองไปทางสาวงามปริศนา ราวกับแสงในดวงตาของหญิงสาวพูดกับเธอ
“ฉัน...ได้ยินเสียงคุณ”
[แสดงว่าพระเจ้ายังไม่ทอดทิ้งฉัน]
“พระเจ้าช่วย”
ริมฝีปากของสาวงามไม่ขยับ แต่มิสซิสแฮมิลตันแน่ใจว่าหญิงสาวกำลังพูดกับเธอ เธอได้ยินเสียงของหญิงสาวชัดเจน
[คุณจะทำตามคำขอของฉันได้ไหม?]
“คุณ... คุณคุยกับฉันได้ยังไง? คุณเป็นใคร? นี่มันอะไรกัน...?”
เลขานุการมองมิสซิสแฮมิลตันคุยคนเดียวอย่างงุนงง เธอไม่ได้ยินเสียงของคนไข้เลย มีแต่มิสซิสแฮมิลตันที่ได้ยิน
[เสียมารยาทแล้ว]
จู่ๆเธอก็ร้องขอขึ้นมาจนทำให้คนอื่นสับสน สาวงามปริศนาลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ โค้งอย่างสง่างาม มิสซิสแฮมิลตันได้แต่ตะลึงมอง
[ฉันคือผู้บัญชาลำดับเจ็ดของอัลเฟน มารดาแห่งแผ่นดิน ปีกศักดิ์สิทธิ์ สุรเสียงแห่งอาเรีย ฉันชื่อเมโลดี้]
“พระเจ้า”
เธอคือเมโลดี้ นักบวชศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรีย

เธอได้มายังโลกใบนี้แล้ว


2 ความคิดเห็น:

  1. หายไปหลาย อยากอ่านกดมาดูบ่อยมาก

    ตอบลบ
  2. ไม่ชอบบริษัทนี้เลยผูจัดการลาออกมาอยู่กับวูจินเหอะแฮปปี้กว่าเยอะ
    #ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ