วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 25

Chapter 25 – Little Devil Bibi
บทที่ 25 - อสูรน้อยบิบิ
ครอบครัวของวูจินจะย้ายเข้าบ้านใหม่ในสองสัปดาห์หน้า ค่าใช้จ่ายในการทำสัญญาและค่านายหน้าจะเรียกเก็บในวันนั้น ดังนั้นวูจินจึงไม่ต้องยืมเงินซุงกูแล้ว
วูจินถูกเรียกตัวไปยังโลกอัลเฟนเมื่อตอนเขาอยู่ม.ปลายปี 3 โลกฝั่งนั้นไม่มีนายหน้าขายบ้าน เขาเดินทางไปที่ไหนหลับที่นั่นสักคืนก็นับเป็นบ้าน
เขาใช้ชีวิตแบบนั้นมา 20 ปี ไม่เคยทำสัญญาจุกจิกแบบนี้ ดังนั้นวูจินจึงไม่รู้จักค่านายหน้ากับค่าใช้จ่ายในการทำสัญญา
พระอาทิตย์ตกดินไปตั้งแต่ตอนที่พวกเขากำลังหาบ้าน หลังจากนั้นพวกวูจินไปหาอะไรกินแก้หิวที่ร้านอาหารใกล้ๆจนอิ่มแล้ว และโซอาก็เหนื่อยจนหลับไปเรียบร้อยแล้ว
วูจินให้โซอาขี่หลังกลับบ้าน วางเธอลงนอนเรียบร้อย ลีซูกยุงมีท่าทางเสียใจเพราะไม่อยากแยกกับลูกชาย
“ลูกน่าจะอยู่ที่นี่”
“ไม่ดีกว่าแม่ แต่พอย้ายบ้านแล้วผมจะไปอยู่ด้วย”
วูจินอยากอยู่ เขาหาทางกลับมาหาครอบครัวตลอด 20 ปี ทำไมเขาถึงจะอยากไปล่ะ แต่มีบางอย่างที่เขาไม่อยากให้ครอบครัวเห็น
นี่คือสาเหตุที่เขาพยายามซื้อบ้านให้เร็วที่สุด
ลีซูกยุงคิดว่าลูกชายของนางคงอึดอัดถ้าต้องอยู่ในบ้านแคบๆนี้ นางจึงไม่บังคับเขา
“ก็ได้ ถ้าแม่ออกจากงานแล้วจะทำบานชานฝากไปให้รุ่นน้องที่ลูกไปอยู่ด้วย” (Banchan - เครื่องเคียง เอาไว้กินแกล้มอาหารจานหลัก หน้าตาประมาณกับข้าวในร้านข้าวต้ม-TN)
“อะแฮ่ม แบบนั้นก็ช่วยกู้หน้าผมได้เยอะเลย”
ท่าทางกวนประสาทของลูกชายทำให้ลีซูกยุงหายกังวลใจไปได้หน่อย การที่ลูกของนางกลับมานั้นเหมือนฝัน แล้วจากนั้นเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีกต่อหน้านาง
“พรุ่งนี้ผมจะมาหาใหม่ ลาออกเร็วๆนะแม่ ถ้าส่งโซอาไปโรงเรียนแล้วแม่ไม่มีอะไรทำ ผมจะเปิดร้านกาแฟให้แก้เบื่อ”
“อื้ม ถ้าทุกวันได้กินข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตาแม่ก็ดีใจแล้ว”
“ผมก็เหมือนกัน”
วูจินลูบศีรษะโซอาที่หลับอยู่แล้วเขาก็ลุกขึ้น
“เจอกันพรุ่งนี้นะแม่”
“จ้ะลูก”
วูจินรู้สึกเสียใจที่ต้องบอกลา
เขาตรงไปทางบ้านเจมิน
“เฮ้อ แต่ฉันก็ยังโชคดี”
วูจินถูกวิญญาณร้ายก่อกวนทุกคืนจนเขาไม่สามารถนอนหลับอย่างสงบ เขาอยากจะหลีกเลี่ยงแต่ทำไม่ได้เพราะมันเป็นคำสาป
โชคดีที่มีวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเจ็บลงได้บ้าง
เดินไปสักพัก วูจินเลี้ยวเข้าไปในซอยที่ร้างคน
“บิบิ ออกมา”
ฟิ้ว
สิ้นเสียงเรียกของวูจิน ลมหมุนวนแล้วควันสีดำก็รวมตัวกัน ควันดำรวมกลุ่มแล้วกระจายออก เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“อะไรวะ? บิบิ ออกมา”
ฟิ้ว
ควันดำลอยลึกเข้าไปในซอยจากนั้นก็เริ่มก่อตัวต่อหน้าวูจินใหม่ แต่คราวนี้มีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก
“เมี้ยว”
รูปร่างของบิบิไม่ใช่อสูรน้อยแล้ว เธอดูเหมือนแมว ลูกแมวตัวกระจ้อยร่อย
“หา? ทำไม?”
“เมี้ยว เราสร้างร่างของตัวเองไม่ได้ เลยได้แต่หาร่างของสัตว์ตัวเล็ก-เมี้ยว”
วูจินกุมขมับ
“ที่ไหนเนี่ย ไม่รู้สึกถึงทราเน็ตเลย-เหมียว”
วูจินอุ้มบิบิขึ้นมา
“อยู่ร่างนี้เธอยังใช้พลังได้หรือเปล่า?”
“แม่ว เจ้านายเลเวลต่ำ เราเลยเลเวลต่ำตามไปด้วย เราใช้ได้แต่ฝันร้าย-เมี้ยว”
อสูรของวูจินมีเลเวลเช่นกัน เมื่อวูจินข้ามมิติกลับมาก็ดูเหมือนเลเวลของพวกมันถูกรีเซ็ท บิบิเป็นซัคคิวบัสเลเวลต่ำ แต่ความสามารถพื้นฐานอย่างควบคุมฝันร้ายไม่ขึ้นกับเลเวล
“ถ้าใช้ได้ก็พอแล้ว”
ต่อให้บิบิเลเวลสูงกว่านี้ วูจินก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถอื่นของเธออยู่ดี
“เหมียว ที่นี่มีกลิ่นดีจัง กลิ่นของความสงบสุข”
เธอเป็นอสูรแต่กลับรักสันติภาพ วูจินฟังแล้วยิ้มแห้ง
“แบบนี้ก็ดี ถ้าเป็นร่างนี้เธอก็อยู่กับฉันได้”
“จริงเหรอเมี้ยว เราอยู่กับเจ้านายได้ ไม่ต้องรออยู่ในห้องรออัญเชิญเหรอ-เมี้ยว?”
“ได้สิ แต่ห้ามพูดนะ”
“แม่ว เรื่องแค่นี้เรารู้น่า แมวที่ไหนจะพูดได้กัน-เมี้ยว?”
บิบิมีไหวพริบดีดังนั้นคงเอาตัวรอดได้ ตอนวูจินหลับบิบิจะช่วยได้มาก แทนที่จะทนกับคำสาปของวิญญาณร้าย เขาขอทนกับฝันร้ายดีกว่า แปลกดีไหม?
บิบิสำคัญต่อวูจิน ถ้าเธออยู่ในร่างเด็กน้อยมองในแง่ศีลธรรมของโลกนี้แล้วคงมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เธอดูไม่ต่างจากแมวตัวหนึ่ง จึงไม่มีใครว่าถ้าเขาจะนอนกับแมว
จะว่าไป โซอาอยากได้สุนัข...
“เฮ้ เธอเปลี่ยนเป็นหมาได้ไหม?”
“เหมียว การเปลี่ยนรูปคงตัวแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้วเหมียว”
“อืม...”
เอาน่ะ โซอาคงชอบแมวเหมือนกัน...
***
เมื่อเรียนพิเศษเสร็จแล้วเจมินก็กลับบ้าน
“อื้ม เดินทางดีๆนะ ผมจะไปรอพี่หน้าโรงเรียนสอนพิเศษ”
วันนี้เป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้พี่สาวของเขาจะมาที่บ้าน
ตี๊ดๆๆ
เจมินใส่รหัสเปิดประตู มองรอบๆห้องอย่างระมัดระวัง ตามคาด วูจินกำลังนั่งบนเตียง กินส้มดูทีวี
“อ้า กลับมาแล้วเหรอ?”
เจมินกลับมาแล้วแต่วูจินยังมองทีวีเฉย ถ้าใครมาเห็นคงนึกว่าวูจินอยู่ที่นี่มาเป็นปีแล้ว ไม่สิ คงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นพี่ชายของเจมินเลยด้วยซ้ำ
แถมวันนี้วูจินยังไม่ได้มาคนเดียว
“พะ...พี่ นั่นอะไรครับ?”
เจมินมีสีหน้าตื่นตะลึง ชี้ไปทางแมว นิ้วเขาสั่นระริก
เงินห้าแสนวอนนั้นเยอะมาก เจมินโทษวูจินว่าบุกรุกไม่ได้...
แต่ มาขออาศัยอยู่แล้วยังจะเอาสัตว์เลี้ยงเข้าบ้านอีกเหรอ!
“อ้อ ฉันเจอมันระหว่างทาง ฉันจะเลี้ยงไว้”
ฮือ แมว ขนมัน กลิ่นมัน...
เจมินเศร้าใจ ถอดรองเท้าอย่างอ่อนแรง วางกระเป๋าลง เปิดตู้เย็น ดื่มน้ำอั้กๆ
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
พรุ่งนี้พี่สาวเขาจะมาแล้ว พี่สาวเป็นคนเช่าห้องนี้ให้เขาเพื่อจะได้ตั้งใจเรียน แค่มีชายคนหนึ่งมาอยู่ในห้องเขาก็ไม่ชอบแล้ว แล้วยังจะเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาโดยไม่ถามความเห็นเจ้าของห้องอีก
นี่มันมากเกินไป เจมินต้องทวงฐานะเจ้าของบ้านกลับคืนมา
เจมินวางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดังตึง!
“พี่!
“อ้อ ฉันวางค่าเช่าบนโต๊ะนั่นนะ ฮะๆๆ นี่ตลกดีแฮะ”
“...”
วูจินกลับไปดูทีวีต่อ เจมินมองข้างในซองบนโต๊ะ
สะ... สามแสน?
เจมินตาโต ทำไมวูจินถึงมีเงินเยอะนัก? เจมินมองวูจินอีกรอบ
“เจฮุนเจฮุน ซื้อนี่ให้หน่อยดิ? อุเฮะๆๆ”
วูจินกำลังมองทีวีอย่างตั้งใจ ดูยังไงก็เหมือนขอทาน แต่ถึงจะไม่มีงานเขากลับมีเงิน หรือจะเป็นลูกคนรวยคาบช้อนทองมาเกิด
ไม่ๆ คนแบบนั้นไม่มีทางจะได้เจอง่ายๆ
“เหมียว”
แมวข้างตัววูจินกำลังกินส้มกับเขา... เอ๊ะ? แมวกินส้ม?
“ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? มากินส้มด้วยกันสิ อร่อยนะ”
โลกอัลเฟนมีต้นแอปเปิล แต่ไม่มีต้นส้ม วูจินชอบส้ม ที่โลกนี้มีส้มขายทุกที่ ดังนั้นเขาจึงซื้อทุกครั้งที่เห็น
“เฮ้อ ตลกจริงๆ”
รายการตลกจบแล้ว วูจินเลิกสนใจโทรทัศน์ในที่สุด หันมามองเจมินแทน
“เจมินเจมิน ทำไมทำหน้าเหม็นเบื่ออะ? เจมินเจมิน”
ทำไมพี่ชายคนนี้สนุกขนาดนี้เนี่ย? กลายเป็นว่าเจมินกลายเป็นคนแปลกไปเลยที่มีเรื่องกังวลใจมากมาย
“เจมินเจมิน อยากได้เงินไหม? เจมินเจมิน”
“...”
วูจินหยิบกระเป๋าเงิน เจมินหยิบมือถือขึ้นมาเมื่อเห็นเงินห้าหมื่นวอนในมือของวูจิน เขาเปิด kakao ส่งข้อความหาพี่สาวของเขา
[พี่ พรุ่งนี้พี่คงต้องนอนโรงแรม...]
“เจมินเจมิน เอาเงินไปกินขนมสิ เจมินเจมิน” (TN-วูจินพูดเลียนแบบรายการตลกที่เพิ่งดูไปค่ะ สงสัยจะชอบจัด)
“ขอบคุณครับ แมวชื่ออะไรเหรอพี่ สวยเชียว”
เสียงของเจมินอ่อนโยนเหมือนหิมะละลายในแสงฤดูใบไม้ผลิ
***
ซุงกูผิวปาก เขากำลังยืนเฉยๆแต่ในใจกำลังเต้นรำ
“ฮึๆ ไม่อยากเชื่อว่านี่คือรถเรา”
BMW 5 ซีรี่ส์
เขาอยากจะจ่ายแพงกว่านี้ แต่เมื่อคิดถึงค่าเข้าดันเจี้ยนสี่ดาวแล้วจึงสำรองเงินสดเอาไว้
ตอนที่กำลังเซ็นสัญญาเขาตื่นเต้นมาก กำลังจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ไปตอนทำสัญญาแล้ว แต่วูจินโทรมาขอยืมเงินเสียก่อน ทำเอาเขาอยากร้องไห้ สุดท้ายจึงเซ็นสัญญาผ่อน 60 เดือน และรถก็ถูกส่งมาวันนี้
พอติดฟิล์มเสร็จก็เที่ยงพอดี
“หุหุ บรื้นบรื้นลูกพ่อ ไปเที่ยวกันไหม?”
ฮงซุงกู 21 ปี นี่เป็นรถคันแรกในชีวิตเขา จึงรักหลงมันอย่างยิ่ง รถเขาเลิศกว่ารถเพื่อนเขา ไม่สิ เพื่อนเขากี่คนเองที่มีรถ
บรืน
แรงขับและการควบคุมเหนือกว่ามาทิสอย่างเทียบไม่ติด อารมณ์ของซุงกูดีมาก เขากลับบ้านไปกินข้าวกับครอบครัว ตอนนี้บ่ายสองแล้ว
ได้เวลาไปรับวูจิน
“คราวนี้เร่งเครื่องเต็มที่เลยนะลูกพ่อ”
วูจินเป็นเราส์ที่น่ากลัว เขารีดเงินได้ 400 ล้านวอนจากดันเจี้ยนสามดาว ปกติแล้วเข้าดันเจี้ยนสามดาวหนึ่งครั้งจะได้เงินมา 50 ล้านวอน ซุงกูสงสัยว่าคราวนี้ลงดันเจี้ยนสี่ดาวจะได้เงินเท่าไหร่...
สำหรับซุงกูแล้ว วูจินคือเหมืองทองดีๆนี่เอง
“เธอขับรถ แล้วลองฟังเพลง เพลงนี้ จะรู้ว่ามีใครอยู่ตรงนี้ อยู่ไม่ไกล เขาห่วงใย อยากให้ขับรถดีๆ”
ซุงกูขับรถไปทางสถานีซาดางพลางร้องเพลงสุดเสียง
วูจินได้รับโทรศัพท์จากซุงกูบอกว่ามาถึงแล้วเขาจึงออกมาข้างนอก ตาโตเมื่อเห็นรถ
“โอ้โห คันนี้นายซื้อมา?”
“ฮะๆๆ เห็นลูกพี่นั่งมาทิสคันเล็กแล้วผมปวดใจก็เลยซื้อรถนี้มาครับ”
“อ้อใช่ นายไม่ต้องให้ฉันยืมเงินแล้วนะ”
“อะไรนะครับ?”
“มันจ่ายอีกสองอาทิตย์หน้าได้”
“...”
ซุงกูเซ็นสัญญาผ่อน 60 เดือนไปเพราะวูจินนะ... น่าจะบอกเร็วกว่านี้หน่อย
“แย่จังครับ ถ้าเป็นลูกพี่ ต่อให้ผมหมดตัวผมก็ยินดีให้ยืมเงินแท้ๆ”
วูจินชินกับการเลียของซุงกูแล้ว เลยฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาระหว่างสำรวจรถ
“ว้าว รถสวยนี่”
วูจินนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วจับโน่นนี่ไปทั่วรถอย่างสนใจ ซุงกูเจ้าของรถมองอย่างกังวล
ง่ะ มือเหนียว เลอะหมด
ซุงกูไม่กล้าพูดได้แต่ยิ้ม แต่ภายในใจร้อนรนกระวนกระวาย วูจินก็ยังจับอยู่นั่น
อย่าน้า!!’
ซุงกูกรีดร้องอยู่ในใจ แต่วูจินก็ยังจับไม่เลิก
“ทำอะไร ไม่สตาร์ทรถเหรอ?”
“...ครับ”
ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้รถเสื่อมรถ แม้องค์พระปฏิมายังราคิน นับประสาอะไรกับบีเอ็ม ซุงกูท่องยุบหนอพองหนอในใจ
“จองไว้กี่โมง?”
“ห้าโมงครับ”
ซุงกูวางเงินค่าเข้าไปแล้วพวกเขาจึงใช้ดันเจี้ยนนั้นได้ พวกไม่ต้องต่อคิวแค่ต้องจองล่วงหน้า ดันเจี้ยนที่จะไปนี้เป็นดันเจี้ยนที่คนนิยม ดังนั้นคิวจองจึงแน่นตลอดสัปดาห์
ไม่มีใครรู้วันที่ดันเจี้ยนรีเซ็ทแน่นอน ดังนั้นจึงเปิดให้จองดันเจี้ยนล่วงหน้าเพียงหนึ่งสัปดาห์
“คราวนี้เราไปที่ไหน?”
“สถานีกวาชุนทางออกที่ 6 ครับ”
ใกล้กับโรงเรียนมัธยมปลายของวูจินเลย
ตอนแรกวูจินเผลอเข้าไปในดันเจี้ยนสถานีกวาชุนทางออกที่หนึ่ง เขายิ้มเมื่อนึกได้
ทั้งสองขับรถมุ่งหน้าไปทางกวาชุน





ซุงกูร้องเพลงไทย O.o เปล่าค่ะ เราตีโจทย์เพลงในแปลไม่ออกว่าเพลงอะไร เลยใส่เพลงไทยแทนซะเลย อันนี้คือเพลง ขับรถดีๆ - Mild ค่ะ
แปลบิบิแล้วดีต่อใจ ^.^ แมวอะไรกินส้ม


วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 24

บทที่ 24 - หาซื้อบ้าน

วูจินถึงซาดางตอนประมาณ 11 โมง เขาโทรถามแม่ว่าจะเลิกงานเมื่อไหร่
“ครับแม่ ไว้เจอกัน”
หลังคุยเสร็จ วูจินมองซุงกู
“พวกเรามีเวลาจนถึงบ่าย 3 นายจะกินอะไรไหม?”
“เป็นเกียรติเลยครับลูกพี่”
“ไอ้หนุ่ม อย่าเว่อร์”
“แหะๆ ก็ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไปไหนดีครับ?”
“อืม... อยากกินของที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าได้กลับมายังโลกนี้แล้วน่ะ”
“...”
งานเข้าซุงกูแล้ว เขานึกไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดี สุดท้ายก็พูดว่า
“ฮะๆ งั้นไปภัตตาคารออร์แกนิกสไตล์เกาหลีดีไหมครับ ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง”
“ไม่ล่ะ ไปนั่นเถอะ”
วูจินมองไปข้างนอกรถแล้วชี้ไปยังที่หนึ่ง ซุงกูเห็นแล้วขยี้ตา
“ที่นั่นเหรอครับ?”
“อื้ม”
[คิมบับเวิลด์] (TN-คิมบับ-ข้าวห่อสาหร่าย หน้าตาคล้ายๆมากิซูชิ)
ซุงกูด่าตัวเองในใจ
พอรวยเข้าหน่อยก็คิดจะใช้เงินเปลืองนะเรา ลูกพี่ซะอีกที่ติดดิน
พอจอดรถหน้าร้านคิมบับเวิลด์แล้ววูจินซุงกูก็สั่งอาหาร วูจินสั่งคิมบับไส้ปลาทูน่ากับราเม็ง เขามีสีหน้าสดชื่นเมื่อได้ลิ้มรสชาติ
นี่ นี่ไงล่ะ
เขาคิดถึงสมัยตัวเองยังเป็นนักเรียนม.ปลายปี 3
นี่เป็นอาหารที่เขากินเมื่อครั้งนั้น ยี่สิบปีของการเป็นเนโครแมนเซอร์เลือนรางไป ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนม.ปลายบนโลกใบนี้
“ซู้ด ลูกพี่ คราวหน้าจะให้ผมหาดันเจี้ยนแบบไหนครับ?”
“อืม มีของแบบแค็ตตาล็อกมอนสเตอร์ไหม ถ้าให้ดีฉันอยากได้แบบที่แยกระดับดาวมอนสเตอร์ให้ด้วย”
“มีสิครับ”
“งั้นฉันดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”
“ได้ครับ เราไปนั่งที่ร้านกาแฟแล้วพอผมจัดข้อมูลเสร็จแล้วจะให้ลูกพี่ดูนะครับ”
วูจินซุงกูมุ่งหน้าไปทางร้านแองเจิล แองเจิล ตอนจะสั่งกาแฟ ซุงกูเหลือบมองวูจินแล้วพูดกับบาริสต้า
“มีกาแฟที่สื่อถึงรสชาติของโลกไหม?”
บาริสต้าฟังแล้วขมวดคิ้วเหมือนเห็นคนเพี้ยน ซุงกูหันไปมองวูจินและพบว่าวูจินก็กำลังมองเขาแปลกๆเช่นกัน
“ชอบของแปลกนะนาย ฉันเอามอคค่า”
“...”
วูจินสั่งแล้วไปหาที่นั่ง ซุงกูหน้าแดง
“ขออเมริกาโน่กับมอคค่าครับ”
“ครับ ทั้งหมด 10,000 วอนครับ”
ซุงกูรับเครื่องเตือนมารับอาหารแล้วมานั่งที่ วูจินบ่น
“กาแฟเดี๋ยวนี้ราคาไม่ใช่เล่นๆเลย”
ราคาแทบจะเท่ากับราคาอาหารหนึ่งมื้อ
วูจินมองภายในร้าน ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ เขาออกไปโดยไม่สั่งอะไร วูจินประหลาดใจที่ราคากาแฟแพงกว่าที่คิด
ข้าวกับซุปราคา 6,000 วอน แพงกว่ากาแฟนิดเดียว
ในนี้ไม่มีคนเท่าไหร่ ร้านกาแฟอันใหญ่โตมีลูกค้านั่งอยู่ครึ่งร้าน วูจินถามลอยๆ
“ทำร้านแบบนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
“ร้านกาแฟเหรอครับ? ไม่รู้สิ สักร้อยล้านวอนหรือเปล่านะ?”
ไม่รู้ว่าค่าเช่าร้านนี้มากเท่าไหร่ แต่มันเป็นร้านที่ใหญ่มีถึง 3 ชั้น กับเรื่องแบบนี้ซุงกูมืดแปดด้าน เขาจึงได้แต่เดา
ถ้าทำร้านให้แม่ได้ก็ดีสิ
กาแฟราคาแพงเขาเลยคิดว่าธุรกิจนี้คงดี และดูเหมือนจะเหนื่อยน้อยกว่าทำงานในร้านอาหาร วันนี้เขาทำเงินได้สามสิบล้านวอน ถ้าตั้งใจทำงาน อีก 3 วันก็จะได้ร้อยล้านวอน
วูจินคิดอย่างไม่เร่งรีบ ถ้าเขาซื้อบ้านแล้วก็ไม่มีอะไรที่อยากได้อีก เขาจะเข้าดันเจี้ยนเพื่ออัพเลเวลต่อไปเรื่อยๆ และเก็บเงินไปพลาง
เงินเป็นเรื่องเล็ก เขาแค่อยากเปิดร้านกาแฟให้แม่มีอะไรทำบ้างยามว่าง
ฟิ้ว ฟิ้ว กลุกๆๆ
วูจินจิบกาแฟม็อคค่ารสหวาน กำลังตั้งใจเล่นเกมบนมือถือ แล้วซุงกูก็เรียกข้อมูลบางอย่างขึ้นมาบนแท็บเล็ตของเขา
“ลูกพี่ ได้แล้วครับ”
“ไหนดูหน่อย เปลี่ยนหน้ายังไง?”
“ทำเหมือนสมาร์ทโฟนครับ”
วูจินลากหน้าต่างขึ้นมาแล้วมองที่แคตตาล็อกมอนสเตอร์
ราควิจากดันเจี้ยนสามดาวกับก็อบลินและโคบอลจากดันเจี้ยนสองดาวต่างมีอยู่ในนั้น
มอนสเตอระดับหนึ่งถึงสามดาวถูกจัดเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำ สี่ดาวขึ้นไปจึงนับเป็นมอนสเตอร์ระดับสูง
ตัวอย่างของมอนสเตอร์ระดับสี่ดาวได้แก่ โทรล มันว่องไวและฉลาดพอจะใช้เครื่องมือ ยิ่งกว่านั้นยังฟื้นฟูร่างกายได้เร็วมาก แต่ก็ยังจัดการไม่ยาก
“เห็นเขาว่าดันเจี้ยนตั้งแต่สี่ดาวขึ้นไปจะหน้าตาไม่เหมือนกัน แน่ล่ะครับ ผมไม่เคยเห็นกับตา”
ดันเจี้ยนสามดาวลงมารักษาลักษณะของสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ดันเจี้ยนสี่ดาวขึ้นไปนั้นเหมือนกับเข้าไปยังโลกอื่นเลย ทางเข้าสถานีเพียงเป็นประตูเข้าไปในมิตินั้น
“อืม ไว้เข้าไปก็รู้เอง”
วูจินสำรวจมอนสเตอร์ระดับสี่ดาวทุกตัวเปรียบเทียบกับเลเวลของตัวเอง
ถ้าระดับนี้ก็พอไหว
มอนสเตอร์ที่รับมือง่ายก็มี มอนสเตอร์ที่รับมือยากก็มีเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นวูจินก็คิดว่าเขาจัดการกับมอนสเตอร์สี่ดาวไหว
ถ้าอยากเพิ่มเลเวล เข้าดันเจี้ยนดาวสูงตั้งแต่เนิ่นๆจะดีกว่า
“แล้วพวกดาวนี่ให้กันยังไง?”
“จัดด้วยการวัดระดับครับ”
“วัดยังไง?”
“พลังงานในดันเจี้ยนครับ”
“มีของอย่างนั้นด้วยเหรอ?”
“ครับ ทุกครั้งที่ดันเจี้ยนรีเซ็ทจะวัดพลังงานในดันเจี้ยนได้ ทีมต่างๆจะเอารายงานคร่าวๆพวกนี้มาตัดสินใจว่าพวกเขาจะลองพิชิตดันเจี้ยนไหม”
วูจินพยักหน้า ดาวใช้เพื่อบอกระดับดันเจี้ยน ไม่ใช่มอนสเตอร์ พวกมอนสเตอร์ที่ถูกจัดดาวนั้นดูจากพวกมันถูกเรียกมามากที่สุดในดันเจี้ยนดาวไหน
จึงไม่แปลกที่จะเห็นฮอบก็อบลิน มอนสเตอร์ระดับสามดาว ในดันเจี้ยนสองดาว
“ฉันอยากลองเข้าดูก่อน หาข้อมูลของดันเจี้ยนสี่ดาวมา”
“ดันเจี้ยนระดับนี้พวกเราไม่ต้องต่อคิวแต่ต้องจอง ผมจะหาว่ามีที่ไหนว่างนะครับ”
วูจินใช้เวลาที่เหลือฟังซุงกูอธิบายถึงเรื่องต่างๆ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็ออกจากร้านกาแฟ
“ลูกพี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมทำแทนได้นะครับ”
“ไม่ บ้านนี้แม่ฉันจะเป็นคนอยู่ ให้เขาเลือกเองดีกว่า”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะครับ”
ซุงกูโค้งแล้วเดินจากไป วูจินมองแล้วพยักหน้ากับตัวเอง
“เป็นทาสที่ดีใช้ได้”
ถึงบางครั้งจะทำอะไรใหญ่โตเกินไปบ้าง แต่วูจินชอบซุงกูที่ความเข้ากับคนง่าย เขาเดินไปทางร้านอาหารซุงมีอย่างสบายใจ
ซุงมีกำลังนั่งตรงเคาน์เตอร์เก็บเงิน ตั้งอกตั้งใจกับเกมในมือถือ แต่ถึงจะอยู่ระหว่างทำสถิติใหม่ซุงมีก็วางมือถือลงทันทีแล้วลุกขึ้น
“อ๊ะ พี่มาหรือคะ? กินอะไรมาหรือยังคะ?”
“กินมาแล้ว”
“เอากาแฟสักแก้วไหมคะ?”
“ไม่ล่ะ ฉันจะออกไปแล้ว แม่ฉันล่ะ”
“รอเดี๋ยวนะคะ ฉันเรียกให้”
ซุงมีเข้าไปในครัว เธอเจอลีซูกยุงกับแม่ครัวคนอื่นๆกำลังยุ่งอยู่เพราะเป็นเวลาเที่ยง ลีซูกยุงกำลังล้างจานกองพะเนิน
“อ๊ะ คุณแม่ พี่วูจินมาหาค่ะ รีบออกไปเถอะ”
“ด...ได้ยินแล้วค่ะ ขอฉันทำตรงนี้ให้เสร็จก่อนนะคะ”
หลังลีซูกยุงตอบไป แม่ครัวคนอื่นๆก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“เฮ้อ คุณนายลีคงมีความสุขน่าดู ลูกชายคุณหาเงินมาให้คุณซื้อบ้าน”
“คุณลูกชายรวยเหมือนคุณชายคนนั้นเลยนะ นิล เกต” (ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ-TN)
“ไอ้หยา ใช่ๆ ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ชื่อนิลหรืออะไรนี่ใช่ไหม ได้ยินว่าเขารวยมาก วูจินของคุณเหมือนเขาเลยนะคะ”
“ฉันล่ะอิจช้าอิจฉา ถ้าลูกฉันเหมือนวูจินนะ ฉันลาออกไปนานแล้ว”
“รีบไปเถอะคุณลี ลูกชายรออยู่นะ”
“ฉันจะทำงานให้เสร็จก่อนค่อยไปค่ะ”
ลีซูกยุงยิ้มฟังคำพูดของเพื่อนร่วมงานอย่างเขินอายพลางล้างจานจนเสร็จ งานในร้านอาหารไม่ลำบากอีกแล้วเมื่อเธอได้ลูกชายที่พึ่งพาได้คืนมา
“พอทำงานที่ค้างอยู่เสร็จแล้วคุณแม่จะออกมาค่ะ พี่นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่นานหรอก”
“อืม”
ซุงมีลากเก้าอี้มาให้เขา วูจินนั่งลง เมื่อเห็นว่าซุงมีนั่งลงตรงข้าม เขาจึงถาม
“ทำอะไร”
“ฮิๆ กำลังมองหน้าพี่อยู่ค่ะ”
“เหอะ โดนของน่าเกลียดมองแล้วฉันรู้สึกไม่ดี”
ใบหน้าของซุงมียังอ่อนหวานเหมือนเดิมทั้งๆที่ได้ยินคำพูดตรงๆของวูจิน
“แหม พี่ยังใจร้ายเหมือนเดิม”
“เฮ้อ ไปชงกาแฟไป”
“ค่า พี่อึดอัดที่ฉันมองตรงๆล่ะสิ”
วูจินจำได้แล้ว เมื่อก่อนซุงมีตามเขาแจทั้งๆที่เขาก็บอกแล้วว่าไม่ชอบเธอ
แม่ของวูจินออกมาตอนที่วูจินกำลังดื่มกาแฟที่ซุงมีชงให้
“ลูกอยู่นี่เอง”
ด้านหลังคุณนายลีซูกยุงคือแม่ครัวคนอื่นๆที่ตามมาด้วย แต่ละคนมองมาเหมือนกำลังมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ทำเอาวูจินกระแอมอย่างอึดอัด
“อะแฮ่ม ไปกันเถอะแม่”
“อืม ว่าแต่เราจะไปดูบ้านทำไมหรือลูก เราไม่มีเงินนะ”
แม่ถามอย่างไม่ค่อยกระตือรือร้น วูจินพยายามไม่แค่นหัวเราะ มองแม่ตาละห้อย
“ไม่มีเงินอะไรของแม่ นี่เงินที่เข้าวันนี้”
วูจินยื่นมือถือให้ดู ถึงจะคิดไว้แล้วแต่ลีซูกยุงก็ยังแปลกใจ ตอนที่ลูกของนางบอกว่าอยากจะย้ายบ้านนางก็คิดว่าเขาน่าจะมีเงินอยู่ประมาณห้าล้านวอน
“สาม...สามร้อยล้านวอน?”
พอได้ยินแล้วซุงมีก็เบิกตาโต เธอเข้ามาดูบ้างเพื่อให้แน่ใจว่าคุณนายลีซูกยุงดูไม่ผิด
“ว้าว สามร้อยแปดสิบล้านวอน เราส์สุดยอด!
พวกนางได้ยินมาบ้างว่าอาชีพเราส์ทำเงินได้มาก แต่พอมาได้เห็นกับตาจริงๆก็ได้แต่ตกใจ แม่ของวูจินตกใจจนพูดไม่ออก
“โอ้ คุณนายลีมีลูกดีจริงๆ แค่วันเดียวก็หาเงินได้เป็นร้อยล้าน”
“ไอ้หยา นิลยังชิดซ้าย ขนาดมานซุกยังเทียบไม่ติด”
“มานซุก ใครอีกล่ะ”
“อ้อ นี่ไง คนที่มีปั๊มน้ำมันตรงย่านคนรวย”
“อื้ม ฉันก็รู้จัก คุณคิมรู้ดีจังนะ”
“โฮะๆๆ คุณนายลีถ่อมตัวจริงๆ ไหนบอกว่าลูกชายคุณกลับมาหลังจากไปเล่นเกมตั้งนาน กลุ้มเรื่องเขามากไงคะ”
“แบบนี้ลาออกยังน้อยไป เปิดร้านใหม่เลย”
“ถ้าคุณนายลีเปิดร้านก็เชื่อใจฉันได้เลย ฉันจะไปทำงานกับคุณ”
ลีซูกยุงได้สติเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานคุย
“วู...จิน?”
“ไปหาบ้านกันได้ยังแม่?”
วูจินหัวเราะ
***
วูจินพาแม่ไปดูบ้านหลายหลังพร้อมกับนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ แม่ของวูจินมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอยู่ในฝัน นางชอบบ้านทุกหลังที่พวกเขาไปจนเลือกไม่ถูก บ้านพวกนี้ดีกว่าห้องแคบที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ ยังดีกว่าอพาร์ทเม้นท์ที่ครอบครัวเขาเคยอยู่กันพร้อมหน้าเสียอีก ตอนนั้น เงินสามร้อยล้านวอนยังซื้อบ้านพวกนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ปัญหาที่คาดไม่ถึงคือ...
“ฮึ หนูไม่ชอบหลังนี้”
โรงเรียนอนุบาลถึงเวลาเลิกเรียน โซอาเลยมาเลือกบ้านด้วย แต่หนูน้อยโวยวายไม่ชอบใจกับบ้านทุกหลังที่พวกเขาไปดู
“ทำไมน้องไม่ชอบล่ะ”
“เพราะเลี้ยงหมาไม่ได้ แม่สัญญากับหนูไว้ว่าถ้าเรามีบ้านใหม่จะให้หนูเลี้ยงหมา”
“แหม เจ้าลูกคนนี้”
ประมาณครึ่งปีก่อน โซอาอยากเลี้ยงสุนัขแต่ที่อยู่ของพวกเขานั้นเล็กเกินไป ลีซูกยุงจึงสัญญากับลูกว่าถ้าย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่จะให้โซอาเลี้ยงสุนัข
ผ่านไปนานแล้วโซอายังจำสัญญาได้ ลีซูกยุงมองสีหน้าดื้อดึงของโซอา
ท่าทางของโซอาดูน่ารักในสายตาวูจิน เขาหัวเราะ แล้วถามนายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เอาอพาร์ทเมนท์ ขอดูแต่บ้านได้ไหม?”
“แน่นอนครับ แต่ว่าราคาจะค่อนข้าง...ฮะๆ”
“อืม ขอดูก่อนแล้วกัน”
ท่ามกลางบ้านที่มีขาย พวกเขาเจอบ้านที่ทุกคนชอบจนได้
“ว้าว! หลังนี้สวยจังเลย”
โซอากระโดดโหยงเหยง มันเป็นบ้านสองชั้นที่มีสวนเล็กๆอยู่ด้านหลัง หลังจากเหตุการณ์ดันเจี้ยนระเบิด บ้านเดี่ยวก็ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของอพาร์ทเมนท์มากมายใกล้สถานี
“ฉันซื้อหลังนี้”
วูจินตัดสินใจอย่างรวบรัด แต่นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทำหน้ายุ่งยากใจ
“บ้านหลังนี้เจ้าของร้อนเงินเลยตั้งราคาไว้ต่ำกว่าราคาตลาดครับ แต่มันก็ยังราคาหกร้อยสามล้านวอน ค่อนข้างจะเกินราคาที่คุณกำหนดไว้มากทีเดียว...”
“ไม่เป็นไร เซ็นสัญญาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญกลับสำนักงานด้วยกันครับ”
นายหน้าโทรหาเจ้าของบ้านเพื่อให้ไปเจอกันที่สำนักงาน วูจินโทรหาซุงกู
“เฮ้ ซุงกู ฉันจะซื้อบ้านแต่เงินไม่พอ ขอยืมเงินนายหน่อย”
[…]
บาปที่เลวร้ายที่สุดคือการให้ของเขาแล้วตามไปเอาคืน...
[เอ่อ ลูกพี่ครับ ผมกำลังจะซื้อของ กำลังจะเซ็นสัญญา...]
“แปลว่านายไม่ให้ยืม?”
[เปล่าครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ลูกพี่มายืมเงินผม]
วูจินหัวเราะหึ
“ไว้เคลียร์ดันเจี้ยนครั้งต่อไปฉันจะคืนพร้อมดอกเบี้ย”
[ขอบคุณครับลูกพี่]
ด้วยประการฉะนี้ปัญหาเรื่องเงินไม่พอจึงหมดไปอย่างง่ายดาย วูจินมุ่งหน้าไปทางสำนักงานขายอสังหาริมทรัพย์







------------------
คำถามแฟนพันธุ์แท้ข้อที่หนึ่ง วูจินติดเกมอะไรอยู่ค้า XD