วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 22

บทที่ 22 - อาชีพที่สอง

“แฮ่กๆ ลูกพี่ว่าเราพักกันสักหน่อยดีไหมครับ”
วูจินไม่ได้ลงมือสู้กับพวกราควิเอง พวกมันถือเป็นมอนสเตอร์สามดาว เนื่องเพราะพวกมันมีจำนวนมหาศาล ขนาดว่าการสู้กับราควิไม่นับเป็นการสู้กับมอนสเตอร์ แต่เป็นการสู้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่เหนื่อยเมื่อนั้นก็จบ
ทหารโครงกระดูกไม่มีวันเหนื่อย ถ้าทหารตัวหนึ่งถูกทำลายวูจินก็แค่เรียกตัวใหม่ออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารโครงกระดูกก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปแล้ว เลเวลของพวกมันขึ้นไปถึงสิบแล้วก็เกิดวิวัฒนการ
ทหารโครงกระดูกสร้างจากกระดูกเลยดูเปราะเอามากๆ แต่ตอนนี้พวกมันสวมเกราะตรงอกและไหล่ ยังมีโล่เล็กถือไว้ในมืออีกข้าง มีดกระดูกยังดูทื่อเหมือนเดิมแต่มีขนาดใหญ่ขึ้นแหลมขึ้น บนศีรษะก็สวมหมวกเกราะด้วย
วิธีการเพิ่มเลเวลให้กับทักษะมีสามอย่างเท่านั้น ได้แก่ ใช้บ่อยๆจนทักษะเพิ่มขึ้นเอง ใช้ไอเทมหรือใช้แต้มโบนัสที่ได้จากเพิ่มเลเวล
วูจินสังหารมอนสเตอร์ได้เร็วขึ้นง่ายขึ้น ปัญหาอยู่ที่เรี่ยวแรงของซุงกู
เขาแงะบลัดสโตนโดยไม่ได้พักแม้แต่นิดเดียวมาสามชั่วโมงแล้ว ความเร็วในการล่าของวูจินเร็วมากจนซุงกูไม่มีเวลาพัก สเปรย์พ่นสีหมดไปแล้ว แต่ดูเหมือนลูกพี่ของเขาจะเรียนคาถาทำสัญลักษณ์มาใช้แทนสีสเปรย์
ถึงซุงกูจะชื่นชมความสามารถอันรอบด้านของวูจินแต่เขาก็ยังเหนื่อยอยู่ดี
“งั้นพักสักหน่อยแล้วกัน”
วูจินนั่งลงบนพื้น ซุงกูครางแล้วนั่งลงข้างๆ ล้วงขวดน้ำจากกระเป๋าแล้วยื่นให้วูจิน
ตัวซุงกูโชกเหงื่อและมีสีหน้าเหนื่อยล้า ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังส่งน้ำให้วูจินก่อน วูจินยิ้ม
“เจ้าหนู นายอายุยืนแน่”
“ครับ?”
“ฉันชอบคนอย่างนาย”
วูจินดื่มน้ำไปหนึ่งอึกแล้วยื่นคืนซุงกู ซุงกูดื่มเอาๆเหมือนคนเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย
“ฮ่า”
เหมือนน้ำซึมเข้าไปถึงกระดูก ซุงกูตัวสั่นแล้วรู้สึกสบายขึ้น
“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่?”
“หนึ่งชั่วโมงกับสิบสองนาทีครับ...”
ยิ่งนานพวกเขาก็เคลียร์ดันเจี้ยนได้เร็วขึ้น ยังไม่ทันถึง 3 ชั่วโมงพวกเขาก็เคลียร์ดันเจี้ยนไป 6 ครั้งแล้ว
“คำนวณคร่าวๆ... ผมว่านี่น่าจะเกินสามร้อยล้านได้? เราน่าจะได้เกือบถึงสี่ร้อยล้านแล้วครับ?”
ร้านรับซื้อขายบลัดสโตนดึงเงินที่ได้จากการขายส่วนหนึ่งไปให้เราส์คนแรกที่พิชิตดันเจี้ยนได้สำเร็จ อีกส่วนส่งให้องค์กร ที่เหลือจะโอนเข้าบัญชีของเราส์ที่ลงทะเบียนไว้โดยอัตโนมัติ
วูจินมองซุงกูที่นั่งหมดแรง เขาคิดใคร่ครวญ
สามร้อยล้านวอนน่าจะพอให้เขาซื้อบ้านดีๆให้โซอากับแม่ได้ สำหรับเขาแล้วเงินเป็นเครื่องมือให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ ตัวเงินเองไม่ใช่เป้าหมายของเขา
ที่เหลือก็ช่างมันแล้วกัน
วูจินลุกขึ้น ซุงกูเห็นก็ลุกตาม
“ฮึบ”
“เฮ้ย ซุงกู”
“ครับลูกพี่”
“ต่อไปบลัดสโตนที่แงะได้เป็นของนาย”
“ครับ?”
“ฉันจะทำเครื่องหมายไว้ให้ ตั้งใจล่ะ”
“ละ...ลูกพี่?”
“ตั้งใจเข้าล่ะ”
วูจินแทบวิ่งนำทหารโครงกระดูกลงบันได
“เอาล่ะ ทำสถิติใหม่ดีกว่า”
“เคะๆๆๆ”
ซุงกูมองตามตาค้าง
“ลูกพี่?”
ถ้าเก็บบลัดสโตนได้หมดก่อนวูจินจะล่าเสร็จ เขาจะได้เงินประมาณประมาณ 50 ล้านวอน ตอนนี้เหนื่อยไม่เหนื่อยเขาไม่สนแล้ว หาเงินได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะขยับตัวได้มากแค่ไหน
“โอ้!
ซุงกูตวัดดาบสั้นของตนก่อนรอยสัญลักษร์บนซากราควิจะหายไป
ตั้งแต่เข้าดันเจี้ยนนี้ซุงกูก็เคลื่อนไหวร่างกายไม่หยุด เขาพยายามแงะบลัดสโตนออกจากซากราควิให้เร็วที่สุดเพื่อจะตามวูจินให้ทัน ทำอย่างนี้ซ้ำๆมาหลายชั่วโมงดังนั้นซุงกูจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการแหวกศพราควิไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความเร็วในการล่าของวูจินก็เร็วกว่าอยู่ดี ซุงกูเพิ่งจะเก็บบลัดสโตนเสร็จไปชั้นเดียววูจินก็ถือรีเทิร์นสโตนกลับมาแล้ว
อ๊า เงินเรา
ซุงกูนึกถึงศพราควิชั้นล่างแล้วอยากจะทุบพื้นปังๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาได้แต่ตามวูจินออกจากดันเจี้ยนเพื่อเข้าใหม่อีกรอบ
***
เหลือเวลาอีก 20 นาทีก่อนจะหมดเวลา 4 ชั่วโมงที่วูจินจองไว้ วูจินกำลังจะลงไปที่ชั้นสุดท้ายแต่แล้วก็ต้องชะงัก เขาเอียงคออย่างงุนงง
“อาชีพ?”
ปกติแล้ว อาชีพจะมีให้เลือกเมื่อถึงเลเวล 10 ตอนเขาอยู่ที่โลกอัลเฟนเขาก็เลือกเป็นเนโครแมนเซอร์ไปแล้ว เมื่อเขากลับมาอยู่ที่นี่เขาก็เป็นเนโครแมนเซอร์มาแต่แรก...
วูจินคิดหนักขณะมองหน้าต่างแสดงอาชีพยาวเหยียดโผล่มาตรงหน้า เขาเคยเจออย่างนี้มาแล้วตอนอยู่ที่โลกอัลเฟน แต่เขามีอาชีพอยู่แล้ว
“หรือว่าฉันมีอาชีพซ้อนได้”
เขามองอย่างตั้งใจแต่ก็พบว่ามีอาชีพเดียวที่เขาสามารถรับได้
[อาชีพ : วอริเออร์]
[ท่านจะได้รับอาวุธประจำอาชีพวอริเออร์เป็นรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพ]
วูจินถอนหายใจ
“แบบนี้ก็แย่สิ”
ถ้าเป็นแบบนี้ทักษะกับสถานะของเขาจะไม่สอดคล้องกัน บางทักษะต้องการค่าเวทย์ แต่บางทักษะต้องการค่าพลัง
เนโครแมนเซอร์เป็นอาชีพที่เน้นค่าเวทย์กับบงการ
ถ้าได้อาชีพเมจิกเชี่ยนอย่างนั้นก็จะมีทักษะที่ใช้ค่าเวทย์เช่นกัน น่าเสียดายว่าจะได้รับอาชีพไหนขึ้นอยู่กับลักษณะการสู้ก่อนถึงเลเวล 10
ถ้าวูจินรู้ว่าสามารถรับอาชีพที่สองได้เขาคงใช้แต่เวทย์ไปแล้ว ไม่เหวี่ยงแต่ค้อนตะปูแบบที่ทำมาหรอก
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้”
ค่าสถานะของเขาคงไม่พอ แต่เขาตั้งใจจะเน้นเพิ่มสถานะไปทางเนโครแมนเซอร์ ถ้าเหลือถึงจะเอาไปเพิ่มทางอาชีพวอริเออร์
และต้องพยายามหายามาเพิ่มค่าสถานะ พอวูจินวางแผนได้แล้วก็เลิกเสียดาย
“รางวัลล่ะ”
วูจินเปิดคลังทันทีด้วยอยากรู้ว่าตัวเองได้อะไรเป็นรางวัล
“เอ๊ะ มีสองอันเหรอ?”
[รางวัลสำหรับอาชีพวอริเออร์ - อาวุธประจำอาชีพ]
[รางวัลสำหรับอาชีพเนโครแมนเซอร์ - ศิลากักอสูร]
รางวัลสำหรับการเปลี่ยนเป็นอาชีพวอริเออร์คืออาวุธ เขายังได้อสูรอัญเชิญที่เขาได้มาตอนเป็นเนโครแมนเซอร์ด้วย อสูรพวกนี้เติบโตได้
วูจินยิ้ม
“สองอาชีพ... ไม่แย่เลยนี่นา”
วูจินดึงรางวัลของอาชีพวอริเออร์ออกมา
กล่องสีน้ำเงินปรากฏขึ้น เมื่อแสงจางไป ไม้เท้าอันหนึ่งก็ถูกดันมาทางเขา มันโค้งเหมือนไม้เท้า ดูเหมือนคทาของนักเวทย์ แต่ส่วนประกอบต่างจากคทาทั่วไปมาก
“มัน... ท่อเหล็ก?”
ไม้เท้าทำจากเหล็ก และดูเหมือนค้อนตอกตะปูเหล็ก การต่อสู้ที่ผ่านมาคงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดรูปร่างเช่นนี้
[อาวุธเปรียบเสมือนสหายคู่ใจของนักรบ เปรียบเหมือนชีวิตของนักรบเอง อาวุธเติบโตไปพร้อมกับผู้ใช้ มันอยู่เคียงข้างผู้ใช้เสมอและพร้อมจะเก็บหรือเรียกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
ผลลัพท์ : โจมตี + 5, ซ่อมแซมตัวเอง (เมื่อถูกเก็บ)
ทักษะ : เรียกใช้, เก็บ]
วูจินถือไม้เท้าเหล็กแล้วคิดให้มันหายไป ทันทีที่คิดมันก็หายไป
“เรียก”
วิ้ง
มันโผล่ขึ้นกลางอากาศทันที วูจินคว้ามันแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ไม่เลวๆ”
เขาได้รับอาวุธที่สามารถเรียกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ นี่เป็นเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธนี้ยังพัฒนาได้ และเมื่อหายไปมันก็ไม่ได้อยู่ในคลังให้เปลืองที่ ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
วูจินตื่นเต้นนิดหน่อยเมื่อเอาศิลากักอสูรออกมา
“ใครอยู่ข้างในหว่า?”
ตอนอยู่โลกอัลเฟน ไม่รู้เขาโชคดีหรือโชคร้ายที่จับซัคคิวบัสได้ ซัคคิวบัสช่วยต่อสู้ไม่ได้แต่เธอพูดเก่งมากเขาจึงไม่รู้สึกเบื่อ
ฟุ่บ
ศิลาหายไป เกิดควันโขมง แล้วควันนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างของเด็กเล็กๆคนหนึ่ง
เธอเป็นเด็กหญิงน่ารักสวมวันพีซสีดำกับหมวกติดลูกไม้ห้อยลงมา
“เจ้านาย!
“เอ๊ะ?”
เด็กหญิงกอดเขาทันที... วูจินผลักอสูรน้อยออก
“เธอ... บิบิ?”
“ใช่ค่ะ เจ้านายขา ไปอยู่ที่ไหนมาอ่า?”
วูจินจ้องอสูรระดับต่ำของตัวเองอึ้งๆ เขานั่งลงเพื่อสบตากับบิบิ
“ทำไมเธอถึงโผล่มาที่นี่ได้?”
“เอ๋ ก็เจ้านายปลดผนึกให้เมื่อกี๊”
“เฮ้อ”
วูจินปวดหัว เขากดขมับตัวเองแน่นแล้วถามต่อ
“ตอนย้ายมิติเธอก็ติดมาด้วยเหรอ... ไม่สิ เธอบอกว่าตัวเองถูกผนึกไว้...”
“เราดีใจ๊ดีใจที่ได้เจอเจ้านายอีก ว่าแต่กลิ่นนี่มันอะไรคะ? กลิ่นเหมือนพวกทาสของทราเน็ตเลย...”
บิบชี้ไปทางราควิตรงชั้นล่างสุด
“อะไรนะ? ทาสของทราเน็ต?”
ทรานเน็ตเป็นชื่อของปีศาจที่รุกรานโลกอัลเฟน จะบอกว่าเป็นปีศาจก็ไม่ถูก ที่ถูกคือมันเป็นหายนะ
“พวกมันมีกลิ่นเหมือนกันเลย...”
คำพูดของบิบิทำให้วูจินยกมือนวดขมับอีกรอบ
ทราเน็ตบุกมาถึงโลกแล้วเหรอ? เพราะอย่างนี้เลยมีดันเจี้ยนโผล่ออกมาสินะ...
เขาไม่มีอะไรมายืนยันว่าความคิดนี้ถูกต้องหรือเปล่า วูจินรู้สึกถึงอันตรายและมันทำให้เขากังวล เขาหนีจากนรกมา แต่นรกกำลังพยายามมาที่นี่
“ถ้าเป็นคุณเจนิสเขาต้องรู้แน่ เฮะๆ”
“เจนิส?”
ปราชญ์เจนิส
ถือเป็นนักเวทย์ชั้นนำของโลกอัลเฟน เมื่ออัลเฟนถูกทราเน็ตบุก เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นอสูร-ลิช มีชีวิตอยู่คู่เคียงประวัติศาสตร์ของอัลเฟนมา 200 ปี
ในบรรดาอสูรที่รับใช้วูจิน อันดับหนึ่งนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นจอมเวทย์อันเดด - ลิช
ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก
“ค่า เขาอยู่ในห้องผนึกเหมือนเรา ร็องร็องก็อยู่ ชิงชิงก็อยู่ คุณคิบะก็...”
“เดี๋ยวๆ ห้องผนึกอะไร?”
“ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เหมือนห้องรออัญเชิญแต่จะไม่ได้ยินเสียงของเจ้านายอะค่ะ”
ห้องรออัญเชิญเป็นห้องที่อสูรของวูจินรวมตัวกันในตอนที่วูจินไม่ได้เรียกออกมา มันจัดอยู่ในประเภทกระเป๋ามิติเหมือนคลังของเขา มันเป็นสวรรค์ของพวกอสูร
“หมายความว่าทุกคนถูกผนึกอยู่เหรอ?”
“ค่ะ เราเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงของเจ้านาย”
ในที่สุดวูจินก็เข้าใจแล้ว ความสามารถเนโครแมนเซอร์ของเขาก็ฝ่ามิติมาพร้อมกับเขาด้วย
อสูรของเขาทุกตัวถูกผนึกไว้ ดูเหมือนข้อจำกัดด้านเลเวลจะเป็นสาเหตุ สำหรับลิช เขาต้องมีเลเวล 80 ถึงจะเรียกออกมาได้
ถ้าโลกถูกทราเน็ตบุก...
ถ้าอย่างนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมดันเจี้ยนถึงปรากฏบนโลก พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกถึงหายนะ นี่ไม่ใช่เวลามาสู้กับมอนสเตอร์เก็บบลัดสโตนขายแล้ว
วูจินต้องเก็บเลเวลให้เร็วขึ้น
“ลูกพี่ครับ!
วูจินได้ยินเสียงดังจากบันไดด้านบน เขาหันไปบอกบิบิ
“เธอกลับไปเถอะ”
“เอ๋ เราอยากอยู่กับเจ้านายนี่นา”
“ไว้ฉันจะเรียกใหม่ กลับไปก่อน”
“เจ้าค่ะ ถ้าอยู่ในห้องอัญเชิญเราจะได้ยินเสียงเจ้านายนี่เนาะ”
ฟุ่บ
บิบิหายไปกลายเป็นริ้วควัน ขณะเดียวกัน ซุงกูก็วิ่งลงบันไดมา
“เอ๊ะ เมื่อกี๊ลูกพี่ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงหรือเปล่าครับ?”
“หืม ไม่นี่”
“เอ่อ ทำไมลูกพี่ยังอยู่ตรงนี้ล่ะครับ?”
“วันนี้จัดการมอนสเตอร์หมดแล้วก็พอแค่นี้เถอะ”
ยังมีเวลาเหลือพอให้เคลียร์ดันเจี้ยนได้อีกรอบ แต่ซุงกูหมดแรงอย่างถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
“ครับ”
วูจินพากองทหารโครงกระดูกลงบันไดไปด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ


6 ความคิดเห็น: