วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 5

บทที่ 5 – หนีออกจากบ้าน (5)


“ต่อให้เดนเบอร์กเร็วขนาดไหนก็ไม่เร็วขนาดนั้นมั้ง เขาเพิ่งเป็นผู้ใหญ่นะ ความเร็วที่เจ้าพูดถึงมันแปลว่าเขาอยู่ในสามลำดับแรกของหมู่บ้าน”

“เจ้าดูถูกเดนเบอร์กเกินไป ไม่เหมือนพี่ เรื่องความเร็วเดนเบอร์กอยู่ลำดับแรกของหมู่บ้านแล้ว”

เฮสเทียกับกัลลาฮาดต่างประหลาดใจกับคำบอกของกาเวน

“เดนเบอร์กเร็วกว่ากาเวนอีกเหรอ?”

ความเร็วของกาเวนอยู่ในสามลำดับแรกของหมู่บ้าน ส่วนกัลลาฮาดอยู่ช่วงกลางค่อนไปทางท้าย ดังนั้นคำพูดของกาเวนจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่า

“ไม่ ถ้าเป็นในป่าก็ไม่ต้องกังวล แค่ในหมู่บ้านเท่านั้นที่เดนเบอร์กตามข้าทัน ในป่านักรบเร็วกว่า”

เฮสเทียโล่งใจและถามกัลลาฮาด “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“...การคาดเดาของกาเวนย่อมน่าเชื่อถือกว่าข้า”

เฮสเทียพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น นอกจากนักรบร้อยนาย กำลังสิบสี่ร้อยให้ตามเส้นทางของกระทรวงต่างประเทศ”

จากนั้นก็เฮสเทียเริ่มอธิบายแผนการทั้งหมด

***

ผ่านไปหกชั่วโมงแล้วตั้งแต่ผมออกนอกเส้นทาง ถ้าแผนของเฮสเทียเป็นอย่างที่ผมคิด อีกไม่นานคนไล่ตามกลุ่มแรกคงจะถึงจุดตั้งแคมป์ที่สองอันเป็นจุดที่ผมเบี่ยงทิศทาง

ผมคาดว่าคนไล่ตามจะมีประมาณสิบสี่ถึงสิบหกร้อย ในนั้นประมาณสิบเอ็ดถึงสิบสองร้อยมาจากหน่วยยามที่ประกอบด้วยนักสู้หลากหลายแบบของหมู่บ้าน สามถึงสี่ร้อยเป็นนักรบที่ออกล่าหาอาหารในป่า หากจะมีตำแหน่งอีกก็คงเป็นทูตต่างประเทศที่ทำหน้าที่เป็นคนนำทางประมาณสิบกว่าคน

โล่งอกไปที่กระทรวงต่างประเทศไม่ได้ถูกสร้างมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้ สมาชิกส่วนใหญ่คือผู้สูงวัยที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้หรือค้าขาย, สตรีที่ร่างกายไม่เข้มแข็งเท่าบุรุษ, พวกคงแก่เรียนที่อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก และนักเวทที่หาวิธีเรียนรู้เวทภายนอก เพราะเหตุที่ไม่มีคนร่างกายแข็งแรงหรือมีทักษะไล่ตามในหมู่คนพวกนี้ ผมจึงไม่รู้สึกถูกคุกคามนักแม้พวกเขาจะร่วมในการไล่ตาม

แม้แต่ยามที่มีจำนวนมากที่สุดในผู้ไล่ตามก็ไม่อันตรายเท่าไหร่นอกจากเรื่องจำนวน แม้คนในหมู่บ้านจะเรียนรู้วิธีการล่าตั้งแต่เด็ก พอเป็นผู้ใหญ่พวกเขาก็ไม่ได้เน้นฝึกด้านนั้นแล้ว โดยทั่วไปพวกเขามีทักษะแค่พอจับหมูป่าหรือกวางมาเป็นอาหารมื้อค่ำ

แน่นอน หมูป่าและกวางที่อยู่ในรอบหมู่บ้านในอาณาบริเวณของปีศาจย่อมไม่ธรรมดา มีหลายตัวที่สามารถกัดยักษ์ตายในทีเดียว

เป็นหมู่บ้านที่จะสงบสุขลงหน่อยก็ไม่ได้จริงๆ กลุ่มที่ยุ่งยากที่สุดคือกองรบที่นำโดยกาเวน ด้วยจำนวนทั้งหมดห้าร้อยนาย พวกเขามีขนาดเพียงหนึ่งในสามของยาม แต่ถ้าสู้ในป่าไม่ใช่ในหมู่บ้าน นักรบสามารถใช้พลังเพียงครึ่งเดียวกวาดล้างหน่วยยามทั้งหมด

เพราะเหตุนี้ผมจึงพยายามแยกนักรบออกจากกลุ่มไล่ตามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนอื่น การล่าปีศาจ 40 ตัวก็เพื่อลดจำนวนนักรบลง ปีศาจเป็นสิ่งอันตรายเวลามีชีวิตอยู่ แต่พอตายไปแล้วยิ่งอันตรายกว่า เลือดปีศาจมีพิษ เมื่อศพเริ่มเน่าเปื่อยพิษก็จะระเหยออกมา ดังนั้นเมื่อปีศาจตัวหนึ่งตาย รอบๆมันจะกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย พูดอีกอย่างคือ การกำจัดศพปีศาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องมีการใช้นักรบหลายนายเพื่อล้างพิษและเก็บชิ้นส่วนก่อนศพจะเริ่มเน่า อ้อ แม้จะอันตรายแต่ชิ้นส่วนของร่างกายปีศาจสามารถใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในเวทมนตร์รวมถึงเป็นวัตถุดิบทำอาวุธ ฟันหนึ่งซี่สามารถเอาไปขายในราคาสูงลิบ

ผมไม่รู้สึกผิดเพราะถ้าเอาปีศาจที่ผมล่าไปขายจะได้เงินจำนวนมาก ที่จดหมายถูกทำให้พบเร็วก็เพื่อให้พวกเขาจัดการกับศพปีศาจก่อนมันจะเริ่มเน่าเปื่อยด้วย

สรุปว่าด้วยเหตุนี้ จำนวนนักรบที่ถูกตัดออกจากกลุ่มไล่ตามควรเป็นอย่างน้อย 100 หรือ 120 คน ถ้าโชคดีอาจมากกว่านั้น

นอกจากนั้น นักรบประมาณ 100 คนคงถูกแบ่งให้อยู่ในหมู่บ้านเพื่อหาร่องรอยของผม หรือก็คือจำนวนนักรบที่ผมต้องรับมือควรมีน้อยกว่า 280 คนซึ่งลดไปเกือบครึ่งของจำนวนตั้งต้น

ถ้าผมเป็นเฮสเทีย ผมจะแบ่งหน่วยไล่ตามออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่ม 1 และ 2 ให้มีคนที่เร็วที่สุดในหมู่บ้านเพื่อไล่ตามผมบนเส้นทางบนแผนที่ แม้พวกเขาจะจับผมไม่ได้ เมื่อคิดว่ายังไงผมก็ต้องออกจากป่า พวกเขาสามารถพรางตัวและรอจู่โจม

กลุ่ม 3 คือนักรบที่ถูกทิ้งไว้ในหมู่บ้านเพื่อหาร่องรอยของผม ถ้ากลุ่มอื่นหาร่องรอยผมเจอ กลุ่มนี้จะไปรวมกับกลุ่ม 4 ทันที

กลุ่ม 4 จะหาร่องรอยของผมแถวบริเวณที่พวกเขาเชื่อว่าผมเริ่มออกนอกเส้นทาง

กลุ่ม 5 เป็นกลุ่มยาม ที่เตรียมไว้เพื่อล้อมผม

แผนของเฮสเทียน่าจะเป็นอย่างที่ผมคาดไว้อยู่มาก อีกสองถึงสามชั่วโมง นักรบจะหาร่องรอยของผมเจอ ต่อให้ผมพยายามกลบร่องรอยขนาดไหนก็ไม่มีทางรอดจากสายตาผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการล่าได้

บนแผนที่ จุดที่ผมอยู่ตรงนี้ห่างจากจุดตั้งแคมป์ที่สองเท่ากับระยะทางจากจุดตั้งแคมป์ที่สองถึงหมู่บ้าน

งั้นก็น่าจะห่างจากหมู่บ้านราว 500 กิโลเมตรแล้ว?

ตามการคาดคำนวณนี้ ถ้าไม่นับรอยแยกขนาดใหญ่ระหว่างหมู่บ้านถัดไปกับป่า ผมจะห่างจากหมู่บ้านถัดไปประมาณ 800 กิโลเมตร

เมื่อคำนวณคร่าวๆเสร็จ ผมเร่งความเร็วขึ้น

***

เก้าชั่วโมงผ่านไปนับจากหน่วยไล่ตามออกไปจับเดนเบอร์ก ตะวันตกดินไปแล้วและรอบๆก็สว่างไสวด้วยแสงจากตะเกียงเวทมนตร์

ในตอนแรก ดูมสโตนตั้งโต๊ะหน้าทางเข้าหมู่บ้านและทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการ ใช้เหยี่ยวในการสื่อสาร แต่เพราะความเป็นห่วงเฮสเทียผู้อยู่ในกลุ่มอ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน เขาจึงให้ใช้ห้องของเขาในศาลากลางหมู่บ้านเป็นจุดออกคำสั่งแทน

เพราะเหตุนี้ ตอนนี้เฮสเทียจึงนั่งอย่างสบายบนโซฟารับแขกในห้อง ดื่มชาและจ้องมองแผนที่ของกระทรวงต่างประเทศ

“เฮสเทีย ร่างกายเจ้าอ่อนแอ กลับบ้านไปพักก่อนดีไหม?”

พ่อของเธอถามด้วยความเป็นห่วง เฮสเทียตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ แม้ข้าจะอ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน แต่จากจดหมายของลุงที่กองทัพจักรวรรดิ ข้าใกล้เคียงกับนายพลของจักรวรรดิเชียวนะ”

“ฮ่าๆ ต่อให้คนนอกหมู่บ้านจะอ่อนแอขนาดไหนก็เถอะ คนตำแหน่งสูงส่งอย่างนายพลจะอ่อนแอขนาดนั้นได้ยังไง? ลุงเจ้าพูดเกินไปแล้ว ฮ่าๆๆ”

เฮสเทียยิ้มตอบระหว่างดูมสโตนหัวเราะจนอ่อนแรง

“โฮะๆ ใช่ไหมคะ? ลุงยังเขียนบอกว่ากินข้าวไม่ถนัดเพราะช้อนจะงอทุกครั้งที่ท่านถือมัน”

“ฮ่าๆๆ ช้อนงอ? ของทำจากแร่อดามันไทต์มันจะงอได้ด้วยเหรอ?”

“โฮะๆ นั่นสิ โอ้! พ่อทำไม่ได้เหรอ?”

“อืม ถ้าออกแรงหน่อยก็ได้ แต่ข้าคงไม่ทำจริงๆหรอก ฮ่าๆๆ”

ระหว่างคุยไป ดูมสโตนถามเฮสเทียด้วยสีหน้าหดหู่เล็กน้อย “เราจะจับเดนเบอร์กได้หรือเปล่า?”

เขาอาจเปรยกับตัวเอง แต่เฮสเทียจงใจส่งยิ้มสดใส “พ่อ ข้าเป็นใคร? ข้าเป็นลูกสาวคนโตของท่านนะ ข้าจะจับเขาให้ได้และให้เขารับตำแหน่งต่อจากท่าน”

“ได้ยินคนที่ฉลาดที่สุดพูดแบบนี้มันทำให้ข้ารู้สึกมีกำลังใจขึ้น”

ดูมสโตนยิ้มสดใสเท่าเฮสเทีย

“พอจับเดนเบอร์กได้แล้ว ข้าจะตีก้นเขาหลายๆทีเป็นการชดเชยที่เจ้าต้องทำงาน ไม่ต้องห่วงนะ”

เฮสเทียคิดว่านั่นอาจเลวร้ายกว่าการเฆี่ยนนอกหมู่บ้าน ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดว่าเป็นการลงโทษที่สมเหตุสมผลเมื่อคิดว่าเดนเบอร์กทำให้เธอและคนหลายคนในหมู่บ้านต้องเดือดร้อน แม้จะถูกตีก็แค่ทำให้นั่งแบบปกติไม่ได้และต้องนอนคว่ำไปสักพักเท่านั้น

“ค่ะ ตีเยอะๆเลยนะ” เฮสเทียรินชาใส่แก้วเปล่าและยิ้มแบบที่จะทำให้เดนเบอร์กคิดว่าเธอเป็นปีศาจ

ตอนนั้นเอง มีคนเปิดประตูและตะโกน

“หัวหน้าหมู่บ้าน! ผู้บัญชาการ! เราได้ข้อความว่าพบร่องรอยของนายน้อยแล้ว!”

“อะไรนะ!” ดูมสโตนลุกพรวด

“พ่อ ใจเย็นๆ เรายังจับเขาไม่ได้เลย”

“อืมๆ นั่นสิ”

เฮสเทียปลอบดูมสโตนและถามคนวิ่งส่งข่าว “แล้วพวกเขาพบร่องรอยที่ไหน?”

“ครับ พวกเขาบอกว่าเจอที่จุดตั้งแคมป์ที่สอง”

จุดตั้งแคมป์ที่สอง?

จุดตั้งแคมป์ที่สองเป็นสถานที่ที่คนของกระทรวงต่างประเทศไปพักบ่อยที่สุด หากเป็นอย่างที่กาเวนพูดและเดนเบอร์กเดินทางได้ไกลชนาดนั้นในเวลาสั้นเท่านี้จริงๆ มันก็เป็นจุดที่เหมาะกับการออกนอกเส้นทางด้วยมีร่องรอยมากมายจากคนของกระทรวงกลบร่องรอยของเขา

“เป็นไปได้ไหมว่าร่องรอยพวกนั้นเป็นของคนของกระทรวง?”

เฮสเทียต้องคิดถึงความเป็นไปได้ทุกอย่าง

“ไม่ ร่องรอยมีไปถึงส่วนที่คนของกระทรวงไม่ไปและยังมีไปต่ออีก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”

“พวกเขาถามว่าจะให้ไล่ตามต่อกลางคืนนี้เลยไหมครับ?”

“หยุดไว้ก่อน บอกให้พวกเขาพักออมแรงที่จุดตั้งแคมป์”

แต่ดูมสโตนไม่เห็นด้วยกับเฮสเทีย “ตามต่อไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ไม่ แม้คนในหน่วยไล่ตามจะเป็นนักรบแข็งแกร่งแต่ป่าตอนกลางคืนอันตรายมาก” เฮสเทียถอนหายใจ “อีกอย่างศัตรูของเราคือเดนเบอร์ก ต่อให้ไล่ตามทั้งคืนก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเราจะจับเขาไม่ได้ก่อนพรุ่งนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การไล่ตามอย่างยืดเยื้อ ตอนนี้ออมแรงไว้ก่อนดีกว่า”

“เข้าใจแล้ว”

ดูมสโตนดูผิดหวัง แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งคำสั่งให้พักออมแรงที่จุดตั้งแคมป์และเดินทางตอนรุ่งสาง”

“รบกวนเจ้าด้วย อ้อ แล้วก็ช่วยบอกคนที่ค้นหาร่องรอยในหมู่บ้านให้กลับมาพักผ่อนด้วย”

“ครับ”

ความเงียบคืนมาเมื่อคนวิ่งส่งข่าวจากไป เฮสเทียจ้องแผนที่พลางดื่มชาอีกถ้วย

จุดตั้งแคมป์ที่สองที่เดนเบอร์กออกนอกเส้นทาง ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 300 กิโลเมตร แม้จะถูกถากถางเส้นทางแล้วแต่เมื่อเทียบกับในหมู่บ้านมันก็ยังขรุขระมากและคนยังต้องกระโดดสูงลิ่วเพื่อข้ามรากไม้

ถ้าเดนเบอร์กข้ามเส้นทางแบบนั้นในเวลาเพียง 3-4 ชั่วโมง แม้ในป่าจะรกขนาดไหน ตอนนี้เขาคงข้ามไปอีก 300 กิโลเมตรแล้ว ปัญหาคือทิศทาง จากเส้นทางที่คาดการณ์ไว้ เดนเบอร์กต้องพยายามออกห่างจากเส้นทางบนแผนที่พร้อมกับอ้อมเหวไปด้วยแน่



สารบัญ                                            รอใส่บทที่ 5




จดหมายฉบับเดียวมีประโยชน์หลายสถานและ...ช้อนหมู่บ้านเค้าทำจากแร่อดามันไทต์วุ้ย XD




 


วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 4

บทที่ 4 – หนีออกจากบ้าน (4)


หลังวิ่งเต็มแรงมาถึงที่ตั้งแคมป์จุดที่สองบนแผนที่ ผมดึงนาฬิกาออกมา

12:03 น.

ป่านนี้เวทคงสลายไปแล้ว แปลว่าศพปีศาจและจดหมายที่ผมทิ้งไว้น่าจะถูกพบแล้ว

บนแผนที่ เห็นได้ว่าผมวิ่งเป็นระยะทางเกือบสองวันโดยดูจากจุดที่ตั้งแคมป์จุดที่สองของเส้นทาง 10 วัน เมื่อเทียบว่าผมวิ่งมาสี่ชั่วโมงแล้วก็หมายความว่าผมวิ่งด้วยความเร็ว 70-80 กม./ชม.

ความเร็วขนาดนี้ทำให้ผมสงสัยว่าตัวเองเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดกันแน่  นี่คือระยะทางที่กระทรวงต่างประเทศใช้เวลาเดินทางสองวันเชียวนะ แน่นอน พวกเขาจะเดินตามสบายแบกปีศาจหลายๆตัวไปด้วย สำหรับคนที่ชาติก่อนมีร่างกายปกติ ผมรู้สึกมีกำลังใจไม่น้อยที่สามารถเดินทางได้ไกลขนาดนี้ภายในช่วงเช้าวันเดียว

แผนที่แสดงระยะห่างถึงเมืองที่กระทรวงต่างประเทศมักจะแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยประมาณ 1,000 กิโลเมตรอย่างกาบิน นี่เป็นระยะทางที่คนบ้านผมใช้เวลาเพียง 2 วันหากวิ่งเต็มที่ แต่ตรงกลางมีหุบเขาขนาดใหญ่อยู่ ระยะทางจริงๆคือต้องอ้อมไปไกลมาก

จนตอนนี้ ผมใช้เส้นทางของกระทรวงต่างประเทศโดยดูจากแผนที่ที่ผมเอามาจากห้องทำงานของพวกเขาเพื่อทิ้งร่องรอยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ได้เวลาที่ผมจะเริ่มถูกไล่ตามแล้ว ผมต้องสร้างทางของตัวเองเข้าไปในป่าแทนที่จะใช้ทางที่กระทรวงสร้างขึ้น

บัดนี้ไป มันคือการแข่งกับเวลา

***

 เฮสเทียใคร่ครวญสถานการณ์ตอนนี้อย่างใจเย็น

‘เดนเบอร์กหนีออกจากบ้าน พ่อโมโหมากที่ถูกลูกที่ท่านรักที่สุดหักหลัง’

ในความเป็นจริงแล้ว เฮสเทียไม่ได้เศร้าหรือตกใจนัก ไม่ใช่เพราะเธอไม่รักน้องชาย ใครเล่าไม่รักครอบครัว? เธอรู้มาก่อนนานแล้วว่าความคาดหวังของดูมสโตนต่อเดนเบอร์ก และความคาดหวังในอนาคตของตัวเองของเดนเบอร์กนั้นขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เธอรู้สึกคือความผิดหวังมากกว่าเศร้าหรือตกใจ

เมื่อไหร่ที่ดูมสโตนลำบาก เฮสเทียจะช่วยเขาด้วยการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประจำหมู่บ้าน เขาเชื่อถือเธอสนิทใจและฟังคำแนะนำของเธอ หมู่บ้านจะไปทางไหนจึงขึ้นอยู่กับคำพูดของเธอ

สถานการณ์อย่างนี้สร้างความกดดันอย่างหนักให้แก่เฮสเทีย เธอเพิ่งอายุ 18 ปี แต่เพียงคำพูดธรรมดาของเธอก็สามารถส่งผลกระทบผู้คนที่อายุมากกว่าสองหรือสามเท่า เรื่องที่คำพูดเพียงคำเดียวของเธอสามารถทำร้ายคน กระทั่งทำให้พวกเขาเสียสละตัวเอง ทำให้เธอกลัว

ตามหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุดหมู่บ้านเขียนไว้ ผู้นำต้องรู้สึกขอบคุณลูกน้องที่หลั่งเหงื่อเพื่อการใดการหนึ่ง

แล้วพวกเขาที่หลั่งเลือดล่ะ ข้าต้องรู้สึกอย่างไร? ขอบคุณ? กลัว? หรือด้านชา?

เฮสเทียไม่รู้และเป็นไปได้ว่าเธอจะไม่มีวันรู้ เธอหวังให้มันเป็นอย่างนั้น เธอเข้าใจความรู้สึกของเดนเบอร์กที่หนีออกจากบ้านเป็นอย่างดี แต่เธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างที่สุดเช่นกัน

แม้เฮสเทียจะนับถือบิดา แต่เธอรู้สึกว่าความคิดของเขาเรียบง่ายเกินไป ดูมสโตนทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของเขา แต่น้องชายของเธอไม่ใช่ เขาไปไกลกว่าความฉลาด เขามีความหลักแหลมด้วย

เดนเบอร์กสามารถคิดถึงเรื่องที่เธอคิดไม่ถึง และพูดสิ่งที่เธอไม่กล้าเอ่ย หากเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เธอจะหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในฐานะที่ปรึกษาและความกลัวว่าความพลั้งพลาดของเธอเพียงครั้งเดียวจะนำไปสู่การล่มสลายของหมู่บ้าน

‘ข้าขอโทษไว้ก่อนนะน้องข้า ข้าไม่อาจยอมให้เจ้าหนีออกจากบ้านได้ เพื่อหมู่บ้านและเพื่อตัวข้าเอง ยกโทษให้พี่ใจร้ายคนนี้ด้วย’

“จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนนำปฏิบัติการนี้” เฮสเทียประกาศต่อหน้าทหารแกร่งสิบห้ากองร้อย

กาเวนผู้นำกองกำลังไล่ล่าพยักหน้า และกัลลาฮาดเร่งให้เฮสเทียพูดต่อ

“เป็นไปได้มากว่าเดนเบอร์กเริ่มต้นเดินทางโดยใช้เส้นทางบนแผนที่”

กัลลาฮาดถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไม? เดินตามเส้นทางจะเร็วกว่าเพราะมันได้รับการถากถางไว้แล้ว แต่ถ้าเราเริ่มออกไล่ตามเขาก็เสร็จ เดนเบอร์กต้องคาดเอาไว้แน่ว่าจะต้องถูกไล่ตาม เขาน่าจะออกห่างจากเส้นทางตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ?”

“อย่างที่เจ้าพูด ข้าแน่ใจว่าเดนเบอร์กคาดว่าตัวเองต้องถูกไล่ตาม แต่การเดินทางตามเส้นทางบนแผนที่มีข้อดีมากกว่าออกนอกเส้นทางตั้งแต่แรก ข้อแรก มันทำให้หลบออกจากป่าได้เร็วขึ้น ข้อสอง สามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้”

“ยังไง?”

เฮสเทียชี้รอยเท้าบนพื้นและถาม “เจ้าบอกได้ไหมว่ารอยเท้านี้เป็นของใคร มีเมื่อไหร่?”

กัลลาฮาดกับกาเวนส่ายศีรษะ

“ก็เหมือนกับในป่า ถ้าเดินตามทางเราก็จะแยกไม่ออกว่ารอยเท้านั้นเป็นของเดนเบอร์กหรือคนจากกระทรวงต่างประเทศ ข้อสาม เป็นไปได้ว่าจำนวนคนไล่ตามเดนเบอร์กจะลดลงสักพัก”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“แม้ข้าจะคาดว่าเดนเบอร์กใช้เส้นทางบนแผนที่ มันก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจออกนอกเส้นทางตั้งแต่แรก ตราบใดที่ความเป็นไปได้นั้นมีอยู่ เราไม่มีทางอื่นนอกจากดึงคนจำนวนหนึ่งไปหาว่าเขาเริ่มออกไปทางไหน”

กัลลาฮาดทำหน้าชัดเจนว่าเขาไม่เข้าใจ แต่กาเวนดูจะจับใจความได้บ้าง ด้วยประสบการณ์ตามรอยปีศาจของผู้นำกองรบ คำอธิบายนี้ดูจะง่ายกว่าสำหรับกาเวน

“พี่ มันอย่างนี้ ถ้าจะออกล่าในป่ารอบหมู่บ้านเจ้าต้องรู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหน แต่ป่านี่มันใหญ่มาก”

“ใช่”

“เพราะอย่างนั้นเวลาออกล่า เราจะตามหาร่องรอยที่เหยื่อทิ้งไว้มากกว่าตามตัวเหยื่อเอง”

“เหรอ?”

“ใช่ คราวนี้เมื่อคิดว่าน้องเล็กของเราเป็นเหยื่อ เจ้าจะค้นทั้งป่าไม่ได้ เจ้าต้องหาร่องรอยของเขา ถูกไหม?”

กาเวนหันมาขอคำยืนยันจากเฮสเทีย เธอพยักหน้าทันที

“ถูกแล้ว และถ้าจะหาร่องรอยของเดนเบอร์ก หาจากรอบๆหมู่บ้านจะมีประสิทธิภาพกว่าเริ่มงมหาในป่า”

ในที่สุดกัลลาฮาดก็เข้าใจ

“กาเวน ถ้าจะหาร่องรอยรอบๆหมู่บ้านต้องใช้กี่คน?”

กาเวนคิดครู่หนึ่งและตอบ “ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อย ถ้าเอาจริง เราต้องใช้กองรบทั้งหมด”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

จำนวนขนาดนั้นเกินคาดสำหรับเธอ หมู่บ้านใหญ่ก็จริงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าต้องใช้นักรบทั้งห้าร้อยนายในการค้นหา ตอนแรกเธอประมาณการว่าคงใช้นักรบประมาณห้าสิบนาย แต่ตอนนี้ดูท่าเธอต้องปรับการคาดเดาใหม่

“เดนเบอร์กเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ ถ้าเขาพยายามซ่อนร่องรอยจะหาให้เจอก็ยาก ยิ่งกว่านั้นข้าสอนเขาบ่อยๆเรื่องวิธีซ่อนร่องรอยและการเคลื่อนไหวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้”

เฮสเทียกัดปากเบาๆ

“นักรบร้อยนาย มากกว่านั้นไม่ได้”

นักรบร้อยนายที่สามารถเคลื่อนไหวในป่าที่เต็มไปด้วยปีศาจเหมือนเป็นสวนหลังบ้านของตัวเองเป็นกำลังสำคัญ

“ได้”

จากนั้นเฮสเทียอธิบายสถานการณ์ซับซ้อนในหัวของเธอต่อ

“ข้อสี่ เขาสามารถถ่วงเวลาคนที่ไล่ตาม เจ้าบอกใช่ไหมว่าต้องใช้นักรบมากกว่าร้อยนายในการหาร่องรอยรอบหมู่บ้าน? แต่ถ้าคิดว่าเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางกลางทางก็ต้องใช้เวลาตามรอยเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า”

“เดี๋ยว เจ้าคิดว่าเดนเบอร์กจะเปลี่ยนเส้นทางกลางทาง?”

“ใช่ มีโอกาส 100% ที่เดนเบอร์กจะเปลี่ยนเส้นทาง ช่วงที่เขาออกนอกเส้นทางน่าจะประมาณช่วงที่เราพบศพปีศาจในห้องของเขา เวลาเที่ยง ช้ากว่านั้นไม่เกินสิบนาที”

“ทำไมเจ้าเชื่ออย่างนั้น?”

กัลลาฮาดถาม เฮสเทียดึงจดหมายของเดนเบอร์กออกมา

“ตามที่เขียนในนี้ เดนเบอร์ต้องการบีบขอบเขตความเป็นไปได้ให้แคบลงเพื่ออ่านความเคลื่อนไหวของเรา”

“หมายความว่ายังไง? เดนเบอร์กจะทำอะไรถ้าอ่านความเคลื่อนไหวของเราได้?”

ไม่แปลกที่ไม่มีใครเข้าใจ ทั้งกัลลาฮาดและกาเวน เฮสเทียเองยังต้องอ่านจดหมายอีกครั้งและใคร่ครวญถึงความหมายของมัน

“กาเวน เจ้าคิดว่าเหยื่อจะรู้สึกถูกคุกคามมากที่สุดตอนไหน?”

“ฮืม ตอนมันเผชิญกับผู้ล่า? หรือตอนธนูปักคอมัน?”

“ไม่ใช่ ตอนมันรู้สึกถึงการคงอยู่ของผู้ล่า ตอนเผชิญกับผู้ล่า ความเครียดจะสูงกว่า และเมื่อธนูเจาะร่างมัน ความกลัวจะเหนือล้ำกว่า ตอนนี้เดนเบอร์กเป็นเหยื่อที่รู้สึกถึงการคงอยู่ของผู้ล่า ในฐานะเหยื่อ วิธีที่ฉลาดที่สุดคือทำให้ผู้ล่าเคลื่อนไหวตามที่เขาต้องการ”

“เจ้าหมายความว่าแผนของเจ้าทั้งหมดเป็นสิ่งที่เดนเบอร์กเตรียมการไว้แล้ว?”

“ใช่ เป็นไปได้มากว่าเดนเบอร์กจะคาดไว้แล้วว่าข้าจะวางแผนอย่างไรหลังจากอ่านจดหมายนี้”

“ถ้าอย่างนั้นเราไม่ทำตามแผนของเจ้าไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ไม่ เดนเบอร์กพยายามอ่านการเคลื่อนไหวของเราล่วงหน้า ขนาดยอมเผยร่องรอยตัวเอง เขายื่นเหยื่ออย่างดีให้ขนาดนี้เราไม่มีทางเลือกนอกจากคว้ามัน ถ้าเราไม่เอาและทำพลาด เราอาจไม่เจอเขาเลย”

ในใจเฮสเทียเต็มไปด้วยความนับถือ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเดนเบอร์กและมันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด ในหมากรุก 9 ฝ่าย เขาคอยบังคับให้ศัตรูกระโดดเข้าสู่กับดักทั้งๆที่รู้ดีว่ามันเป็นกับดัก

“เดนเบอร์กคงหนีไปช่วงแปดหรือเก้าโมงเช้า”

“ทำไม?”

“เขากินมื้อเช้าตอนประมาณเจ็ดโมงสิบนาที ข้าจำได้เพราะข้าเป็นคนตั้งโต๊ะวันเกิดเอง และหลังเจ็ดโมงครึ่ง ทุกคนออกไปทำงาน ดังนั้นเขาต้องเอาพวกปีศาจเข้าไปในห้องหลังจากนั้น และเพราะกระทรวงต่างประเทศจะตรวจนับสิ่งของก่อนปิด ตราบใดที่เดนเบอร์กไม่ออกจากบ้านตอนกลางคืน มันต้องเป็นประมาณแปดโมงที่เขาขโมยแผนที่กับเงิน”

“มีเหตุผล ถ้าเจ้าออกจากบ้านตอนกลางคืน พ่อที่มีประสาทสัมผัสเหนือกว่าปีศาจต้องจับได้ ว่าแต่ตอนเช้าต้องมีคนมาทำงานที่กระทรวง เขาจะขโมยของได้ยังไงโดยไม่ถูกจับ?”

“ห้องเก็บของของกระทรวงแยกออกจากที่ทำงาน มันง่ายสำหรับเดนเบอร์ก”

“ก็แปลว่าเขาออกนอกเส้นทางหลังจากออกจากหมู่บ้านไปประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง”

“น่าจะใช่ เพราะฉะนั้น เจ้าคิดว่าเขาออกนอกเส้นทางราวๆจุดไหน?”

เฮสเทียไม่แข็งแกร่งและไม่แน่ว่าจะสู้เด็ก 10 ขวบชนะ ด้วยเหตุนี้เธอจึงคาดคะเนพละกำลังของเดนเบอร์กได้ยาก

กัลลาฮาดและกาเวนใคร่ครวญ จากนั้นก็ให้คำตอบที่ต่างกัน

“ถ้าสามชั่วโมง คงประมาณที่ตั้งแคมป์แรก ถ้าสี่ชั่วโมง คงประมาณตรงนี้” กัลลาฮาดชี้ตรงระหว่างที่ตั้งแคมป์ที่หนึ่งกับสอง ค่อนมาทางที่ตั้งแคมป์ที่หนึ่ง

“ไม่ ถ้าเป็นเดนเบอร์กก็ไม่แปลกถ้าเขาจะถึงช่วงระหว่างแคมป์ที่หนึ่งกับสองในสามชั่วโมง ถ้าเป็นสี่ชั่วโมง เป็นไปได้ว่าเขาจะถึงที่ตั้งแคมป์ที่สอง” กาเวนปฏิเสธการคำนวณของกัลลาฮาดเด็ดขาด

ความเห็นของสองคนที่ต่างกันนับเป็นเรื่องใหญ่ ระยะห่างมันกว้างเกินกว่าจะรวมความคิดเห็นทั้งสองเข้าไปในแผน



สารบัญ                                 รอใส่บทที่ 5


วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 3

บทที่ 3 – หนีออกจากบ้าน (3)


เหล่าผู้เฒ่าประหลาดใจกับคำพูดของดูมสโตน

“ตอนเดนอายุ 12 ข้าไปรังมังกรใกล้ๆแล้วโยนเขาเข้าไป”

ผู้เฒ่าเมอร์ปาขมวดคิ้ว “งานอดิเรกยักษ์มารของท่านน่ะเหรอ?”

ผู้เฒ่าคนอื่นก็รู้ดีว่าดูมสโตนให้บรรดาลูกชายของเขาเอาชนะความกลัวสัตว์ประหลาดด้วยการโยนพวกเขาไปตรงหน้าเหล่าสัตว์ประหลาด, ปีศาจและมังกรเมื่ออายุห้าขวบ, แปดขวบและสิบสองปีตามลำดับ

ในเมื่อมีดูมสโตนคอยเฝ้าดูอยู่ในที่ลับ ลูกชายของเขาจึงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ แถมเขายังได้บารมีของคนเป็นพ่อหากสังหารมอนสเตอร์ในยามฉุกเฉิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงถือมันเป็นวิธีการสอนที่โยนก้อนหินก้อนเดียวได้นกสองตัว

“ยักษ์มารอะไร? มันก็แค่วิธีการสอนของข้า เอาเถอะ ตอนเขาอายุ 12 ข้าโยนเดนไปตรงหน้ามังกร ตอนแรกเขาก็วิ่งหนีนะ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มใช้เวทมนตร์ตอดมันไปมาจนใช้มีดปาดคอมันได้ในที่สุด”

ผู้เฒ่าเมอร์ปาขมวดคิ้วมาตลอด แต่เมื่อฟังที่เขาพูดแล้วก็ลืมตาโตอย่างประหลาดใจ

ดูมสโตนประหลาดใจกับท่าทางของผู้เฒ่าเมอร์ปา นึกว่าตาเมอร์ปาจะรู้เสียอีก แกสนิทกับเดน

“หัวหน้าเผ่า จริงเหรอ?” ผู้เฒ่าคนอื่นก็ประหลาดใจเช่นกันและถามดูมสโตน

“จริงสิ เขาจับมังกรที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังรู้สึกตึงมือ”

“มันเป็นลูกมังกรหรือเปล่า?”

“ล้มลูกมังกรจะถือเป็นการสอนได้ยังไง? มันเป็นมังกรโตเต็มวัย”

“อายุเท่าไหร่?”

“น่าจะสามร้อยกว่าๆ”

“หมายความว่ามังกรตอนนั้นถูกเด็กจับมา ไม่ใช่ท่าน?!

“ใช่”

เหล่าผู้เฒ่าหันไปปรึกษากันเรื่องอายุปัจจุบันของเดนเบอร์และเรื่องในอนาคต

“ฮึ่ม ได้ จะบอกว่าเด็กนั่นจับมังกรแต่ไม่บอกข้าสักคำงั้นสิ?” ผู้เฒ่าเมอร์ปาพึมพำอย่างไม่พอใจ

“ท่านตั้งใจจะมอบตำแหน่งให้เด็กนั่นเมื่อไหร่?”

เสียงจ้อกแจ้กเงียบลงเมื่อคำถามของเมอร์ปาดังขึ้น

“เมื่อเขาแข็งแกร่งกว่าข้าพอสมควร หรือเมื่อข้าเริ่มอ่อนแอลง”

“ในเมื่อไม่มีทางที่ท่านจะอ่อนแอลง แสดงว่าเขาต้องแข็งแกร่งกว่าท่าน นั่นคงใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปี แล้วทำไมถึงเริ่มพูดเรื่องนี้แล้วล่ะ?”

ดูมสโตนเกาศีรษะและหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ข้าบอกลูกๆไปแล้วน่ะ ก็เลยอยากให้พวกท่านรู้ไว้ก่อนสักหน่อย”

“เจ้าบ้า! ดูอายุข้า อีก 20 ปีข้าก็ลงโลงไปแล้ว!

“งั้นท่านจะไม่ร่วมงานเลี้ยงเหรอ?”

วันที่มีการแต่งตั้งหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ พิธีสวมมงกุฎจึงกลายเป็นที่รู้จักกันว่างานเลี้ยง

“เจ้าบ้า! หมายความว่ายังไงที่ข้าจะไม่ร่วมงานเลี้ยง? เจ้ารู้ว่าข้าชอบดื่มแค่ไหน!

ผู้เฒ่าคนอื่นหัวเราะไปกับเสียงตะโกนของผู้เฒ่าเมอร์ปา

ก๊อกๆ

เสียงเฮสเทียดังพร้อมกับเสียงเคาะประตู

“พ่อ พิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเดนเบอร์กจะเริ่มแล้ว”

ดูมสโตนมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้น

“โอ้ ได้เวลาพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของลูกข้าแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ”

“ไม่ ข้าไปด้วย ข้าอยากไปดูหัวหน้าเผ่าคนใหม่สักหน่อย”

เมื่อผู้เฒ่าคนหนึ่งลุกขึ้น ที่เหลือก็ขอไปด้วย

ดูมสโตนเกาศีรษะ “เอาสิ”

ถึงจะเรียกว่าพิธี แต่อย่างมากมันคือการให้สมาชิกครอบครัวและเพื่อนฝูงมารวมกันและให้ข้อแนะนำเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบเทือกนั้น หลังจากนั้น พวกเขาแค่ต้องไปล่าสัตว์ประหลาดเพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ จากนั้นก็กินอาหารด้วยกัน ปกติแล้วไม่จำเป็นต้องออกจากหมู่บ้านไกลเกินไปเพราะคนจะมารวมกันหน้าศาลากลางของหมู่บ้านก่อนพิธี

ตรงหน้าศาลากลางมีลูกชายคนโตกัลลาฮาดยืนอยู่ พร้อมด้วยลูกชายคนรองกาเวน, ลูกสาวคนโตเฮสเทียและลูกสาวคนเล็กเลชา

“เดนเบอร์กล่ะ?”

ดูมสโตนถามเลชา เธอยักไหล่และตอบว่าไม่รู้

แปลก เดนเบอร์กเป็นคนขยันผิดปกติ ถ้าเขาสัญญาว่าจะทำอะไรหรือมีสิ่งที่ต้องทำ เขาจะเป็นคนแรกที่มารอ อีกอย่างเขาฉลาดมากและต้องคาดไว้แล้วว่าดูมสโตนจะพาเหล่าผู้เฒ่ามา หรือหากเขาสามารถพลาดจุดนั้นไปได้ก็ยังมีเฮสเทียคอยเตือน เขารู้ดีว่าไม่ควรมาสาย

แปลกมากที่เดนเบอร์กยังไม่มา แต่เมื่อนึกไปถึงความขาดๆเกินๆของเขา บางทีมันอาจไม่แปลกก็ได้

ดูมสโตนขอโทษเหล่าผู้เฒ่าและมองนาฬิกา เขากำลังรอให้ถึงเวลาเที่ยงวัน นั่นเป็นเวลาเริ่มพิธี แต่เดนเบอร์กก็ยังไม่มาแม้จะเลยเวลาไปแล้ว

รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ดูมสโตนมองลูกๆของเขาทีละคน แต่ทุกคนต่างส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พ่อ” เฮสเทียเรียก คงรู้สึกแปลกเช่นกัน

เมื่อเธอเห็นดูมสโตนพยักหน้า เธอพยักหน้าตอบแล้ววิ่งกลับบ้าน

“เอ๊ะพี่ จะไปไหน” เลชาถาม แต่เฮสเทียลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน เฮสเทียวิ่งกลับมา มือหนึ่งลากศพปีศาจขนาดสองเท่าของตัวเธอมาด้วย

“พ่อ! ดูนี่!

เฮสเทียผู้นานๆจะทำเสียงดังยื่นกระดาษที่พับครึ่งให้ดูมสโตนด้วยสีหน้าร้อนรน

บนกระดาษพับเห็นลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยเขียนว่า ถึงครอบครัวที่ข้ารัก

เห็นได้ง่ายดายว่านี่เป็นลายมือของเดนเบอร์ก

ถึงครอบครัวที่ข้ารัก

ข้าคาดว่าคงเป็นเฮสเทียที่พบจดหมายฉบับนี้เป็นคนแรกหลังจากรู้สึกถึงความผิดปกติ ตอนนี้คงผ่านเวลาเที่ยงไปเพียงไม่กี่นาที

แม้จะหวังให้จดหมายถูกพบช้ากว่านั้น 9 ใน 10 ส่วน จดหมายคงถูกพบตามเวลาที่ว่า ไม่มีทางถูกพบก่อนเพราะเวทมนตร์ที่ข้าลงไว้บนจดหมายและศพปีศาจยังไม่สลายไป

เพื่อตอบข้อสงสัยของเฮสเทียว่าทำไมข้าปล่อยให้ศพปีศาจและจดหมายถูกพบตอนเที่ยง หวังว่าเธอจะเข้าใจถ้าข้าตอบว่า “ข้าต้องการบีบขอบเขตความเป็นไปได้ให้แคบลงเพราะยังไงก็ต้องมีคนรู้อยู่ดีว่าข้าหนีไป”

คราวนี้ ขอพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าวางแผนจะออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปยังที่ใหม่ ขณะที่เจ้ากำลังอ่านอยู่ คงสงสัยว่าทำไมชายผู้มีอนาคตเป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงจากไป (ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงขอเรียกการกระทำนี้ว่าจากไป ไม่ใช่หนีออกจากบ้าน)

แต่ด้วยความสัตย์จริง ข้าไม่ต้องการเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเลย หากพ่อไม่บอกว่าเขามีแผนจะให้ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านข้าคงไม่จากไปโดยไม่บอกกล่าว อ้อ นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีแผนออกจากหมู่บ้านแห่งนี้หรอกนะ

พ่อ ข้าไม่อยากให้ท่านเสียใจทีหลังหรือโทษตัวเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น

นอกจากต้องการทำสิ่งที่มีคุณค่า ดูเหมือนเหตุผลสำคัญที่สุดที่ข้าไปจากหมู่บ้านคือความต้องการแรงกล้าที่จะได้เห็นโลกกว้าง ข้าจะติดต่อกลับมาบ่อยๆ ครั้งละเดือนเป็นอย่างน้อย ดังนั้นอย่าเป็นห่วงเกินไป

ปล.1 ศพปีศาจเป็นสิ่งที่ข้าล่ามาเพื่อพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ อย่าทำกับข้าเหมือนเป็นเด็กและมาพูดทีหลังว่าข้ายังไม่ผ่านพิธี

ปล.2 ถือเป็นของขวัญที่ข้าออกจากหมู่บ้าน ข้าล่าปีศาจทั้งฝูง ประมาณ 40 ตัว ขอให้ไปตามแผนที่ที่ข้าวาดไว้และเอาพวกมันมาใส่เสบียงหมู่บ้าน

ปล.3 ข้าเอาแผนที่,อาหารและเงินสกุลจักรวรรดิจากกระทรวงการต่างประเทศไปด้วย ถึงอย่างนั้นมันคงมีค่าประมาณฟันสักสองสามซี่ของปีศาจที่ข้าจับมา

ปล.4 จะว่าไป ข้าเขียนจดหมายฉบับนี้เหมือนกำลังเขียนถึงพี่สาวคนโต จึงใช้ภาษากันเอง ถ้าพ่ออ่าน โปรดแทนคำด้วยภาษาสุภาพ

หวังเสมอให้ครอบครัวมีความสุข

-เขียนโดยลูกชายคนเล็กที่รัก 

ดูมสโตนรู้สึกความดันเลือดเพิ่มพรวด

“ฮ่าๆ ลูกชายคนเล็กของข้าเตรียมเรื่องน่าประหลาดใจให้ขนาดนี้เชียว!

“หัวหน้ายาม!” ดูมสโตนเรียก กัลลาฮาดตอบอย่างกระวนกระวาย “ครับ!

“ยกเว้นจำนวนคนน้อยที่สุดสำหรับรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่เหลือให้ไปจับเดนเบอร์ก เบลด!

ดูมสโตนสั่งและตะโกนชื่อลูกชายคนสุดท้องของเขา

แต่กัลลาฮาดมีอาการลังเลเล็กน้อย “พ่อ? แต่เอากำลังคนไปใช้แบบนั้นมัน...”

“ทำไม? หรือเจ้าอยากเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป? อยากใช้ชีวิตในกองเอกสารเจ้าปัญหาพวกนั้นเหรอ?”

“ครับท่าน! ยกเว้นยาม 300 คนดูแลความปลอดภัยของหมู่บ้าน ข้าจะนำยามจำนวน 1,200 คนไปพาเขากลับมา!

กัลลาฮาดทำความเคารพที่ไม่เคยทำบ่อยและผละไปอย่างรวดเร็ว

ไม่อยากอยู่กับกองเอกสารขนาดนั้นเลยเหรอ?

“แม่ทัพกองรบ”

“ครับท่าน”

“ต้องใช้กี่คนชำแหละปีศาจ 40 ตัวนี่?”

กาเวน มองปีศาจที่เดนเบอร์กทิ้งไว้ คิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ร้อยยี่สิบคน ไม่สิ ร้อยคนคงพอ”

ชำแหละสัตว์ประหลาดเป็นงานค่อนข้างลำบาก ที่จริงร้อยยี่สิบคนก็ถือว่าน้อยแล้วถ้าคิดว่าใช้แค่สามคนชำแหละศพสัตว์ประหลาดหนึ่งศพ แต่กาเวนลดจำนวนลงอีกเหมือนเข้าใจความรู้สึกของดูมสโตน

แม้ดูมสโตนจะซาบซึ้งใจ แต่ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน เขาไม่อาจทำให้นักรบต้องเดือดร้อนเพราะลูกชายคนเล็กของเขา

“แบ่งสองร้อยคนไปทำงานชำแหละ ที่เหลือไปจับเดนเบอร์ก”

ต้องขอบคุณความเข้าอกเข้าใจจากกาเวน ดูมสโตนรู้สึกว่าความมีเหตุผลของเขากลับคืนมา

“ทราบแล้ว ข้าจะนำนักรบสามร้อยคนไป”

กาเวนทำความเคารพแล้ววิ่งไปทางกองรบ

“รัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่สิ เขาไม่อยู่ เลชา ไปบอกรัฐมนตรีและให้เขาส่งคนนำทางไล่ตาม”

“ค่ะพ่อ ข้าคิดว่าไม่มีใครต้านทานเวทของเดนเบอร์กได้ เพราะฉะนั้นข้าจะไปด้วย”

ดูมสโตนขอบใจเลชาและส่งเธอ จากนั้นเขาหันไปพูดกับเหล่าผู้เฒ่า “แฮ่ม ข้าต้องขอโทษที่เกิดเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ขึ้น”

ฟังคำขอโทษจริงใจของดูมสโตนแล้วเหล่าผู้เฒ่าก็โบกมือบอกไม่เป็นไร

“ไม่สิ ข้าควรพูดว่าสมเป็นลูกของท่านต่างหาก”

“ตอนเด็กท่านก็ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เหมือนกัน”

“ใช่ๆ ตอนท่านยังเด็กยิ่งแย่กว่านี้อีก”

“ถ้าจะให้ข้าพูด ก่อนหน้านี้พวกเขาทำตัวไม่สมเป็นลูกชายของท่านสักนิด”

ทุกคำที่ผู้เฒ่าพูดแทงใจดูมสโตน

จะว่าไป ตอนยังหนุ่มข้าก็ก่อเรื่องมากมายเพราะไม่อยากเป็นหัวหน้าเผ่าเหมือนกันนี่?

เนื่องจากอดีตของเขา ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องใหญ่ที่เดนเบอร์กทำไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลย

ดูมสโตนเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะดีใจหรือกลุ้มใจ


 

สารบัญ                                              รอใส่บทที่ 4

 

 

 

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 2

 

บทที่ 2 – หนีออกจากบ้าน (2)

“ข้าไม่ชอบรอนแรมกลางป่าเท่าไหร่”

“ฮืม-”

พ่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นในที่สุด “ถ้าอย่างนั้น เดินตามรอยข้าและกลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านล่ะ ว่ายังไง?”

“-ขอโทษ อะไรนะ?”

ครู่หนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดได้ยินไปว่าเขาอยากให้ผมเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พระเจ้า ใครๆก็รู้ว่าพ่อไม่มีทางพูดเรื่องนี้

ครั้งหนึ่ง พี่ใหญ่เหวี่ยงขวานอดามันไทท์โจมตีพ่อพลางตะโกนว่า “พ่อ, ข้าจะสืบต่อบัลลังก์ท่านเอง!

พ่อสะบัดมือเปล่าปัดการโจมตีอย่างง่ายดายและตอบ “ลูกเอ๋ย, ข้ายังหนุ่มอยู่นะ!

“ทำหน้าโง่อะไรอย่างนั้น? ข้าอยากให้เจ้ามารับช่วงต่อ” พ่อทวนซ้ำหน้ามุ่ย

“พ่อ พูดเหลวไหลอะไรน่ะ?” ผมถามอย่างโง่ๆ

“ไม่ได้ไร้สาระนะ” เขาตอบอย่างสงบ

“เหลวไหลสิ” ผมว่าซ้ำ

เป็นไปได้มากว่าหมัดเหล็กของพ่อจะตรงมาที่ผมหากพูดจาไม่เคารพเช่นนี้ โชคร้าย,เรื่องที่ต้องพูดมันก็ต้องพูดออกไป

“ข้าอ่อนแอกว่าพี่ใหญ่ ใช้ดาบแย่กว่าพี่รอง หมู่บ้านนี้ถือความเข้มแข็งเป็นทุกสิ่งไม่ใช่เหรอ?”

แต่แทนที่จะเป็นหมัดเหล็ก พ่อเพียงถอนหายใจเบาๆ “แต่เจ้าเก่งเรื่องเวทมนตร์ที่สุดในหมู่บ้าน”

ผมตะลึง “ตั้งแต่ข้าเริ่มฝึกเวทมนตร์ ท่านก็บอกข้าตลอดว่าเวทมนตร์เป็นแค่กลหลอกเด็ก!

ตั้งแต่แรก พ่อไม่เห็นด้วยกับที่ผมสนใจเวทมนตร์ เขาพูดเสมอว่ามันเป็นแค่กลเล็กๆน้อยๆสำหรับคนอ่อนแอ

“ใช่ ข้าพูดอย่างนั้นและยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ แต่เวทมนตร์ที่เจ้าใช้ไม่ใช่แค่กลหลอกเด็ก”

ผมไม่เข้าใจที่พ่อพูด มันเหมือนเขากำลังพูดว่าการขับรถหลังดื่มเหล้าไม่ถือเป็นการเมาแล้วขับ

“ในโลกไม่มีกลแบบไหนจะล้มมังกรได้หรอก ถ้ากลมันใช้ล้มมังกรได้ มันก็ไม่ถือเป็นกลแล้ว”

ผมพูดไม่ออก

“แม้เจ้าจะมีพลังกายด้อยกว่าพี่ใหญ่ของเจ้า ในชาวบ้านทั้งหมดเจ้ายังถือเป็นที่หนึ่ง เรื่องดาบก็ด้วย ถ้าเจ้าด้อยกว่าพี่รองของเจ้า ถ้าอย่างนั้นในหมู่บ้านนี้เจ้าก็ถือเป็นที่สอง”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ผมโบกมือปฏิเสธ

แต่เขาหัวเราะ “พี่รองของเจ้า นักดาบที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน บอกว่าถ้าเขาหยุดพักสักวัน เจ้าจะตามทันสองวัน เขาต้องฝึกเท่ากับสามวันจึงจะรักษาระยะห่างจากเจ้าได้”

ผมเม้มปาก

“พี่หญิงรองของเจ้า บอกว่าเจ้าเป็นนักเวทที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าเมอร์ปาที่คนในหมู่บ้านนับถือเป็นนักเวทอันดับหนึ่งก็เห็นด้วย อีกอย่าง พี่หญิงใหญ่ของเจ้า คนที่ข้าไปปรึกษาเสมอ บอกว่าความรู้ของเจ้าหากไม่เท่ากับก็ลึกล้ำกว่านาง นางบอกว่าถ้าข้าต้องการคำปรึกษาให้ถามเจ้าด้วย”

หน้าของพ่อเหมือนจะถามว่าผมยังจะปฏิเสธอีกไหม

“ดูจากที่ท่านแน่วแน่ขนาดนี้ ท่านคงคิดเรื่องให้ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่เจ้าล้มมังกรนั่น”

หรือก็คือเขาตัดสินใจให้ผมสืบตำแหน่งจากเขาตั้งแต่ตอนผมอายุ 12 ปี

“พี่ใหญ่กับพี่รองก็ล้มมังกรมาเหมือนกัน ทำไมถึงเป็นข้าล่ะ?”

สำหรับพ่อ เก่งเรื่องเวทมนตร์หรือมีการศึกษาเป็นแค่เรื่องรอง ถ้าให้เทียบ ก็เหมือนเขียนลงในรีซูเม่สมัครงานในบริษัทขนาดใหญ่ว่ามีปริญญาโททางประวัติศาสตร์เกาหลีหรือภาษาจีน มันเป็นความสำเร็จที่จืดจางจนไม่อาจทำให้เด่นล้ำไปกว่าผู้สมัครคนอื่นได้

“พี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าไม่ได้ล้มมันคนเดียว พวกเขามีพวกไปด้วยสองสามคน อีกอย่าง สมัยพี่ๆของเจ้าอายุสิบสอง อย่าว่าแต่มังกรเลย ปีศาจยังจับไม่ได้ แค่วิ่งหนีก็แทบแย่แล้ว ฮ่าๆๆ คิดแล้วขำ ฮ่าๆๆ!

พ่อหัวเราะพลางทุบโต๊ะปังๆ

จู่ๆผมก็เกิดมีอารมณ์ร่วมกับพวกพี่ชายที่โจมตีพ่อก่อนพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ ฉันควรจะโจมตีด้วยไหม?

ผมรู้สึกอยากจะโจมตีขึ้นมาเมื่อนึกถึงความทรงจำที่ถูกโยนลงรังมังกร แต่ ถ้าทำอย่างนั้นก็มีแต่ลงเอยด้วยการนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวันหลังจากถูกสัตว์ประหลาดกล้ามเนื้อคนนี้ฟัดไปมาอย่างตื่นเต้น

“ด้วยเหตุนี้เจ้าไปเมืองหลวงไม่ได้ เจ้าต้องรับตำแหน่งต่อจากข้า” พ่อสรุปหนักแน่นแล้วเสริมต่อ “อ้อ ตอนนี้ข้ายังหนุ่มแน่นและเจ้ายังเด็กเกินไป รอให้เจ้าโตกว่านี้ก่อนข้าจะส่งต่อตำแหน่งนี้ให้”

“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน”

ผมบอกลาพ่อด้วยรอยยิ้มแล้วออกจากห้องทำงาน

ระหว่างเดินกลับบ้าน ผมเห็นเด็กคนหนึ่งในลานว่าง เขาอายุราวสิบขวบ กำลังถือดาบฟันใส่ชายชราคนหนึ่งซึ่งคงเป็นปู่หรือตา ผู้เฒ่ารับดาบอย่างง่ายดายด้วยนิ้วที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีดาบ ดูเขาจะสนุกกับการเล่นตลกของหลาน

เชี่ย!

แบบนี้ผมก็กำลังจะกลายเป็นหัวหน้าเผ่าบ้าการต่อสู้น่ะสิ

หัวหน้าเผ่าไม่ใช่ตำแหน่งที่คนธรรมดาอย่างผมควรจะรับสืบทอด ถ้าเป็นไปได้ผมอยากออกจากหมู่บ้านด้วยรอยยิ้ม โชคร้ายที่มันช่วยไม่ได้แล้ว

ต้องใช้แผน B แล้วสิ

***

ดูมสโตน เบลด หัวหน้าเผ่าอีกาอันเป็นเผ่าหนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ หัวเราะขณะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ลูกชายคนสุดท้องของเขา เดนเบอร์ก เบลด ผู้กำลังจะถึงวัยเป็นผู้ใหญ่มาหาเขา

น่าเสียดาย ไม่เหมือนลูกชายคนอื่น เดนเบอร์กไม่ได้ลอบโจมตีหรือโจมตีเขา ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเรื่องน่าชื่นชมที่ลูกชายคนสุดท้องที่เขารักที่สุดมาเยี่ยมในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง

แต่ดูมสโตนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเดนเบอร์กบอกว่าอยากออกจากหมู่บ้าน โชคดี เขาพอใจที่เดนเบอร์กออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มเหมือนสื่อว่าลูกชายเข้าใจความรู้สึกของเขา

ที่จริงแล้ว ดูมสโตนวางแผนจะรอให้เดนเบอร์กอายุมากกว่านี้ก่อนจึงค่อยบอกเรื่องการสืบทอดตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาใกล้จะอายุสิบหกแล้ว บอกไปเลยคงไม่เป็นไร

ด้วยเหตุนี้เอง ดูมสโตนจึงประกาศกับครอบครัวตอนรับประทานอาหารมื้อค่ำ แม้ไม่ได้แสดงท่าทีออกมาแต่เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยกับคำตอบของครอบครัว โชคดี เขากังวลไปเอง

ลูกชายลูกสาวของเขาเห็นด้วยที่ให้เดนเบอร์กรับตำแหน่งต่อ ไม่นับเหล่าลูกสาว ลูกชายคนเล็กและคนรองที่ไม่สนใจตำแหน่งนี้ เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่ลูกชายคนโตก็เห็นด้วย

“เมื่อก่อนหน้านี้ข้าเห็นพ่อทำงานอยู่กับกองเอกสาร มันทำให้ข้าปวดหัว ให้น้องเล็กเป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยมไปและข้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม!

ดูมสโตนรู้สึกภูมิใจในลูกชายคนโต เขาล็อกคอและลูบหัวลูกชาย

“ลูกๆเอ๋ย มาให้ข้ากอด!

ดูมสโตนกางแขน เฮสเทีย ลูกสาวคนโตตะโกน “ทุกคนหนีไป!

ลูกชายสองคนและลูกสาวหนีไปทันที

ดูมสโตนพึมพำว่าเขาถูกทำร้ายจิตใจ และถามลูกชายคนโตที่ถูกล็อกคอหนีไปไหนไม่ได้ “เจ้าคิดอย่างนั้นเหมือนกันไหม?”

“แน่นอน! แต่พ่อ ท่านปล่อยข้าก่อน-” กัลลาฮาด ลูกชายคนโตขอร้องพลางทุบแขนเขาแต่ดูมสโตนไม่คิดจะปล่อย

“เดี๋ยวก่อน พ่อ? พ่อ!

เมื่อแผงอกดูมสโตนใกล้เข้ามาและแรงแขนของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ กัลลาฮาดตะโกนอย่างลนลานใส่พ่อของเขา

อื้ม พ่อก็รักเจ้า

***

“หัวหน้าหมู่บ้าน!

ดูมสโตนหยุดเหม่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อนเมื่อได้ยินคนเรียกเขา

พนักงานต้อนรับกำลังยืนข้างๆ เขากระซิบข้างหูขณะดูมสโตนเรียกสติกลับมา

“หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเชิญเหล่าผู้เฒ่ามาตามคำบอกของท่านแล้ว”

รู้ตัวอีกที ห้องก็เต็มไปด้วยชายชรากล้ามใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าผู้เฒ่า

“อา ขอโทษ ข้ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่”

“เห็นเจ้ารู้จักคิดด้วยข้าก็ภูมิใจ” ผู้เฒ่าเมอร์ปาซึ่งผู้เฒ่าคนเดียวในห้องที่ไม่มีกล้ามเป็นมัดๆ พูดหยอกล้อ

“พูดแบบนั้นใจร้ายจริงๆ ข้าก็เริ่มแก่แล้วและช่วงนี้ก็ตั้งใจทำงาน อีกอย่าง ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พูดจาให้เกียรติข้าด้วย”

“หนวกหู บอกมาเสียทีทำไมเรียกพวกข้ามาที่นี่ ดูจากไม่ได้เรียกแค่ข้าแต่เป็นผู้เฒ่าทุกคน เจ้าคงมีเรื่องสำคัญ”

ผู้เฒ่าเวเจอร์ที่ดูสุภาพที่สุดก็ถามอย่างสงสัย “ใช่แล้ว หัวหน้าเผ่า บอกมาสิ ท่านก็รู้ว่าคนเราพอแก่ตัวลงความอดทนก็น้อยตามไปด้วย”

“ฮ่าๆ หัวหน้าเผ่าเหรอ? เรียกข้าว่าหัวหน้าหมู่บ้านดีกว่าใช้ชื่อล้าสมัยนั่น”

เหล่าผู้เฒ่ายังคงเรียกเขาว่าหัวหน้าเผ่าเหมือนไม่รู้จักชื่ออื่น เมื่อการติดต่อซื้อขายกับจักรวรรดิเพิ่มขึ้น เฮสเทียจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อหัวหน้าเผ่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านฟังไม่น่าประทับใจนัก

ฟังคำแนะนำของเดนเบอร์ก ดูมสโตนกำลังคิดจะเปลี่ยนเป็นอะไรที่ฮึกเหิมกว่าเช่น “เงาไฟ”

“หัวหน้าเผ่าหรือหัวหน้าหมู่บ้าน เข้าเรื่องได้แล้ว”

ผู้เฒ่าเมอร์ปาบ่น ดูมโตนจึงพูดเสียงเรื่อยๆ “ข้าเรียกทุกคนมาเพราะข้าเลือกหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปได้แล้ว”

เหล่าผู้เฒ่าเงียบก่อนแล้วเริ่มคุยกันเอง

“เจ้าเจ็บป่วยตรงไหน? เป็นโรคอะไรที่ข้าไม่รู้หรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินคำถามของผู้เฒ่าเมอร์ปา ผู้เฒ่าคนอื่นมองดูมสโตนอย่างเป็นห่วง

“เปล่า ข้าสบายดี”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคนแข็งแรงดีจึงพูดเรื่องหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไป! ทำไมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา!

เหล่าผู้เฒ่าส่งเสียงตะโกน เสียงในห้องดังขึ้นเรื่อยๆ

“ทุกคนหุบปาก!” ผู้เฒ่าเมอร์ปาระเบิดและในห้องเงียบลงทันใด

เมื่อความเงียบคืนสู่ห้อง ผู้เฒ่าเมอร์ปาจ้องตาดูมสโตนและถาม “เอาล่ะ เราข้ามเรื่องทำไมคนแข็งแรงดีอย่างเจ้าจึงคิดถึงตำแหน่งผู้สืบทอดแล้วไปก่อน ใครเป็นผู้สืบทอด? ลูกคนโตของเจ้า? หรือคนรอง?”

ดูมสโตนส่ายศีรษะ “คนสุดท้อง”

เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นอีก ผู้เฒ่าเมอร์ปาเหลือบตามองเป็นสัญญาณให้พวกเขาเงียบ

ดูมสโตนมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างจินตนาการถึงอนาคตของเขา

ถึงแม้ผู้เฒ่าทุกคนยังคงเสียงดังและกระฉับกระเฉง ความชราทำให้กล้ามเนื้อพวกเขาอ่อนแรงและพลังเสื่อมถอยลง ผู้เฒ่าเมอร์ปาในฐานะเป็นนักเวทกลับเป็นข้อยกเว้นหนึ่งเดียวเพราะพลังเวทของเขาเพิ่มตามอายุ

สมัยเขายังหนุ่ม คนอื่นดูถูกผู้เฒ่าเมอร์ปาที่เรียนเวทมนตร์แทนที่จะเรียนดาบหรือศิลปะการต่อสู้ แต่คนเหล่านั้นกลายเป็นอ่อนแอกว่าผู้เฒ่าเมอร์ปาเมื่อแก่ตัวลงและผ่านช่วงวัยกลางคนไป

ขณะที่ดูมสโตนกำลังคิดว่าจะฝึกเวทมนตร์จากเดนเบอร์กดีไหมอยู่นั้น ผู้เฒ่าเมอร์ปาก็พูดขึ้น “ลูกชายคนสุดท้องของเจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไปก็ดี เดนฉลาดหลักแหลมไม่เหมือนเจ้า อีกอย่าง ลูกชายคนสุดท้องเป็นหัวหน้าเผ่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ต่างจากโลกภายนอกที่บัลลังก์จะส่งมอบให้ลูกชายคนโต หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ใช่สิ หัวหน้าเผ่าคนก่อนๆถูกเลือกตามความแข็งแกร่ง ดังนั้นลูกชายคนสุดท้องก็มีโอกาสเป็นหัวหน้าเผ่าเช่นกัน

บางครั้งหัวหน้าเผ่าเป็นผู้หญิงก็ด้วยเหตุนี้

“แต่ทำไมเลือกลูกคนสุดท้องล่ะ?”

ผู้เฒ่าเมอร์ปาไม่ได้ถามว่าทำไมลูกคนสุดท้องถึงถูกเลือกแทนที่จะเป็นลูกชายคนแรก แต่เพราะดูมสโตนมองเวทมนตร์เป็นแค่กลหลอกเด็ก หรือก็คือเขากำลังถามดูมสโตนว่าทำไมจึงเลือกเดนเบอร์กที่เก่งด้านเวทมนตร์และถามว่าเดนเบอร์กแข็งแกร่งกว่าพี่น้องคนอื่นหรือ

คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว

“เพราะเขาแข็งแกร่งที่สุด จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?”

 

 

สารบัญ                                                  บทที่ 3



---

โฮคาเงะก็มา XD