วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 141

บทที่ 141 – อุกกาบาต


ผลหลังการระเบิดช่างสุดยอด นักเวทโครงกระดูกถูกพัดกระจาย โชคดีที่วูจินสู้คนเดียวจึงไม่มีทหารหรืออสูรของเขาอยู่ใกล้ๆ

ซากตึกที่ยังเหลือถูกคลื่นกระแทกและถล่มลงมา เมื่อฝุ่นจางลง วูจินเก็บเกราะแล้วเดินไปหาเจนิส

“รู้สึกยังไงบ้างที่หลุดจากผนึกได้?”

[ท่านนึกว่าข้าชอบหรืออยู่ในเวลาที่ไม่รู้ตัวเลย?]

วูจินยักไหล่ เขาไม่เคยอยู่ในห้องผนึกและไม่เคยตาย

“นายคงมีเรื่องอยากถามฉันหลายอย่าง มาจัดการสนามรบให้เสร็จก่อนเถอะ”

[เป็นความคิดที่ดี]

“ไปร่วมทีมกับแรมสันก็ดีนะ”

[ข้าจะทำตามนั้น]

วูจินคว้าเจนิสที่กำลังจะหายไป

“อ้อ อย่าฆ่ามนุษย์ล่ะ”

[ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ]

“อย่าฆ่าพวกเขา”

[...ตามแต่ประสงค์ของท่านจ้าว]

ร่างเจนิสกลายเป็นควันดำหายไป

ลิชเมื่อพูดแล้วไม่เคยกลับคำ ดังนั้นมันจะไม่ทำร้ายมนุษย์ นี่จะทำให้การกำจัดมอนสเตอร์ช้าลง แต่จะให้เผากระท่อมจับตัวเรือดเขาก็ทำไม่ได้

ถ้าวูจินไม่เตือน เจนิสคงถล่มเมืองโซลไม่เลือกหน้า นี่เป็นวิธีกำจัดมอนสเตอร์ให้หมดไปได้เร็วที่สุด

“ดูสถานะตัวเองหน่อยดีกว่า”

ตอนนี้วูจินเลเวล 80

อาวุธของเขาพัฒนาไปตลอด และเขาเพิ่งจะผ่านจุดที่อาวุธเขาจะพัฒนาอีกครั้ง

วูจินเปิดหน้าต่างทักษะ

<ไม้เท้าเหล็ก>
อาวุธของนักรบคือสหายสนิทและถือว่ามีชีวิตร่วมกัน อาวุธเติบโตไปพร้อมกับนักรบ อยู่เคียงข้างเสมอ พร้อมจะออกมาเมื่อท่านต้องการ

ความสามารถ : ความแข็งแกร่ง +30 ความเร็ว +30 พลังชีวิต +30 ซ่อมแซมตัวเอง

ทักษะ : เรียก,เก็บ,เปลี่ยนร่าง (หอก,ค้อน,ขวาน,ดาบสองมือ,ธนู,ดาบยาว,มีดซัด)

“มีดซัด?”

รูปร่างที่ 8 คือมีดซัด

บัฟจากอาวุธของเขาเริ่มจาก ‘ค่าความแข็งแกร่ง +5’ ตอนนี้มัน +30 และยังเพิ่มความเร็วและพลังชีวิต

เมื่อเขาไปถึงเลเวล 90 อาวุธเขาจะเปลี่ยนได้อีกและจะเพิ่มค่าสถานะมากขึ้น

ถ้าใครต้องการเดินเส้นทางนักรบ อาวุธของนักรบเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้

อาวุธของวูจินเปลี่ยนรูปร่าง จากไม้เท้าเหล็กกลายเป็นมีดซัดขนาดเล็ก 3 อันปรากฏในมือเขา แต่ละอันมีขนาดต่างกัน อันแรกมีใบมีดยาวเท่าฝ่ามือและสามารถใช้เป็นมีดสั้นได้ อันที่สองเหมือนมีดเงินอันเล็กหรูหราในงานพิธี อันสุดท้ายเหมือนมีดซัดขนาดกลาง

วูจินเรียกสลับกับเก็บมีดหลายครั้ง เขายังสามารถเปลี่ยนขนาดของมีดได้ตามใจ

“ฉันเรียนทักษะอะไรได้บ้างแล้ว?”

วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและซื้อทักษะเลเวล 80 ที่ปลดล็อกแล้ว เขาซื้อทักษะเฉพาะของอาชีพนักรบ

<ทักษะใช้มีด>,<เทคนิคปามีด>,<คำรามปลุกใจ>

สองทักษะแรกชื่อก็อธิบายตัวมันอยู่แล้ว วูจินสงสัยรายละเอียดของทักษะสุดท้าย

<คำรามปลุกใจ> - ในการต่อสู้อันยากลำบาก เสียงกู่ร้องของนักรบจะปลุกพลังใจให้กับฝ่ายเดียวกัน
ผล – เพิ่มขวัญกำลังใจ เพิ่มความสามารถในการรบ

วูจินยิ้มหลังอ่านคำอธิบาย

“มันเป็นบัฟกลุ่ม”

จนเลเวล 70 ทักษะที่เขาได้มีแต่ทำให้อาชีพนักรบแข็งแกร่งขึ้น ทักษะบัฟอันแรกมาเมื่อเลเวล 80 และเป็น AOE บัฟ

การรบค่อยๆเข้าใกล้จุดจบ วูจินมุ่งหน้าไปทางนัมซานที่เขาตั้งใจจะลองอาวุธทักษะใหม่

ราชาคอยปลูกเถาวัลย์เอาไว้ มันงอกคลุมทั้งหอคอย

ถ้าอาณานิคมตั้งรกรากได้จะกลายเป็นปัญหา เขาต้องทำลายมันอย่างเร็ว

“เอ๋?”

วูจินหยุดเมื่ออยู่ๆก็รู้สึกถึงอันตราย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า

ครืนๆๆ

เมื่อเพ่งสมาธิ เขารู้สึกถึงอากาศสั่นสะเทือน เมฆก็เปลี่ยนรูปร่างไปแบบแปลกๆ สายตาของเขาเพ่งมองไม่เห็นอะไร แต่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง

“เฮ้อ”

วูจินส่ายศีรษะ

เจนิสเกลียดชังทราห์เน็ตยิ่งนัก

มันสร้างอุกกาบาตเพื่อทำลายอาณานิคมที่ยังไม่ทันตั้งรกรากดี...

จะหยุดมันก็สายไปแล้ว

“งั้นที่หอคอยนัมซานถูกทำลายรอบสองนี่ก็ฉันผิดน่ะสิ”

สัญลักษณ์เมืองโซลถูกทำลายไปเมื่อ 5 ปีก่อนตอนเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก มันเพิ่งจะสร้างใหม่ได้ไม่กี่ปี... นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นต้นเหตุที่มันถูกทำลายลงอีก

สิ่งที่กองทัพผีดิบทำลงไปถือเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่ผู้เดียว

“นี่ไม่น่าจะจบแค่หอคอย นัมซานเองก็อาจจะโดนลบไปด้วย”

เขายังมีเวลาเหลือก่อนอุกกาบาตจะชนภูเขา วูจินมองไปรอบๆ เขาขึ้นขี่ชิงชิงแล้วควบมันจากไป

***

สนามรบเต็มไปด้วยเสียงกระสุนและระเบิด ท่ามกลางทั้งหมดนี้ กล้องต่างๆกำลังบันทึกภาพการต่อสู้
หน้าจอเล็กๆฉายภาพการต่อสู้เหมือนมันกำลังเกิดตรงปลายจมูก ที่จริงแล้วกล้องตั้งอยู่ห่างไปประมาณ 1 กม.

“ฮู้ว เละไปหมดแล้ว”

พวกมอนสเตอร์บินได้และเคลื่อนไหวรวดเร็วอยู่ห่างไปแค่ 1 กม. เรื่องนี้ทำให้พวกเขากังวล แต่กองทหารทำการปราบปรามมาถึงช่วงสุดท้าย อันตรายต่อพวกเขาจึงลดไปมาก

“ผู้กำกับ เราขยับไปใกล้อีกหน่อยดีไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร รอตรงนี้เถอะ รอให้ยิงเสร็จแล้วเราค่อยเข้าไป”

“ครับ”

“โลกกำลังจะถึงจุดจบ จุดจบ”

ผู้กำกับเอนหลังบนเก้าอี้ปิกนิก เหม่อมองท้องฟ้า

ในโลกที่ใกล้จะดับนี้จะหาข่าวเด่นไปทำไม ถ้าเขาข้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามที่กองทหารกำหนดไว้เขาอาจโชคร้ายโดนกระสุนลูกหลงตาย ถ้าเขาตายก็โทษใครไม่ได้

“เอ๋? มีอะไรกำลังมาทางนี้?”

“อะไร?”

“เหมือนม้าเลยครับ”

“หา? เจ้าหนุ่ม เราอยู่บนดาดฟ้า นายนึกว่าโลกนี้มีม้ามีปีกอะไรพรรค์นั้นเรอะ”

“ม...ไม่ได้โกหกนะครับ...”

“เฮ้อ เลิกเพ้อเจ้อ”

ผู้กำกับถลึงตาใส่รุ่นน้องแล้วลุกขึ้น เขาคาบบุหรี่ แล้วนิ่งไปเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านของราวกั้นดาดฟ้า

“ม้า”

“ผมบอกแล้ว”

“ใคร? ใครขี่มันอยู่น่ะ?”

“เอ่อ เหมือนจะเป็นคังวูจิน?”

“เอ๋อ? เหมือนจะใช่นะ?”

บุหรี่ในปากของผู้กำกับร่วงเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นน้อง

“เฮ้ย หมุนกล้องมาทางนี้เร็ว!”

กล้องกำลังบันทึกเหตุการณ์ในสนามรบ มันหันไปทางท้องฟ้าเพื่อบันทึกภาพของวูจินควบม้าข้ามท้องฟ้ามาทางพวกเขา

เมื่อชิงชิงมาถึงราวกั้นดาดฟ้า เขากระโดดลงมาจากหลังม้า

“อันนี้ถ่ายทอดสดได้ไหม?”

วูจินชี้ไปทางกล้อง ผู้กำกับส่ายศีรษะอย่างใจลอย

“ถ่ายทอดสดไม่ได้ เราส่งสัญญาณไปทุก 10 นาที”

“แบบนั้นจะสายเกินไป”

“วูจินขมวดคิ้ว ผู้กำกับรีบพูด

“มีเรื่องด่วนหรือครับ? เราลดเป็น 1 นาทีได้”

วูจินพยักหน้า

“จะมีอุกกาบาตลูกหนึ่งหล่นลงมาที่นัมซาน บอกให้ประชาชนรอบๆเตรียมตัว”

“อะไรนะ? อุกกาบาต?”

“รอบๆนัมซานมีทีมข่าวกี่ทีม?”

“4 ทีมครับ”

“ส่งข่าวให้พวกเขาที คุณติดต่อกองทัพได้ไหม?”

“ถ...ถ้าให้เวลาหน่อย ผมหาข้อมูลช่องทางติดต่อได้...”

“ไม่เป็นไร ผมไปเองเร็วกว่า”

ประชาชนที่อยู่แถบนี้อพยพออกไปแล้วเมื่อราชาคอยรวบรวมมอนสเตอร์ในนัมซาน เมื่ออุกกาบาตหล่นลงมา คนบาดเจ็บล้มตายคือคนในกองทหาร

เมื่อวูจินบอกเสร็จ เขาขี่ชิงชิงไปยังกองทหาร ผู้กำกับแค่มองแผ่นหลังของวูจิน

“ผู้กำกับครับ! แพร่ภาพเรื่องนี้ทันทีเลยไหมครับ?”

“...เจซุงอา ฉันเพิ่งจะคุยกับคังวูจินไปจริงๆน่ะ?”

“ใช่ครับ!”

“ฮ้า...”

ผู้กำกับมีสีหน้าเหม่อลอยเหมือนกำลังฝัน

“รุ่นพี่! จะให้ทำยังไงกับข่าวครับ!”

“คิดว่าไงล่ะ?”

ผู้กำกับโทรศัพท์ทันที

“รองประธาน! ผมได้สกู๊ปมา ภาพที่ผมเพิ่งส่งไปหลังตัดต่อแล้วต้องรีบออกอากาศทันทีนะครับ”

วูจินหายไปแล้วแต่ผู้กำกับยังมองไปทางนั้นพลางพูดโทรศัพท์

“วีรบุรุษคังวูจินรู้แผนของมังกรนั่น มันเรียกอุกกาบาตมา”

ไม่มีอะไรที่คังวูจินทำไม่ได้

ถ้าเขาไม่อยู่โซลจะเป็นอย่างไร? พวกมอนสเตอร์มารวมกันหลายจุดและอสูรของคังวูจินทำลายพวกมันจนหมด

กองทหารกำลังเก็บกวาดเศษมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่

“เขาบอกว่าอีกไม่นานอุกกาบาตจะหล่นลงมาที่นัมซาน พวกเราต้องอพยพ”

เขาไม่ต้องสงสัยว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่ด้วยซ้ำ คังวูจินไม่ใช่คนโกหก ผู้คนมองคังวูจินแบบนี้ คำพูดของเขามีน้ำหนัก

เสียงของผู้กำกับสั่นด้วยความภูมิใจอย่างประหลาด

นี่เป็นความรู้สึกเหมือนที่สมาชิกกองกำลังป้องกันโลกรู้สึกเหรอ? เขาเพียงถ่ายทอดคำพูดของคังวูจิน แต่นับว่ามีส่วนช่วยโซลอย่างมากไม่ใช่เหรอ? เขาไม่เคยภูมิใจขนาดนี้เลยที่เลือกมาเป็นนักข่าว

“เขาช่วยโซลไว้อีกครั้ง”

***

“เราถอนกำลังไม่ได้ ผมมีหน้าที่ปกป้องที่นี่”

วูจินยักไหล่เมื่อได้ยินผู้บัญชาการตอบ

“ถ้าคุณอยากตายผมก็ไม่ห้าม”

วูจินชี้ไปที่ท้องฟ้า เมฆกลายเป็นริ้วเหมือนคลื่น

“อีกประมาณ 10 นาที คุณจะเห็นด้วยตาตัวเอง ถ้าจะถอยตอนนั้นพวกคุณก็ตายหมด”

“...”

“ถ้าอยากรอด คุณต้องถอยตอนนี้ แต่ถ้าอยากตายผมก็ไม่ห้าม”

วูจินบอกเรื่องที่เขาตั้งใจจะบอกแล้ว

เขาไม่อยากให้มีการเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น แต่เขาไม่มีความรู้สึกว่าต้องช่วยทุกคน

วูจินบอกพวกเขาว่ามีอันตรายอย่างไร และนั่นเพียงพอแล้ว เขาไม่ใช่พี่เลี้ยง...

“ถ้าเราถอย พวกมอนสเตอร์จะเข้าไปในเมือง”

“ผมจะกันพวกมันไว้”

“...”

“จะเอายังไง?”

“ผมจะถอนกำลัง”

วูจินยิ้ม

“รีบไปเถอะ”

พูดจบวูจินก็มุ่งหน้าไปทางแนวหน้า ถ้าเขาจะช่วยกองทหารถอนกำลังเขาก็ต้องรั้งพวกมอนสเตอร์เอาไว้ เหล่าทหารแสดงความเคารพเขาขณะที่เขาจากไป

วูจินเรียกหอกกระดูกออกมาแล้วโยนไปตรงจุดต่างๆ

กระดูกงอกออกมาแล้วสานตัวกันเป็นกำแพงกระดูก วูจินสร้างกำแพงกระดูกเป็นทางยาว พลังเวทมหาศาลจึงถูกใช้ไป

เขาบ่นพลางดื่มโพชั่นเพิ่มพลังเวทที่ซื้อมาจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ

“เจนิส นายทำให้คนอื่นลำบากกันใหญ่แล้ว”

ในเมื่อวูจินบอกไปแล้วไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ก็ไม่น่าจะเป็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ แต่ต้องไม่ลืมแรงกระแทกหลังการปะทะ

โชคดีที่เจนิสเก่งขนาดใช้เวทได้อย่างแม่นยำ อุกกาบาตไม่มีทางพลาดไปตกที่อื่น

หอคอยนัมซานคงหายไปแน่ พื้นที่รอบๆจะถูกพลิกคว่ำ จะไม่มีคนตายแต่มอนสเตอร์ที่หลบในป่าจะถูกกวาดล้าง

วูจินล้อมมอนสเตอร์ไว้ในกำแพงกระดูกก่อนที่พวกมันจะหนีไป

ถ้ามีมอนสเตอร์ต่อต้านอย่างรุนแรง เขาจะไม่ใช้เวทที่เสียไปมากแล้ว เขาจะสู้กับพวกมันโดยใช้ทักษะของอาชีพนักรบ

วูจินต้านมอนสเตอร์คนเดียวหลังจากกองทหารจากไป ตอนนั้นเอง ควันดำก็รวมตัวกันเป็นลิชเจนิส

“นึกไงถึงเรียกอุกกาบาตลงมา?”

[ก๊าก ฮ่าๆ นี่เป็นวิธีทักทายโลกของข้า]

วูจินหน้าเบี้ยว

“ถ้าคราวหน้านายทำตัวสุภาพแบบนี้อีกโลกคงกลายเป็นจุณ”

[ก๊าก ฮ่าๆ แค่นี้ไม่มีคนตายหรอก]

วูจินถอนหายใจ

“ลูกเล็กเหรอ?”

[มันเป็นแค่หินก้อนเล็กๆสำหรับการทักทาย]

ปัญหาคือหินเล็กก้อนนั้นมีพลังทำลายล้นเหลือ

“ช่วยวางบาเรียรอบตึกอลันดาลให้ที”

[ใครจะไปสนพวกตึกเล่า?]

“ครอบครัวฉันอยู่ในนั้น”

[...ข้าผิดไปแล้ว]

เจนิสกลายเป็นควันดำหายไป วูจินถอนหายใจพลางมองท้องฟ้า

มีแสงกระพริบ

แสงเล็กๆมุ่งตรงมาทางนัมซาน เมื่อสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ใช้เวลาอีกไม่กี่วินาทีมันจะปะทะโลก

คว้าง!

หลังปะทะ เสียงระเบิดก็ดังตามมา พื้นดินสั่น เกราะผีของวูจินคลุมทั้งร่างของวูจิน

พื้นดินถูกทำลายจนไม่เหลือร่องรอยของหอคอยนัมซานและยังมีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้น ควันรูปเห็ดลอยขึ้นพร้อมกับฝุ่น และนี่ไม่ได้เกิดแต่ในโซลเท่านั้น



สารบัญ                                         บทที่ 142


2 ความคิดเห็น:

  1. สมกับเป็นอจ.ตาวูจิน ทักทายกันเล็กๆด้วยอุกกาบาต 1ea อืมมม ไม่แปลกใจที่วูจินเป็นวูจินอย่างทุกวันนี้

    ตอบลบ
  2. สมกับเป็นท่านอาจารย์ รู้ละวูจินได้นิสัยมาจากใคร แค่ก ๆ

    ตอบลบ