บทที่ 140 – จ้าวแห่งโรคระบาด (3)
“เข้าใจแล้วว่านายอยากเรียนมาก”
“เปล่า ผมไม่ได้ถามเพราะอย่างนั้น...”
“ไม่ต้องเร่งฉันนักก็ได้ เขาจะออกมาวันนี้ ตอนไหนสักตอนนี่ล่ะ”
“เปล่า ผมไม่ได้เร่ง...”
ซุงกูแค่อยากถามว่าต้องใช้ลิชจัดการปัญหาตอนนี้จริงๆเหรอ
“ฉันรับประกัน”
อา ซุงกูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“นายแค่ต้องรอดให้ได้”
วูจินแตะบ่าซุงกู
“แล้วนายก็จะได้เป็นนักเวทไฟที่เก่งที่สุด”
“ลูกพี่...”
ไม่เข้าใจเลยว่าแค่เรียนเวทมนตร์ทำไมต้องเสี่ยงตายด้วย...
“ไปพักอีกหน่อยเถอะ”
“...”
วูจินก้าวไปทางเมโลดี้ที่ยังสะอึกอยู่ เธอสะดุ้งเหมือนทำอะไรผิด
“เธอเพิ่งเล่าประวัติฉันไปล่ะสิ?”
“ฉ...ฉันผิดไปแล้วค่ะ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าฮวบและค้อมหัวลง วูจินทำหน้าเบื่อ
“...ถ้าไม่อยากตายจริงๆก็ลุกขึ้น”
เธอเป็นนักบวชที่ถูกเลือกให้รับใช้เทพี เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่ค้อมคำนับเขาไม่หยุด เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์พยายามหมอบกราบเขา วูจินรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับเทพ และเขาไม่ชอบ
เขาเป็นมนุษย์
“ค่ะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นทันที วูจินขมวดคิ้วถาม เขาไม่สนที่เธอพูดถึงเขาลับหลัง ประวัติศาสตร์ของอัลเฟนน่าสนใจกว่า
“ดันเจี้ยนแรกเชื่อมต่อกับอัลเฟนเมื่อ 200 ปีก่อน?”
“ใช่ค่ะ”
“พวกลอร์ดมิติเริ่มถล่มอัลเฟนเมื่อไหร่?”
“ประมาณ 100 ปีก่อนค่ะ”
“...”
วูจินคำนวณช่วงเวลาแล้วขมวดคิ้ว
ที่โลกดันเจี้ยนแห่งแรกเกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ลอร์ดมิติเริ่มปรากฏตัว 5 ปีหลัง มันเร็วเกินไป
“งั้นอัลเฟนก็ต้านมาได้ 100 ปี เธอคิดว่าโลกจะต้านไว้ได้นานเท่าไหร่?”
“ดันเจี้ยนของอัลเฟนกับโลกไม่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถามถึงการคาดการณ์ก็ออกจะ...”
“อืม...”
เครือข่ายติดต่อสื่อสารของโลกเหนือกว่าอัลเฟนมาก
ถ้าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น พรุ่งนี้ทั้งโลกก็จะรู้
แต่คนที่โลกไม่ได้ต่อสู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขามีปัญหาเรื่องความสามัคคี
ข้อมูลข่าวสารรับส่งช้ากว่าในอัลเฟน แต่ที่นั่นมีผู้นำ คนเหล่านี้สามารถติดต่อและควบคุมคน ชักจูงจิตใจผู้คน พาพวกเขาไปยังทางที่กำหนด
วูจินมองเมโลดี้ที่เคยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรีย
“ฉันมีงานให้เธอทำ”
“อะไรคะ?”
“ปลุกพลังของโซอา”
“...”
คำพูดของเขาทำให้เมโลดี้ประหลาดใจ เธอเงยหน้ามองวูจิน
การถ่ายทอดสาสน์ของเทพไม่ใช่เรื่องง่าย เมโลดี้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงจึงรู้ดีกว่าใคร
“แน่ใจแล้วเหรอคะ?”
“ฉันไม่มีทางเลือก”
เขาไม่มีทางเลือกนัก นี่เพื่อน้องสาวของเขาและโลก
“เราต้องการกาวเชื่อมติดพวกเราไว้ด้วยกัน”
“...”
เมโลดี้เห็นด้วยเงียบๆ
วูจินพยายามเป็นกาวที่รั้งทุกคนไว้ด้วยกันมาแล้ว เขาพยายามใช้พลังที่เหนือกว่าและท่าทางเผด็จการนำผู้คน แต่โลกรอบตัวเขากลับล่มสลายเร็วขึ้น
โลกจะล่มสลายจากภายในก่อนวูจินจะมีอำนาจควบคุมเราส์
ศีลธรรมจะพังทลาย ความสิ้นหวังจะแผ่ขยายไปทั่วโลก เขาต้องมอบความหวังและความเชื่อให้ผู้คน
สิ่งที่วูจินพบว่าตัวเองขาดไป
น้องสาวของเขาเป็นเมล็ดพันธุ์พระเจ้า
เขาไม่รู้ว่าเทพองค์ใดจะปรากฏ
อาจเป็นเทพที่ผู้คนนับถือบูชามานาน หรืออาจเป็นเทพบรรพกาลที่ถูกหลงลืม ไม่มีใครรู้จัก...
โซอาถูกเทพเลือก อนาคตเธอจะลำบาก แต่เธอไม่มีทางเลือก วูจินทำอะไรให้เธอไม่ได้
“โซอาต้องรอดชีวิต”
เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าจะไม่ถูกปฏิเสธนอกเสียจากว่าจะตาย
“ถ้าเป็นเทพมารล่ะคะ?”
“หึ”
วูจินหัวเราะ
“เธอคิดว่าเทพแบ่งเป็นเทพฝ่ายดีกับเทพมารเหรอ?”
“...”
“ถ้าเธอศรัทธาก็เป็นเทพฝ่ายดี ถ้าไม่ก็เป็นเทพมาร”
“...”
ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรีย เมโลดี้ไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นจากผู้ไม่ตาย แต่เธอไม่กล้าคัดค้าน
“เทพมารอะไรไม่มีหรอก ไปช่วยโซอาปลุกพลัง”
เมโลดี้สามารถช่วยให้เมล็ดพันธุ์พระเจ้างอกเงยโดยที่โซอาไม่เสียสติไป
นี่เป็นสิ่งที่มีแต่เธอที่ทำได้เพราะพลังของอาเรีย
“ทราบแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเมโลดี้ วูจินหันไปมองพวกมอนสเตอร์ที่กำลังอาละวาด
“เอาล่ะ ไปล่ามังกรสักตัวดีกว่า”
วูจินยิ้มพลางมองมังกรทองที่เกาะบนหอคอยนัมซาน
“ผมช่วยครับ”
วูจินส่ายศีรษะเมื่อซุงกูรีบลุกขึ้น
“นายกับฮีซอลไปจัดการมอนสเตอร์แถวนี้”
“ครับผม”
น่าเสียดาย แต่วูจินพูดแบบนี้แปลว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเขา ซุงกูจะไม่ฝืนตัวเองถ้าไม่จำเป็น เราส์ทำงานเสี่ยงชีวิต และไม่มีอะไรอันตรายไปกว่าการอวดเก่ง
วูจินกำลังจะไปจับมังกร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องยกพวกไปหมด
อัศวินมรณะ 10 ตนสำหรับก่อกวน โดลเซโจมตีไปเรื่อยๆ และบิบิจะโจมตีทางจิตใจทำให้มันสับสน วูจินก็โจมตีเช่นกัน เขาไม่ต้องการคนอื่นอีก
แต่พวกมอนสเตอร์กระจายเป็นวงกว้างโดยมีนัมซานเป็นศูนย์กลาง อสูรของเขาต้องแยกไปเช่นกัน พวกมันจึงมีงานยุ่งกันหมด
“หรือจะเรียกเจนิสออกมา”
ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นพรวดๆ อีกแค่ไม่กี่นาทีเขาจะเพิ่มเลเวล
ค่าประสบการณ์อยู่รอบตัวเขา
วูจินดีใจอยู่เหมือนกันที่ดันเจี้ยนเบรกเกิดรอบโซลเป็นหลัก กองทัพผีดิบของเขาสามารถล่าพวกมันและค่าประสบการณ์เพิ่มอย่างรวดเร็ว
วูจินวิ่งเข้าสู่สนามรบ เขาอยากเพิ่มเลเวลเร็วๆ
วูจินยื่นมือ หอกกระดูกพุ่งทะลุมอนสเตอร์เหมือนพวกมันเป็นกระดาษ
หอกวิญญาณแทงมอนสเตอร์ค้างคาวร่วงลงมา พวกมันหลบแต่หอกวิญญาณไล่ตามพวกมัน
หลังได้อาชีพนักรบ อาวุธที่วูจินใช้บ่อยที่สุดคือขวาน ขวานของเขาผ่าแยกศีรษะของมอนสเตอร์ สังหารมอนสเตอร์อย่างไม่ยากนัก
ทุกการปะทะจบลงด้วยซากศพกองรอบตัววูจิน
วูจินยิ้มเมื่อเห็นพวกมอนสเตอร์เริ่มถอย มันคงเริ่มเบื่อพลังที่เหนือกว่ามากของเขาแล้ว
“คิดจะไปไหนกันพวกนาย?”
วูจินใช้ศพเป็นสื่อกลางสร้างกำแพงกระดูกกันไม่ให้มอนสเตอร์หนี พลังของวูจินระเบิดออก
ควันพิษสีเขียวกระจายออกโดยมีวูจินเป็นศูนย์กลาง มอนสเตอร์แมลงตายถูกพิษตายหมดโดยเขาไม่ต้องลงมือฆ่าเอง
ถ้าไม่ต้องห่วงฝ่ายเดียวกัน สไตล์ต่อสู้ของวูจินไม่มีใครเปรียบได้ สไตล์นี้ส่งผ่านมายังฮงซุงกู
“ลุก!”
ศพรอบตัววูจินระเบิด เลือดเนื้อปลิวว่อน นักเวทโครงกระดูก 200 ตัวถูกเรียกออกมา เลเวลพวกมันสูงจนเทียบได้กับเราส์แรงค์ B
เวทของพวกมันล้วนอันตราย ข้อเสียเดียวคือพวกมันใช้ได้แค่เวทจากธาตุเดียว
แต่ไม่ได้หมายความว่าเวทที่ใช้จะไม่หลากหลายเมื่อมีนักเวทโครงกระดูกเป็นร้อย วูจินเรียกนักเวทโครงกระดูกที่สามารถใช้เวทไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า ลมและพิษออกมา เขาสามารถสร้างกองทัพนักเวทที่มีหลายคาถา
“ถล่มพวกมัน!”
พวกโครงกระดูกส่งเสียงน่าขนลุกแล้วเริ่มยิงเวท อัศวินมรณะมีโอกาสพักเมื่อวูจินสู้อย่างแข็งขัน พวกอัศวินมรณะเคลื่อนกองทัพโครงกระดูกล้อมพวกมอนสเตอร์ พวกมันขยายขอบเขตล้อมนัมซานเป็นวงกว้าง
99.9%
วูจินใกล้เลเวลอัพเต็มที แต่ตอนนั้นเอง มังกรผละจากหอคอยนัมซานมุ่งหน้ามาทางวูจิน ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อมังกรผละจากหอคอยก็เห็นเถาวัลย์พันรอบทั้งหอคอย
ดูเหมือนมังกรพยายามทำหอคอยนัมซานให้เป็นอาณานิคมของมัน
มันยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันถึงจะใช้งานได้ วูจินมีเวลาเหลืออีกมากสำหรับฆ่ามังกรและทำลายอาณานิคม
มังกรบินขึ้นสูง มันสูดลมหายใจจนท้องพอง
“มีปัญหาแล้ว”
เขาจะป้องกันลมหายใจมังกรได้ไหม?
วูจินจะไม่เป็นไร เกราะผีจะปกป้องเขา แต่คนรอบๆ...
<เพิ่มระดับ!>
ช่างเป็นเสียงที่น่ายินดีนัก วูจินเรียกเขาออกมาทันที
“เจนิส”
ครูผู้สอนทางแห่งการสังหารและความกล้าหาญ
ผู้ช่วยวูจินสร้างการทำลาย ผู้เป็นที่ปรึกษาสูงสุดที่ช่วยวูจินปกครองอลันดาล
ผู้เคยถูกเรียกว่ามหาปราชญ์และจอมเวทในอัลเฟน
เพื่อช่วยอัลเฟนไม่ให้ล่มสลาย มันเปลี่ยนตัวเองเป็นลิช และถูกความบ้าคลั่งครอบครอง
นักเวทผู้ไม่มีวันตาย
ควันดำรวมตัวกัน มันเป็นโครงกระดูกสวมผ้าคลุมดำ ถือไม้เท้าดำ มันสวมชุดคล้ายนักเวทโครงกระดูกแต่มีบรรยากาศกดดันรอบตัว
ดวงตาสีแดงของมันเปล่งประกาย
[เจ้านาย! อัลเฟนปลอดภัยหรือไม่?]
เสียงของมันฟังหึ่งๆเหมือนมีอำนาจสั่นคลอนจิตใจ เสียงชวนขนลุกเหมือนรถไฟเบรกฉุกเฉิน
วูจินลูบหูแล้วพูด
“ยัง ป้องกันนั่นให้ฉันก่อนได้ไหม?”
วูจินชี้ไปที่ท้องฟ้า มังกรทองราชาคอยพองตัวใหญ่ ใกล้จะปล่อยลมหายใจมังกรออกมา
[พลังของข้าหายไปไหน?]
“อ้อ”
วูจินเปิดหน้าต่างทักษะอย่างรวดเร็ว เขาใช้แต้มเพิ่มเลเวลให้ทักษะ ‘เรียกลิช’ ไม่นานเลเวล 1 ก็กลายเป็น 99 ร่างเจนิสเปล่งแสงหลายครั้ง ร่างกายมันก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง
ผ้าคลุมดำตอนนี้ประทับด้วยวงเวทเรืองแสงส่งบรรยากาศลึกลับ หัวไม้เท้าฝังพลอย 5 ชนิดส่องแสงแวววาว
ถ้าปิดตาลงจะได้ยินเหมือนฝาหม้อหุงข้าวถูกเปิดออก ต้นเสียงมาจากลมหายใจมังกรจากปากราชาคอย
เจนิสสร้างโล่คลุมทั้งท้องฟ้า
มันเป็นบาเรียที่สร้างจากพลังเวท มันปะทะกับลมหายใจมังกร เกิดแรงระเบิดเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ แต่แรงระเบิดส่วนใหญ่ถูกสะท้อนขึ้นฟ้า บนพื้นเกิดความเสียหายเล็กน้อย
“นายมาทันเวลาพอดี”
[รงรงอยากได้เพื่อนหรือเปล่า?]
“มันเป็นลูกน้องทราห์เน็ต ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน ฆ่ามันซะ”
เมื่อลอร์ดมิติถูกสังหารจะไม่เหลือซากศพไว้ มันจะสลายไปพร้อมกับแสงสีเทา ถ้าจะสร้างมังกรกระดูกก็ต้องมีศพมังกรใช่ไหม?
[‘เพชรฆาตของทราช’เล่า?]
“ฉันหาแล้วแต่ไม่เจอ”
วูจินหาทั้งในร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและร้านค้าของมิติ แต่มันหายไป ในชุดเซ็ทของทราช เพชฌฆาตเป็นอาวุธ สูตรการสร้างก็หายไป เขาจึงไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่หรือเปล่า มันเป็นอาวุธที่แปลก
เจนิสยังบอกให้วูจินหาอาวุธนั้นต่อไป
ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน มังกรร่อนลงมาช้า
ราชาคอยจ้องนักเวทผีดิบที่ป้องกันลมหายใจมังกรของมันไว้ได้
มันนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอลิชที่เข้มแข็งขนาดนี้บนโลก
[โลกยังไม่ประสานดี เจ้าเป็นเราส์ของโลกแต่ไปได้พลังขนาดนี้มาจากไหน?]
เสียงของราชาคอยทำให้ดวงตาของลิชวาววับ
[น่าขยะแขยง!]
ความโกรธของเจนิสที่มีต่อทราห์เน็ตนั้นเกินกว่าใครจะจินตนาการไปถึงได้
วูจินยักไหล่
“ไว้คุยกันหลังนายฆ่าเจ้านั่นเสร็จ”
[รับบัญชาท่านจ้าว!]
ลิชจงใจเปลี่ยนคำเรียกไปมาระหว่างเจ้านายกับท่านจ้าว
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ วูจินไม่ได้สร้างมัน ลิชอยู่ของมันมา 200 ปีก่อนจะกลายเป็นอสูรของวูจิน แค่เจนิสทำตามคำสั่งวูจินก็ขอบคุณและโล่งใจแล้ว
[จงถูกไฟนรกเผาตายไปซะ!]
ไม้เท้าของเจนิสยิงไฟสีดำออกมาชนกับปีกราชาคอย มันเป็นไฟนรกประเภทหนึ่ง และเวลาในการร่ายเวทของเจนิสก็เร็วเหลือเชื่อ
[อั่ก?]
ปีกมันติดไฟและไม่อาจดับได้ ไฟลามไปทั่วร่างมัน
มังกรตีปีกแรงจนส่งรถหลายคันลอยไป กระจกหลุดจากตัวอาคารและนักเวทโครงกระดูกถูกพัดลอยไปทุกทิศทาง
มันขยับปีกสุดแรงก่อนจะกระแทกพื้น ทำอาคารทรุดไปหลายหลัง
ในที่สุดมันก็ดับไฟนรกได้อย่างเฉียดฉิว
ถ้าไม่ใช่ว่ามันเป็นมังกร... มันคงถูกเผาจนตายไปแล้ว
[บังอาจ! เจ้ากล้ายั่วยุข้า!]
มันประสานกับโลกโดยไม่นึกว่าจะถูกทำให้อัปยศขนาดนี้
[กลหลอกเด็กอย่าหวังว่าจะทนความโกรธของข้าได้!]
มันถูกโจมตีโดยไม่ระวังจึงถูกไฟนรกเล่นงานง่ายดาย คราวนี้มันเอาจริงแล้ว ไฟนรกโจมตีมันไม่ได้อีกแล้ว
มันจะทำลายทั้งเมืองนี้
ปีกมังกรมีควันออกมาขณะที่มันส่งเสียงคำราม มันยืนสี่ขา ความกลัวของมังกรทำให้สิ่งต่างรอบๆสั่นด้วยความหวาดกลัว
ลิชไม่มีหู มันจึงไม่สะทกสะท้าน มันแค่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้ามังกร
[ฮ่าๆ การโจมตีของข้าไม่แรงพอหรือ?]
พลังเวทถูกส่งออกมาจากไม้เท้าของลิช
เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นล้อมรอบมังกร เปลวไฟผ่าขึ้นมาจากพื้นดินและบานออก ศีรษะโผล่ออกมาจากลาวาร้อนแดง
พวกมันคือมังกรที่มีศีรษะ 9 เศียร มันถูกทรมานในไฟนรก
ไฮดร้าถูกเจนิสเรียกออกมา
นับแล้วมันเรียกไฮดร้าออกมา 100 ตัว
ศีรษะทั้ง 900 หันไปทางราชาคอยแล้วอ้าปาก
ไว้อาลัยแด่ซุงกู0.3วิ
ตอบลบ