วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 140

บทที่ 140 – จ้าวแห่งโรคระบาด (3)


“เข้าใจแล้วว่านายอยากเรียนมาก”

“เปล่า ผมไม่ได้ถามเพราะอย่างนั้น...”

“ไม่ต้องเร่งฉันนักก็ได้ เขาจะออกมาวันนี้ ตอนไหนสักตอนนี่ล่ะ”

“เปล่า ผมไม่ได้เร่ง...”

ซุงกูแค่อยากถามว่าต้องใช้ลิชจัดการปัญหาตอนนี้จริงๆเหรอ

“ฉันรับประกัน”

อา ซุงกูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

“นายแค่ต้องรอดให้ได้”

วูจินแตะบ่าซุงกู

“แล้วนายก็จะได้เป็นนักเวทไฟที่เก่งที่สุด”

“ลูกพี่...”

ไม่เข้าใจเลยว่าแค่เรียนเวทมนตร์ทำไมต้องเสี่ยงตายด้วย...

“ไปพักอีกหน่อยเถอะ”

“...”

วูจินก้าวไปทางเมโลดี้ที่ยังสะอึกอยู่ เธอสะดุ้งเหมือนทำอะไรผิด

“เธอเพิ่งเล่าประวัติฉันไปล่ะสิ?”

“ฉ...ฉันผิดไปแล้วค่ะ!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าฮวบและค้อมหัวลง วูจินทำหน้าเบื่อ

“...ถ้าไม่อยากตายจริงๆก็ลุกขึ้น”

เธอเป็นนักบวชที่ถูกเลือกให้รับใช้เทพี เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่ค้อมคำนับเขาไม่หยุด เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์พยายามหมอบกราบเขา วูจินรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับเทพ และเขาไม่ชอบ

เขาเป็นมนุษย์

“ค่ะ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นทันที วูจินขมวดคิ้วถาม เขาไม่สนที่เธอพูดถึงเขาลับหลัง ประวัติศาสตร์ของอัลเฟนน่าสนใจกว่า

“ดันเจี้ยนแรกเชื่อมต่อกับอัลเฟนเมื่อ 200 ปีก่อน?”

“ใช่ค่ะ”

“พวกลอร์ดมิติเริ่มถล่มอัลเฟนเมื่อไหร่?”

“ประมาณ 100 ปีก่อนค่ะ”

“...”

วูจินคำนวณช่วงเวลาแล้วขมวดคิ้ว

ที่โลกดันเจี้ยนแห่งแรกเกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ลอร์ดมิติเริ่มปรากฏตัว 5 ปีหลัง มันเร็วเกินไป

“งั้นอัลเฟนก็ต้านมาได้ 100 ปี เธอคิดว่าโลกจะต้านไว้ได้นานเท่าไหร่?”

“ดันเจี้ยนของอัลเฟนกับโลกไม่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถามถึงการคาดการณ์ก็ออกจะ...”

“อืม...”

เครือข่ายติดต่อสื่อสารของโลกเหนือกว่าอัลเฟนมาก

ถ้าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น พรุ่งนี้ทั้งโลกก็จะรู้

แต่คนที่โลกไม่ได้ต่อสู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขามีปัญหาเรื่องความสามัคคี

ข้อมูลข่าวสารรับส่งช้ากว่าในอัลเฟน แต่ที่นั่นมีผู้นำ คนเหล่านี้สามารถติดต่อและควบคุมคน ชักจูงจิตใจผู้คน พาพวกเขาไปยังทางที่กำหนด

วูจินมองเมโลดี้ที่เคยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรีย

“ฉันมีงานให้เธอทำ”

“อะไรคะ?”

“ปลุกพลังของโซอา”

“...”

คำพูดของเขาทำให้เมโลดี้ประหลาดใจ เธอเงยหน้ามองวูจิน

การถ่ายทอดสาสน์ของเทพไม่ใช่เรื่องง่าย เมโลดี้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงจึงรู้ดีกว่าใคร

“แน่ใจแล้วเหรอคะ?”

“ฉันไม่มีทางเลือก”

เขาไม่มีทางเลือกนัก นี่เพื่อน้องสาวของเขาและโลก

“เราต้องการกาวเชื่อมติดพวกเราไว้ด้วยกัน”

“...”

เมโลดี้เห็นด้วยเงียบๆ

วูจินพยายามเป็นกาวที่รั้งทุกคนไว้ด้วยกันมาแล้ว เขาพยายามใช้พลังที่เหนือกว่าและท่าทางเผด็จการนำผู้คน แต่โลกรอบตัวเขากลับล่มสลายเร็วขึ้น

โลกจะล่มสลายจากภายในก่อนวูจินจะมีอำนาจควบคุมเราส์

ศีลธรรมจะพังทลาย ความสิ้นหวังจะแผ่ขยายไปทั่วโลก เขาต้องมอบความหวังและความเชื่อให้ผู้คน

สิ่งที่วูจินพบว่าตัวเองขาดไป

น้องสาวของเขาเป็นเมล็ดพันธุ์พระเจ้า

เขาไม่รู้ว่าเทพองค์ใดจะปรากฏ

อาจเป็นเทพที่ผู้คนนับถือบูชามานาน หรืออาจเป็นเทพบรรพกาลที่ถูกหลงลืม ไม่มีใครรู้จัก...

โซอาถูกเทพเลือก อนาคตเธอจะลำบาก แต่เธอไม่มีทางเลือก วูจินทำอะไรให้เธอไม่ได้

“โซอาต้องรอดชีวิต”

เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าจะไม่ถูกปฏิเสธนอกเสียจากว่าจะตาย

“ถ้าเป็นเทพมารล่ะคะ?”

“หึ”

วูจินหัวเราะ

“เธอคิดว่าเทพแบ่งเป็นเทพฝ่ายดีกับเทพมารเหรอ?”

“...”

“ถ้าเธอศรัทธาก็เป็นเทพฝ่ายดี ถ้าไม่ก็เป็นเทพมาร”

“...”

ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรีย เมโลดี้ไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นจากผู้ไม่ตาย แต่เธอไม่กล้าคัดค้าน

“เทพมารอะไรไม่มีหรอก ไปช่วยโซอาปลุกพลัง”

เมโลดี้สามารถช่วยให้เมล็ดพันธุ์พระเจ้างอกเงยโดยที่โซอาไม่เสียสติไป

นี่เป็นสิ่งที่มีแต่เธอที่ทำได้เพราะพลังของอาเรีย

“ทราบแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเมโลดี้ วูจินหันไปมองพวกมอนสเตอร์ที่กำลังอาละวาด

“เอาล่ะ ไปล่ามังกรสักตัวดีกว่า”

วูจินยิ้มพลางมองมังกรทองที่เกาะบนหอคอยนัมซาน

“ผมช่วยครับ”

วูจินส่ายศีรษะเมื่อซุงกูรีบลุกขึ้น

“นายกับฮีซอลไปจัดการมอนสเตอร์แถวนี้”

“ครับผม”

น่าเสียดาย แต่วูจินพูดแบบนี้แปลว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเขา ซุงกูจะไม่ฝืนตัวเองถ้าไม่จำเป็น เราส์ทำงานเสี่ยงชีวิต และไม่มีอะไรอันตรายไปกว่าการอวดเก่ง

วูจินกำลังจะไปจับมังกร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องยกพวกไปหมด

อัศวินมรณะ 10 ตนสำหรับก่อกวน โดลเซโจมตีไปเรื่อยๆ และบิบิจะโจมตีทางจิตใจทำให้มันสับสน วูจินก็โจมตีเช่นกัน เขาไม่ต้องการคนอื่นอีก

แต่พวกมอนสเตอร์กระจายเป็นวงกว้างโดยมีนัมซานเป็นศูนย์กลาง อสูรของเขาต้องแยกไปเช่นกัน พวกมันจึงมีงานยุ่งกันหมด

“หรือจะเรียกเจนิสออกมา”

ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นพรวดๆ อีกแค่ไม่กี่นาทีเขาจะเพิ่มเลเวล

ค่าประสบการณ์อยู่รอบตัวเขา

วูจินดีใจอยู่เหมือนกันที่ดันเจี้ยนเบรกเกิดรอบโซลเป็นหลัก กองทัพผีดิบของเขาสามารถล่าพวกมันและค่าประสบการณ์เพิ่มอย่างรวดเร็ว

วูจินวิ่งเข้าสู่สนามรบ เขาอยากเพิ่มเลเวลเร็วๆ

วูจินยื่นมือ หอกกระดูกพุ่งทะลุมอนสเตอร์เหมือนพวกมันเป็นกระดาษ

หอกวิญญาณแทงมอนสเตอร์ค้างคาวร่วงลงมา พวกมันหลบแต่หอกวิญญาณไล่ตามพวกมัน

หลังได้อาชีพนักรบ อาวุธที่วูจินใช้บ่อยที่สุดคือขวาน ขวานของเขาผ่าแยกศีรษะของมอนสเตอร์ สังหารมอนสเตอร์อย่างไม่ยากนัก

ทุกการปะทะจบลงด้วยซากศพกองรอบตัววูจิน

วูจินยิ้มเมื่อเห็นพวกมอนสเตอร์เริ่มถอย มันคงเริ่มเบื่อพลังที่เหนือกว่ามากของเขาแล้ว

“คิดจะไปไหนกันพวกนาย?”

วูจินใช้ศพเป็นสื่อกลางสร้างกำแพงกระดูกกันไม่ให้มอนสเตอร์หนี พลังของวูจินระเบิดออก

ควันพิษสีเขียวกระจายออกโดยมีวูจินเป็นศูนย์กลาง มอนสเตอร์แมลงตายถูกพิษตายหมดโดยเขาไม่ต้องลงมือฆ่าเอง

ถ้าไม่ต้องห่วงฝ่ายเดียวกัน สไตล์ต่อสู้ของวูจินไม่มีใครเปรียบได้ สไตล์นี้ส่งผ่านมายังฮงซุงกู

“ลุก!”

ศพรอบตัววูจินระเบิด เลือดเนื้อปลิวว่อน นักเวทโครงกระดูก 200 ตัวถูกเรียกออกมา เลเวลพวกมันสูงจนเทียบได้กับเราส์แรงค์ B

เวทของพวกมันล้วนอันตราย ข้อเสียเดียวคือพวกมันใช้ได้แค่เวทจากธาตุเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่าเวทที่ใช้จะไม่หลากหลายเมื่อมีนักเวทโครงกระดูกเป็นร้อย วูจินเรียกนักเวทโครงกระดูกที่สามารถใช้เวทไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า ลมและพิษออกมา เขาสามารถสร้างกองทัพนักเวทที่มีหลายคาถา

“ถล่มพวกมัน!”

พวกโครงกระดูกส่งเสียงน่าขนลุกแล้วเริ่มยิงเวท อัศวินมรณะมีโอกาสพักเมื่อวูจินสู้อย่างแข็งขัน พวกอัศวินมรณะเคลื่อนกองทัพโครงกระดูกล้อมพวกมอนสเตอร์ พวกมันขยายขอบเขตล้อมนัมซานเป็นวงกว้าง

99.9%

วูจินใกล้เลเวลอัพเต็มที แต่ตอนนั้นเอง มังกรผละจากหอคอยนัมซานมุ่งหน้ามาทางวูจิน ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อมังกรผละจากหอคอยก็เห็นเถาวัลย์พันรอบทั้งหอคอย

ดูเหมือนมังกรพยายามทำหอคอยนัมซานให้เป็นอาณานิคมของมัน

มันยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันถึงจะใช้งานได้ วูจินมีเวลาเหลืออีกมากสำหรับฆ่ามังกรและทำลายอาณานิคม
มังกรบินขึ้นสูง มันสูดลมหายใจจนท้องพอง

“มีปัญหาแล้ว”

เขาจะป้องกันลมหายใจมังกรได้ไหม?

วูจินจะไม่เป็นไร เกราะผีจะปกป้องเขา แต่คนรอบๆ...

<เพิ่มระดับ!>

ช่างเป็นเสียงที่น่ายินดีนัก วูจินเรียกเขาออกมาทันที

“เจนิส”

ครูผู้สอนทางแห่งการสังหารและความกล้าหาญ

ผู้ช่วยวูจินสร้างการทำลาย ผู้เป็นที่ปรึกษาสูงสุดที่ช่วยวูจินปกครองอลันดาล

ผู้เคยถูกเรียกว่ามหาปราชญ์และจอมเวทในอัลเฟน

เพื่อช่วยอัลเฟนไม่ให้ล่มสลาย มันเปลี่ยนตัวเองเป็นลิช และถูกความบ้าคลั่งครอบครอง

นักเวทผู้ไม่มีวันตาย

ควันดำรวมตัวกัน มันเป็นโครงกระดูกสวมผ้าคลุมดำ ถือไม้เท้าดำ มันสวมชุดคล้ายนักเวทโครงกระดูกแต่มีบรรยากาศกดดันรอบตัว

ดวงตาสีแดงของมันเปล่งประกาย

[เจ้านาย! อัลเฟนปลอดภัยหรือไม่?]

เสียงของมันฟังหึ่งๆเหมือนมีอำนาจสั่นคลอนจิตใจ เสียงชวนขนลุกเหมือนรถไฟเบรกฉุกเฉิน

วูจินลูบหูแล้วพูด

“ยัง ป้องกันนั่นให้ฉันก่อนได้ไหม?”

วูจินชี้ไปที่ท้องฟ้า มังกรทองราชาคอยพองตัวใหญ่ ใกล้จะปล่อยลมหายใจมังกรออกมา

[พลังของข้าหายไปไหน?]

“อ้อ”

วูจินเปิดหน้าต่างทักษะอย่างรวดเร็ว เขาใช้แต้มเพิ่มเลเวลให้ทักษะ ‘เรียกลิช’ ไม่นานเลเวล 1 ก็กลายเป็น 99 ร่างเจนิสเปล่งแสงหลายครั้ง ร่างกายมันก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง

ผ้าคลุมดำตอนนี้ประทับด้วยวงเวทเรืองแสงส่งบรรยากาศลึกลับ หัวไม้เท้าฝังพลอย 5 ชนิดส่องแสงแวววาว

ถ้าปิดตาลงจะได้ยินเหมือนฝาหม้อหุงข้าวถูกเปิดออก ต้นเสียงมาจากลมหายใจมังกรจากปากราชาคอย

เจนิสสร้างโล่คลุมทั้งท้องฟ้า

มันเป็นบาเรียที่สร้างจากพลังเวท มันปะทะกับลมหายใจมังกร เกิดแรงระเบิดเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ แต่แรงระเบิดส่วนใหญ่ถูกสะท้อนขึ้นฟ้า บนพื้นเกิดความเสียหายเล็กน้อย

“นายมาทันเวลาพอดี”

[รงรงอยากได้เพื่อนหรือเปล่า?]

“มันเป็นลูกน้องทราห์เน็ต ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน ฆ่ามันซะ”

เมื่อลอร์ดมิติถูกสังหารจะไม่เหลือซากศพไว้ มันจะสลายไปพร้อมกับแสงสีเทา ถ้าจะสร้างมังกรกระดูกก็ต้องมีศพมังกรใช่ไหม?

[‘เพชรฆาตของทราช’เล่า?]

“ฉันหาแล้วแต่ไม่เจอ”

วูจินหาทั้งในร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและร้านค้าของมิติ แต่มันหายไป ในชุดเซ็ทของทราช เพชฌฆาตเป็นอาวุธ สูตรการสร้างก็หายไป เขาจึงไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่หรือเปล่า มันเป็นอาวุธที่แปลก

เจนิสยังบอกให้วูจินหาอาวุธนั้นต่อไป

ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน มังกรร่อนลงมาช้า

ราชาคอยจ้องนักเวทผีดิบที่ป้องกันลมหายใจมังกรของมันไว้ได้

มันนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอลิชที่เข้มแข็งขนาดนี้บนโลก

[โลกยังไม่ประสานดี เจ้าเป็นเราส์ของโลกแต่ไปได้พลังขนาดนี้มาจากไหน?]

เสียงของราชาคอยทำให้ดวงตาของลิชวาววับ

[น่าขยะแขยง!]

ความโกรธของเจนิสที่มีต่อทราห์เน็ตนั้นเกินกว่าใครจะจินตนาการไปถึงได้

วูจินยักไหล่

“ไว้คุยกันหลังนายฆ่าเจ้านั่นเสร็จ”

[รับบัญชาท่านจ้าว!]

ลิชจงใจเปลี่ยนคำเรียกไปมาระหว่างเจ้านายกับท่านจ้าว

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ วูจินไม่ได้สร้างมัน ลิชอยู่ของมันมา 200 ปีก่อนจะกลายเป็นอสูรของวูจิน แค่เจนิสทำตามคำสั่งวูจินก็ขอบคุณและโล่งใจแล้ว

[จงถูกไฟนรกเผาตายไปซะ!]

ไม้เท้าของเจนิสยิงไฟสีดำออกมาชนกับปีกราชาคอย มันเป็นไฟนรกประเภทหนึ่ง และเวลาในการร่ายเวทของเจนิสก็เร็วเหลือเชื่อ

[อั่ก?]

ปีกมันติดไฟและไม่อาจดับได้ ไฟลามไปทั่วร่างมัน

มังกรตีปีกแรงจนส่งรถหลายคันลอยไป กระจกหลุดจากตัวอาคารและนักเวทโครงกระดูกถูกพัดลอยไปทุกทิศทาง

มันขยับปีกสุดแรงก่อนจะกระแทกพื้น ทำอาคารทรุดไปหลายหลัง

ในที่สุดมันก็ดับไฟนรกได้อย่างเฉียดฉิว

ถ้าไม่ใช่ว่ามันเป็นมังกร... มันคงถูกเผาจนตายไปแล้ว

[บังอาจ! เจ้ากล้ายั่วยุข้า!]

มันประสานกับโลกโดยไม่นึกว่าจะถูกทำให้อัปยศขนาดนี้

[กลหลอกเด็กอย่าหวังว่าจะทนความโกรธของข้าได้!]

มันถูกโจมตีโดยไม่ระวังจึงถูกไฟนรกเล่นงานง่ายดาย คราวนี้มันเอาจริงแล้ว ไฟนรกโจมตีมันไม่ได้อีกแล้ว

มันจะทำลายทั้งเมืองนี้

ปีกมังกรมีควันออกมาขณะที่มันส่งเสียงคำราม มันยืนสี่ขา ความกลัวของมังกรทำให้สิ่งต่างรอบๆสั่นด้วยความหวาดกลัว

ลิชไม่มีหู มันจึงไม่สะทกสะท้าน มันแค่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้ามังกร

[ฮ่าๆ การโจมตีของข้าไม่แรงพอหรือ?]

พลังเวทถูกส่งออกมาจากไม้เท้าของลิช

เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นล้อมรอบมังกร เปลวไฟผ่าขึ้นมาจากพื้นดินและบานออก ศีรษะโผล่ออกมาจากลาวาร้อนแดง

พวกมันคือมังกรที่มีศีรษะ 9 เศียร มันถูกทรมานในไฟนรก

ไฮดร้าถูกเจนิสเรียกออกมา

นับแล้วมันเรียกไฮดร้าออกมา 100 ตัว

ศีรษะทั้ง 900 หันไปทางราชาคอยแล้วอ้าปาก



สารบัญ                                                 บทที่ 141


1 ความคิดเห็น: