บทที่ 29 – โลกเดียวกัน (2)
“คาดไม่ถึงเลยแฮะ?”
วูจินขมวดคิ้วมองมอนสเตอร์ประมาณ 20 ตัว
นึกไม่ถึงว่าออร์คจะมาโผล่ที่โลกนี้
ด้วยประสาทสัมผัสของนักรบทำให้วูจินเห็นเลเวลของพวกมัน ซึ่งสูงทีเดียว และเขาต้องประเมินพลังต่อสู้ที่แท้จริงของพวกมันสูงกว่าเลเวล
เพราะเจ้าพวกนี้คล้ายกับมนุษย์ เมื่ออยู่กันเป็นกลุ่มจะสามารถร่วมมือกัน
“ราเคอ ริ มาคทู ริ เค อัลเฟน”
ซุงกูประหลาดใจเมื่อได้ยินวูจินคำรามถ้อยคำประหลาด
“ลูกพี่?”
ไม่ใช่แค่ซุงกู พวกออร์คก็ประหลาดใจ มันหันไปคุยกันเอง
[มนุษย์จากโลกพูดภาษาออร์คได้ยังไง?]
วูจินหัวเราะ เป็นออร์คจากที่ๆเขารู้จัก
พวกมันเป็นหนึ่งในเผ่าที่อยู่ในสังคมของอัลเฟน
วูจินสงสัยว่าออร์คพวกนี้มาอยู่ในดันเจี้ยนได้อย่างไร
ดันเจี้ยนคือที่ๆทราห์เน็ทใช้เป็นเครื่องมือบุกโลกหรือ?
[ทำไมออร์คของอัลเฟนมาที่โลกนี่?]
เมื่อวูจินถาม ออร์คร่างใหญ่ตัวหนึ่งก็เดินออกมา
[แกเป็นใคร
ทำไมมนุษย์จากโลกถึงรู้จักภาษาของออร์คจากอัลเฟน?]
[เรื่องนั้นไม่สำคัญ
ฉันถามว่าทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่]
[เราเสียฐานของเราไป]
วูจินประหลาดใจ
[หมายความว่าอัลเฟนถูกทราห์เน็ตยึดได้แล้ว?]
ออร์คตัวนั้นนิ่ง
ทำไมมนุษย์จากโลกถึงรู้เรื่องของอัลเฟนเยอะนัก?
[ใช่แล้ว ขุมพลังที่คานอำนาจกับทราห์เน็ตไว้หายสาบสูญ
ทราห์เน็ตเข้าควบคุมทุกสิ่ง ที่พวกเรายังอยู่ได้เพราะได้ทำสัญญากับทราห์เน็ตไว้]
[สัญญา?]
[โลกนี้จะเป็นฐานใหม่ของพวกเรา]
บุกโลก
วูจินขมวดคิ้ว สัญญาไร้สาระ
ตั้งแต่แรกโลกก็ไม่ใช่ของทราห์เน็ต
“หรือพวกมันอยากตาย กล้ามาถึงที่นี่?”
วูจินพูดด้วยภาษาเกาหลี ซุงกูถามอึ้งๆ
“ลูกพี่ สบายดีนะครับ?”
“อะไร?”
“ผมนึกว่าลูกพี่ละเมอ”
ซุงกูเป็นห่วงจริงๆ จู่ๆวูจินก็ส่งเสียงอ้อแอ้
วูจินกังวลด้วยความภักดีที่มีต่อวูจิน ช่วยปลุกให้วูจินได้สติ
[ความเกรี้ยวกราดของนักรบถูกใช้งาน]
โฮ่ ความโกรธเป็นอย่างนี้นี่เอง วูจินข่มความโกรธไว้แล้วหันไปทางออร์ค
เขาต้องเอาความโกรธไปลงกับพวกออร์ค ไม่ใช่ซุงกู
พอเสียบ้านเกิดก็แอบลอบเข้ามาในบ้านคนอื่น ไม่พอ ยังคิดจะแย่งอีก
“ถึงสู้เป็นทีมก็ไม่กลัวหรอกนะ”
รุมกันนี่ล่ะที่เขามั่นใจว่าไม่แพ้แน่
“ถล่มมัน”
นักเวทย์โครงกระดูกที่ยืนระวังอยู่จัดการร่ายเวทย์ถล่มใส่พวกออร์คตามคำสั่งวูจิน
ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้าถูกโยนใส่ที่ๆออร์คยืนอยู่เหมือนห่าธนู
ทำเอาฝุ่นควันลอยคลุ้ง เมื่อฝุ่นจางไป ซุงกูก็ตกตะลึง
“ไม่...ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?”
ชาแมนของพวกออร์คใช้บาเรียป้องกันไว้ วูจินแสยะยิ้ม
ออร์คหรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าเขาอยู่ที่นี่
เขาไม่ยอมให้ใครมารุกรานโลกแห่งนี้
“ไหนขอดูหน่อยว่าจะทนนี่ได้ไหม”
เวทย์ไม่แรงพอ ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มพลังให้มัน
วูจินเปิดหน้าต่างทักษะ เพิ่มเลเวลให้นักเวทย์โครงกระดูกรวดเดียวเป็นเลเวล
10
“เคะๆๆ”
รูปร่างของนักเวทย์โครงกระดูกเริ่มเปลี่ยนแปลง
ไอสีดำล้อมรอบร่างเปราะของมันแล้วแปรเปลี่ยนเป็นผ้าคลุมสีดำ
ถ้ายืนเฉยๆคงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนสวมเสื้อคลุมตัวคลุมศีรษะ
มือกระดูกสะบัดออกมาจากผ้าคลุม แล้วแสงที่ใหญ่กว่าเดิมสองเท่าก็ก่อตัวเป็นเวทย์
“ยิง”
เวทย์มนตร์คนละระดับกับเมื่อก่อนเริ่มกระหน่ำใส่พวกออร์ค
เมื่อลูกบอลไฟสัมผัสสิ่งใด มันระเบิด
น้ำแข็งแช่แข็งทุกสิ่ง
สายฟ้ายิ่งมีพลังรุนแรงที่สุดเพราะพวกออร์คใช้อาวุธโลหะ
[นักรบกล้า ประจัญบาน!]
“ฆ่ามันก่อน”
นักเวทย์โครงกระดูกทำตามคำสั่งโดยร่ายเวทย์ไม่หยุด
เมื่อเลเวลของพวกมันเพิ่มขึ้น ระยะทาง ความเร็วในการร่ายและความแรงก็เพิ่มขึ้นด้วย
พวกออร์คอยู่ห่างไปพอสมควร
กว่าจะพุ่งมาถึงตัววูจินก็ตายไปเกือบครึ่ง เมื่อพวกออร์คเข้ามาใกล้
วูจินก็ยกเลิกทักษะเรียกนักเวทย์โครงกระดูกทั้ง 40 ตัวทันที
ร่างของพวกมันแตกกระจายกลายเป็นกองโครงกระดูก วูจินยิ้มแสยะ
“คราวนี้ก็มาต่อรอบสอง”
เขาใช้กองกระดูกพวกนั้นเรียกทหารโครงกระดูกออกมา
“เคะๆๆๆ!”
ค่าเวทย์ (หมายถึง MP
– TN) ของเขาหมดเกลี้ยง แต่วูจินไม่สนใจ เขาไม่ได้พึ่งพาแต่เวทย์ในการต่อสู้
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
“เคะๆๆ”
วูจินยกไม้เท้าเหล็กขึ้นมาแล้วพุ่งไป ทหารโครงกระดูกตามหลังเขามาอย่างรวดเร็ว
พลังโจมตีของออร์คนั้นรุนแรงมาก พวกทหารโครงกระดูกไม่อึดนักดังนั้นโดนฟาดทีสองทีก็พังทลาย
วูจินไม่สน
ถึงจะทหารโครงกระดูกจะถูกทำลายแต่ออร์คก็บาดเจ็บเช่นกัน
หนึ่งครั้ง สองครั้ง ครั้งที่สามออร์คก็ทนไม่ไหว มันถูกดาบของทหารโครงกระดูกแทงตาย
ต่อให้พวกออร์คกล้าหาญเพียงใด
ถูกรุมมากๆเข้าก็ตายอยู่ดี วูจินสังหารออร์คตัวสุดท้าย เขาฟาดกะโหลกชาแมนจนแหลกแล้วถอนหายใจ
“อีกหน่อยมนุษย์คงมาเกิดในดันเจี้ยนด้วย”
“ลูกพี่ ปล่อยมุกก็เก่งเหมือนกันนะครับ”
เสร็จศึกก็ถึงตาผู้เชี่ยวชาญซุงกู
เขาเก็บไอเทมที่ตกจากออร์คอย่างว่องไว
***
หน้าสถานีศาลากลางเมืองกวาชุนทางออกที่ 11
คิมเฮมินเขี่ยแก้มตัวเอง
“หัวหน้า นี่มันเริ่มแย่แล้วหรือเปล่า?”
“นานแค่ไหนแล้ว?”
“ผ่านมา 6 ชั่วโมง 20 นาทีแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบ
สีหน้าของมินชานเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เวลาเคลียร์ดันเจี้ยน 4 ดาวปกติคือ 4
ชั่วโมง ถ้าในดันเจี้ยนก็คือ 20 ชั่วโมง
พวกวูจินอยู่ในดันเจี้ยนมากว่า 25 ชั่วโมงแล้ว
แปลว่าพวกเขาเอาตัวรอดในดันเจี้ยนเกิน 1 วัน...
“หะ หัวหน้าทีม บาเรียมัน”
จุงมินชานมองบาเรียสลายไปแล้วกลืนน้ำลาย
รอด รอดออกมาเถอะ
เขาตะโกนอยู่ในใจ แต่ไม่เห็นข้างล่างมีอะไรเปลี่ยนแปลง
“เฮ้อ...”
เขาถอนหายใจ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา
“เฮ้อ คราวหน้าเอารถเข็นมาเลยดีกว่า”
วูจินซุงกูบ่นพลางแบกอาวุธชุดเกราะที่ได้จากพวกออร์คขึ้นมา
“ยิน... ยินดีด้วยที่กลับมาอย่างปลอดภัย”
มินชานวิ่งลงบันไดมาจับมือวูจินอย่างตื่นเต้น
วูจินมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“จะตื่นเต้นไปทำไม?”
“ฮะ?”
“อ๊ะ ลงไปเอาของพวกนั้นขึ้นมาให้ที”
“อ่า...”
วูจินซุงกูรวบรวมของไอเทมมาเป็นจำนวนมาก บลัดสโตนเต็ม 2
ถุง ทั้งขนาดของบลัดสโตนก็ใหญ่กว่าดันเจี้ยนระดับต่ำอย่างเทียบไม่ติด
ยิ่งกว่านั้น อาวุธชุดเกราะของพวกออร์คก็มีค่าทีเดียว อาวุธเหล็ก
หนังสัตว์ ผ้าดิบ พวกนี้เป็นของที่หาซื้อได้ทั่วไปก็จริง
แต่ที่มันมีค่าก็เพราะสามารถเอาเข้าไปในดันเจี้ยนได้
ถ้าเป็นดันเจี้ยนระดับต่ำ เราส์สามารถนำอาวุธสมัยใหม่จากโลกเข้าไปได้
ดันเจี้ยนพวกนั้นพูดจริงๆแล้วนับเป็นเขตแดนที่ไม่หวงห้าม
แต่ดันเจี้ยนระดับสูงยอมให้เราส์เท่านั้นที่ผ่านไปได้
ของใช้สมัยใหม่จึงไม่มีประโยชน์
เมื่อวูจินได้หินรีเทิร์นสโตนแล้วผ่านอุโมงค์มิติกลับมา
เสื้อผ้า โทรศัพท์ และถุงใส่บลัดสโตนของเขาต่างกองอยู่บนพื้น
วูจินซุงกูจัดไอเทมที่ได้มาโดยมีมินชานคอยช่วย
“สรุปว่าเราควรขายบลัดสโตนที่ร้าน
ส่วนไอเทมอื่นจะขายหรือไม่ขายก็ได้?”
“ใช่แล้ว เดี๋ยวนะ...”
มินชานเปิดเป้แล้วเอาเครื่องสแกนอันหนึ่งออกมา
เขาสแกนไล่ไปเรื่อยๆ
“ฮืม เป็นไอเทมธรรมดาทั้งนั้นเลย ไม่ใช่อาร์ติแฟค
แต่นี่เป็นของที่ได้มาจากดันเจี้ยน ก็มีค่าพอสมควร...”
“งั้นฉันต้องไปขายที่ไหน?”
“ปกติหน่วยสนับสนุนของกิลด์จะจัดการตรงส่วนนี้...”
มินชานหยุด เขามองปฏิกิริยาของวูจิน ถ้าพูดไปจะดีไหมนะ?
“เอ่อ ถ้าคุณเข้ากิลด์
หน่วยสนับสนุนจะจัดการธุระจุกจิกทั้งหลายให้...”
“สะดวกดีนะ”
“มาเข้ากิลด์ของพวกเราไหม?
ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกคุณอย่างดี”
“อ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก กิลด์ลุงก็ซื้อของพวกนี้สักหน่อยสิ จะแบกไปมาก็เกะกะ”
“...”
มินชานซื้อไอเทมไปทั้งหมด ให้ราคาดีด้วย
110,000,000 วอน
“กำไรไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะครับ”
“คงงั้น แต่สบายกว่าหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
ซุงกูเข้าใจความหมายของวูจิน ที่ดันเจี้ยนราควิ ซุงกูแงะบลัดสโตนจนหัวหมุน
ดังนั้นสำหรับเขาแล้วที่นี่จึงสบายกว่า แต่ถ้าเทียบกับเวลาที่ใช้ไป กำไรจากดันเจี้ยนสามดาวจะดีกว่า
“...”
จุงมินชานคำนวณรวดเร็ว จากท่าทางของวูจินและซุงกูแล้วดูเหมือนจะไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกเขาในดันเจี้ยนเลย
‘หรือเขาจะเป็นแรงค์ A’
หัวใจมินชานเต้นโครมคราม
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากเข้าดันเจี้ยนกับวูจินดู เขาอยากเห็นวูจินสู้ด้วยตาตัวเอง
เราส์คนนี้เข้าดันเจี้ยนแค่ไม่กี่ครั้งก็ทำให้มินชานตะลึงแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอย่างนี้
“ขอเบอร์ของคุณหน่อยเถอะ”
“ไม่”
“ขอเถอะนะ”
“ถ้าฉันให้นายก็มากวนไม่หยุดสิ”
“...”
ก็ใช่น่ะสิ
มินชานไม่คิดจะปล่อยเราส์ที่หมายตาไว้ไป
แต่วูจินเคี้ยวยากทีเดียว มินชานช่วยวูจินและซุงกูมากมายทั้งๆที่ไม่ใช่สมาชิกกิลด์
แต่เขาไม่อยากทวงบุญคุณ
ดูเหมือนวูจินจะไม่เห็นเป็นบุญคุณเสียด้วย
เหมือนวูจินเห็นว่าที่เขามาทำดีด้วยเป็นเรื่องธรรมดา
“เจอกันเมื่อชาติต้องการ”
“...”
เมื่อเงินถูกโอนเข้ามาแล้ว วูจินปัดๆกางเกงแล้วยืนขึ้น
มินชานไม่มีเหตุผลมาหยุดเขาไว้
“ให้ผมไปส่งนะ”
“อ๊ะ ไม่เป็นไร”
“ฮะๆ ไม่ให้ก็จะไปล่ะ ไปกันเถอะครับ”
เฮมินตามทั้งสองคน มองส่งจนกระทั่งพวกเขาออกจากลานจอดรถ
มินชานนั่งลงอย่างผิดหวัง เฮมินวิ่งแจ้นกลับมา
“หัวหน้าทีม ได้แล้ว”
“ได้อะไร?”
“เบอร์โทรเขาไง”
มินชานลืมตากว้าง และเห็นเบอร์โทรศัพท์ในมือของเฮมิน
[คังวูจิน 010-12xx-xxxx]
“แน่ใจนะว่าของจริง?”
“ของจริง ผมโทรดูแล้ว”
“หา ถ้าจะให้ง่ายๆแล้วทำไมตอนแรกถึงเล่นตัว?”
“ไม่รู้เหมือนกัน...”
มินชานขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจเลย ทีแรกวูจินแสดงทีท่าว่าไม่ต้องการเข้ากิลด์แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนมีเยื่อใย ดูเหมือนเขาไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว
‘หรือเขาจะเชี่ยวเรื่องต่อรอง?’
มินชานเคยคิดว่าวูจินเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ในสังคมนัก
ดูเหมือนเขาต้องคิดใหม่
หลังจากนิ่งไปนาน อยู่ๆมินชานก็ถาม
“นายบอกเขาว่ายังไงถึงได้เบอร์มา?”
“ผมก็แค่ชวนดื่มด้วยกันคราวหน้า”
“...”
เฮ้อ ไม่รู้จริงๆว่าวูจินคิดอะไร