วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 34

บทที่ 34 – ดันเจี้ยนรีเซ็ท (2)

“ใครๆก็เข้าได้งั้นเหรอ?”
“ฮะ? ไม่ใช่แล้ว การเข้าดันเจี้ยนใหม่มันอันตรายเกินไป ปกติกิลด์จะเป็นคนจัดการ...”
“มีแต่กิลด์ที่มีสิทธิ์เหรอ?”
“ไม่เชิง บางทีก็มีทีมเราส์ที่ไม่ขึ้นกับกิลด์พิชิตได้ แต่ส่วนใหญ่ดันเจี้ยนจะถูกทีมเราส์ของกิลด์ที่ฝึกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะพิชิต”
“ตกลงว่าฉันเข้าได้หรือเปล่า?”
“...”
มินชานคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตอบว่า
“คุณจะเข้าไปได้หรือเปล่า ต้องดูหลังจากวัดพลังงานของดันเจี้ยนเสร็จแล้ว”
“ฮึ่ม อธิบายให้ชัดๆกว่านี้หน่อย”
มินชานได้แต่อธิบาย
“พอวัดพลังงานของดันเจี้ยนเสร็จก็จะรู้ระดับดาวของดันเจี้ยน ซึ่งมันมีข้อจำกัดตรงนี้ไงคุณ ถ้าดันเจี้ยน 4 ดาวคุณต้องเป็นเราส์แรงค์ C ถึงจะเข้าไปได้ ถ้า 5 ดาวก็แรงค์ B ส่วน 6 ดาวมีแต่เราส์แรงค์ A ที่เข้าได้”
วูจินฟังอย่างสนใจ
“ฉันแรงค์ C ใช่ไหม อย่างนั้นถ้าดันเจี้ยนเป็นสี่ดาวก็มีสิทธิ์ จากนั้นล่ะ?”
“ทีมแรกที่ได้เข้าไปคือทีมที่มาถึงก่อน หลังจากทีมแรกพิชิตไม่ได้ ทีมต่อไปต้องเก่งกว่าทีมแรกถึงจะเข้าไปได้ ถ้ามีหลายทีมก็จับสลากเอา”
“โฮ่?”
วูจินฟังแล้วก็หันไปทางซุงกู
“ไปกันเถอะซุงกู!
“ครับ?”
“มาก่อนได้ก่อน เอ้าวิ่ง”
“ครับผม!
วูจินวิ่งข้ามถนนไป ซุงกูก็เร่งฝีเท้าตามไป
“ดะ เดี๋ยวก่อน”
ช่างกล้า ดันเจี้ยนไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ คิดจะเข้าดันเจี้ยนทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลเลยเหรอ...
“เอ๊ะ จะว่าไป...”
เมื่อวานก็แบบนี้หรือไม่ใช่? เข้าดันเจี้ยนสี่ดาวทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย เวลาที่ใช้ในการเคลียร์ดันเจี้ยนของคนที่กำลังวิ่งอยู่นั่นเท่าๆกับเราส์คนอื่นที่เข้าดันเจี้ยนโดยมีข้อมูลพร้อม
“เฮ้อ ถึงงั้นก็เถอะ...”
วูจินท่าทางตื่นเต้นมาก เหมือนคนซื้อของในช่วงสินค้าลดราคา
“ทำไมเขาถึงตื่นเต้นนักนะ”
จุงมินชานส่ายหน้า คิมเฮมินเดินมาข้างๆเขาพลางหัวเราะ
“ฮะๆๆ ดูคุณวูจินแล้วสนุกดีนะครับ”
“อืม ดูเขาไม่กลัวอะไรเลย”
“เขาอาจจะไม่รู้เรื่องดันเจี้ยนดาวสูงๆเท่าไหร่”
“นั่น...”
มินชานรู้สึกว่าเป็นตรงกันข้าม แต่เขาตัดสินใจไม่พูดสิ่งที่คิดออกไป วูจินเพิ่งจะขึ้นทะเบียนเป็นเราส์แค่กี่วันเอง? ไม่ถึงสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ
แต่ลางสังหรณ์ของจุงมินชานบอกเขาว่าวูจินไม่ได้เข้าดันเจี้ยนไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร
คนแบบเขาโผล่มาจากไหน?
วูจินเหมือนสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว สองสามวันมานี้ จุงมินชานคิดแต่เรื่องคนๆนี้ ขนาดไม่สนใจเราส์คนอื่น เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับการดึงตัวคังวูจินเพียงอย่างเดียว
***
สถานีมหาวิทยาลัยแห่งกรุงโซลทางออกที่ 6 มีคนเข้าออกพลุกพล่าน ดันเจี้ยนรีเซ็ทมาพร้อมกับใครบางคนตายเสมอ
“ฮือ ลูกพี่จุงกุก”
ตรงหน้าดันเจี้ยน ผู้จัดการของทีมเราส์ทีมหนึ่งกำลังร่ำร้อง ดูเหมือนทีมของเขากำลังเข้าดันเจี้ยนแล้วตายเรียบ ความเศร้าของเขาดูแปลกแยก รอบๆมีข้าราชการจากสำนักงานบริหารกำลังทำงานวุ่นวาย
รถบรรทุกที่ติดเครื่องหมายสำนักงานบริหารดันเจี้ยนแล่นเข้ามา จอดฟังคำสั่งแล้วแล่นต่อไปยังทางเข้าดันเจี้ยน มันจอดอีกครั้งแล้วหลังคารถก็เปิดออก เผยให้เห็นเครื่องจักรที่มองเหมือนจานรับสัญญาณดาวเทียม
“มันคือเครื่องตรวจวัดพลังงานดันเจี้ยน”
ไม่รู้ว่าจุงมินชานมาถึงเมื่อไหร่ แต่เขามายืนข้างวูจินและอธิบายให้ฟัง
“ถ้าเป็นสี่ดาวคุณก็เข้าไปได้ ลงชื่อแล้วยัง?”
“ลงแล้ว”
วูจินลงชื่อในแบบฟอร์มที่พนักงานของหน่วยงานบริหารดันเจี้ยนส่งให้ เขาเป็นคนแรก
“ถ้าเป็นดันสี่ดาวลงไปก็เสร็จฉัน”
“ฮะๆๆ คุณเข้าไปได้ถูกต้องตามกฎ แต่ผมแนะนำให้ฟอร์มทีม... กิลด์เรามีเราส์เก่งๆที่น่าจะสู้ร่วมกับคุณไหวหลายคนนะ ถ้าคุณเข้ากิลด์เราอาจจะได้เป็นหัวหน้าทีม...”
“ไม่เป็นไร ฉันมีลูกน้องอยู่คนแล้ว”
“...?”
วูจินจ้องจอเครื่องวัด หมายเลขต่างๆเลื่อนขึ้นลงชวนตาลาย
“เดินเจ้าเครื่องนี้ครั้งนึงใช้บลัดสโตนรวม 50,000,000 วอน”
“ฮ้า ไม่น้อยเลยนะนั่น”
“ใช่ มีเครื่องแบบนี้ที่เล็กกว่าด้วย มันใช้วัดระดับพลังของเราส์แรงค์สูงๆ”
วูจินหันไปมองมินชาน
“ตอนฉันไม่เห็นมีเครื่องแบบนั้นเลย”
“มันใช้กับเราส์ทุกคนไม่ได้หรอกคุณ ใช้ครั้งหนึ่งก็ล่อบลัดสโตนไป 2,000,000 วอน”
“บลัดสโตนนี่ใช้กันเยอะเลยนะ”
“คราวหน้าขอวัดพลังคุณหน่อยสิ แบบนั้นคุณวูจินจะได้แรงค์ที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเองด้วย”
“ไว้ทีหลังแล้วกัน”
ระหว่างพวกเขาคุยกัน หมายเลขบนเครื่องวัดพลังงานก็หยุดนิ่ง
เครื่องจักรล้ำยุคส่งเสียงปี๊บๆ
5 ดาว
ดวงตาวูจินฉายแววผิดหวัง มินชานโล่งใจ ถ้าเป็นสี่ดาวเป็นไปได้มากว่าวูจินจะพิชิตดันเจี้ยนได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นความสามารถของวูจินย่อมไม่อาจปิดได้อีก ความยากของการเคลียร์ดันเจี้ยนที่เปลี่ยนเป็นเหมืองกับดันเจี้ยนที่ยังไม่เคยถูกพิชิตนั้นต่างกันเป็นคนละโลก
“โว้ว ทีมสีชาด”
“เอ๊ะ ไหน?”
หนึ่งในสี่ทีมรุกที่เก่งกาจของทีมฮวารางปรากฏตัว ทุกคนเพ่งความสนใจไปที่พวกเขา นักข่าวเริ่มถ่ายรูปพวกเขา
ลียุนฮีเป็นหัวหน้าทีม เธอเป็นเราส์แรงค์ A สมาชิกทีมอีก 10 คนเป็นแรงค์ B ทุกคน
“อือ ดูท่าดันเจี้ยนจะเป็นของฮวารางแล้ว”
“ชิ ช่วยไม่ได้”
การเข้าดันเจี้ยนที่รีเซ็ทใช้หลักมาก่อนก็เข้าไปก่อน ด้วยเหตุนี้สำนักงานใหญ่ของกิลด์ต่างๆรวมทั้งพนักงานในกิลด์จึงมาประจำอยู่ใกล้ๆสถานีใต้ดิน และอย่างที่เห็น ทีมสีชาดจากกิลด์ฮวารางอยู่ใกล้จึงมาถึงก่อน
รถจากสถานีโทรทัศน์มาถึง และบันทึกภาพของทีมสีชาดไว้ เรื่องของดันเจี้ยนใหม่และการพิชิตดันเจี้ยนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าพิชิตไม่สำเร็จ ไม่นานดันเจี้ยนจะกลายเป็นหายนะ
“ขณะนี้ดิฉันกำลังอยู่หน้าสถานีมหาวิทยาลัยกรุงโซลทางออกที่ 6 ซึ่งได้กลายเป็นดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทไปแล้ว ทีมสีชาดจากกิลด์ฮวารางกำลังเตรียมตัว...”
ผู้ประกาศข่าวเตรียมรายงานไปพร้อมกับกล้องบันทึกภาพ ซุงกูมองพวกเขาแล้วหันกลับไปทางลูกพี่
“เอ๊ะ ลูกพี่วูจินไปไหนแล้ว?”
ซุงกูมองหา มินชานประหลาดใจแล้วเริ่มมองหาเช่นกัน วูจินอยู่ไม่ไกล เขากำลังด้อมๆมองๆอย่างสนใจ
“โอ๊ะโอ นี่คือเครื่องวัดพลังเหรอ?”
“อย่าเข้าไปใกล้มันนักนะครับ”
“ช่วยหลบไปด้วยครับ”
“อ๊ะ ฉันแค่จะดูสักหน่อย ขอดูหน่อย”
เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องวัดพลังงานถูกวูจินก่อกวน พนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามาแยกวูจินออกจากเครื่อง
“เอ๊ะ อย่าผลักสิ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยผลักวูจิน และเขาไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย เขาสะดุด ล้ม กลิ้งๆลงบันไดทางเข้าสถานีไป (…TN-…เนียนมาก)
“เฮ้ย?”
คนอื่นๆนิ่งไปด้วยคาดไม่ถึง ส่วนวูจินกลิ้งต่อไปจนหายเข้าไปในสถานี ความเร็วในการกลิ้งนั้นเร็วเกินจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ...
ลูก...ลูกพี่จงใจ?
แม้แต่ซุงกูก็ไม่แน่ใจ นี่เป็นดันเจี้ยน 5 ดาว ต่อให้วูจินมั่นใจในตัวเองขนาดไหนก็ไม่น่าจะบ้าพอเข้าดันเจี้ยน 5 ดาวเพียงลำพัง
“เกิดเรื่องแล้ว มีคนหลุดเข้าไป”
“ข่าวใหญ่!
นักข่าวถ่ายหน้าทางเข้าดันเจี้ยนทันที
“แย่แล้วค่ะ เกิดอุบัติเหตุเราส์คนหนึ่งตกเข้าไปในดันเจี้ยน ขณะนี้เรากำลังหาข้อมูลของเราส์คนนั้น คาดว่าอีกไม่นาน...”
ซุงกู มินชานและเฮมินต่างตกใจตัวแข็งทื่อ พวกเขามองทางเข้าดันเจี้ยนอย่างหมดหวัง
“หา...”
ซุงกูร้อง มินชานกับเฮมินก็ถอนหายใจ
“หัวหน้าทีม คุณวูจินจะโซโล่ดันเจี้ยน 5 ดาวไหวไหม?”
“เฮ้อ ขนาดเราส์แรงค์ A ยังไม่ค่อยจะไหว...”
ปัจจุบันระดับของดันเจี้ยนสูงสุดที่ 6 ดาว
ดันเจี้ยนระดับนั้นรีเซ็ทไม่บ่อย และถึงรีเซ็ท กิลด์ต่างๆและรัฐบาลจะร่วมมือกันจัดทีมเราส์ที่ดีที่สุดในประเทศขึ้นมาพิชิตมัน
เพราะมันไม่ใช่แค่การพิชิตดันเจี้ยน แต่เป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันภัยพิบัติ กระนั้นก็ตาม มีหลายครั้งที่ไม่สามารถพิชิตดันเจี้ยน 6 ดาวได้จนมันระเบิด
ดังนั้นตามจริงแล้ว ดันเจี้ยนห้าดาวเป็นดันเจี้ยนระดับสูงสุดที่กิลด์จะครอบครองได้
ดันเจี้ยนที่มีอาร์ติแฟคมีระดับอันตรายต่างไป
ในการพิชิตดันเจี้ยนขั้นห้าหรือหกดาว ระดับของเราส์ควรต่ำสุดที่แรงค์ B ปกติจะมีแรงค์ A หนึ่งคนเป็นหัวหน้า นำทีมเราส์แรงค์ B พูดง่ายๆคือทีมระดับหัวกะทิของกิลด์จะเป็นผู้ทำหน้าที่พิชิตดันเจี้ยน
ในโซล ดันเจี้ยนหกดาวที่ถูกพิชิตมีเพียงสองแห่ง แม้แต่ดันเจี้ยนห้าดาวเองก็มีเพียงแปดแห่ง
ขนาดทีมสีชาดเองยังรู้สึกกดดัน นับประสาอะไรกับเราส์คนหนึ่งซึ่งพลัดเข้าไปในดันเจี้ยน?
ตายร้อยเปอร์เซ็นต์
ลียุนฮี หัวหน้าทีมสีชาดขมวดคิ้ว
“ชิ ก็แค่เลื่อนเวลาไปหน่อย เราจะเข้าไปในอีกไม่นาน เตรียมตัวให้พร้อม”
“ครับหัวหน้า”
เหตุผลหนึ่งเดียวที่บาเรียของกิลด์จะสลายไป คือเราส์ที่อยู่ในดันเจี้ยนเสียชีวิต
ลียุนฮีเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน
ซุงกูรู้สึกเหมือนโลกถล่มเมื่อคิดว่าลูกพี่ของเขากำลังจะตาย
“ลูกพี่...”
ทุกคนคาดว่าอีกไม่นานบาเรียจะสลายไป แต่มันยังอยู่ที่เดิม มื้อเที่ยงผ่านไปจนมื้อเย็น จนตะวันตกดิน บาเรียก็ยังอยู่ที่เดิม
***
“เอ๊ะ นั่นมันพี่วูจิน”
ซุงมีดูโทรทัศน์อยู่ เธอทำตาโตเมื่ออยู่ๆหน้าของวูจินก็โผล่มาในข่าว
“ฮิๆ หล่อจัง เอ๊ะ?”
ซุงมีกรี๊ดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจเนื้อหาของข่าว เธอวิ่งเข้าไปในครัว
“แม่คะ! แย่แล้ว พี่วูจินหล่นเข้าไปในดันเจี้ยน”
“เรื่องอะไรกันคะ?”
“เอ๊ะ? ลูกชายคุณลีหล่นเข้าไปในดันเจี้ยน?”
บรรดาแม่ครัวรีบวิ่งออกมาจ้องโทรทัศน์เขม็ง ข่าวกำลังฉายวิดีโอที่มือถือเครื่องหนึ่งบันทึกไว้ วูจินกำลังถกเถียงอะไรอยู่ตรงหน้าทางเข้าดันเจี้ยน เขาถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยผลักจนล้มกลิ้งลงบันไดสถานีลงไป ข่าวฉายวิดีโอนี้ซ้ำๆ
[ผู้ประสบเหตุ คุณคัง เป็นเราส์แรงค์ C เขาเข้าดันเจี้ยนเพียง 4 ครั้ง... แต่เวลาได้ผ่านไป 8 ชั่วโมงแล้วนับจากเกิดเหตุ ซึ่งหมายถึงเขาอยู่ในดันเจี้ยนมาได้ 32 ชั่วโมงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่านี่นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว... คุณคังคงถึงขีดจำกัดของเขาในอีกไม่นาน...]
ลีซูกยุนเข่าอ่อน ล้มพับลงกับพื้น
“วูจิน...”
“ไอ้หยา ทำไงดีล่ะคุณลี”
“ทำไมเขาต้องไปที่อันตรายขนาดนั้น...”
นางไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมงาน เสียงสะอื้นของซุงมี ความเศร้าท่วมท้นตัวนางจะหายใจแทบไม่ออก
“พ่อ คุ้มครองวูจินของเราด้วย ได้โปรด”
ลีซูกยุนหลั่งน้ำตา บรรยากาศในร้านอาหารมีแต่ความโศกเศร้า
***
ณ สถานีมหาวิทยาลัยโซลทางออกที่ 6
บาเรียปรากฏขึ้นมา 9 ชั่วโมง 12 นาทีแล้ว ทีมสีชาด คนจากกิลฮวาราง นักข่าวและเกาหลีมุงยังไม่ไปจากที่นี่
มินชาน ซุงกูและเฮมินถือเป็นคนรู้จักของวูจิน จึงเข้ามารอใกล้ๆทางเข้าได้
“เฮ้อ แม่งรอดนานไปแล้วเว้ย น่าจะรีบๆตายไปได้แล้ว”
คนจากทีมสีชาดพูดขึ้น ซุงกูโกรธ
“ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดนะ ลูกพี่ของผมกำลังพิชิตมันต่างหาก!
“หา ไอ้ห่านั่นมันแรงค์ C จะพิชิตอะไรวะ? แม่งซุกหัวหลบอยู่ที่ไหนมากกว่า”
ซุงกูจะลุกขึ้น แต่มินชานรั้งไว้
“อดทนไว้คุณซุงกู”
“เขาไม่รู้อะไรก็ปล่อยเขาพูดไป”
“เราต้องเชื่อมั่นในตัวคุณวูจิน”
“เฮ้อ”
“คุณซุงกูเห็นคุณวูจินสู้มาแล้วน่าจะรู้ คุณว่าเขาจะพิชิตได้ไหม?”
“แน่นอนครับ”
ซุงกูแน่ใจ ดันเจี้ยนสี่ดาวไม่ลำบากสำหรับวูจินเลย เขาเข้าไปในดันเจี้ยนโดยไม่ได้เตรียมตัวก็จริง แต่เขามีทักษะใช้มิติทับซ้อน
“บอกหน่อยได้ไหมว่าคุณวูจินมีความสามารถอะไร? ในข้อมูลบอกว่าเขาเรียกโครงกระดูกมาได้ร่างเดียว...”
“ผมบอกไม่ได้ครับ”
ซุงกูปิดปากแน่น มินชานแอบเซ็ง เจ้าหนุ่มนี่หัวดื้อจริงๆ เขาหลอกถามโน่นนี่แต่ซุงกูไม่บอกอะไรเลย
“กินข้าวเย็นกันเถอะ”
ค่ำแล้ว พวกเขาต่างหิว จาจังเมียนส่งมาให้พวกเขา ดวงตาของซุงกูพร่ามัว
ลูกพี่ลำบากอยู่ข้างในนั่น แต่เรากลับ...
“คุณซุงกู กินเถอะ กินแล้วก็รอ เวลาเฉลี่ยในการพิชิตดันเจี้ยน 5 ดาวครั้งแรกจะประมาณ 12 ชั่วโมง”
เท่ากับสองวันในดันเจี้ยน และวูจินอาจจะใช้เวลามากกว่าเวลาเฉลี่ย ถ้าพลาด พวกเขาจะไม่ได้เจอวูจินอีก...
ซุงกูรู้สึกผิดแต่เขาก็หิว เขาฉีกห่อจาจังเมียนออกแล้วเอาตะเกียบคน
มันเกิดขึ้นตอนที่เขาคีบหมี่เข้าปาก
บาเรียสลาย วูจินโผล่ออกมา กำลังเดินขึ้นบันไดมา
“อู้กอี้”
วูจินเห็นซุงกูอมหมี่ไว้เต็มปากแล้วก็ยิ้ม
“สั่งเผื่อฉันด้วยหรือเปล่า?”
ซุงกูรีบกลืนจาจัง จากนั้นวิ่งไปหาวูจิน กล้องทุกตัวโฟกัสไปที่วูจิน





คือว่า จนถึงสิ้นเดือนมิถุนางานจะเยอะมากเลยค่ะ เราแปลได้อาทิตย์นึงเต็มที่ก็หนึ่งตอน (รู้สึกมันชักจะขัดๆกับชื่อชิลไทม์ทรานสเลท) เห็นมีเจ้าที่แปลเรื่องนี้ไปไกลมากแล้ว ใครค้างลองไปหาอ่านดูนะคะ
คำผิดเยอะมาก เช็คไม่ไหวแล้วตาลาย @-@  


วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 33

บทที่ 33 – ดันเจี้ยนรีเซ็ท

“โอ๊ย”
จีวอนรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยง เธอครางพลางลุกขึ้น เมื่อมองรอบตัวก็พบว่าอยู่ในบ้านของเจมิน ความทรงจำของเธอเริ่มคืนมา
รุ่นน้องของวูจินที่ชื่อซุงกูเป็นคนเริ่ม ให้เธอเล่นเกมแล้วเกมเล่า ดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า ซุงกูตื๊อให้เธอถอดหมวกออกแต่ไม่สำเร็จ และพยายามจะมอมเหล้าเธอ
แล้วเธอก็รู้สึกวิงเวียนมากจนฟุบกับโต๊ะ หมวกหลุดไป
“พวกเขาเห็นแล้ว...”
เธออยากปิดมัน ได้เจอกับคนที่รู้จักแต่เธอคนเก่าตอนที่ยังสวย แต่เธอกลับแสดงส่วนที่น่าอับอายออกมา
จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม ก็ยังสวยอยู่นี่
ตอนที่หมวกหลุด เธอไม่กล้าลุกขึ้นเลย ดังนั้นจำแกล้งทำเป็นหลับ แต่เพราะดื่มไปมากเลยเคลิ้มไป...
เธอเข้าใจว่าเป็นวูจินที่อุ้มเธอกลับ... จากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
จีวอนเอามือทาบแก้มที่เริ่มเป็นสีแดงแล้วเพิ่งรู้ตัวว่ายังสวมหมวกอยู่ เธอถอดมันออก
“โอ๊ย”
จีวอนดึงหมวกออก มีเส้นผมหลายเส้นถูกดึงออกมาด้วย
ที่หมวกมีเทปใสปิดอยู่ จีวอนเห็นแล้วหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
“แหม”
จีวอนจำไม่ได้ว่าวูจินเอาของแบบนี้มาติดไว้ตอนไหน แต่แปลกที่มันทำให้หัวใจเธอเต้นแรง ทำไมของอย่างเทปใสถึงทำให้หัวใจสั่นไหวได้นะ?
เป็นครั้งแรก
คนๆนี้พูดว่าเธอสวยทั้งๆที่เธอเปลี่ยนเป็นตัวประหลาด เธอเชื่อว่าไม่มีใครคิดแบบนั้นถ้าไม่บ้าพอ แต่วูจินกลับพูด
หัวใจเธอเต้นแรง และยังเมาค้าง หลังจากดื่มน้ำดับกระหายก็คิดจะเข้าห้องน้ำ แต่ประตูถูกล็อค
“เอ๋? พี่ตื่นแล้วเหรอ? รอแป๊บนะ”
“ทำไมเธอตื่นเช้านัก?”
“เอ่อ ตอนผมกำลังนอนก็นึกได้ว่ายัง... ไม่ได้ซักผ้า ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อยซักแทนผม”
“อะไรของเธอ อย่างน้อยก็เปิดประตูไว้สิ”
“โว้ๆ แป๊บครับแป๊บเดียว จะเสร็จแล้ว”
ตอนนี้เป็นตีห้า
ประตูห้องน้ำยังไม่เปิดออกอีกนาน
***
“เมี้ยว”
วูจินตื่นนอน สิ่งแรกที่ทักทายเขาคือบิบิ
“นอนหลับสบายไหมเหมียว?”
“ฮู้ว ไอ้พวกตัวที่วิ่งไล่ฉันมันอะไร?”
“ผองเพื่อนโปโรโรไงล่ะเมี้ยว เราเห็นในทีวีเมี้ยว”
“ฮู้ว”
พวกมันวิ่งตามเขาอย่างเริงร่า... เสียงหัวเราะของสหายสัตว์ป่ายังติดหูเขาอยู่เลย
“หยิบมือถือให้ที”
“รับทราบจ้าเมี้ยว”
บิบิคาบมือถือมาให้ วูจินเปิดแล้วส่งข้อความ
[โรงแรมแฮมเมอร์ ห้อง 1703 ถ้านายมาสายเกิน 9 โมง เละ]
ตอนนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา เวลาหนึ่งชั่วโมงมากพอจะเดินทางมาถึงที่นี่ ร่างของวูจินชุ่มเหงื่อ เขาจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
หลังอาบน้ำเสร็จ วูจินออกมาเห็นบิบิกำลังอ่านอะไรอยู่
“ดูอะไรอยู่น่ะ”
“รูมเซอร์วิสเมี้ยว เราอยากกินนี่จังเลยเมี้ยว”
“รูมเซอร์วิส?”
วูจินอ่านใบคู่มือ จากนั้นยกหูโทรศัพท์ของโรงแรมขึ้น
“คือส่งอาหารสินะ”
วูจินสั่งรูมเซอร์วิส ไม่นานอาหารที่บิบิเลือกก็มาถึง มันวางเรียงรายเหมือนเขาอยู่ในภัตตาคาร วูจินทึ่ง
เรื่องนี้โลกไม่แพ้อัลเฟนเลย
ถ้าเข้าใจไม่ผิด พวกขุนนางที่อัลเฟนใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่ที่นี่ ถ้ามีเงินก็อยู่หรูได้พอกัน
ไม่สิ วูจินยังไม่เคยเห็นวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในโลกนี้ เป็นไปได้ว่าที่นี่อาจจะอยู่หรูกว่า
หลังจากอาหารถูกจัดวางเรียบร้อย บิบิกระโดดขึ้นบนโต๊ะอย่างว่องไวแล้วหยิบส้อมขึ้นมา
“เมี้ยว อันนี้ที่เราอยากกินเมี้ยว”
บิบิเลือกหมูทอด ที่ไม่มีในอัลเฟน
“เมี้ยว ทอดหมูกันล่ะ วิธีปรุงอาหารของชาวโลกนี่สุดยอดเลยเมี้ยว”
“ไม่แค่หมู อะไรก็เอามาทอดหมดแหละ”
“จริงเหรอเมี้ยว?”
ในอัลเฟนไม่มีอาหารทอด บิบิเริ่มพูดถึงอาหารหลายชนิดที่เธอเห็นในโทรทัศน์ และบอกว่าจะกินให้หมด
ฟังแล้ววูจินก็นึกขึ้นได้
“อ้า ฉันก็ควรดูทีวีด้วย”
ห้าปี ยี่สิบปีที่เขาจากโลกไป จะบอกว่าโลกในความทรงจำของเขาเป็นคนละโลกกับโลกปัจจุบันนี้ก็ไม่แปลกเกินไป
ยกเว้นตอนอยู่ในดันเจี้ยน วูจินตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือไปกับการดูโทรทัศน์ เพื่อเพลิดเพลินไปกับวัฒนธรรมสมัยใหม่และช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับสังคมได้
ระหว่างกินข้าว เสียงออดก็ดังขึ้น
“บิบิ กลับห้องอัญเชิญไป”
“แม้ว ยังกินไม่อิ่มเลยเมี้ยว”
“ไว้จะซื้อให้อีกเยอะๆ”
“ก็ได้ ห้ามลืมนะเหมียว...”
บิบิกลายเป็นควันดำและหายไปในทันใด วูจินเก็บข้าวของของตัวเองแล้วเปิดประตู
ซุงกูกำลังคุกเข่าตรงหน้าประตู เมื่อวูจินเดินออกมา เขาก็หมอบกราบกับพื้น
“ขอโทษครับลูกพี่ เมื่อวานผมเมาจนเสียสติไป ยกโทษให้ผมด้วย”
“ไม่เป็นไร นายได้จองดันเจี้ยนสี่ดาวไว้แล้วยัง?”
ถ้าคิดจะหาเงินเร็วๆ ดันเจี้ยนสามดาวเป็นทางเลือกที่ดี แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้จะน้อย
ถ้าเป้าหมายคือเพิ่มเลเวล เข้าดันเจี้ยนสี่ดาวจะดีกว่า เงินที่หมดไปกับการซื้อบ้านนั้นเขาน่าจะหาคืนมาได้ครบก่อนย้ายบ้าน
“ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้ครับ”
“ลงไปหากาแฟดื่มกันสักแก้ว”
วูจินซุงกูลงไปที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมซึ่งมีร้านกาแฟเปิดอยู่ สั่งอาหารแล้วนั่งที่
“กาแฟที่นี่แพงจริง”
“โรงแรมนี่ครับ... อะไรในโรงแรมปกติก็แพงทั้งนั้น”
“เชด ช่างมัน รีบหาสิ ไหนๆก็หาแล้วก็หาจองไปทั้งอาทิตย์เลย”
“ได้ครับ”
วูจินต่างจากเราส์ธรรมดาอยู่บ้าง ถ้าเป็นปกติดันเจี้ยน 4 ดาวย่อมทำเงินได้มากกว่าดันเจี้ยน 3 ดาว แต่กรณีของวูจินนั้นตรงข้าม เพราะเขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนสามดาวได้ในพริบตา
แต่ถ้าเขาคุ้นเคยกับดันเจี้ยน 4 ดาวแล้วก็เป็นไปได้ว่าเวลาที่ใช้ในการเคลียร์ดันเจี้ยนจะลดลง
ดันเจี้ยน 4 ดาวนั้นกว้างมากและหลากหลายเกินไป มันอันตราย ดังนั้นทีมเราส์จึงค่อยๆเคลียร์มันอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ดันเจี้ยน 4 ดาวมีไม่กี่แห่ง จึงจองที่ได้ค่อนข้างยาก
ระหว่างซุงกูยุ่งอยู่กับการหาดันเจี้ยน วูจินก็ตั้งสมาธิอยู่กับเกมมือถือ
เฟี้ยว เฟี้ยว ปังย่า!
“ใครกันนี่?”
วูจินได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีที่เขาไม่ค่อยอยากจะได้ยินเท่าไหร่ วูจินหันไปเห็นจุงมินชานยิ้มแป้นอยู่
“โห อยู่ๆก็โผล่มา”
“ฮะๆๆ ผมดื่มกาแฟที่นี่ก่อนไปทำงานทุกทีน่ะ”
จุงมินชานโกหก โรงแรมแฮมเมอร์เป็นของกิลด์แฮมเมอร์ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าวูจินเข้าพักที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน
“บังเอิญอีกแล้วเหรอลุง?”
“ฮ่าๆๆ คงงั้น หรือจะเรียกว่าพรหมลิขิตดี?”
วูจินยักไหล่ จากนั้นชี้ไปที่ที่นั่ง
“ไหนๆก็มาแล้ว นั่งสิ”
“ได้เหรอ?”
จุงมินชานนั่งเรียบร้อยแล้ววูจินก็ถามขึ้น
“ถ้ามีธุระอะไรก็พูดมาเลย”
“ฮะๆ ผมจะมีธุระอะไรกับคุณ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษด้วยนะ ถ้าต้องการอะไรคุณบอกมา ผมจะช่วยเต็มที่ ถือว่าไถ่โทษ”
วูจินยิ้ม คนๆนี้นี่ช่างตั้งอกตั้งใจดึงตัวเขาเข้ากิลด์จริงๆ ทำแล้วได้อะไร?
“คุณซุงกูกำลังหาจองที่ลงดันเจี้ยนหรือเปล่า?”
“อะ? ครับ ผมกำลังหาดันเจี้ยนสี่ดาวที่ว่างอยู่ แต่ไม่มีเลย...”
“ดันเจี้ยนฟอรั่มใช้งานได้หลายอย่าง แต่มันไม่เน้นอะไรเป็นพิเศษน่ะนะ รอสักครู่”
มินชานเอาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาวางบนโต๊ะ เปิดโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา ตารางเวลาของแต่ละดันเจี้ยนระดับสูงปรากฎบนหน้าจอ
“ว้าว”
ซุงกูสนใจ แต่วูจินไม่ เขาไม่สนว่าเป็นฝีมือของโปรแกรมหรือของลูกน้องเขา ขอให้จองเวลาสำหรับลงดันเจี้ยนได้ก็พอแล้ว
“หน่วยสนับสนุนของกิลด์มีฝีมือด้านจัดการงานยุ่งยากแบบนี้โดยเฉพาะ อีกอย่าง ถ้าเราส์อย่างคุณวูจินเข้ากิลด์เรา คุณจะมีที่พักฟรี ถ้าอยากพักในโรงแรมก็ใช้ที่นี่ได้เลย เราส์ของเราใช้ที่นี่เป็นที่พักเยอะทีเดียว”
วูจินมองมินชาน
“ฟังดูดีนะ”
“ฮะๆ เริ่มสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหม? ดูสิ นี้คือช่วงว่างของดันเจี้ยน 4 ดาว”
ช่วง สิบเอ็ดโมงเช้า บ่ายสองโมง ห้าโมงเย็น และสี่ทุ่มว่างอยู่ ค่าจอง ค่าธรรมเนียมก็บอกไว้ข้างๆ โปรแกรมนี้ดีกว่าดันเจี้ยนฟอรั่มจริงๆ
“เอาไงคุณ? ให้ผมจองให้เลยไหม ถ้าคุณเข้ากิลด์นะ เรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้ไม่ต้องห่วงเลย”
เข้ากิลด์แล้วสะดวกจริงๆ วูจินถาม
“ถ้าฉันจัดการหัวหน้ากิลด์ของนายแล้วจะได้เป็นหัวหน้ากิลด์แทนไหม?”
“ไม่มีทาง”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ”
“...”
จุงมินชานอึ้งไปนานเมื่อได้ยิน
ว่าแล้ว เขาอยากได้ตำแหน่งระดับหัวหน้าจริงๆด้วย
มินชานคิดว่าการเดาของเขาถูกต้อง วูจินกำลังต่อรองกับเขาอยู่ เขาทำเป็นไม่สนใจแต่ส่งสัญญาณเป็นนัยๆให้ตลอด
เรื่องที่ว่าวูจินเข้าพักในโรงแรมในสังกัดของกิลด์ก็เป็นสัญญาณที่ส่งมาถึงมินชาน บอกว่าฉันอยู่นี่ มาหาสิ
ฉันไม่มีอะไรมาดึงคนๆนี้ไว้ แต่ฉันต้องเอาคนมีความสามารถระดับนี้มาให้ได้
ถ้าได้วูจินมาผลประโยชน์ย่อมเป็นของกิลด์ เขาให้ตำแหน่งรองประธานไม่ได้เพราะประธานไม่อนุญาต แต่ถ้าเป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมเราส์สักทีม วูจินจะยอมไหม?
มินชานคิด วูจินชี้ไปที่ดันเจี้ยนที่อยู่บนสุดของรายการ
“ฉันใช้ไอ้นี่จองได้ไหม?”
“แน่นอน”
“ช่วยคนนอกกิลด์จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“เรื่องเล็กน้อยน่ะคุณ”
มินชานหัวเราะ วูจินก็หัวเราะด้วย
***
จะบอกว่าบังเอิญก็เกินไป คิมเฮมินเตรียมรถรออยู่นอกโรงแรมเรียบร้อย
“ไปกันเถอะ”
“รถผมจอดอยู่ที่จอดรถน่ะครับ”
“ไม่ต้องห่วง พอเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ ผมจะพาคุณกลับมาที่นี่ อ้อ ใช่ๆ นี่ก็เป็นสวัสดิการสำหรับเราส์ในกิลด์”
มินชานโฆษณากิลด์ วูจินซุงกูฟังพลางเข้าไปนั่งในรถ เฮมินขับเลยสถานีซาดางอีกสองสถานี พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางสถานีมหาวิทยาลัยกรุงโซล
เป็นระยะทางที่สามารถเดินไปได้
“ผมจองเสร็จแล้ว เหลือเวลาอีกหน่อยก่อนถึงเวลาจอง ไปดื่มชากันก่อนไหม?”
เหลือหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด 11 โมง นี่เป็นโอกาสดีสำหรับมินชาน
“ดันเจี้ยนสถานีมหาวิทยาลัยแห่งกรุงโซลมีอธิบายไว้ในคู่มือแล้ว แต่ขอผมสรุปให้คุณฟังหน่อยได้ไหม?”
ดันเจี้ยนแห่งนี้ไม่ใช่ของกิลด์แฮมเมอร์ แต่กิลด์ต่างๆจะแลกเปลี่ยนข้อมูลดันเจี้ยนระดับสูงให้กัน ดังนั้นมินชานจึงรู้รายละเอียดของดันเจี้ยนนี้
การสรุปรายละเอียดก่อนเข้าดันเจี้ยนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทีมตั้งใจและปฏิบัติตามข้อมูลที่ได้มา การเข้าดันเจี้ยนก็ง่ายกว่าเดิมมาก
ปัญญาประดุจดังอาวุธ! ถ้าเข้ากิลด์จะเคลียร์ดันเจี้ยนได้สบาย! นี่คือสิ่งที่มินชานอยากจะสื่อ
“อา แบบนั้นก็ดีสิ”
สีหน้ามินชานแช่มชื่นเมื่อได้ฟังคำตอบของวูจิน แต่แล้วแสงจากทางออกที่หกของสถานีซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนก็สว่างขึ้น
“ฮ้า ดันเจี้ยนรีเซ็ท”
เคยเห็นในหนังมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ซุงกูมาเห็นของจริง เขาโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ
เหตุผลเดียวที่ดันเจี้ยนเรืองแสงคือดันเจี้ยนรีเซ็ท
สภาพเหมืองได้จบสิ้นลง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นดันเจี้ยนใหม่แห่งหนึ่ง ถ้าดันเจี้ยนนี้ไม่ถูกพิชิตภายใน 30 วันก็จะเกิดดันเจี้ยนระเบิด
“ฮึ้ย ติดต่อกิลด์เร็ว เฮมิน”
“รับทราบ”
คิมเฮมินรีบโทรศัพท์ วูจินมองไปยังจุดตรงข้ามนิ่ง
“ตรงนั้นมีดันเจี้ยนให้เข้าฟรีๆสินะ”
“ฮะ?”
เมื่อดันเจี้ยนรีเซ็ท ก็เท่ากับยังไม่มีใครเคลียร์เป็นคนแรก มันจึงไม่มีเจ้าของ
แต่ พิชิตดันเจี้ยนไม่ง่ายเหมือนเก็บเงินตกข้างถนนนะ มันเสี่ยงเกินไป...
วูจินตื่นตัวเต็มที่เมื่อเห็นคนเคลื่อนไหวกันพลุกพล่านรอบๆทางออกที่หก



ปัญญาประดุจดังอาวุธ หรือสั้นๆง่ายๆ ปญฺญา วุโธ เป็นคำขวัญของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่เราชอบมากค่ะ (ไม่ได้หมายถึงหลวงพ่อที่ไหนนะ ><) ขนาดจำได้ทั้งๆที่คำขวัญโรงเรียนเก่าตัวเองนี่จำไม่ได้