วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 182


บทที่ 182 – มังกรกระดูก (2)

กลัว

ตัวตนที่เคยเป็นแต่ผู้ล่า รู้สึกถึงคำที่มีแต่เหยื่อของพวกมันเท่านั้นที่รู้จัก

เสียงคำรามขู่ขวัญกลายเป็นเหมือนเสียงคร่ำครวญ

มิโนทอร์หลายพันตัววิ่งไปมาอย่างสับสน

ต่อหน้าสิ่งอันน่าพิศวงจากห้วงอวกาศ พวกมันเป็นเพียงฝุ่นผง

ฝุ่นผงอันเล็กจ้อย...

มันเป็นเพียงอุกกาบาตลูกเดียว แต่เมื่อมันกระแทกกับพื้นโลก พลังงานและคลื่นกระแทกมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมา มันเปลี่ยนทุกอย่างเป็นฝุ่นละออง

คลื่นที่ถูกปล่อยออกมากลืนกินกระทั่งมอนสเตอร์ที่กำลังหนีไปตัวห่างที่สุด

หลังการกระแทกของเวททำลายไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยซากศพ ที่เหลือมีเพียงรอยแยกกว้างใหญ่

ตัวการเบื้องหลังการโจมตีนี้รู้สึกถึงแรกกระแทกแม้ว่าจะอยู่ในบาเรีย

บาเรียของเจนิสเริ่มเลือนหายไปก่อนฝุ่นจะจางลง

อูนอนเตะแต่จุดเดียวของบาเรีย มันพังทลายลงทันที

“รีบทำไม”

อูนอนขมวดคิ้วกับคำพูดของวูจิน

“ดูเหมือนข้าจะเสียแต้มที่สำคัญไปเปล่าๆแล้ว”

นำกองทัพขนาดใหญ่มาล่าผู้ไม่ตายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เหรอ? บางทีอาจจะดีกว่าถ้าตั้งทีมเคลียร์ดันเจี้ยนของผู้ไม่ตายไปเรื่อยๆแบบเซลรัค

“แต้มของนาย...”

เขาแพ้ไม่ได้เสียแค่แต้มเมื่อกองทัพถูกกวาดล้าง มันยังมอบแหล่งพลังชีวิตใหม่ให้วูจิน

“นายไม่รู้สึกเหรอ?”

เขากางแขนออก

“อากาศร้อนระอุและเต็มไปด้วยฝุ่นผง

“...”

อูนอนถลึงตาใส่วูจิน

เขาอึ้งกับเรื่องที่กองทัพถูกกำจัดด้วยเวทบทเดียว แต่ผู้ไม่ตายก็แย่เหมือนกัน

ตอนนี้เขาแค่ต้องถ่วงเวลาผู้ไม่ตายไว้อีกหน่อย

มังกรฟาทูธกับเลียคงไปถึงอาณานิคมของผู้ไม่ตายในอีกไม่นาน

“ดูเหมือนเจ้าก็เสียทหารไปหมดเช่นกัน”

“เหรอ? ฉันแน่ใจว่าไม่ใช่นะ”

ผู้ไม่ตายกำลังยั่วให้เขาอิจฉาเหรอ?

เป็นกลอุบายที่ไม่เข้าท่าเลย

ฝุ่นลอยแบบผิดปกติ

กระดูกมอนสเตอร์นับพันที่กลายเป็นฝุ่นกำลังรวมตัวกัน

“...”

อูนอนขมวดคิ้ว

เขารู้ว่าอารมณ์ของผู้ไม่ตายไม่เปลี่ยนไปนัก ปฏิกิริยาของเขาจึงดูแปลกๆ

ชิราโอถลึงตาใส่วูจิน

“ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะยุ่งกับการสู้กับพวกเรา”

กองทัพของผู้ไม่ตายยังอยู่ในสภาพดี เขาแค่ต้องเรียกพวกมันกลับมาใหม่

แต่อูนอนและชิราโอเชื่อว่าพวกเขาสามารถถ่วงเวลาผู้ไม่ตายได้อีกหน่อย

“ฉันไม่ใช่คนที่สู้กับพวกนาย”

“...”

ก่อนราชินีฮาร์ปี้จะได้ตอบ เถ้ากระดูกก็เริ่มกลายเป็นตัวเป็นตน

กระดูกสันหลังที่ยาวตั้งแต่หัวถึงหางและซี่โครงเริ่มก่อตัวขึ้น แค่มองโครงสร้างกระดูกก็บอกได้ว่ามันเคยเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา

ปีกของมันมีแต่กระดูกและถูกเกลาคมจนสามารถเป็นอาวุธอย่างดี และตรงหัวขนาดใหญ่ของมันมีเบ้ากลวงสองเบ้า แสงสีแดงกระพริบและเริ่มลุกไหม้เป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ในเบ้านั้น

[โอ!]

มันคือตัวปัญหาตัวเอ้ของกองทัพผีดิบ รงรงส่งเสียงคำรามยาว

มันเหวี่ยงคอยาว หัวขนาดใหญ่หันมาทางวูจิน

[เจ้าเรียกข้ามา ปรารถนาอะไร?]

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย ถ้าบิบิอยู่คงถูไถแก้มกับรงรงอย่างตื่นเต้นมาก

“ฆ่าพวกมันแล้วตามฉันมา”

[โอ]

รงรงหันหัวกลับ สายตามันมองชิราโอและอูนอน

[ข้ารับฟังคำปรารถนาของเจ้าแล้ว]

“ไว้เดี๋ยวเจอกัน”

วูจินเรียกชิงชิงขึ้นขี่

ฮี้

ชิงชิงควบขึ้นท้องฟ้า เจนิสใช้เวทบินตามพวกเขา

[เจ้าถุงกระดูกนั่น ดูเหมือนจะยังความจำเสื่อมไม่หาย ก๊ากฮ่าๆ]

“ก็ดีแล้ว”

วูจินกระตุกยิ้ม รงรงเป็นมังกรตัวแรก มันอยู่มานานจนหนีไม่พ้นคำสาปของความขี้หลงขี้ลืม

วูจินไม่ได้เจอรงรงมานานแล้ว เขาแค่ดีใจที่ได้เจอกันอีก

เมื่อม้าปีศาจและลิชหนีไปจากสนามรบ ชิราโอพยายามจะบินตามพวกเขาไป

แกร๊ก!

[จะไปไหนหรือเจ้านกน้อย?]

“กรี๊ด ปล่อยข้านะ!

ชิราโอดิ้นแต่เธออยู่ในกำมือของรงรง มันยกเธอใส่ปาก

อูนอนเตะมันเต็มแรง แต่กระดูกมังกรแข็งเกินไป

กรุบ

รงรงกัดราชินีฮาร์ปี้หนึ่งคำ จากนั้นหันไปเหยียบสิ่งที่กำลังเตะเขาอยู่

แต่อูนอนฝึกฝนร่างกายจนถึงจุดสูงสุด การเคลื่อนไหวของเขาจึงดีเยี่ยม ไม่มีทางถูกรงรงจับได้ง่ายๆ

รงรงถอนหายใจอย่างโมโหแล้วห่อตัวลง ปีกกระดูกห่อตัวมัน มังกรขดตัวเหมือนกำลังหลับ อูนอนมองมังกรอย่างเหลือเชื่อ

“...อะไรของมัน...”

อูนอนเกลียดทุกอย่างของผู้ไม่ตาย เขาเกลียดอสูรของผู้ไม่ตาย

รงรงไม่มีทีท่าจะสู้ต่อ เขาจึงหันไปทางวูจินและลิชที่กำลังบินห่างไป

ฉึก!

“...”

มันเป็นแค่ครู่เดียว แต่อูนอนละสายตาจากรงรง กระดูกยาวที่เหมือนตะขอยื่นออกมาจากท้องของอูนอน

รงรงกัดอูนอนที่ติดอยู่ตรงเล็บ เขี้ยวคมของมันตัดร่างกับศีรษะของเขาออก

รงรงเลียปากเมื่ออูนอนกลายเป็นแสงสีเทาหายไป เขามองวูจินที่กำลังบินจากไปอีกครั้ง

[ความปรารถนาของเจ้าสำเร็จผลแล้ว]

ตึง ตึง

ไม่นานมันก็ออกวิ่งตามวูจิน มันดูเก้งก้างเมื่อวิ่งสี่เท้าแต่มันตัวใหญ่ภาพที่เห็นน่ากลัวมากกว่าตลก

[แย่จัง]

รงรงกระพือปีกกระดูก

ปีกของมันเสียความสามารถในการบิน มันจึงดูน่าสงสาร

***

ฟาทูธและเลีย

พวกมันเหมือนมังกรทองราชาคุยที่ปรากฏตัวบนโลก พวกมันเป็นลอร์ดมิติจากเผ่าพันธุ์มังกร

ในหมู่มังกร มีเพียงฟาทูธและเลียที่เป็นเกรทลอร์ด ที่ครอบครองรหัส พวกมันชื่นชอบการปกครองสิ่งมีชีวิตอื่น และมันชอบรับสินบนมากกว่าปล้นชิงมา พวกมันออกจากดันเจี้ยนของตัวเอง เป้าหมายคืออาณานิคมของวูจิน...

“ทราชคู่ควรกับการถูกกลัวถึงขั้นนี้เลยเหรอ?”

เกรทลอร์ดกำลังรวบรวมพลังกันโจมตี

เจนิสและวูจินเห็นยอดแหลมของภูเขาเซารุส และยังเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังบินเข้าใกล้ภูเขานั้น

พวกมันตัวใหญ่จนวูจินสามารถเห็นได้จากไกลๆ

[พวกมังกรไร้ประโยชน์อีกแล้วเรอะ?]

เจนิสดูเสียดายหน่อยๆ ร่างของลอร์ดมิติหลังตายจะหายไป ดังนั้นเจนิสจึงไม่ได้อะไรนักจากการฆ่าพวกมัน

มันไม่ใช่นักล่ามังกร แต่ศพมังกรเป็นวัตถุดิบอย่างดี

“จะมังกรหรือคนก็ช่างสิ”

พวกมันเป็นเกรทลอร์ดของทราห์เน็ต

เรื่องที่พวกมันต้องตายไม่เปลี่ยน

[ไม่ดีแล้ว]

เจนิสรู้สึกถึงแรงสั่นจากพลังเวทเตือนถึงอันตราย มังกรโก่งตัวเหมือนธนู ท้องของพวกมันพองขึ้น ดูเหมือนมันกำลังจะพ่นลมหายใจมังกรจากกลางอากาศ

พวกเขามาช้าไปแล้ว

“...ใช้บลิงค์พาพวกเราไปเหนือหัวพวกมันเลยสิ”

มันคือเวทเทเลพอร์ทระยะสั้น สามารถเคลื่อนที่ไปยังที่ๆสายตามองเห็นได้ ระยะทางขึ้นอยู่กับพลังเวทของผู้ใช้

วูจินมีนักเวทที่เก่งที่สุดอยู่ข้างกาย แต่เจนิสก็เป็นนักเวทที่แย่ที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน

[เป็นความคิดที่ดี]

วูจินกำลังนั่งบนหลังชิงชิง เจนิสวางมือบนไหล่วูจิน

“เร็ว!

[ยังไม่ถึงระยะ]

“...”

สีหน้าวูจินร้อนรน

ท้องบวมของพวกมังกรดูใหญ่มาก

“ถึงยัง?”

[อีกนิดนึง...]

มังกรตัวที่ช้ากว่าอีกตัวก้มหัวมันลง ไฟสีแดงสว่างจากปากของมันที่อ้ากว้าง

หัวของมันหันไปทางสัญลักษณ์ของอาณานิคม ลมหายใจมังกรยิงใส่ต้นไม้โลกเหมือนเลเซอร์ วูจินใจหายวูบ

ถ้าเขาเสียประตู เขาจะกลับโลกไม่ได้ เขาสามารถหาดันเจี้ยนอื่นได้แต่ต้องรอการประสาน...

“เร็วหน่อย!

เจนิสและวูจินหายตัวไปพร้อมกับเสียงตะโกนของวูจิน แต่ทว่า พวกเขาไปโผล่เหนือหัวมังกร

วูจินร่วงลงพลางดึงอาวุธนักรบออกมา เปลี่ยนมันเป็นค้อนและฟาดลงบนหัวมังกรแดง เลีย

“ป้องกันไว้!

วูจินสั่งอย่างลนลาน

เขาหวังว่าบาเรียของเจนิสจะปกป้องต้นไม้โลกได้...

[ไม่ทันแล้ว...]

เจนิสบลิงค์เป็นระยะทางกว้างจึงเสียพลังเวทไปมาก

เจนิสพยายามรวบรวมพลังเวท แต่ไม่แน่ใจว่าจะป้องกันการโจมตีของมังกรได้

ในอีกด้านหนึ่ง เลียไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เพราะมันกำลังปล่อยลมหายใจ วูจินฟาดค้อนด้วยความโกรธ หัวมันแบะออก

เลียคำรามพร้อมกับร่วงกระแทกพื้น

“...”

วูจินมองต้นไม้โลก ถ้าอาณานิคมของเขาถูกลมหายใจเข้าตรงๆมันจะไหม้ไฟ...

แต่มันไม่

[มันคือปาฏิหาริย์]

สหพันธ์ป้องกันมันไว้ได้

วูจินถอนหายใจอย่างโล่งใจ เขาดึงขวานที่ฝังในหัวเลียออก

“ล้มฟาทูธ”

[เรื่องนั้นไม่ยาก]

เจนิสเทพลังเวทที่รวบรวมมาใส่มังกรฟาทูธ

***

อุกกาบาตตกในที่ห่าง แต่แรงสะเทือนหลังตกรู้สึกได้ถึงเขาเซารุส กระทั่งมอนสเตอร์ที่โจมตีอาณานิคมไม่มีเหน็ดเหนื่อยยังชะงักไป

“นั่นเจนิส! ครูผมอยู่ที่นี่”

ครูเขาเป็นคนเดียวที่สามารถใช้การรั้งคาถาของเวทเรียกอุกกาบาตได้ ซุงกูตะโกนอย่างดีใจ กราแฮมตาโต

“ท่านบอกว่าครูของท่านตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“เขาตายแล้ว แต่ยังแข็งแรงมาก”

คำว่าตายระหว่างที่โลกกับอัลเฟนความหมายไม่เหมือนกันเหรอ? กราแฮมขมวดคิ้วขณะที่เจมินหัวเราะอยู่ข้างๆ

ความเครียดความกดดันที่พวกเขารู้สึกมันหายไปพร้อมกับการมาถึงของวูจิน มันเหมือนกับความรับผิดชอบที่กดดันพวกเขาถูกยกออก

“เจนิสเป็นลิช”

“ลิช?”

คิ้วกราแฮมกระตุก

ถ้าเขาพูดถึงลิชก็เข้าใจได้ถ้าบอกว่าครูของเขาตายแล้ว...

“ล...ลิช?”

กราแฮมสะดุ้ง

ลิชที่เดินทางกับผู้ไม่ตายมีเพียงตนเดียว

“ครู...ครูของท่านคือจ้าวแห่งโรคระบาด?”

เขาเป็นนักเวทที่เลวร้ายที่สุด เข้มแข็งที่สุดและดีที่สุด

ตัวตนของเขาเองคือหายนะ

“โอ้...”

ซุงกูยิ้มกว้างให้กราแฮมที่กำลังช็อก

“แฮะๆ ดูเหมือนที่นี่ครูจะดังพอดู”

เขามีชื่อเสียง ชื่อเสียงว่าชั่ว

“พอเขามาถึง ผมจะแนะนำเขาให้รู้จัก”

“...”

หนีดีไหมนะ?

ขณะที่กราแฮมกำลังห่วงไม่เข้าเรื่อง เจมินชี้ไปทางท้องฟ้า

“นั่นลูกพี่หรือเปล่า?”

“อืม ใช่”

ซุงกูพยักหน้าเมื่อเห็นวูจินขี่ชิงชิงวิ่งมาทางท้องฟ้า

ลิชกำลังใช้เวทบินตามหลังวูจินมา ซุงกูเคยเห็นเจนิสบินเขาจึงรู้ว่านั่นคือเจนิส

“เราแค่ต้องอดทนอีกหน่อย”

คังวูจินกลับมาแล้ว ในเมื่ออาณานิคมยังรอดอยู่ การฟื้นฟูปราสาทที่ถูกทำลายก็เป็นเรื่องเล็ก

แถมเขายังสามารถเติมกำลังทหารได้ มอนสเตอร์นอกกำแพงไม่ใช่ปัญหาอีก

รวมถึงมังกรสองตัวบนฟ้าด้วย

“เอ๋?”

“เอ๊ย?”

พวกเขามองท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจแล้วต้องตกใจ

“ลมหายใจมังกร!

คนแรกที่ตั้งสติได้คือจอมเวทกราแฮม เขากางบาเรีย แต่มันพังไปอย่างง่ายดาย

ลมหายใจมังกรมุ่งหน้าไปทางต้นไม้โลก

“...”

ซุงกูวิ่ง

ถ้าพวกเขาเสียที่นี่ไปเท่ากับไม่อาจกลับโลกได้

ฉันจะทำได้ไหม?

เขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้ ไม่สิ มั่นใจอยู่นิดหน่อย

คงไหวแหละ

ฟู่วๆ

ร่างเขาติดไฟ ซุงกูไปยืนตรงหน้าต้นไม้โลก เมื่อลมหายใจมาตรงหน้า ซุงกูที่กำลังมีเปลวไฟลุกท่วมกางแขนออก



สารบัญ                                    บทที่ 183



วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 181


บทที่ 181 – มังกรกระดูก


“อยากให้ฉันเป็นเทพ?”
เซลรัคเลิกคิ้วเมื่อวูจินถาม ผู้ไม่ตายหัวดื้อไม่มีทางถูกใครควบคุมได้ หรือผู้ไม่ตายจะถูกเขาจูงใจแล้ว?
“ใช่! แทนที่จะปล่อยให้ผู้อื่นแย่งดาวบ้านเกิดของเจ้าไป ปกป้องมันด้วยวิธีนี้ไม่ดีกว่าหรือ?”
ปกป้อง หรือจะเรียกว่าปกครองดี เขาจะปกครองโลกแทนที่จะปล่อยให้คนอื่นปกครอง...
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงคิดว่าพวกเราเป็นเทพ”
“หมายความว่า? เจ้าตกลงหยุดทำสงครามใช่ไหม?”
เซลรัคมีสีหน้าคาดหวังขึ้นมาจางๆ วูจินหัวเราะหนักขึ้น
“ไอ้ปัญญาอ่อนพูดแต่เรื่องโง่ๆ”
“...”
“มาสู้กับฉัน ไอ้ปัญญาอ่อน”
เซลรัคคิ้วกระตุก
“กล้าดียังไง”
ปีกของเซลรัคกางออกจากด้านหลังและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเกิน 10 เมตร
ไม่แค่ปีก ร่างของเซลรัคก็ใหญ่ขึ้นด้วย มันใหญ่กว่าคนปกติสามเท่า
“กล้าดียังไงมาสั่งข้า!
เซลรัคกระทืบเท้า
ตึง
พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นลอยตลบ
กองทัพที่เรียงแถวอยู่ก็เตรียมบุกเช่นกัน
“เจ้าตามหาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ยุคของเจ้าจะไม่มีวันมาถึง”
เทพแห่งการทำลาย... เจ้าบ้านี่บ้าไปแล้ว
เซลรัคยื่นมือออก อาวุธปรากฏบนมือเขา มันเป็นหอกสายฟ้า ประกายไฟสีขาววิ่งไปทั่วหอกส่งเสียงข่มขู่
ฟึ่บ
เซลรัคเห็นเข็มเล็กๆพุ่งใส่ตา
เขาเหวี่ยงหอกและปัดมันออก มันคือหอกกระดูกที่วูจินขว้างมา
“ไอ้เวร!
เขาระเบิดคำพูดพลางหุบปีก
ใหญ่เท่าไททันแต่รวดเร็วเท่าเอลฟ์
ในหมู่เกรทลอร์ดของทราห์เน็ต เขาเป็นกลุ่มนำในด้านการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้น เซลรัคสู้กับผู้ไม่ตายสามครั้งโดยไม่มีผลแพ้ชนะ การต่อสู้จบโดยทั้งสองฝ่ายต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร
ผู้ไม่ตายชุบชีวิตมอนสเตอร์ที่เขาฆ่าไปขึ้นมา และลอร์ดมิติต้องใช้แต้มเติมจำนวนทหาร
เพราะอย่างนี้จึงต้องฆ่าผู้ไม่ตายให้ได้ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เซลรัคไม่เคยสู้ในการต่อสู้ที่เขาไม่ได้ประโยชน์
แต่ตอนนี้เขามีเหตุผลต้องฆ่าไอ้เวรนี่ให้ได้แม้ต้องเสียแต้ม
ถ้าเขาใช้แต้มไม่ยั้ง ไม่มีเหตุผลที่เขาจะเอาชนะมันไม่ได้
กองทัพผีดิบจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ไม่ตายไม่ได้เก่งกาจนัก
เซลรัคนำกองทัพมอนสเตอร์นับหมื่นมา ระหว่างกองทัพผีดิบยุ่งอยู่กับการสู้กับกองทัพของเขา เซลรัคแค่ต้องฆ่าผู้ไม่ตาย
ผู้ไม่ตายเป็นผู้อัญเชิญ ถ้าเขาตายไป เหล่าผีดิบก็เป็นแค่เหยื่อ
“ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของข้า!
นี่ไม่ใช่การรบที่เขาต้องชั่งน้ำหนักได้เปรียบเสียเปรียบ
เขาต้องทุ่มเททั้งหมดที่มีในการต่อสู้นี้ เขาต้องฉีกผู้ไม่ตายเป็นชิ้นๆ
“จะหนีก็สายไปแล้ว!
“พูดอะไรน่ะ ไอ้ปัญญาอ่อน?”
“...!
คังวูจินมาปรากฏข้างหูเขา เซลรัคเกือบเหวี่ยงหอกสายฟ้าป้องกันดาบที่ฟันลงมาไม่ทัน
ประกายไฟลอยไปในอากาศและกระจายออกอย่างข่มขวัญ
“ไอ้เลว!
เซลรัครู้ตัวอีกครั้งเมื่อผู้ไม่ตายฝังดาบลงในขาของเซลรัค
มันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ซากศพทั่วพื้นลุกขึ้นพรวดและวิ่งมายึดขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
“ผีดิบต่ำต้อยพวกนี้กล้าโจมตีข้าได้ยังไง!
เซลรัคกางปีกแล้วบินขึ้นฟ้า เขาพยายามสะบัดเหล่าผีดิบออกไปแต่โชคร้ายที่มันระเบิดก่อน ขาของเซลรัคหายไปไม่เหลือ
ธนูแสงทะลุปีกของเขา เซลรัคลอยคว้างก่อนจะร่วงกระแทกพื้น
“อั่ก”
น่าขายหน้านัก!
ถ้าเพียงแต่เขาจะมีรหัสหลักของอัลเฟน...
เขาจะสามารถรักษาแผลเล็กน้อยพวกนี้ทันที เขาจะปรับแต่งทุกอย่างในดาวนี้ได้
คังวูจินเดินไปด้านศีรษะของเซลรัค อาวุธนักรบเปลี่ยนเป็นขวาน
“คราวนี้นายจะได้มองโลกแบบครึ่งๆล่ะ”
“...”
เซลรัคถลึงตาใส่วูจินที่ยกขวานขึ้น
“ไอ้เลว เจ้าปกปิดพลังของตัวเองมาตลอดหรือ?”
ไม่ว่าจะมองยังไงนี่ก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของเนโครแมนเซอร์ เขาเป็นนักรบ?
วูจินยิ้ม
“โง่”
ขวานแบะศีรษะเซลรัคเป็นสองส่วน ร่างเขาเปลี่ยนเป็นแสงสีเทา เซลรัคตายแล้วแต่กองทัพนับหมื่นยังอยู่
ผู้บัญชาการตายไปแล้วแต่มอนสเตอร์ไม่หวั่นไหว มันไม่หนีแต่โจมตีใส่วูจิน พวกมันมีจิตสังหารเต็มเปี่ยม
เพราะเหตุนี้ลอร์ดมิติจึงใช้มอนสเตอร์ ถ้าได้รับคำสั่ง พวกมันจะโจมตีศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว วูจินต้อนรับพวกมันอย่างยินดี
“มาเลย เครื่องสังเวยของฉัน”
วันที่อสูรทั้งหมดของเขาจะมารวมกันอยู่ไม่ไกลเกินไปแล้ว
***
หลังยิงลูกบอลไฟไปหลายลูกแล้วซุงกูก็ลงมาจากเครื่องขยายพลังเวท
“อุ๊บ”
ซุงกูเซ โดเจมินรีบช่วยประคองเขา
“พี่ไม่เป็นไรนะ?”
“อืม”
ซุงกูดูไม่สบาย แต่เขาพยายามยิ้มให้เจมิน
กราแฮมดูประหลาดใจเมื่อเห็นซุงกูที่มีหน้าซีด
“กรุณาทำให้พลังเวทของท่านสงบลง”
“หา?”
“พลังเวทของท่านกำลังคลุ้มคลั่ง รีบมาตรงนี้!
ซุงกูได้กราแฮมช่วย เขานั่งลงและพยายามสงบพลังเวทในร่าง กราแฮมเดาะลิ้น
“ชิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่ใช่ราชาภูติ”
“...?”
เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วจนซุงกูไม่รู้จะตอบยังไง
“ข้าสงสัยจริงๆว่าใครสอนเวทให้ท่าน”
จะบอกว่าเรียนมาจากวูจินดีไหม? หรือบอกว่าเรียนจากหนังสือเพราะเขาได้ทักษะมาจากตำราเวท...
ซุงกูกำลังคิดว่าจะบอกยังไงดีขณะที่กราแฮมยังดุเขาอย่างสง่างาม
“คนผู้นั้นไม่มีสิทธิ์เรียกตัวเองเป็นนักเวท ท่านต้องประสานกับเวทของท่าน แต่ครูของท่านสอนให้แต่ไฟ หากสมดุลของท่านเสียไปแม้แต่นิดเดียวร่างจะถูกเผาเป็นถ่าน”
“เอ่อ”
ตอบยังไงดี จะบอกว่าเขาเรียนด้วยตัวเองดีไหมนะ? หรือเล่าเรื่องลิชให้กราแฮมฟัง? คนนั้นสมควรถูกด่าที่สุด
“ตอนนี้ท่านไม่เป็นไรแล้ว ให้ใช้เวทเสริมร่างกายที่อ่อนแอลงของท่าน”
“อ๊ะ ขอบคุณ”
ซุงกูก้มหัวขอบคุณ กราแฮมส่ายศีรษะ
คนๆนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นจอมเวท แต่เขากลับเป็นนักเวทที่ใช้ได้แต่ไฟ น่าเสียดาย
“ตกลงใครเป็นครูของท่าน? นักเวทบนโลกใช้เวทแบบท่านกันหมดเหรอ?”
“อา... คนที่ผมเรียกเป็นครูมาจากอัลเฟน”
“หา? ใคร? ข้าอยากคุยกับเขาทันที”
กราแฮมแปลกใจและพูดอย่างกล้าหาญ ซุงกูหัวเราะเก้อๆ
“ฮะๆ เขาบอกว่าชื่อเจนิส... แต่เขาตายไปแล้ว”
กราแฮมมีสีหน้าเก้อเขินพลางกระแอม
“แฮ่ม ขออภัยที่ข้าพูดไม่ดีกับคนที่ตายไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร ไว้ผมจะแนะนำให้รู้จักกันนะ”
“...”
เขาควรจะรับคำนี้อย่างไร?
ซุงกูบอกว่าจะให้กราแฮมเจอกับคนที่ตายไปแล้ว ซุงกูกำลังบอกว่าจะฆ่าเขาเหรอ?
กราแฮมไม่แน่ใจว่านี่คือล้อเล่นหรือคำขู่ฆ่า กราแฮมทำหน้าพิลึก
เขาเหมือนภูติไฟแต่ที่จริงคือนักเวทครึ่งๆกลางๆ เขาจะทำอย่างไรกับนักเวทจากโลกคนนี้ดี?
ระหว่างกราแฮมกำลังคิดไม่ตก โดเจมินตะโกนขึ้นมา
“มาแล้ว! พี่วูจินอยู่ที่นี่”
“หา? ไหน?”
ซุงกูมีพลังขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นมองหาวูจิน
แต่ว่าคนเดียวที่คุยกับลอร์ดมิติได้คือข้ารับใช้โดเจมิน
“เขาบอกว่าอีกนิดก็จะถึงแล้ว”
“ฮ้า มันกำลังจะจบแล้ว”
ซุงกูพยายามไม่แสดงออกแต่ข้างในเขาเหนื่อยมาก ซุงกูเริ่มหายใจคล่องขึ้นแต่กราแฮมส่ายศีรษะขณะมองลงไปที่อาณานิคม
“มันจบแล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“ชีวิตเรามาถึงที่สุดแล้ว”
“อะไร?”
ซุงกูมองไปยังที่ๆกราแฮมชี้
สิ่งมีชีวิตสองตัวแสดงตัวจากที่ไกลๆ
มังกรสองตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา หนึ่งแดงหนึ่งเหลือง
“บาเรียคุณทำอะไรไม่ได้เหรอ?”
“บาเรียของข้าป้องกันลมหายใจมังกรไม่ได้”
“ฮะๆ”
ซุงกูหวังให้วูจินมาถึงก่อนมังกรจะพ่นลมหายใจออกมา
***
วูจินถอนหายใจเมื่อเห็นอูนอนกับชิราโอขวางทางเขา
“พวกนายมาสู้กับฉันทีเดียวพร้อมกันไม่ได้เหรอ? ทำไมต้องผลัดกันมาแบบนี้?”
“ไม่รู้สิ”
อูนอนดูเหมือนชาวเอเชีย ถ้าเขาบอกว่าเป็นคนเกาหลีก็น่าเชื่อ เขาสวมผ้าป่านบางเหมือนคนโบราณ มันทำให้วูจินรู้สึกแปลกๆ
“เอาเหอะ รีบมาสู้กับฉันสิ”
ถ้าผ่านพวกนี้ไปอาณานิคมก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
จะว่าไปวูจินก็โชคดีที่ลอร์ดมิติมาหาเขาแทนที่จะโจมตีอาณานิคมของเขา
เผชิญหน้ากับกองทัพมอนสเตอร์เป็นเรื่องลำบาก แต่เขาคิดว่าสหพันธ์จะต้านทานไว้ได้จนกว่าเขาจะไปถึงที่นั่น
“จะรีบไปทำไม?”
ท่าทางเอ้อระเหยของอูนอนทำให้วูจินหงุดหงิด
“เป็นห่วงสหายร่วมรบเหรอ?”
“...”
“ข้าไม่มีมัน ความสามารถในการเป็นห่วงคนอื่น”
เขาอยู่นานมานานเกินไปจนไม่อาจรู้สึกแบบนั้นได้แล้ว
อูนอนหัวเราะเสียงปร่าพลางมองวูจิน
“ฟาทูกับเลียไปทางอาณานิคมของเจ้าแล้ว”
“กิ้งก่าพวกนั้นนะ?”
มังกรถือว่าทรงพลังถ้าเทียบกับมนุษย์ แต่ไม่สูงส่งนักในกลุ่มลอร์ด
บางทีอาจเป็นเพราะลอร์ดมนุษย์ทำสงครามมิติได้ดีกว่า ในกลุ่มเกรทลอร์ดของทราห์เน็ตมีที่เป็นมนุษย์สูงผิดปกติ
ในบันทึกโบราณจะพบว่ามนุษย์สร้างประเทศ พวกเขามีพรสวรรค์ด้านปกครองดินแดน
มังกรเป็นผู้นำที่แย่
พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างความกลัวและการทำลายมากกว่าปกครอง
มังกรพวกนั้นเหมือนจะเป็นบัลลังก์ที่ 6 กับ 9 ใช่ไหมนะ?
ถ้าพวกมันกำลังไปทางอาณานิคมของเขา...
“ต่อให้เจ้าไปตอนนี้ ไปถึงที่นั่นก็ต้องใช้เวลา 10 นาที พอให้พวกมันทำลายอาณานิคมจนราบคาบ”
ต่อให้ไปตอนนี้คงแทบไม่ทัน ไม่สิอาจจะสายเกินไป
“หืม เจ้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะล้มข้าได้?”
อูนอน
เขาไปถึงขั้นสูงสุดในทักษะเกี่ยวกับร่างกาย อูนอนเป็นศัตรูแข็งแกร่งแม้วูจินจะมีอัศวินมรณะช่วย ยิ่งกว่านั้นอูนอนยังไม่ได้มาคนเดียว เขามีกองทัพมิโนทอร์มาด้วย
“นั่นคือสีหน้าร้อนรนใช่ไหม?”
นี่คือเป้าหมายของเขาเหรอ?
ใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบขึ้นหน่อย?
ไม่เหมือนท่าทางตามสบายที่แสดงออก ดูเหมือนเขาจะเตรียมตัวมาอย่างรอบคอบ น่ารักดี
“เฮ้อ”
วูจินส่ายหน้า
“อืม เท่านี้ก็น่าจะได้”
“...หมายความว่ายังไง?”
“ฉันยังขาดอีก 5%
“...?”
“เดี๋ยวมันก็มาแล้ว ฉันเตรียมให้นายโดยเฉพาะเลยนะ”
“...”
อูนอนมองวูจินเหมือนกำลังแปลคำพูดของเขา ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้น ดาวดวงหนึ่งกำลังทอแสงบนฟ้าสว่าง
อูนอนตาโตเมื่อเห็นอุกกาบาตกำลังฝ่าชั้นบรรยากาศลงมา
เขาใช้เวทเรียกอุกกาบาตตั้งแต่เมื่อไหร่?
“สายไปแล้ว”
“...”
“ฉันก็บอกแล้วว่ากำลังรีบ แต่ฉันยังคุยกับนายสบายๆ คิดว่าทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ?”
นี่คือแผนของเขาเหรอ?
อูนอนคิดว่าตัวเองเป็นคนวางกับดักรอ แต่ผู้ไม่ตายใช้วิธีเดียวกันกับเขา
เวทเรียกอุกกาบาตต้องใช้เวลาเตรียมการนาน ดังนั้นเขาต้องใช้ไว้ก่อนแล้ว ผู้ไม่ตายแค่รอให้พวกเขาออกมา
“แต่นี่ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนหรอก”
อูนอนคลายมือที่กำแน่นออก
อุกกาบาตไม่แยกฝ่ายไหนเป็นมิตรหรือศัตรู มันจะทำลายทั้งมอนสเตอร์และผีดิบ และอูนอนกับชิราโอจะไม่เป็นอะไร
พวกเขาสองคนก็เพียงพอที่จะถ่วงเวลาผู้ไม่ตาย เมื่ออาณานิคมของผู้ไม่ตายถูกทำลายเขาจะติดอยู่ที่อัลเฟน เขาจะติดอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้ดันเจี้ยนหรืออาณานิคมใหม่
[ก๊ากฮ่าๆ นี่คือเครื่องสังเวยชุดสุดท้ายสำหรับสหายของเราสินะ?]
เจนิสทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ทันทีที่โผล่มาข้างวูจินมันก็สร้างบาเรียขึ้น วูจินเก็บอัศวินมรณะและกองทัพผีดิบกลับไปได้ทันเวลา
อุกกาบาตตกลงมา ระเบิดสลายกองทัพมอนสเตอร์ไปหมด


สารบัญ                                   บทที่ 182