วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 156

บทที่ 156 – การรับสมัครเราส์


เมื่อวูจินมาถึงอาณาเขตมิติ เขาส่งความคิดหานักกลยุทธ์ของเขา โดเจมิน

[เจมิน นายทำอะไรอยู่?]

[ผมกำลังอัดหมีใหญ่อยู่ครับ]

[แล้วการป้องกันอุโมงค์ล่ะ]

[หา? เราต้องป้องกันด้วยเหรอครับ?]

แหงสิ

เขาปล่อยอุโมงค์เอาไว้เผื่อพวกเจมินจะอยากกลับ มันนำทางตรงมาถึงในตัวปราสาทของอลันดาล เขาผิดเองที่ไม่ได้พวกเจมินล่วงหน้าจึงได้แต่ถอนหายใจ

[ไอเทมล่ะ? ฉันปล่อยอุโมงค์ไว้ให้นายส่งกลับมาได้]

[อา อย่างนั้นเหรอครับ? ผมก็สงสัยว่าทำไมอุโมงค์มันไม่ปิดเสียที]

[…]

[พวกเราเดินทางใช้รถม้าแต่มีของเยอะเกินไปครับ]

[รอเดี๋ยวนะ]

วูจินสงสัยว่ามีวิธีที่ดีกว่าหรือเปล่า เขาพบคำตอบในระบบปรับแต่งของอาณาเขตมิติ

เขาใช้แต้มเพื่อให้ข้ารับใช้ใช้ห้องเก็บของได้ตามใจ เขาส่งสิทธิ์ในการใช้ห้องเก็บของของมิติให้เจมิน

[เปิดคลังสิ]

[ครับ?คลัง?ว้าก!อะไรเนี่ย?]

[เอาไอเทมทั้งหมดใส่ในนั้น]

[ว้าว สุดยอด]

เจมินใส่ไอเทมที่ปล้นได้ไว้ในห้องเก็บของไปพลางอุทานไปพลาง

“อืม ผู้บริหารอาณาเขต...”

ประชากรในอาณาเขตใช้ดันเจี้ยนเพื่อสำรวจและออกล่าในโลกอื่น และนำบลัดสโตนกับไอเทมกลับมา ต่อให้ลอร์ดมิติไม่ทำอะไร แต้มก็ยังเพิ่มขึ้นและอันดับของลอร์ดมิติก็เพิ่มขึ้น

เพียงแต่เขาต้องดูแลจัดการทุกอย่าง

“ช่างเถอะ”

วูจินดูในคลังว่ามีไอเทมที่เขาต้องใช้หรือไม่ จากนั้นเขาเรียกไวเวิร์นตัวหนึ่งมา มันมีอานติดบนหลัง เขาขี่ไวเวิร์นผ่านอุโมงค์ไปยังโลกจาคุ

เมื่อผ่านอุโมงค์แล้ววูจินปิดมันทันที เขาให้กาเกบิสำรวจรอบๆ

“ดันเจี้ยนก็ดี อาณานิคมก็ดี หาอะไรก็ได้ให้ฉัน”

[คึๆ เข้าใจแล้ว ข้าจะหาเหยื่อชั้นดีให้ขอรับ]

วูจินพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะประหลาดของกาเกบิ

ถ้าเขาต้องเลือกว่าอสูรตนไหนคลั่งไคล้การฆ่า เขาจะเลือกกาเกบิอย่างไม่ลังเล มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดกับกาเกบิ

“ฉันก็ไปบ้างดีกว่า”

วูจินขึ้นไปขี่หลังไวเวิร์น

ไวเวิร์นคำราม กระโดดขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระพือปีก มันบินขึ้นไปสูง วูจินเลือกเส้นทางให้มันบินผ่านทางความคิดของเขา

เสียงลมดังใส่หูของเขาทำให้รู้สึกชา ถ้ามันแย่จริงๆเกราะผีของเขาจะทำงานเอง

หลังจากบินอยู่ครู่หนึ่ง วูจินก็เห็นอาณานิคมแห่งหนึ่งกำลังถูกระเบิด

***

ลอร์ดมิติ โจเซฟ เป็นคนของสหพันธ์ค้อนแดง เมื่อได้ยินว่าอาณานิคมของเขาบนโลกจาคุกำลังถูกโจมตีก็เดินทางมาทันที

“ไอ้เวรที่ไหนกล้ามาโจมตีอาณานิคมของข้า! มันมาจากสหพันธ์ไหน?”

ข้ารับใช้ที่โจเซฟทิ้งไว้ให้ดูแลอาณานิคมค้อมศีรษะลง

“ไม่ได้มาจากสหพันธ์ไหนครับ ระยะนี้มีพวกบ้ามาที่โลกจาคุ ข้าเชื่อว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”

“คนที่ทำลายล้างพวกกิ้งก่าเหลือง?”

“ครับ”

มันเป็นเรื่องโด่งดังที่ลอร์ดมิติพูดถึง

สหพันธ์กิ้งก่าเหลืองทั้งหมดตัดสินใจบุกโลกและล้วนแต่ได้ตายก่อนวัยอันควร

มีการเชื่อมต่อสู่โลกเพียงที่เดียว คังวูจินมาจากโลกและเป็นลอร์ดมิติหนึ่งเดียวของที่นั่น

สหพันธ์ค้อนแดงและหมวกดำได้ยินว่าคังวูจินมายังโลกจาคุเพื่อแก้แค้น

“บังอาจนัก! ใช้อาวุธสุดท้ายบนป้อม”

“มัน...ถูกทำลายไปแล้วครับ”

“อะไรนะ?”

ถ้าอาวุธสุดท้ายถูกทำลายไปแล้วจะทำอะไรล่ะทีนี้?

“เราเหลือทหารอีกเท่าไหร่?”

“ยังเหลืออยู่เป็นส่วนมากครับ การโจมตีของศัตรูดุเดือดมากจนพวกทหารไม่กล้าเข้าใกล้”

“...?”

พูดบ้าอะไร?

อาวุธสุดท้ายถูกทำลาย แต่เหลือทหารอีกมาก...

“อย่างนั้นใครสู้กับผู้บุกรุก?”

“...ที่โจมตีเรามีอยู่สอง และสู้กันเองครับ”

“...?”

โจเซฟเขี่ยขี้หู สงสัยว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า?

“สองคนนั้นสู้กันเอง?”

“ครับ”

เสียสติหรือ? มีที่ตั้งกว้างให้สู้ทำไมมาสู้ตรงนี้?

ครืน!

โจเซฟขมวดคิ้วเมื่อตัวปราสาทสั่น

“ไอ้พวกเวร!”

เมืองของเขากำลังถูกทำลายเพราะถูกลูกหลง?

โจเซฟปึงปังออกจากปราสาท เขาขึ้นไปยังยอดหอคอยโดยมีไม้เท้าอันใหญ่ในมือ

“มันคือโกเลมไฟขนาดเล็กเหรอ?”

โกเลมไฟที่มีขนาดรูปร่างเหมือนมนุษย์กำลังบินบนฟ้า โจเซฟเห็นเป็นอย่างนั้น

[ก๊ากฮ่าๆ]

หัวเราะเสียสติพลางยิงเวทออกมาติดต่อกันทำให้เกิดระเบิดรอบๆ คนที่ทำไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

“ลิช?”

โจเซฟประเมินสถานการณ์

“ลือกันว่าคังวูจินเป็นเนโครแมนเซอร์ ตัวจริงของมันคือลิช!”

เจ้าบ้าคนหนึ่งเปลี่ยนตัวเองเป็นลิชแล้วกลายมาเป็นลอร์ดมิติ

“อา ไม่ใช่ครับ ลอร์ดมิติคังวูจินเป็นมนุษย์ ลิชเป็นอสูรของเขา”

“อะไรนะ?”

โจเซฟขมวดคิ้ว

ลิชมันไล่ล่าอะไรอยู่?

“เอ๊ะ? พวกมันกำลังมาทางพวกเรา”

“บังอาจ!”

โจเซฟยกไม้เท้าขึ้นรวบรวมพลังเวท ก่อนโลกของมันจะถูกยึดครอง มันคือหนึ่งในสิบสุดยอดจอมเวท ลิชตนหนึ่งกับโกเลมไฟกล้ามากที่มาทำลายอาณานิคมของมัน

ความร้อนเหมือนไฟนรกรวมตัวกัน

“ข้าจะเผาพวกแกเป็นเถ้าถ่าน!”

มันพุ่งไปเหมือนมังกรพ่นไฟ สิ่งที่โจเซฟคิดว่าเป็นโกเลมไฟโดนมัน นี่เป็นท่าไม้ตายของโจเซฟ ที่มันบรรยายว่าการโจมตีนี้เทียบเท่ากับการโจมตีของมังกรไม่ใช่พูดเล่น

แต่โกเลมไฟทำมาจากบางอย่างที่ทนทานมาก

มันพุ่งออกมาจากความร้อน ร่างมันขยายใหญ่ขึ้น ไฟที่ล้อมรอบกำปั้นของมันยิ่งใหญ่ขึ้น

“บังอาจ!”

มันรีบสร้างบาเรีย แต่แล้วโจเซฟก็พบกับประสบการณ์ที่ไม่เคยได้พบมาตลอด 10 ปี

มันและบาเรียกระเด็นไป ตัวมันกระเด็นไปฝังกำแพงปราสาท

“น่าขายหน้านัก!”

มันลุกขึ้นทันทีแล้วมองหาศัตรู แต่ศัตรูมาถึงข้างตัวมันแล้ว เท้าติดไฟพุ่งลงมาที่ศีรษะโจเซฟ

“!”

“ฮึ่ม มันร้อนนะ”

ซุงกูบ่นขณะที่ศีรษะโจเซฟระเบิด เมื่อร่างโจเซฟกลายเป็นแสงสีเทาเขาลืมตาโต

“เอ๊ะ? ลอร์ดมิติเหรอ?”

ลอร์ดมิติอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ?

ซุงกูสงสัยเพียงครู่เดียวก็นึกถึงสัญญาของเจนิสขึ้นมาได้

เขาจะได้พักถ้าฆ่าลอร์ดมิติหรือทำลายดันเจี้ยนได้

ซุงกูเงยหน้าและเห็นมังกรไฟตัวยาว มันมีลักษณะเด่นคือสามารถไล่ตามเป้าหมายได้ ซุงกูหนีแต่สุดท้ายมันก็ตามเขามาถึงที่นี่

“ขอพัก 10 นาที! ผมจับได้ตัวนึง”

[ก๊ากฮ่าๆ น่าเสียดาย]

“...”

น่าเสียดาย?

ลิชมันตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆใช่ไหม?

ซุงกูไม่มีแรงตอบ เวลาของเขามีค่ามาก

ซุงกูนั่งลงทันทีและดูดซับไฟรอบๆตัว ระหว่างนั้น ลิชส่งมังกรไฟไปทางเมือง

มังกรไฟผ่านไปทางไหน สิ่งปลูกสร้างก็ถูกเปลวไฟลุกท่วมทางนั้น

‘อืม’

ซุงกูลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีไฟในร่างเพียงพอแล้ว

เขาเห็นวูจินยืนอยู่กับลิชตรงหน้าเขา

“เอ๋? ลูกพี่มาเมื่อไหร่ครับ?”

“เมื่อกี๊ นายเก่งแล้วนี่”

“เฮะๆ”

ซุงกูสังหารลอร์ดมิติไป 1 ตน เขาพัฒนาไปไกลมาก

วูจินยิ้มมองลิช

“นายต้องทำดีๆสิ ทำดีๆ”

[ก๊ากฮ่าๆ ข้าจะฝึกเจ้านี่อย่างจริงจังเดี๋ยวนี้]

ขอโทษครับลูกพี่กับคุณโครงกระดูก ทำไมพูดอย่างเริงร่าขนาดนั้นล่ะครับ?

[เราสู้กันจริงๆเลยไหม?]

“นี่เรายังไม่ได้สู้กันจริงๆหรอกเหรอ...”

[ในการฝึกไม่มีอะไรมีประโยชน์ไปกว่าสู้จริงอีกแล้ว ก๊ากฮ่าๆ]

“พูดอะไรน่ะ...”

วูจินมองซุงกูที่กำลังสับสนกับเจนิสที่ร่าเริงแล้วพูด

“ไหนๆก็ไหนๆ จัดการรอบๆด้วยก็ดี”

[ก๊ากฮ่าๆ งั้นข้าจะต่อให้ ถ้าเจ้าสังหารลอร์ดมิติ 5 ตนหรืออาณานิคม 5 แห่งได้ เจ้าจะได้พัก 10 นาที]

ซุงกูทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“อา ผมซาบซึ้งจนน้ำตามัน...”

[ข้าจะฆ่าเจ้าในอีก 10 วินาที!]

“เชี่ย!”

ร่างซุงกูระเบิด

ภายในพริบตาเดียวซุงกูก็บินจากไปไกลแล้ว วูจินมองซุงกูพลางยิ้มอย่างพอใจ

“อย่างกับจรวดแน่ะ”

เราส์ที่ใช้การได้ดีค่อยๆมารวมตัวรอบๆเขา

ไวเวิร์นที่บินบนฟ้า ส่งเสียงคำรามแล้วลดระดับลงมา วูจินขึ้นไปบนอานแล้วให้มันบินขึ้นไป

“เจมินโตแค่ไหนแล้วนะ?”

เจมินดื่มเลือดจากหัวใจลอร์ดแวมไพร์และผ่านพิธีกรรมเลือดแล้ว

เขาเปลี่ยนให้สิ่งอื่นกลายมาเป็นลูกน้องได้ จึงสามารถสร้างกองทัพของตัวเองได้ ยิ่งกว่านั้นขีดจำกัดการเพิ่มพลังร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงด้วย วูจินคาดว่าเจมินจะเก่งขึ้นไปอีกระดับแล้ว

วูจินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาขณะที่ขี่ไวเวิร์นไปทางเจมิน

***

ความบ้าคลั่งที่ทำให้เขาเสียสติไม่มีอีกแล้ว

เขาไม่ได้พุ่งเข้าหาศัตรูอย่างไม่คิด

ตอนนี้เขามีสติ

ทุกครั้งที่เจมินเคลื่อนไหวเลือดจะระเบิดกระจาย

ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ลำพัง

ลูกน้องของเขาต้องการเลือด พวกมันเหมือนซอมบี้ตาสีแดงขณะที่วิ่งไปทางศัตรู มีออร์ค กอบลิน มีกระทั่งโอเกอร์

เจมินเดินเข้าไปในสนามรบที่ตกอยู่ในความโกลาหล ศพที่ถูกกัดมีอยู่ทุกที่

ดวงตาของลูกน้องของเขาเป็นสีแดงกว่าเดิม เฉียบคมกว่าเดิม กระทั่งรู้สึกได้ถึงศักดิ์ศรีจากในนั้น

ไม่มีใครดูถูกพวกมันได้

ตัวหมากเหล่านี้เป็นลูกน้องของเขา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ท้าชิงที่สามารถโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ

เจมินฆ่าและดื่มเลือดแวมไพร์ที่กัดเขา ทำให้เขาได้สืบทอดพลังผ่านทางเลือด ถ้าเขาแสดงความอ่อนแอออกมาแม้แต่น้อย พวกมันก็จะทำเหมือนกัน

“โอย”

เจมินหยุดตรงหน้ามนุษย์ที่กำลังร้องโอดโอยคนหนึ่ง

ขาสองข้างถูกตัด แขนถูกบีบแหลก ดวงตาของเขาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นมีความกลัว ขณะเดียวกันก็มีความมุ่งร้ายแฝงอยู่

“นายอยากมีชีวิตต่อไหม?”

“ช่วย...ช่วยด้วย”

ความมุ่งร้ายเปลี่ยนเป็นขอร้อง ดวงตาเริ่มเต็มไปด้วยน้ำตา

เขาชอบที่ได้เห็นความกลัว ความต้องการมีชีวิตอยู่ในดวงตาของชายคนนี้ นี่จะเป็นรากฐานความจงรักภักดีที่มีต่อเจมิน

ความตายถือเป็นสิ้นสุดการเดินทางของผู้เร่ร่อนที่เดินทางไปมาตามอาณาเขตมิติ

เจมินกัดมือตัวเอง และเอามือเปื้อนเลือดแตะริมฝีปากของนักรบที่กำลังจะตาย

“โอ”

เขาลืมตากว้างขณะที่เส้นเลือดในตาของเขาระเบิดออก จากนั้นร่างกายก็เริ่มสั่น

ชายกรีดร้องขณะที่ร่างของเขาถูกเลือดดำห้อมล้อมก่อนที่ร่างจะระเบิด เศษเนื้อเปลี่ยนเป็นค้างคาวฝูงหนึ่งบินรอบตัวเจมิน

ค้างคาวรวมตัวตรงหน้าเจมินและกลายเป็นนักรบ หน้าเขาซีดขาวกว่าก่อน แต่แขนขาที่ถูกทำลายงอกใหม่สมบูรณ์

ริมฝีปากม่วงซีดไร้เลือด มันแสดงว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“ชื่อ?”

“คาบาล”

เขาตอบด้วยเสียงแหบ เจมินรู้สึกได้

เขารู้สึกได้ถึงความเกลียดกลัวที่มีต่อเขา ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกถึงความกระหายเลือด มันส่งมาที่เขาทั้งหมด ถ้าเขาแสดงความอ่อนแอออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว ชายคนนี้จะกินเขา

“คุกเข่า”

คาบาลคุกเข่าหนึ่งข้างและก้มศีรษะลง ลูกน้องคนนี้ต่างจากมอนสเตอร์ตัวอื่น

เขาเป็นสมาชิกคนแรกของเผ่าของโดเจมิน ตระกูลเลือดของเขาถือกำเนิดแล้ว

“ดื่มเลือดของศัตรู”

“อ๊าก”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเจมิน คาบาลวิ่งไปทางสนามรบทันที ดูเหมือนคาบาลจะกระหายเลือดมากจนคงสติไว้ไม่ได้

มันทำให้เจมินคิดถึงตัวเขาเมื่อก่อน เขาจึงฝืนยิ้มออกมา

เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่บรรยายออกมาไม่ได้เมื่อได้ลูกน้องที่จะทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง กำปั้นของเจมินสั่น

‘ฉันเจ๋งใช้ได้เลย’

เจมินกำลังเปลี่ยนเป็นขุนนางแห่งรัตติกาลอย่างช้าๆ


สารบัญ                                                      บทที่ 157


วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 155

บทที่ 155 – อลันดาลในเมืองโซล (2)


[หา เขาจะเอาเรือบรรทุกเครื่องบินเหรอ?]

[ครับ เขาพูดอย่างนั้น ราชวงศ์อังกฤษกับสภาปรึกษากันแล้วเห็นว่าชิ้นส่วนมิติเป็นไอเทมสำคัญมาก แต่ค่าตอบแทนเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินนั้นไร้เหตุผลเกินไป เราจึงเสนอส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมาที่ทะเลตะวันออกเป็นเวลา 5 ปี มันจะช่วยสนับสนุนการป้องกันของพวกคุณ...]

มันเป็นข้อเสนอที่ทำให้ซุงฮุนถึงกับอ้าปากค้าง

เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน สีหน้าจึงมีแต่ความสับสนและประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด เขาเสียโอกาสเป็นฝ่ายต่อรองไป

[เราตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการจัดการเรือบรรทุกเครื่องบินได้นะครับ ถ้าแบ่งกันคนละครึ่ง เราตกลงจะยืดเวลาให้เรืออยู่ที่นี่ไปอีก 5 ปี]

[นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะตัดสินใจได้ ผมต้องไปเจอกับพระราชาก่อน แล้ว...]

ซุงฮุนกำลังพูดอยู่เมื่อประตูเปิดออกกะทันหัน เขาหุบปาก คนที่เขากำลังรออยู่ปรากฏตัวแล้ว

“อยู่ที่นี่กันหมดสินะ”

“ยินดีต้อนรับกลับครับ”

จุงมินชานทักทายวูจินอย่างยินดี

เรือบรรทุกเครื่องบินไม่ใช่ของเล่น แต่เขาขอมันง่ายๆ น่าสงสัยว่าชิ้นส่วนมิติมีค่าขนาดไหน...

เมื่อวูจินเห็นทีมเจรจาจากอังกฤษ เขาถาม

“นายพูดภาษาเกาหลีได้ไหม?”

“ได้ครับ”

ซุงฮุนทำหน้าช็อกเมื่อชายชาวอังกฤษผมบลอนด์พูดภาษาเกาหลีอย่างคล่องแคล่ว

“ถ้านายให้ของที่ฉันต้องการ ฉันจะให้นี่”

วูจินหยิบชิ้นส่วนมิติออกมาจากคลังแล้วยกให้มองเห็นง่าย พลอยเปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้า มันส่งพลังเวทออกมามากถึงขั้นคนธรรมดายังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“เอ่อ เรือบรรทุกเครื่องบินต้องใช้คนหลายพันในการดูแลและใช้งาน เท่าที่ผมรู้ อลันดาลไม่มีคนมากมายขนาดนั้น”

“นั่นเรื่องของฉัน ส่งเรือกับทุกอย่างในนั้นมาให้ก็พอ ฉันไม่ต้องการคน”

“...?”

อลันดาลมีคนพอเหรอ? ประชากรในเกาหลีมีไม่มากนักที่รู้วิธีใช้เรือบรรทบุกเครื่องบิน ประเทศเล็กๆนี้ไม่เคยมีมันมาก่อน ทำไมจึงอยากได้นัก...

“ฉันจะจัดการเอง นายจะซื้อไหม?”

“...เราอยากได้ชิ้นส่วนมิติเพื่อเอาไปวิจัย เราไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้...”

“นายเอามันไปใช้ซื้อประตูมิติที่พาไปยังโลกอื่นได้ ง่ายๆคือไอเทมนี้หนึ่งอันทำให้นายครอบครองดันเจี้ยนได้หนึ่งแห่ง”

“...”

ทีมเจรจาและคนจากกิลด์สหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นตกใจกับคำพูดของวูจิน คนนอกไม่รู้ แต่ทั้งสองกิลด์ก็มีชิ้นส่วนมิติเช่นกัน พวกเขากำลังวิจัยมันอยู่...

“จะซื้อไม่ซื้อ ถ้านายไม่เอา ฉันจะไปขายให้คนอื่น”

ทีมเจรจามีสีหน้าหมดหวังกับความไร้เหตุผลของวูจิน

“ผมต้องปรึกษากับประเทศก่อน ขอให้คำตอบพรุ่งนี้ได้ไหมครับ?”

“ฉันต้องรอถึงพรุ่งนี้เลย? นายจะซื้อเวลาที่ฉันเสียไปไหม?”

หนึ่งวันของคังวูจินมีค่าขนาดไหน? เขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ระหว่างเดินทางรอบโลกเขาเคลียร์ดันเจี้ยนไปกี่แห่ง? พวกเขายังกล้าปล่อยให้วูจินรอทั้งวัน?

“นายรับผิดชอบไหวเหรอ?”

“ผม...ผมขอเวลาสามสิบนาทีนะครับ”

วูจินหันหน้าไป

“คาเนดะกับแบดเซ็คเตอร์ใช่ไหม? ถ้าผ่านไป 30 นาทีแล้วยังจบเรื่องไม่ได้ ฉันจะขายให้พวกนาย อ๊ะ ญี่ปุ่นมีเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเปล่า?”

วูจินถามพลางหันไปมองคนจากกิลด์แบดเซ็คเตอร์

เมื่อคนจากกิลด์แบดเซ็คเตอร์รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา คนเจรจาจากอังกฤษยืนขึ้นทันที

“เราซื้อ!”

วูจินยิ้มเยาะ

สุดท้ายพวกเขาก็ต้องซื้อให้ได้อยู่ดี ทำเป็นเล่นตัว

“เอาเรือมาให้ฉัน”

วูจินวางชิ้นส่วนมิติลงบนโต๊ะ

“...”

ชายคนนั้นมองวูจินอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี วูจินยักไหล่

“เอาไปสิ”

“...แค่นี้เหรอ?”

แลกเปลี่ยนกันแบบนี้เหรอ?

เพิ่งตกลงกันได้ ยังไม่แน่นอนเลย ให้ของล้ำค่ามาง่ายๆแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ?

วูจินขจัดความกังวลของคนมาเจรจาให้หมดไปทันที

“ถ้าพวกนายคิดจะแก้สัญญา ฉันจะลบประเทศอังกฤษออกไปจากแผนที่”

“...”

“พวกนายทั้งหมดออกไปได้ ไม่ พวกนายเข้าไปในห้องประธานกับฉัน”

วูจินพูดพลางมองมินชานและซุงฮุนแล้วออกจากห้องทำงานนายกรัฐมนตรี

“...”

ห้องทำงานเงียบราวอยู่ในสุสานไปครู่หนึ่ง บรรยากาศหนักอึ้ง

‘เมื่อกี๊มันเกิดอะไรขึ้น?’

เรือบรรทุกเครื่องบินถูกโยนไปมาในการเจรจา... พริบตาเดียว ไอเทมราคาหลายพันล้านดอลลาร์ก็ถูกเปลี่ยนมือ

นี่คือความรู้สึกที่ว่าสามารถสั่งโลกได้เหรอ? ซุงฮุนยืนใจกลางการเจรจา เขารู้สึกกลัว ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้น

“เอาล่ะ เราจะสรุปการเจรจากับกิลด์แบดเซ็คเตอร์พรุ่งนี้”

มินชานตัดสินแล้วส่งตัวแทนกลับ

หลังจากนั้น ซุงฮุนกับมินชานเดินไปด้วยกัน

“ฮู้ว ผมสงสัยว่าราชาจะทำยังไงกับเรือบรรทุกเครื่องบิน”

“บางทีเขาแค่อยากได้เฉยๆ”

“อืม”

ซุงฮุนแค่พูดอย่างไม่คิดมาก แต่ไม่รู้ทำไมมันเหมือนจะเป็นไปได้ มินชานคราง

ช่างเถอะ พวกเขากำลังจะไปถามอยู่แล้ว

“อา มากันเสียทีนะ”

วูจินนั่งจมในโซฟากล่าวทักพวกเขา

“คนอื่นในปาร์ตี้ไม่มากับท่านด้วยเหรอ?”

“พวกนั้นยังเก็บเลเวลอยู่ ฉันนึกว่าพวกเราจะมีประชุมกิลด์? ทำไมถึงถูกเลื่อนล่ะ?”

“การประชุมมันใหญ่เกินไปครับ”

“หมายความว่ายังไง?”

“กิลด์ทุกกิลด์ในโลกแสดงความสนใจ พวกเขาอยากเข้าร่วมด้วย”

“ชิ งั้นเหรอ?”

“กิลด์แฮมเมอร์กำลังพยายามอย่างเต็มที่ครับ กำหนดการเป็นอีก 15 วัน”

“ช้าเกินไป”

เขาวางแผนจะไปอัลเฟนหลังประชุมเสร็จ

“เพราะอย่างนี้ถึงไม่ควรยกงานแบบนี้ให้คนนอกทำ”

เขามองไปยังลูกน้องที่พึ่งพาได้ จุงมินชาน

วูจินไม่ต้องการให้มีอะไรมาขัดขวางงานของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งประเทศขึ้นมาและเลือกจุงมินชานเป็นนายกรัฐมนตรี

“เราจะมีประชุมในอีก 6 วัน ฉันจะคุยกับทุกกิลด์ก่อนเดินทางไปอัลเฟน ถ้าพวกนั้นมาได้ก็มา ใครมาไม่ได้ก็ดูข่าวได้”

“...ถ้าท่านตั้งกำหนดการกะทันหันแบบนี้...”

“ฉันรอนานแล้ว พอแล้ว คนจากแฮมเมอร์ช้าเกินไป นายทำแทน”

“...”

ถ้าเขาถูกบอกให้ทำ เขาก็จะทำ แต่พอคิดว่าจะทำแล้วมินชานก็รู้สึกปวดศีรษะ

“แล้วทำไมท่านอยากได้เรือบรรทุกเครื่องบิน?”

“อ้อ ฉันอยากทดสอบอะไรบางอย่าง”

“ท่านจะสร้างโกเลมเหรอ?”

“หา? ฉันให้เศษเหล็กโดลเซก็ได้ ทำไมต้องซื้อเรือให้เขาด้วย”

มินชานตาโต

“แค่เรือเปล่าๆเราจะทำอะไรได้? ของใหญ่ขนาดนั้นต้องใช้คนเยอะนะ...”

วูจินยิ้ม

“นายต้องหาคนมาเติมให้เต็ม”

วูจินไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องภาระหน้าที่ ในเมื่อเขามีคนกังวลแทนแล้ว

“...”

มินชานปวดศีรษะเสียแล้ว

“หรือไม่ฉันก็เติมด้วยวิธีอื่นเอง”

“หรือว่า? จากอาณาเขตมิติครับ?”

“ใช่ ทำสงครามโดยใช้แต่คนในโลกนี้มันเกินความสามารถของพวกเรา”

“...”

วูจินมองซุงฮุน

“นายรู้วิธีใช้ SNS ไหม? สมัครให้ฉันที”

“ครับ? ท่านอยากให้ผมสมัคร SNS ให้เหรอ?”

ซุงฮุนประหลาดใจ

“เอาโทรศัพท์มือถือของฉันมาที”

“ครับผม”

ซุงฮุนแตะโน่นนี่บนมือถือของวูจิน และสมัคร SNS ให้ ในการสมัครไม่มีประเทศอลันดาลให้ ในฐานะพลเมืองที่มีสองสัญชาติ ซุงฮุนสมัครวูจินโดยใช้สัญชาติเกาหลี

“...เราโพสท์แบบนี้ครับ”

“อืม เข้าใจล่ะ”

“ผมจะโพสท์ในแอคเคาท์หลักของอลันดาลว่าท่านประธานสมัคร SNS แล้ว”

วูซุงฮุนทำงานรวดเร็ว ทันใดนั้น โทรศัพท์ของวูจินก็สั่นไม่หยุด

<คุณเดอะไลท์ติดตามคุณ>

<คุณasdfติดตามคุณ>



“เกิดอะไรขึ้น?”

“อ๊ะ เดี๋ยวผมปิดการแจ้งเตือนให้”

จำนวนผู้ติดตามของวูจินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อันดับจำนวนผู้ติดตามของเขากระโดดขึ้นไปหลายขั้นในทีเดียว

‘เขาจะแซงฉันไปในแวบเดียวแน่’

วูซุงฮุนมีผู้ติดตามมากพอๆกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ดูเหมือนคังวูจินจะแซงเขาไปเมื่อไหร่ก็ได้...

“ฉันจะใช้มันทีหลัง มีดันเจี้ยนที่ใกล้จะระเบิดไหม? มีคำร้องมาหรือเปล่า?”

“เอ่อ นั่น...”

มินชานหน้าเครียด

“มีดันเจี้ยนหลายแห่งใกล้ระเบิด แต่ไม่มีรัฐบาลที่ไหนขอความช่วยเหลือมา”

“แสดงว่าพวกนั้นอยากจัดการด้วยตัวเอง”

“ครับ ผมไม่รู้เหตุผลเบื้องหลัง แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเกี่ยวกับชิ้นส่วนมิติที่ท่านเอาออกมา”

“อืม...”

วูจินเคาะนิ้วกับที่วางแขน

ความโลภจะเผาผลาญพวกนั้น แต่นั่นเป็นผลจากการกระทำของพวกนั้นเอง

“เดี๋ยวก็จะปวดท้อง”

“ครับ?”

“ไม่มีอะไร ปล่อยไปเถอะ”

อย่างไรเสียคังวูจินก็ปิดดันเจี้ยนทุกแห่งไม่ได้อยู่ดี ที่ๆจะระเบิดก็จะระเบิด ที่ๆสามารถป้องกันได้ก็จะมีคนป้องกัน

ถ้าจำเป็นจริงๆ พวกเขาก็จะขอความช่วยเหลือเอง การปล่อยให้พวกนั้นคิดเองทำเองไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

“การรับสมัครเราส์เข้ากิลด์เป็นยังไงบ้าง?”

“ใบสมัครงานยังมีท่วมท้นเข้ามาครับ ท่านประธานต้องเป็นคนตัดสินใจ กรุณาบอกเวลาผม ผมจะประกาศออกไป”

วูจินไม่สนใจเรื่องใบสมัครงาน ความสามารถของพวกเขาตอนนี้ไม่เกี่ยวกับศักยภาพในการพัฒนา ใครจะคิดว่าฮงซุงกูจะเป็นเราส์ชั้นหนึ่งของโลก?

วูจินจะเลือกพวกเขาตัดสินจากสิ่งที่เขาเห็น

“งั้นให้เป็นอีก 3 วันจากนี้ เรื่องที่ฉันจะพูดมีแค่นี้ล่ะ ฉันจะไปข้างนอกแล้ว”

งานในภายภาคหน้าจะเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ข้างหลัง

“ท่านจะไปไหนครับ?”

“อาณาเขตมิติ”

“ก่อนไป ทิ้งรูปถ่ายไว้สักรูปได้ไหมครับ?”

“หา?”

“เพื่อพิสูจน์ตัวเองครับ ไม่มีใครโพสท์บนช่องความคิดเห็นของท่านประธานเลย”

“ก็ได้ ถ่ายรูปฉันสิ”

“เอียงหน้ามาทางนี้หน่อยครับ ครับ แบบนั้นล่ะ”

ซุงฮุนจัดท่าให้วูจินจากนั้นใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป

“นายอัพโหลดไป ฉันไปล่ะ”

“ครับ ระวังตัวด้วย”

“แล้วก็ นายเลิกเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเถอะ มาเป็นเลขาฉันต่อดีกว่า พอเห็นคนอื่นทำแล้วมันแปลกๆ”

“...”

“ฉันเห็นนายต่อรองกับคนอื่นแล้ว ไม่เก่งเท่าไหร่นะ ฉันไม่คิดว่านายจะรุ่งด้านนี้”

พระราชา... ไม่ใช่ว่าท่านซื้อโทรศัพท์มือถือจากนักต่อรองที่ไม่เก่งคนนี้เหรอ? ท่านมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ?

“เอาล่ะ ฉันไปจริงๆแล้ว”

“ครับ”

วูจินไม่ต้องไปถึงสถานีโซล เขาเปิดอุโมงค์มิติที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตมิติแล้วหายตัวไป

“ตกลงว่าผมถูกเลื่อนตำแหน่งหรือลดตำแหน่ง?”

“อืม... ผมคิดว่ามันเป็นการเลื่อนขั้นนะ”

เขาเป็นหัวหน้าเลขานุการ ทำงานให้พระราชาของอลันดาลโดยตรง

วูซุงฮุนอัพโหลดรูปของวูจินลงบน SNS

***

-กิลด์อลันดาลกำลังรับสมัครเราส์คนใหม่!

-เรือโนอาห์แห่งโลกปัจจุบัน โอกาสเดียวในการได้สัญชาติอลันดาล

-ประเทศอลันดาลเจรจาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินสำเร็จ...

-ไม่จำกัดประเทศ แผนกสนับสนุนรับสมัครงาน ถ้ามีประสบการณ์ด้านเรือบรรทุกเครื่องบินมาก่อนจะพิจารณาเป็นพิเศษ

-ข่าวด่วน คังวูจินมี SNS ของตัวเองแล้ว!

...

บทความหลายบท ไม่สิ หลายร้อยบทความหลั่งไหลออกมา คำค้นหาที่เป็นที่นิยมต่างเกี่ยวกับคังวูจินทั้งนั้น

ซินดี้ถือโทรศัพท์พลางถอนหายใจ

จิตใจของเธอถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากสิ่งที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมศิษย์เก่า เธอต้องพักงาน และพักผ่อนรับการบำบัดที่บ้าน

“ฉันควรจะสมัครไหมนะ?”

การเป็นนักแสดงหรือมีเงิน มันไม่มีความหาย

นี่คือโลกที่ความตายเกิดได้ทุกเมื่อ ยุคสมัยที่เงินสามารถปกป้องเราได้จากทุกอย่างมันจบไปแล้ว

ยิ่งกว่านั้น...

“ฉันจะได้เห็นเขาบ่อยกว่านี้ไหม?”

เธอนึกถึงคังวูจิน

ซินดี้เลื่อนสมุดโทรศัพท์ในโทรศัพท์มือถือไปที่ข้อมูลของโดจีวอน เธอกำลังจะกดโทรออกแต่แล้วก็ถอนหายใจ

“เฮ้อ ฉันต้องบ้าไปแล้ว”

เธออิจฉาโดจีวอน

“เฮ้อ ตั้งสติไว้สิตัวฉัน”

มีประโยชน์อะไรกับการตั้งเป้าหมายไปที่คนมีเจ้าของแล้ว?

เธอเพียงแต่หยุดคิดถึงเขาไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นหลงรักเขา

ใฝ่ฝัน?

มันคือความรู้สึกที่แฟนๆรู้สึกเมื่อมองเธอ เธอรู้สึกอย่างนั้นเมื่อมองวูจิน เธอไม่เคยให้ความสนใจผู้ชายคนไหนถึงขั้นนี้

เธอไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งขนาดอุทิศชีวิตให้กับความรู้สึกชั่ววูบ เธอมีสติพอจะควบคุมตัวเองได้

“เฮ้อ ฉันควรจะเริ่มทำงานอีกครั้งดีกว่า”

ซินดี้โยนโทรศัพท์ลงบนหมอน หยิบน้ำเย็นหนึ่งขวดออกมาจากตู้เย็นแล้วดื่ม

“ฮ้า”

เธอรู้สึกสดชื่นเมื่อดื่มน้ำเย็นเข้าไป

ซินดี้หยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาผู้จัดการ แต่แล้วร่างของก็แข็งทื่อ

[ฮัลโหล? ทำไมเหรอ ซินดี้]

เสียงของจีวอนดังผ่านโทรศัพท์ ซินดี้ทำตัวไม่ถูก


สารบัญ                                     บทที่ 156





วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 154

บทที่ 154 – อลันดาลในเมืองโซล



เขายืนเผชิญหน้ากับลีอาห์บนแดนน้ำแข็ง

วูจินคาดว่าจะเจอเธอกำลังโกรธจัด แต่ผิดถนัด ลีอาห์ไม่อ้อมค้อม เธอบอกเหตุผลที่มาอยู่ตรงนี้

“ถ้าฉันมีข้อเสนอให้นายจะว่าอะไรไหม?”

“เธอท้าดวลฉัน แต่มาบอกจะให้ข้อเสนอเหรอ?”

“ฉันติดต่อผ่านทางอื่นไม่ได้แล้วนี่ นายทำลายฐานทัพบนโลกจาคุของฉันไปหมด”

“งั้น เธอมีข้อเสนอให้ฉันแทนที่จะแก้แค้นเหรอ?”

“หลังจากฉันคืนชีพก็ได้ยินข่าวของนาย บอกตามตรง ฉันประหลาดใจนิดหน่อย ดูเหมือนนายจะมีความสามารถในการทำเรื่องบ้าบิ่นเพื่อปกป้องโลกของนายได้”

“เรื่องบ้าบิ่น...”

“อา ขอโทษ นายจะแข็งแกร่งหรือไม่ไม่สำคัญ นายกำลังพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

“เธออยากถูกฆ่าอีกรอบมากใช่ไหม?”

วูจินหยิบอาวุธนักรบของเขาออกมา คราวนี้เธอไม่ได้สูบบุหรี่ แต่วูจินคิดว่าลีอาห์กำลังวางแผนถ่วงเวลาเหมือนคราวที่แล้ว

“ว้าว ใจเย็นๆ ฉันกำลังเสนอให้พวกเราร่วมมือกัน แทนที่จะสู้กับคนมีพลัง ฉันจะได้ประโยชน์กว่าถ้าร่วมมือกับนาย”

“เธอยังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม? ถูกฉันปล้นไปเท่าไหร่แล้ว?”

“ถ้าฉันได้เป็นพวกเดียวกับคนแข็งแกร่งระดับนาย แต้มที่เสียไปถือว่าน้อย”

“...”

วูจินคิ้วกระตุก

เขาไม่เข้าใจ เธอกำลังยื่นข้อเสนอให้คนที่เคยสังหารเธอ เขาทำลายอาณานิคมของเธอ และสังหารลูกน้องทั้งหมดรวมถึงประชากรในอาณาเขต แต่ดูเหมือนเธอจะมองพวกนั้นในฐานะแต้ม

พวกมันเป็นไอเทมที่เธอสามารถซื้อได้ใหม่ถ้ามีแต้มพอ

“ไม่ตกลง”

วูจินกระชับขวาน

ลีอาห์หัวเราะ

“นายปฏิเสธฉันไม่ได้หรอก”

“...?”

“ฉันเอาชนะนายไม่ได้ แต่มนุษย์รอบตัวนายเป็นอีกเรื่อง”

“...”

วูจินถือขวานเดินไปทางลีอาห์ แต่ลีอาห์ไม่สะดุ้งสะเทือน

“เป็นการขู่ขวัญที่เชยไปหน่อยนะ”

วูจินยกขวานขึ้น

“นายคิดจริงๆเหรอว่าสามารถปิดกั้นการเชื่อมต่อทุกทางไม่ให้เกิดบนโลกได้?”

เขามั่นใจในตัวเองขนาดหนัก

คนๆเดียวคิดว่าสามารถป้องกันดันเจี้ยนนับไม่ถ้วนได้

วูจินแค่นเสียงให้กับคำถากถาง

“ฉันแน่ใจว่าจะมีอันที่ฝ่ามาได้”

“...?”

สีหน้าลีอาห์เปลี่ยนเป็นครั้งแรก

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของฉัน นายไม่สนว่าคนรอบตัวนายจะตายเหรอ?”

“สนสิ”

เขามีครอบครัว มีโซอา คนของอลันดาลที่รู้สึกผูกพัน เขาต้องปกป้องคนพวกนั้น นี่เป็นเป้าหมายที่วูจินตั้งให้ตัวเอง

“แล้วทำไม...”

“ถึงไม่ใช่เธอ ฉันก็มีพวกเวรที่ข่มขู่ฉันเป็นกองอยู่แล้ว”

“...!”

“คราวหน้า เธอควรตั้งใจโจมตีฉันให้มากกว่านี้หน่อย”

วูจินใช้ขวานผ่าศีรษะของลีอาห์ ดูเหมือนเธอไม่คิดจะสู้จริงๆ ลีอาห์ปล่อยให้ตัวเองแพ้ง่ายๆและกลายเป็นแสงสีเทา

<คุณชนะการดวล>

<คุณสามารถใช้สิทธิ์ของผู้ชนะ>

<กรุณาเลือกระหว่างปล้นคลังเก็บของหรือปล้นอาณาเขต>

“ชนะง่ายดี เลือกปล้นคลังเก็บของ”

ถ้าได้ของเหมือนรองเท้าของสเกียอันเป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างเซ็ทไอเทมของทราชก็คงดี ถ้าได้สมบัติมีค่าจะมีประโยชน์กว่าปล้นอาณาเขต

“หึ ทางฉันก็เหมือนเดิมต่อให้ไม่นับยัยนั่น”

ลีอาห์ไม่ใช่คนเดียวที่เล็งเป้ามาทางวูจิน

แม้เขาจะยอมให้เธอก็ยังเหลือศัตรูอีกมาก

ร่วมมือกับคนที่จะหักหลังเขาเมื่อไหร่ก็ได้ สู้ให้เธอเป็นศัตรูต่อไปดีกว่า

“ฉันต้องเหยียบอาณาเขตของเธอ...”

วูจินจุปาก ที่สำหรับปล้นที่ดีที่สุดคืออาณาเขตมิติหรืออาณานิคมของลอร์ดที่ตายไปแล้ว ถ้าเขารู้ว่าอาณาเขตมิติของลีอาห์อยู่ที่ไหนเขาจะไปทันที น่าเสียดาย

“ชิ ยัยนี่ไม่มีของดีเลย”

หลังปล้นเสร็จ วูจินกลับไปยังอาณาเขตมิติของตัวเอง

เจมินกำลังรอด้วยสีหน้าสงสัย

“เราจะทำสงครามมิติต่อไหมครับพี่?”

“ไม่ล่ะ เราได้ช่วงคุ้มครองมาแล้ว”

ถ้าเขาชนะการดวลหรือสงครามมิติจะได้ช่วงคุ้มครอง 4 วัน ถ้าแพ้เขาจะได้ 12 วัน

“งั้นแต้ม...”

“ยืมฉันก็ได้ เอาเท่าไหร่?”

ถ้ามีเวลาว่าง เขาจะใช้เจมินทำสงครามมิติเก็บแต้ม ดังนั้นให้แต้มเขาล่วงหน้าก็ไม่เลว

“ผมต้องใช้ 170,000 แต้ม”

“หา?”

จำนวนมากกว่าที่คาดไว้มาก โดเจมินเกาศีรษะ

“ว่าแล้ว คงไม่สะดวกสินะครับ?”

แต้มจำนวนนั้นมากพอจะซื้ออาณาเขตมิติดีๆได้หนึ่งแห่ง

ราคาไม่ใช่ปัญหาและวูจินให้ได้ไม่คิดมาก

ซุงกู เจมินและคนรอบตัววูจินต้องเติบโต เพื่อให้พวกเขาสามารถปกป้องครอบครัวและอลันดาลเมื่อมีกลุ่มที่ประกอบด้วยลอร์ดมิติอย่างลีอาห์โผล่มา

วูจินไม่อยากได้วิญญาณที่จะสิงอยู่แต่ที่เดิม

เขาแค่สงสัยว่าเจมินอยากได้อะไรถึงขนาดเต็มใจจ่ายแต้มเป็นจำนวนมาก

“นายจะซื้ออะไร?”

“ผมอยากได้หัวใจลอร์ดแวมไพร์”

“อะไรนะ?”

วูจินสงสัยว่าฟังผิดหรือเปล่า

เจมินรู้สึกเสียใจทีหลังที่ขอไปเพราะเหมือนเขากำลังเรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผล คังวูจินทำให้เขามามากแล้ว มันเหมือนเขากำลังเอาเปรียบความใจกว้างของวูจิน

เจมินรู้สึกถึงความอ่อนแอของตัวเองชัดเจน ที่เขาหลุดปากขอไปต้องเป็นเพราะความกระหายอยากแข็งแกร่งให้มากกว่านี้

“รอเดี๋ยว”

“ครับ?”

วูจินมองในร้านค้าของมิติและเจอหัวใจลอร์ดแวมไพร์

‘มีขายจริงๆด้วย 200,000’

ดูเหมือนเจมินจะสะสมได้แล้ว 30,000 แต้ม

วูจินซื้อมัน

<หัวใจลอร์ดแวมไพร์>
หัวใจของเคาท์เคียต
บรรดาศักดิ์ของเขาจะถูกส่งต่อ

ตอนแรก เจมินถูกแวมไพร์ระดับต่ำกัดและกลายเป็นทาสแวมไพร์ เจมินฆ่าแวมไพร์ตัวนั้นและทำพิธีกรรมเลือดเพื่อขโมยพลังของแวมไพร์มา

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีช่องว่างในการพัฒนาของเขาไม่ว่าจะดื่มเลือดไปมากเท่าไหร่

ถ้าเขาอยากเป็นแวมไพร์ระดับสูง เขาต้องผ่านพิธีกรรมเลือดอีก

หัวใจของแวมไพร์ระดับขุนนาง

เจมินตั้งเป้าที่หัวใจของลอร์ด บรรดาศักดิ์อย่างน้อยต้องเป็นเคาท์

เมื่อแวมไพร์กลายเป็นลอร์ด มันสามารถใช้สัมพันธ์เลือดบงการแวมไพร์ระดับต่ำกว่า

ไม่ใช่แค่ผีดูดเลือด เจมินสามารถบงการแวมไพร์เหมือนกับเขา

ลอร์ดได้รับคุณสมบัติในการก่อตั้งตระกูลแวมไพร์

ต่อให้ไม่อยากได้ผู้ใต้บังคับบัญชา ศักยภาพในการพัฒนาของลอร์ดก็สูงมาก ถ้าเดิมเขามีศักยภาพเป็น 100 เมื่อเป็นลอร์ดศักยภาพจะเพิ่มเป็นสองถึงสามเท่า

“กินสิ”

“...ขอบคุณครับ”

วูจินยกหัวใจให้เหมือนไม่มีอะไร และเจมินไม่ปฏิเสธ

เขาสามารถตอบแทนได้ในภายภาคหน้า ตอนนี้ เขาต้องการพลัง และหัวใจตรงหน้าเขาเป็นวิธีให้ได้พลังนั้นมา

“พอนายทำพิธีกรรมเสร็จก็กลับไปโลกจาคุ ดื่มเลือดให้มากที่สุด อีกไม่นานฉันจะไปที่โลกอื่น”

“โลกอื่น?”

“อัลเฟน”

“อา”

เจมินรู้จักโลกอัลเฟน เขาเริ่มสนิทกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เพราะอยู่ปาร์ตี้เดียวกัน เธอพูดถึงดาวเกิดของเธอจนหูเขาชา

“พี่จะล่าอีกเหรอครับ?”

“นายห่วงตัวเองดีกว่าห่วงฉันนะ รีบทำพิธีกรรมเถอะ”

วูจินอยู่เผื่อว่าพิธีกรรมเลือดจะเกิดผิดพลาด หลังจากนั้นเขาจะกลับไปที่โลก ไม่ได้มีแค่โลกจาคุที่เป็นพื้นที่ล่า เขายังต้องพิชิตดันเจี้ยนบนโลกที่คนอื่นรับมือไม่ไหวด้วย

เมื่อไปอัลเฟนเขาจะกลับมาไม่ได้อีกหลายวัน เขาต้องพิชิตดันเจี้ยนที่กำลังจะระเบิดก่อนไป

แม้ตายแล้ว หัวใจยังเต้นอยู่ เมื่อเจมินจับหัวใจ เลือดพุ่งออกจากมันกลายเป็นหมอกเลือดและถูกดูดซับเข้าไปในตัวเจมิน หลังพิธีกรรมเสร็จสิ้น มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมาก

เริ่มแรกเจมินก้าวพลาดไปเล็กน้อย ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน ความเปลี่ยนแปลงจะยิ่งมากขึ้น เขาจะได้ลิ้มรสการเติบโตที่เมื่อก่อนไม่อาจเทียบได้

“โชคดีล่ะ”

“ครับพี่”

เจมินไม่เหมือนเมื่อก่อน ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลังจากเจมินกล่าวลา เขาก้าวผ่านอุโมงค์ไปยังโลกจาคุ วูจินก็เข้าไปในอุโมงค์ที่นำไปสู่สถานีโซลทางออกที่ 1

“อ๊ะ? ประธาน... กลับมาแล้วหรือครับ ราชา?”

พนักงานที่เฝ้าทางออกที่ 1 ทักทายวูจิน

หลายคนรู้สึกเคอะเขินกับตำแหน่งพระราชา แต่วูจินไม่สนใจนัก

“ซุงฮุนอยู่ไหน?”

“รัฐมนตรีต่างประเทศกลับไปที่สำนักงานใหญ่พอได้ยินว่ามีแขกต่างประเทศมาถึงครับ”

“งั้นเหรอ?”

“ให้ผมติดต่อเขาตอนนี้เลยไหมครับ?”

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”

วูจินก้าวออกจากสถานีท่ามกลางเสียงกดชัตเตอร์กล้องของนักข่าวที่มาเฝ้าทำข่าว

เขามุ่งหน้าไปยังอาคารหลักของอลันดาล

***

ในอาคารสำนักงานใหญ่ อาคารส่วนหนึ่งเป็นที่ทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ

ในพื้นที่ส่วนนั้น วูซุงฮุนมีห้องทำงานส่วนตัวในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

“เฮ้อ พวกนั้นอยากได้เยอะจริงๆ”

ซุงฮุนมองจดหมายต่อรองที่ส่งมาจากแต่ละประเทศแล้วส่ายศีรษะ คนพวกนี้ยังไม่รู้ว่าดาบอยู่ในมือของฝ่ายไหน

“ท่านรัฐมนตรี คณะผู้แทนมาถึงที่ทำงานของท่านนายกแล้วครับ”

“อืม ไปกันเถอะ”

ซุงฮุนกับพนักงานออกไปยังที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี

จุงมินชาน นายกรัฐมนตรีของอลันดาล, กรรมการคนหนึ่งจากกิลด์คาเนดะ ประเทศญี่ปุ่น และผู้แทนจากประเทศอังกฤษมาอยู่ในห้องแล้ว

[ยินดีที่ได้พบพวกคุณ ผมชื่อซุงฮุน ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ]

วูซุงฮุนทักทายทุกคนด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามแปล

ซุงฮุนนั่งถัดจากจุงมินชาย มินชานกระซิบกับเขา

“รัฐมนตรีวู การเจรจา...”

“ท่านนายก”

ซุงฮุนมองมินชานอย่างขึงขัง

“โปรดเชื่อใจผม ให้ผมต่อรองเอง”

“หา?”

มินชานมองซุงฮุนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็พยักหน้า

ตำแหน่งหน้าที่สร้างคน

วูซุงฮุนตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน

เมื่อครั้งพวกเขาทำงานในสนธิสัญญาอลันดาล ซุงฮุนทำงานร่วมกับเขา ด้วยเหตุนี้มินชานจึงคิดว่าซุงฮุนจะไม่ทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงแม้เขาจะไม่ใช่นักเจรจามืออาชีพ

มินชานจะอยู่ด้วย ถ้ามีปัญหาเขาจะแก้ไขทันทีถ้าจำเป็น

“ได้ ผมจะยังเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย ดังนั้นคุณต้องคุยกับผมก่อน”

“แน่นอนครับ”

นอกจากพระราชา นายกรัฐมนตรีเป็นคนตัดสินใจเรื่องทั่วไปในอลันดาล เขามีอำนาจเหมือนประธานาธิบดี และอิทธิพลของมินชานในอลันดาลนั้นเด็ดขาด

อลันดาลเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีอำนาจระดับโลก ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนแรกของอลันดาล หลายประเทศให้ความสนใจเขา

ซุงฮุนนั่งต่อหน้าคนจากกิลด์คาเนดะ

[ผมได้อ่านข้อมูลและข้อเรียกร้องที่คุณส่งมาแล้ว มาคุยกันเรื่องส่งคำเตือนเมื่อดันเจี้ยน 6 ดาวหรือมากกว่าขึ้นไปปรากฏเถอะ เรายังต้องคุยเรื่องการร่วมมือพิชิต...]

ซุงฮุนเก่งด้านเป็นฝ่ายนำ มินชานจึงพยักหน้ายอมรับอยู่ในใจ ซุงฮุนรวบรวมข้อมูลได้ถี่ถ้วนและชิงโอกาสเป็นฝ่ายนำในการต่อรอง

ซุงฮุนรู้ดีว่าอลันดาลเหนือกว่าด้านดันเจี้ยนในการเจรจากับกิลด์และประเทศอื่น เขาใช้เรื่องนี้ในการต่อรองได้เป็นอย่างดี

หลังการเจรจากับกิลด์คาเนดะมาถึงการตกลงร่วมมือพิชิตดันเจี้ยน และผลประโยชน์ที่อลันดาลจะได้จากดันเจี้ยนที่ถูกพิชิต ซุงฮุนหันไปทางกิลด์แบดเซ็คเตอร์ของอเมริกา

[ผมแน่ใจว่าท่านประธานจะปฏิเสธเรื่องสร้างภาพยนตร์ ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้อลันดาลเป็นพันธมิตรกับกิลด์ไททัน...]

พวกเขาคุยกันเกิน 30 นาที แต่ยังตกลงกันไม่ได้ ซุงฮุนตัดสินใจเลื่อนการเจรจาไปวันอื่น

[เฮ้อ เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกทีพรุ่งนี้ครับ]

แบดเซ็คเตอร์เป็นกิลด์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกาต่อจากกิลด์ไททัน การเจรจาไม่ง่าย

ซุงฮุนไปนั่งตรงหน้าผู้แทนจากประเทศอังกฤษ เขาขมวดคิ้ว

[พวกคุณมาหาเราแต่ไม่ได้ส่งเรื่องอะไรมาทางเราเลย ทำแบบนี้มีเหตุผลอะไร?]

[ประธานคังวูจินบอกให้มาอลันดาล...]

[เขาเป็นพระราชาของเรา]

[ผมทำตามที่พระราชาคังวูจินแนะนำ เขาบอกให้คุยกับคนในประเทศของเขา เราจึงมาที่นี่]

[อา แปลว่าประธานส่งคุณมา]

วูซุงฮุนมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

[แล้วคุณมาด้วยเรื่องอะไร?]

[ผมขอพูดตรงๆ พวกเราต้องการซื้อชิ้นส่วนมิติ]

[อ้อ คุณมาซื้อไอเทม]

[ครับ ผมถูกสั่งให้มาต่อรองกับอลันดาล]

อา ในที่สุดท่านประธานก็ยอมรับความสามารถของวูซุงฮุนแล้ว? เขาดีใจจนหลุดปากถาม

[ได้ๆ คุณตั้งราคาไว้เท่าไหร่?]

[พระราชาของอลันดาลบอกราคาไว้แล้ว เขาอยากได้เรือบรรทุกเครื่องบิน]

[อะไรนะ? เมื่อกี๊คุณพูดว่าอะไรนะ?]

ซุงฮุนคิดว่าเขาฟังผิดจึงถามใหม่ จุงมินชานมองอย่างประหลาดใจ

‘ชิ้นส่วนมิติคืออะไร? มันมีค่ามากเลยเหรอ?’

จุงมินชานไม่จำเป็นต้องถามออกมาดังๆ ซุงฮุนพ่นคำถามนี้ออกมาเองด้วยสีหน้าแปลกใจ


สารบัญ                                                  บทที่ 155


วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 153

บทที่ 153 – การปกป้องของทราช (2)

กึง!

กำปั้นเหล็กของโดลเซทุบศัตรูลงพื้น

กึง กึง ฮู่ม คว้าง!

โดลเซขยับอย่างไม่เข้ากับร่างกายมหึมา มันกระโดดอย่างว่องไวขึ้นไปบนตัวศัตรู มันออกแรงกดหัวศัตรู

เดรกตัวหนึ่งถูกโดลเซทุบลงพื้น ปากเหมือนปากจระเข้ของมันอ้าออกส่งเสียงคราง

มอนสเตอร์พวกนี้มาได้ยังไง?

วูจินเดินเข้าไปใกล้เดรกที่ถูกน้ำหนักของโดลเซกดจมพื้น

“นายมาจากกิ้งก่าเหลืองเหรอ?”

[ครือ ข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์หมวกดำ]

“อ้าว? สงสัยไม่ใช่กิ้งก่าทุกตัวจะเข้ากับสมาพันธุ์กิ้งก่าเหลืองแฮะ”

วูจินยักไหล่พลางปลดผ้าคลุมออก

“เออ ช่างเถอะ”

เขาเอาผ้าคลุมชุดเซ็ททราชคลุมลงบนจมูกเดรก รอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“หืม หรือต้องใส่มันดีๆ”

[คึๆ ไอ้หน้าโง่ เจ้าไม่มีรหัสด้วยซ้ำแต่กลับยึดไอเทมต้องสาปไว้เป็นของตัวเอง]

วูจินเอียงคออย่างสงสัย

“นายรู้เหรอว่ามันคืออะไร?”

[ไอเทมจากเซ็ทของทราชใช่ไหมเล่า?]

“อา ใช่ แล้วรหัสคืออะไร?”

[เจ้าไม่มีคุณสมบัติ... คิดหรือว่าข้าจะตอบง่ายๆ]

ดูเหมือนเดรกจะรู้ว่ามันจบสิ้นแล้ว มันจึงคำรามไม่ยอมตอบคำถาม วูจินยิ้มพลางเคาะจมูกมัน

“เพราะแบบนี้พวกเดรกถึงไม่รวมอยู่ในเผ่ามังกร โง่เกิน”

[แฮ่]

วูจินหันไปมองโดลเซ

“ฆ่ามัน”

[โก]

กึง กึง กึง!

หมัดเหล็กของโดลเซทุบหัวเดรกจนเละ ร่างมันถูกแสงสีเทากลืนก่อนจะหายไป

“คุณสมบัติ”

ขณะที่วูจินกำลังพึมพำกับตัวเอง แรมสัน อัศวินมรณะก็เข้ามาหาเขา

[เราจะทำอย่างไรกับเมือง เจ้านาย?]

“ทำลายมันซะ”

[รับบัญชา]

เมื่อแรมสันหายไป ลิชเจนิสก็มาปรากฏตัวข้างๆเขา วูจินมองอย่างแปลกใจ

“ฉันนึกว่านายกำลังไปช่วยพวกเด็กๆอยู่”

[ก๊ากฮ่าๆ ข้าส่งเขาไปล่วงหน้า]

“ซุงกู? คนเดียวพอเหรอ?”

[พอ]

อะไรนะ? ซุงกูก้าวหน้าถึงขั้นนั้นเลยเหรอ? เพิ่งผ่านไป 3 วันเอง

เรื่องนั้นไว้ก่อน วูจินถามเจนิสสิ่งที่เขากำลังสงสัย

“เจนิส ตอนนายกลายเป็นอสูรของฉัน นายบอกว่าฉันพิเศษ”

[ท่านลอร์ดเป็นคนพิเศษ]

“นั่นคือเหตุผลที่ฉันสวมนี่แล้วไม่ตายหรือเปล่า?”

วูจินยื่นการปกป้องของทราชให้ดู

[...ใช่ คำสาปของทราชหลีกห่างจากท่าน]

“หืม”

เขามองเจนิส ผู้มองการล่มสลายของอัลเฟนมาตลอด 200 ปี

“ฉันเป็นคนแรกที่ใช้มันเหรอ?”

[ลูกน้องของทราห์เน็ต 12 รายต้องการมัน พวกมันหายไปหมดแล้ว]

“ตาย? พวกมันก็แค่คืนชีพใหม่”

[พวกมันไม่ใช่แค่ตาย มันไม่คงอยู่อีกต่อไป]

วูจินผงกศีรษะ

“นี่คือเหตุผลที่นายอยากให้ฉันหาอาวุธประหารของทราช?”

วัตถุโบราณที่เขารวบรวมได้จากอัลเฟนเป็นเครื่องป้องกันทั้งหมด แต่เขายังไม่เคยได้ไอเทมทำร้ายศัตรู

[ถูกต้อง ในความคิดของข้า นั่นเป็นวิธีเดียว และด้วยเหตุนั้นข้าจึงอาสาเป็นอสูรของท่าน...]

เจนิสเปลี่ยนตัวเองเป็นลิชเพื่อช่วยอัลเฟน

“เข้าใจแล้ว ฉันไม่เคยเห็นอาวุธประหาร แต่ถ้าฆ่าพวกลอร์ดมิติให้หมดต้องเจอในคลังของพวกมันซักคลังแน่”

วูจินไม่คิดรีบร้อน เขาแค่ต้องหาเบาะแส แน่นอนเขาไม่รู้ว่าอาวุธนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องทำคือรวบรวมไอเทมอื่นในชุดเซ็ทก่อน

[ข้ามีเรื่องขอร้อง นายท่าน]

“เอาสิ อะไรล่ะ?”

[ท่านคิดว่าข้าจะฝึกเด็กเวรนั่นที่นี่ได้ไหม?]

“ซุงกู?”

[ในด้านพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ เขาอาจเหนือกว่าของนายท่าน...]

อา เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ เจ้าบ้าซุงกูมีพรสวรรค์ขนาดเจนิสยังออกมายอมรับ

“ตามใจนายเลย”

[ข้าจะสร้างลูกน้องคนแรกของนายท่านที่ยังมีชีวิต]

“อืม ถ้าเขาตาย เขาจะเป็นลิชคนที่สองของฉันไหม?”

[เป็นความคิดที่ไม่เลว]

วูจินและเจนิสแสยะยิ้มแล้วมองหน้ากัน

[ก๊ากฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปหาเขาล่ะ]

“ได้ ไปเถอะ ตอนไปถึงก็ฆ่าทุกคนที่ฟื้นชีพขึ้นมาใหม่ด้วย”

แม้วูจินจะเผาโลกจาคุราบคาบและพิชิตทุกดันเจี้ยนได้ ลอร์ดมิติคนใหม่จะพยายามเชื่อมต่อมายังที่นี่อีก พวกเขาจะเป็นคู่ฝึกที่ดี และลิชจะได้ค่าประสบการณ์ส่งมาให้วูจิน

ในเมื่อเขาต้องการเก็บเลเวล พวกมันจึงเป็นสิ่งที่เขามองหาอยู่พอดี

“จับพวกมันได้อีกสักสองสามตัวแล้วกลับดีกว่า”

ช่วงคุ้มครองอาณาเขตใกล้จะหมดแล้ว

***

อาณานิคมล้มลง

สตรีศักดิ์สิทธิ์เก็บชิ้นส่วนมิติอย่างระมัดระวัง

“ฟู่ว จบจนได้”

โดเจมินถอนหายใจอย่างโล่งใจพลางทรุดลงกับพื้น เบคจองโดก็หมดแรงเช่นกัน ทั้งสองสู้อยู่แถวหน้าจึงเหนื่อยเป็นหลายเท่า

“ดิฉันขอโทษนะคะที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้นัก”

ฮีซอลขอโทษอย่างจริงใจ ความสามารถฝึกสัตว์ของเธอไม่มีประโยชน์กับเผ่าที่มีสติปัญญา มันเหมาะกับมอนสเตอร์และสัตว์ป่าที่มีความคิดไม่ซับซ้อนมากกว่า

ถ้าเธอเอาแจ็คสันมาด้วยคงช่วยได้มากกว่านี้ แต่เธอไม่ ดังนั้นบทบาทของเธอในปาร์ตี้จึงน้อยมาก ความสามารถเดียวที่มีประโยชน์คือเทเลพาธีแต่มันก็แค่ใช้เชื่อมความคิดของทุกคน

เท่ากับว่าเธอทำหน้าที่เป็นวิทยุสื่อสารเท่านั้นเอง

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณฮีซอล พวกเราคงไม่ได้ของจากพวกมอนสเตอร์มากขนาดนี้”

พวกตัวตุ่นกำลังชำแหละศพและรวบรวมบลัดสโตน ยังมีกองไอเทมที่เอามาจากศัตรู

มันเป็นจำนวนมากเหลือเชื่อ เคลียร์ดันเจี้ยนบนโลกหนึ่งหรือสองครั้งยังได้ไม่มากเท่านี้

“ตอนนี้เรายังได้อาร์ติแฟคมาหลายชิ้นด้วย”

บลังกาพูดอย่างตื่นเต้นขณะใช้เวทค้นหา อาร์ติแฟคสำคัญกว่าบลัดสโตน

ขณะนี้พวกเขากำลังเก็บรวบรวมไอเทมที่ซ่อนอยู่

“เฮ้อ พักสักหน่อยแล้วค่อยสำรวจเถอะ น้องคังบอกว่าเขาจะมาที่นี่ด้วย”

“ครับ ว่าแต่ คุณคิดว่าคุณเราส์ไฟจะเป็นอะไรไหม?”

เบคจองโดยิ้มเมื่อฟังคำถามของบลังกา

“ใคร? คุณซุงกูเหรอ?”

“ครับ เขาดูรีบร้อน...”

หลังจากซุงกูเผาอาณานิคมเป็นเถ้าถ่านแล้วเขายังเผาลอร์ดมิติจนตาย จากนั้นก็ถูกลิชไล่ตาม ซุงกูหายไปไกล ไม่สิ พวกเขาแค่ไม่เห็น แต่ยังได้ยินเสียงระเบิดน่าหวาดหวั่นดังอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนทั้งสองจะอยู่ไม่ห่างจากที่พวกเขาอยู่นัก

“ไม่ต้องห่วง คุณซุงกูอึดออก”

“ฮะๆ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าควรช่วยเขาดีไหม มอนสเตอร์ที่ไล่ตามเขาดูอันตรายมาก...”

ฮีซอลหัวเราะ

“ไม่ใช่มอนสเตอร์นะคะ มันเป็นอสูรของประธาน ลิช”

“อะไรนะ? ลิชเหรอ? มันหายไปเร็วมาก...”

บลังกาพยายามนึก เหมือนเขาจะเห็นลิชแวบๆจริงๆ บลังกาเกาศีรษะ ฮีซอลพูดไม่ให้เขาเป็นห่วงซุงกู

“ปกติคุณซุงกูดูพึ่งไม่ค่อยได้ แต่เขาเป็นคนที่อยู่กับประธานของเราและรอดมาได้นานที่สุดนะคะ”

“...”

บลังกาทำหน้าสงสัยเหมือนจะถามว่า ‘ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ?’

“เรื่องใหญ่ๆจะเกิดขึ้นใกล้ตัวประธานเสมอ ที่เขายังไม่ตายก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วค่ะ”

ความสามารถของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย ซุงกูเผาศัตรูทั้งหมดตายในทีเดียว พวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่ปาร์ตี้ต้องฆ่าอย่างยากลำบาก

เบคจองโดเลียริมฝีปากอย่างเสียดาย

“สมแล้ว ถ้าจะลากยิงก็ต้องใช้เวทนี่ล่ะ”

ทำไมความสามารถของเขาต้องเป็นเสริมพลังร่างกายนะ...

แน่นอนว่าไม่ใช่ทักษะของเขาไม่ดี เบคจองโดพอใจอยู่มาก ความสามารถเสริมพลังของเขาจะแสดงคุณค่าที่แท้จริงออกมาในระหว่างต่อสู้

เจมินเคยคิดว่าซุงกูดูเท่มาก แต่ซุงกูมีสีหน้าสิ้นหวัง

“พอพี่ซุงกูฝึกเสร็จแล้วพวกเราไปหาเขากันเถอะครับ”

“อาฮะ ดูเหมือนพวกเราต้องตั้งใจฝึกกันจริงๆแล้วถ้าอยากจะตามคุณซุงกูให้ทัน”

พวกเขาล้วนเป็นแรงค์ A

สตรีศักดิ์สิทธิ์แรงค์ SS

ถ้าฮงซุงกูกลายเป็นแรงค์ SS สมาชิกทีมสงสัยว่าพวกเขาจะตามเขาทันไหม

ตอนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนเดียวที่ไม่หมดแรง เธอเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ปาร์ตี้ยังอยู่ครบคน การฮีลและพรของเธอมีประโยชน์มาก

เจมินเป็นแวมไพร์ ปัญหาคือความสามารถของเขาเข้ากันไม่ได้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่ได้ประโยชน์จากเธอ

“เอาล่ะ มาเก็บอาร์ติแฟคให้หมดเถอะ”

“ไปกันเถอะ”

พวกตัวตุ่นที่ฮีซอลฝึกสามารถเก็บบลัดสโตนจากศพ แต่เก็บอาร์ติแฟคไม่ได้ พวกเขาต้องทำกันเอง ทุกคนจึงลุกขึ้น

ตอนนั้นเอง วูจินก็โผล่มา

“ประธาน!”

“พี่!”

“น้องคังมาแล้วเหรอ?”

วูจินยิ้มเมื่อเห็นทุกคนดีใจที่เจอเขา

“ไม่เจอกันไม่กี่วัน ดีใจที่เห็นฉันขนาดนี้เลยเหรอ? พวกนายกำลังปล้นของเหรอ?”

บลังกาส่ายศีรษะ

“พวกเรากำลังรวบรวมไอเทม”

“อย่าเสแสร้งน่า”

วูจินมองไปรอบๆเห็นอาณานิคมที่ถูกเผาราบและศพมอนสเตอร์มีอยู่ทุกหนแห่ง

“นายฆ่า ทำลาย เอาของที่อยากได้”

“...”

วูจินพูดถูก แต่บลังการู้สึกอยากปฏิเสธ

“ปล้นก็คือปล้น”

ประธานอยากเป็นคนเลวเหรอ? บลังการู้สึกโกรธขึ้นมาจึงถาม

“คุณกำลังจะบอกว่าพวกเราทำเรื่องไม่ดีเหรอ?”

วูจินยักไหล่

“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าการปล้นเป็นสิ่งไม่ดี?”

“...”

บลังกาโต้ไม่ถูก เขาอยากเถียงกลับแต่คิดไม่ออก ใบหน้าวูจินไม่แสดงออกถึงความหลอกลวงและเขาเดาไม่ถูกว่าวูจินกำลังคิดอะไร

“ฉันกับเจมินจะแวะไปที่อาณานิคมของฉันสักพัก พวกนายจะเอายังไง?”

“จะอยู่ต่อ? หรือจะกลับโลก? เราใช้เวลาที่นี่ไป 4 วันจึงเท่ากับบนโลกผ่านไปแล้ว 1 วัน”

บลังกายินดีเมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน

“พวกเรากลับได้เหรอครับ?”

“พวกนายไม่ ฉันถามพี่จองโดว่าจะเอายังไง”

“...”

‘งั้นก็น่าจะบอกให้ชัดตั้งแต่แรก’ บลังกางอน

“เอ่อ ฉัน...”

เบคจองโดมองปาร์ตี้

ทุกคนที่นี่เป็นคนของอลันดาล

คำถามของวูจินไม่มีเจตนาแอบแฝง เขาแค่สงสัยว่าเบคจองโดจะเอายังไง เขาเป็นคนนอก

เบคจองโดส่ายศีรษะ

“ฉันปล่อยพื้นที่ล่าระดับนี้ไปไม่ได้หรอก”

ถ้าเขาสู้กับคนเหล่านี้ ความสามารถของเบคจองโดจะเพิ่มขึ้น ระดับของมอนสเตอร์ที่นี่ต่างจากโลกมาก ยิ่งกว่านั้น ที่นี่ยังมีเชือกช่วยชีวิต สตรีศักดิ์สิทธิ์จะดูแลไม่ให้มีใครตาย

“ก็ได้ ล่ากันต่อ จากนั้นพวกเราจะกลับโลกไปร่วมงานประชุมกิลด์”

“เข้าใจแล้ว”

“งั้นพวกนายปล้นต่อ ฉันมีธุระต้องทำ เดี๋ยวกลับ”

วูจินโบกมือ อุโมงค์สีแดงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

“ไปกันเถอะ เจมิน”

“ครับ”

เจมินและวูจินผ่านอุโมงค์หายไป

ทุกคนรู้ว่าอุโมงค์นี้เชื่อมกับที่ไหน อาณาเขตมิติของวูจิน อลันดาล

เขาเป็นผู้ที่สามารถเดินทางระหว่างมิติ เขาเป็นมนุษย์ที่มีอาณาเขตมิติ

เบคจองโดอดหัวเราะแห้งๆไม่ได้

‘ฉันอาจนับเทพเจ้าว่าเป็นน้องอยู่ก็ได้’

วูจินและเจมินมาถึงอาณาเขตมิติ

“เหลือเวลาอีก 10 นาที นายพักหน่อยก็ได้”

“ครับพี่ แล้วก็ผมมีเรื่องจะขอ...”

“เรื่องอะไร?”

เจมินพูดอย่างระมัดระวัง

“ขอยืมแต้มพี่หน่อยได้ไหม?”

“หืม? เอาไปทำอะไร?”

“ผมอยากได้ไอเทมบางอย่าง...”

“อ้อ”

เจมินลูบคาง การพึ่งไอเทมเป็นเรื่องไม่ดี แต่มองอีกแง่ เราต้องมีของให้เหมาะกับความสามารถด้วย

การรู้จักใช้ความสามารถของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้ไอเทมก็สำคัญด้วย

“ที่ฉันให้อยู่ไม่พอเหรอ?”

หลังจากเจมินรับตำแหน่งเสนาธิการ เขาก็ชนะสงครามมิติบ่อยๆ วูจินให้แต้มเขาจำนวนหนึ่งทุกครั้งที่ชนะจึงน่าจะสะสมแต้มได้มากทีเดียว

“มีของที่ผมมองๆอยู่ แต่มันค่อนข้างแพง”

“ได้ ซื้ออะไรก็ได้ที่นายอยากได้”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“ก่อนอื่น รีเซ็ทช่วงคุ้มครองกันเถอะ”

“ครับ”

เจมินนั่งที่นั่งเสนาธิการ วูจินนั่งบนบังลังก์

เขาอยากหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมก่อนช่วงคุ้มครองจะหมดลงจึงเปิดสมุดหาลอร์ด ตอนนั้นเองที่เขาเห็นมัน

<ลอร์ดมิติ ลีอาห์ ขอท้าดวล>

“อะไร?ฟื้นแล้วเหรอ?”

เธอคงกำลังโกรธจัด วูจินหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“กล้าดีนี่”

ดูเหมือนเธอกำลังโกรธแค้นจนหน้ามืด

<คุณตอบรับคำท้าดวล คุณกำลังถูกย้ายไปยังสนามรบ>



สารบัญ                                            บทที่ 154

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 152

บทที่ 152 – การปกป้องของทราช


“รีลิค”

[ท่านเรียกข้าหรือ?]

ควันดำก่อตัวเป็นรีลิคตามเสียงเรียกของวูจิน เขาอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพ

“เอาอันนั้นมาให้ฉัน”

[…]

“ใครขวาง ฟันมันทิ้งให้หมด”

[...รับบัญชา]

มันรู้ว่าผ้าเหนือหอคอยนั้นมีความหมายอย่างไรต่อคนในเผ่า มันจึงลังเลก่อนเคลื่อนไหว

รีลิคพุ่งขึ้นหอคอยและนำผืนผ้ากลับมา ในเมืองเกิดความไม่สงบและเผ่าราทิคกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทางพวกเขา

รีลิคหยิบผ้าที่รีลิคส่งให้ด้วยความเคารพ นักรบของเผ่าผงะไปด้วยความกลัวเมื่อเห็น

‘การปกป้องของทราช’

ผ้าคลุมนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเซ็ททราช

นึกไม่ถึงว่าจะมาเห็นมันที่นี่

“หยุดนะ!”

ชายชราจากเผ่าราทิคปรากฏตัวพร้อมเสียงตะโกนดังสนั่น นักรบค้อมหัวให้เขาด้วยความเคารพ

“หัวหน้าเผ่า”

เขาเป็นผู้นำมีตำแหน่งสูงที่สุดในนี้

หัวหน้าเผ่าเปปิโอถลึงตาใส่วูจิน

“นั่นเป็นสิ่งตกทอดของเทพแห่งการทำลาย ไม่ใช่ของที่ผู้ล่าต่ำต้อยจะเอาไปได้!”

“นายรู้เรื่องเทพแห่งการทำลายด้วยเหรอ?”

คอของเปปิโอมีเส้นเลือดปูดขึ้น

“ท่านคือหนึ่งในปฐมเทพ ผู้ล่าที่โอหังและโง่เขลายังวิ่งหนีท่าน”

“...”

วูจินยิ้ม

“นายจะห้ามไม่ให้ฉันเอามันไปเหรอ?”

[...]

รีลิคยิ่งกระสับกระส่ายเมื่อได้ยินคำถามของวูจิน

เขาบอกว่าจะฆ่าคนที่ขวางทางไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

หัวหน้าเผ่าเปปิโอแค่นเสียง

“ฮึ่ม! พวกผู้ล่าอาจทำตัวเหมือนเป็นเทพ แต่นี่เป็นมรดกศักดิ์สิทธิ์จากเทพตัวจริง ร่างของเจ้าจะละลายทันทีที่สวมมัน”

ดวงตาวูจินเป็นประกาย

‘มันจะละลายร่างคนใส่?’

ถ้าลอร์ดมิติใช้เซ็ทไอเทมของทราช ร่างจะถูกละลาย...

<การปกป้องของทราชที่เสียหาย>

นี่คือชุดและผ้าคลุมในการปกป้องของทราช
เกราะไหล่กับเกราะหน้าอกขาดไป เหลือเพียงผ้าคลุม
ไม่สามารถแสดงผลที่แท้จริงได้

ผล : บงการ +100,ถูกผนึก,ถูกผนึก,ถูกผนึก

ทักษะ : คลังกักวิญญาณไม่จำกัด,ถูกผนึก,ถูกผนึก

ผลชุดเซ็ท : ถูกผนึก

มันให้ผลหลายอย่างแต่ส่วนมากถูกผนึกไว้เพราะไอเทมเสียหาย แม้แต่ค่าบงการยังน้อยกว่าเดิม

แต่ด้วยไอเทมนี้ จำนวนวิญญาณที่วนเวียนรอบเขาเป็นเกราะผีจะไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป วูจินต้องสวมผ้าคลุมไว้เสมอแต่นี่เป็นทักษะที่ดีมาก

ถ้าเก็บวิญญาณไว้สักหมื่นดวง วูจินสามารถป้องกันการโจมตีได้ทุกรูปแบบ ต่อให้เป็นระเบิดนิวเคลียร์ก็ยังรอดได้

ชื่อเหมาะสมดี นี่เป็นไอเทมที่มีการปกป้องจากทราชจริงๆ

วูจินมองผ้าผืนเก่าแล้วยิ้มไม่หยุด นักรบที่ยืนข้างเปปิโอกระซิบกับเขา

“เราจะทำอย่างไร? ถ้าขาดไอเทมนั้นไปเราต้องอยู่อย่างเร่ร่อน”

มีเหตุผลเดียวที่เผ่าราทิคขึงการป้องกันของทราชเหมือนธง

มันปล่อยคำสาป เพียงการคงอยู่ของมันก็หยุดมอนสเตอร์ธรรมดาไม่ให้เข้าใกล้ แน่นอน ลำพังมันไม่อาจหยุดฝูงมอนสเตอร์ที่ผู้ล่าส่งมาได้

“อย่ากังวล ทันทีที่เขาเอามันไปใช้เขาจะตายเพราะคำสาป”

เปปิโอมั่นใจ

ตลอดชีวิตมันเคยเห็นลอร์ดมิติ 3 ตนใส่สิ่งนั้น และเห็นทั้ง 3 ตนนั้นตาย

“สำหรับพวกเรา นี่อาจจะดีกว่าก็ได้”

ผู้ล่าที่ข่มขู่หมู่บ้านของพวกมันกำลังดื่มยาพิษ

สายตาของทุกคนมองมือวูจินที่ถือผ้าคลุม

พรึ่บ

วูจินสะบัดผ้าคลุมไล่ฝุ่นแล้วเอามันคล้องคอเพราะเขาไม่มีเกราะหน้าอก ภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงนัก แต่วูจินรู้สึกได้ว่าค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้นทันที เขายังรู้สึกได้ว่าแรงที่จำกัดจำนวนวิญญาณเกราะผีของเขาหายไป

วูจินหัวเราะอย่างพอใจ เปปิโอส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ

“ทำไมคำสาปถึง...”

“เป็น...ไปได้ยังไง”

วูจินพูดกับเปปิโอ

“ฉันเอามันล่ะ ถ้านายมีปัญหาอะไรก็พูดมา”

“...”

ถ้ามีปัญหา เปปิโอรู้ว่ามันจะถูกฆ่า

“ไปซะเถอะ”

“ก็ได้ หวังว่าจะไม่เจอกันอีกล่ะ”

เขาได้สินสงครามมาโดยไม่ต้องสู้ เนื่องจากขีดจำกัดวิญญาณถูกยกเลิกไป วูจินจึงเสียดายหน่อยๆที่ไม่ได้เก็บวิญญาณของเผ่าราทิค แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีมอนสเตอร์เหลืออีกมาก

วูจินจากไปอย่างอารมณ์ดี เปปิโอทรุดลงกับพื้น

“ตำนาน...”

“หัวหน้าเผ่า!”

รักชาวิ่งมาประคองหัวหน้าเผ่า

“เทพแห่งการทำลาย... สุดท้ายแล้วโลกนี้จะถูกทำลาย”

“...”

มันคือผู้ล่าที่กินผู้ล่าอื่น

ผู้รวบรวมคนใหม่ของเทพแห่งการทำลายปรากฏตัวบนโลกจาคุแล้ว และเขาเอาสิ่งสืบทอดไปแล้ว

รักชามองคัง วูจินจากไปด้วยสายตาซับซ้อน

***

พวกเขาใช้เวลา 3 วันล่ามอนสเตอร์อยู่ใกล้กับอาณานิคม แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตกสู่กับดัก

การต่อสู้ร่วมกันอย่างราบรื่นทำให้ความมั่นใจของพวกเขาพุ่งสูง ตอนนั้นเองพวกเขาตัดสินใจโจมตีจุดอ่อนของศัตรู แต่แล้วเหตุการณ์ก็ผันแปร ปาร์ตี้ถูกต้อนจนมุม

“เวร”

เบคจองโดสบถ

แม้จะมีบัฟของบลังกาแล้วร่างกายเขายังเต็มไปด้วยบาดแผล

คำภาวนาของเมโลดี้ล้อมรอบตัวเขาเป็นการรักษา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเขาคงตายไปนานแล้ว

“พวกเรามาถึงขีดจำกัดแล้วค่ะ”

ฮีซอลที่นำปาร์ตี้อย่างใจเย็นแม้ในยามฉุกเฉินยังหมดปัญญา

“ผู้ไม่ตายล่ะ?”

เมโลดี้ถาม เจมินตอบด้วยสีหน้าขอโทษ

“ผมติดต่อเขาแล้วครับ แต่เขาอยู่ไกล ต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงจึงจะมาถึง”

ถ้ามองในแง่หนึ่ง ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเขา

เขามั่นใจเกินไปเพราะค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความกระหายเลือดเพิ่มขึ้น โดเจมินเมามายกับพลังของตัวเองจนฉุดไม่อยู่

“เป็นความผิดผมเอง ผมควรระวังมากกว่านี้”

“ไม่หรอก ดิฉันเป็นคนตัดสินใจ คุณอย่ารู้สึกผิดเลย”

เจมินยังเงยหน้าไม่ขึ้นแม้จะได้ยินคำพูดของฮีซอล

“ถ้าคุณไม่อยู่ด้วย พวกเราคงตายไปนานแล้ว”

ถูกอย่างที่ฮีซอลพูด ถ้าไม่ใช่พลังของเจมิน พวกเขาคงไม่รอดชีวิต

“อืม พวกเรายังไม่ตาย พูดเรื่องนี้ไปก็เสียเวลา มาอดทนให้นานที่สุดเท่าที่จำได้เถอะ”

“ครับพี่”

โดเจมินเม้มปาก พลาดก็คือพลาด แต่ต่อหน้าคนร่วมทีมเขาจะทำเหมือนพวกเขาถึงที่ตายแล้วได้อย่างไร แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่พวกเขาต้องรอดให้ได้จนกว่าคัง วูจินจะมาถึง

ครืน!

“มอนสเตอร์ออกมาอีกฝูงแล้ว เตรียมตัว”

“ได้!”

พวกเขาสู้โดยฝากชีวิตไว้กับกันและกัน มิตรภาพของสมาชิกในทีมล้ำลึกกว่าเมื่อ 3 วันก่อนมาก

เมื่อเผชิญกับศัตรูจำนวนมหาศาล พวกเขาทำเรื่องผิดพลาดด้วยการมุ่งหน้าไปทางหุบเหว

เมื่อถนนแคบลง ปาร์ตี้ต้องสู้กับศัตรูจำนวนน้อยลง พวกเขาค่อนข้างได้เปรียบในการสู้ที่นี่นอกเสียจากว่าไม่มีที่ให้หนี หลังจากการต่อสู้ไม่รู้จบ พวกเขาก็อดเหนื่อยไม่ได้

ด้วยเวทสนับสนุนจากเมโลดี้และบลังกาทำให้พวกเขาทนมาได้

เบคจองโดและโดเจมินเดินออกมาข้างหน้า ฝูงออร์คพุ่งมาทางพวกเขา

“เวทฮีลไม่ได้ผลกับนาย อย่าฝืนล่ะ”

“ครับพี่”

“ไปกันเถอะ”

“ครับ”

เบคจองโดวิ่งไป กำปั้นของเขากลายเป็นสีดำ โดเจมินวิ่งด้วยความเร็วเป็นสองเท่าของเบคจองโด ความเคลื่อนไหวของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก

มือของเจมินพุ่งทะลุคอของพวกออร์คอย่างแม่นยำ เล็บคมของแวมไพร์ถูกใช้แทนดาบดี

ระหว่างที่เจมินใช้ความรวดเร็วเคลื่อนที่ไปทั่วพื้นที่เพื่อตัดคอออร์ค เบคจองโดพุ่งมาเหมือนรถแทรกเตอร์ ทุกอย่างที่ขวางทางพังทลาย

“มาดูกันว่าใครจะเหนื่อยก่อน”

ด้วยความสามารถเสริมพลังให้ตัวเองรวมกับบัฟจากบลังกา เบคจองโดก็คือมนุษย์เหล็กดีๆนี่เอง

สองคนทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายในหมู่ออร์คเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายปาร์ตี้ก็ถูกผลักลึกเข้าไปในหุบเหวช้าๆ เมื่อศพเริ่มกองสุมเป็นภูเขา ฝูงมอนสเตอร์ก็โจมตีช้าลงเช่นกัน

ขณะที่พวกเขาเคลื่อนที่ลึกเข้าไปในหุบเหว เมโลดี้ใช้คำอวยพรใส่เบคจองโด เจมินดูดเลือดของออร์คใกล้ตายที่เขาลากมาด้วย

“เราถึงทางตันแล้ว ทำยังไงดี?”

ฮีซอลมองไปด้านหลังและพูดเสียงกังวล เมื่อศพที่กองขวางทางถูกเก็บกวาด การต่อสู้จะเริ่มใหม่อีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นทักษะฝึกสัตว์ของเธอก็ไม่เหมาะกับการสู้กับออร์ค

ถ้าเธอตั้งสมาธิ เธอจะสามารถจับออร์คได้หนึ่งตัว แต่นั่นไม่ช่วยอะไรได้ เธอทำเรื่องผิดพลาดด้วยการมาใกล้อาณานิคมที่มีพวกออร์คอาศัยอยู่

“ถ้าจนมุมจริงๆ เราก็ปีนหน้าผา”

“พวกแมลงปอไม่ปล่อยเราเฉยๆแน่”

“ถึงอย่างนั้นก็มีพวกแมลงปอน้อยกว่าพวกออร์คนะ”

สาเหตุหนึ่งที่พวกเขาหนีมาทางหุบเหวเพราะพวกแมลงปอโจมตีจากท้องฟ้า พวกมันดูเหมือนแมลงแต่ตัวโตเท่าเฮลิคอปเตอร์ ขาเหมือนแมงมุมทำให้พวกมันสามารถจับเหยื่อได้ พวกมันจับเหยื่อมาเคี้ยวกินระหว่างบิน

“ฮู่ว ดิฉันขอสู้กับออร์คดีกว่า”

ถ้าถูกแมลงปอจับตอนที่กำลังปีนหน้าผา...

พวกออร์คย้ายศพไปแล้วและโจมตีเข้ามา ดูเหมือนพวกมันจะคิดว่าการต่อสู้มาถึงจุดจบแล้ว มองมวลสีดำเบื้องหน้าพวกเขาแล้วทำให้เกิดความรู้สึกไม่อาจต่อต้าน พวกมันมีเยอะเกินไป

“ฮู่ มาสู้กันต่อเถอะ”

เบคจองโดปลุกใจตัวเอง เขาก้าวออกไปแล้วหรี่ตา

“มันอะไรล่ะนั่น?”

“เอ๊ะ? หรือว่าพี่มาแล้ว?”

เจมินก็มองลูกบอลไฟหล่นลงมาจากฟ้า ถ้าไม่ใช่ศัตรูโจมตีก็ต้องเป็นคนมาช่วยแน่ เมื่อบอลไฟเข้ามาใกล้มากขึ้นพวกเขาก็แยกรูปร่างของบอลไฟได้

“...ผมคิดว่าเป็นพี่ซุงกู”

“คุณซุงกูจริงๆด้วย”

เบคจองโดเห็นด้วย

ซุงกูกำลังร่วงลงมาจากฟ้า เขาหล่นลงกลางฝูงออร์ค

ไฟระเบิดด้วยเสียงดังสนั่น คลื่นกระแทกสร้างอากาศร้อนกวาดไปทั่วหุบเหว

“อูย”

“ดู...ดูนั่นสิ”

ฮีซอลชี้ไปข้างหน้าด้วยความช็อก

ความร้อนเติมเต็มหุบเหว พวกออร์ควิ่งพล่านพลางกรีดร้อง

เปลวไฟขยับอย่างเป็นอิสระขณะที่ซุงกูขยับมือและเท้า ทุกอย่างรอบตัวเขาลุกเป็นไฟ เชฮีซอลไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง

‘คุณซุงกู...’

เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ฮงซุงกูที่ดูเซ่อซ่าตอนเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยกัน นี่ใช่เขาจริงๆเหรอ?

ซุงกูเดินฝ่าเปลวไฟมาหาปาร์ตี้ เจมินวิ่งไปต้อนรับ

“พี่ซุงกู! มาทำอะไรที่นี่ครับ?”

“โฮ่ หมายความว่ายังไงฉันมาทำอะไร? ลูกพี่ส่งฉันมาล่วงหน้า”

“อา...”

ซุงกูตบผมตรงที่ถูกไฟกระเด็นใส่ จากนั้นเขาถาม

“ฉันมีข่าวดีกับข่าวร้าย”

“อ...อะไรครับ?”

“อยากฟังอันไหนก่อน?”

“ขอข่าวดีก่อน”

“ตอนนี้ฉันแข็งแกร่งสุดๆ เพิ่งเรียนวิธีบินได้มา”

โดเจมินตาเป็นประกาย นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ที่ฮงซุงกูดูเท่มาก

“พี่เรียนมาจากลิชที่เคยพูดถึงเหรอ?”

“ใช่”

“แล้วข่าวร้ายล่ะ?”

“ลิชมันจะฆ่าฉัน”

“อะไรนะ?”

ซุงกูหน้ามืดดำลง ห่างออกไปมีร่างสีดำกำลังบินมาทางพวกเขา เงาแห่งความตายกำลังใกล้เข้ามา

“เวร ต้องไปแล้ว”

“ล...แล้วพวกเราล่ะ?”

“พวกนายก็มาด้วย”

“...?”

นี่เป็นทางตัน พวกเขาจะไปทางไหนได้?

ก่อนจะได้ถาม ซุงกูสูดลมหายใจลึก เขาวิ่งฝ่าไฟไปยังทางออกของหุบเหว

เปลวไฟลุกโพลงทุกครั้งที่ซุงกูก้าวเท้า เขาใช้ไฟสร้างทางแคบๆขึ้นมาสายหนึ่ง

ปาร์ตี้วิ่งตามเขาพร้อมกับมองหุบเหวถูกเปลี่ยนเป็นความสับสนวุ่นวาย



สารบัญ                                              บทที่ 153