บทที่ 145 – ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
“อ๋อ มันย่อมาจาก ‘หูตาของผู้ช่วยชีวิต’ น่ะครับ”
“หูตาของผู้ช่วยชีวิต?”
“ครับ มันเป็นกลุ่มที่ติดตามคุณคังวูจิน พวกนักข่าวที่คุณช่วยไว้มารวมกลุ่มกัน...”
“...”
วูจินมองอย่างอึ้ง นักข่าวตอบอย่างภูมิใจ
“ถ้าคุณต้องการอะไร เราจะช่วยคุณทันที แค่ขอมา”
“หืม”
มันคือการรวมกลุ่มของนักข่าว
ถ้าองค์กรสักแห่งตัดสินใจจะติดตามใครคนหนึ่ง คนๆนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
อาจรู้สึกอึดอัดที่ถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว อาจรู้สึกยินดีที่ได้รับความสนใจเหลือล้น
ในกรณีของวูจิน เขาเฉยๆ
‘ตั้งอะไรได้ประหลาดดีแฮะ’
วูจินยิ้มพลางโอบบ่านักข่าวให้เข้ามาใกล้ๆ จากนั้นชูมือทำเครื่องหมาย V
“เหมือนแฟนคลับใช่ไหม?”
“คล้ายกันครับ”
“ฉันจะใช้พวกนายบ้าง”
“เป็นเกียรติที่ได้ตอบแทนบุญคุณคุณครับ”
แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างวาบ
หลังคุยกันครู่หนึ่ง วูจินและสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากไป นักข่าววิ่งกลับไปที่รถแล้วเปิดแล็ปท็อป
-ประกาศถึงสมาชิกทุกคน คำสั่งแรกของผู้ช่วยชีวิตออกมาแล้ว เขาต้องการให้เรานัดหมายเขากับผู้เชี่ยวชาญด้านดันเจี้ยน ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
นักข่าวจัดการเรื่องด่วนที่สุดคือถ่ายทอดคำพูดของวูจินก่อน จากนั้นเขาอัพโหลดรูปถ่าย
-นี่จะเป็นสมบัติประจำตระกูลของผม ไม่นึกเลยว่าจะได้ถ่ายรูปกับเขา...
เขามองประกาศที่เพิ่งอัพโหลดไปอย่างตื้นตันไม่หาย และยิ่งพอใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นมันถูกแชร์อย่างรวดเร็ว
***
<เพิ่มระดับ!>
วูจินไปถึงเลเวล 81 เขาเปิดหน้าต่างสถานะและเอาแต้มทั้งหมดไปเพิ่มบงการ
“ฝากพวกนายจัดการด้วย”
[เราทำตามประสงค์ของท่านจ้าว]
กองทัพผีดิบเริ่มสังหารมอนสเตอร์ที่เหลือ
หอนาฬิกาของลอนดอนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ความเสียหายรุนแรงจนน่าสงสัยว่าเมืองจะฟื้นฟูได้อีกครั้งไหม
การอพยพประชากรทำได้ช้า ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีกองทหารและอาวุธทรงพลังแต่ลังเลไม่โจมตีอาณานิคม ผลคือหายนะ
“เจอล่ะ”
วูจินเก็บชิ้นส่วนมิติ ตอนนั้นเอง ประธานองค์กรผู้มีพลังพิเศษของอังกฤษก็เดินมาหาวูจิน เขาชื่อ ทอม คล้าคสัน
“โฮ่ คุณเหมือนที่ผมได้ยินมาเลย กองทัพบริเตนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตคงมากกว่านี้ถ้าไม่มีคุณคังวูจินเข้ามา”
“อืม พวกเราต่างก็ได้ประโยชน์”
พวกเขาได้วูจินช่วย วูจินได้ค่าประสบการณ์และชิ้นส่วนมิติ
เขาได้ชิ้นแรกจากโรม ชิ้นที่สองจากลอนดอน รวมกับที่ได้จากเกาหลีเป็น 5 ชิ้น
ถ้ารวมกับที่ได้จากดันเจี้ยนของเดรด เท่ากับเขามี 6 ชิ้น
เขาสามารถซื้อดันเจี้ยนได้ เขายังสามารถรวมชิ้นส่วน 3 ชิ้นสร้างตราประทับมิติ
“เพราะอย่างนี้ผมจึงมีข้อเสนอ ทรัพย์สินที่ได้จากสงคราม...”
“ฉันไม่ต้องการศพหรืออาร์ติแฟค พวกคุณเอาไปได้เลย”
เขาไม่มีเหตุผลต้องมาแงะบลัดสโตนจากศพมอนสเตอร์ที่อยู่ทั่วเมือง เขามีเงินมากมายอยู่แล้ว และรายได้ของอลันดาลก็ไม่หมดง่ายๆ
ทอมตาเป็นประกายพลางถาม
“คุณจะขายคริสตัลที่ได้มาให้อังกฤษไหม?”
“อะไรนะ? หมายถึงชิ้นส่วนมิติเหรอ?”
“โอ้! สิ่งนั้นเรียกว่าชิ้นส่วนมิตินี่เอง”
วูจินหยิบพลอยที่ส่องแสงสีม่วงออกมา ต่อให้ไม่มีความสามารถด้านตรวจจับของเราส์ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่มันปล่อยออกมา มันเป็นสมบัติมีค่าแน่นอน
นี่เป็นพลอยที่มาจากสถานที่ประหลาดที่มอนสเตอร์ลอร์ดเป็นผู้สร้างขึ้น
อเมริกา ญี่ปุ่น จีนและเยอรมันได้คริสตัลชื่อชิ้นส่วนมิตินี้ไว้แล้ว
เป็นไปได้ว่ามันคือไอเทมระดับตำนานอย่างลูกแก้วหวนกลับที่ใช้หลบหนีออกจากดันเจี้ยน เขาต้องหาวิธีได้มันมาเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทดลอง
วูจินยิ้มเมื่อเห็นทอมตาลุกโพลง
“จะซื้อเท่าไหร่ล่ะ?”
“ค...คุณจะขายมันจริงๆเหรอ?”
“ฉันจะฟังดูก่อน”
“...”
ทอมพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เขาไม่นึกว่าวูจินจะยอมปล่อยพลอยนี้
“อะไร? คุณไม่มีแม้แต่สิทธิ์ให้ข้อเสนอตรงนี้เลยเหรอ?”
“ม..ไม่ ผมมีอำนาจนั้นอยู่ ไม่มีปัญหา... คุณจะไปที่ประชุมสภาไหม?”
วูจินขมวดคิ้ว
จะให้วูจินไปต่อรองน่าเบื่อเหรอ? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาน่าจะเอาวูซุงฮุนหรือไม่ก็จุงมินชานมาด้วย
“ฉันจะให้นายแลกกับเครื่องบินหนึ่งลำ”
“...อะไรนะ?”
“ถ้าไม่อยากก็ช่างเถอะ”
“ก...กรุณารอก่อน”
ข้อเสนอของวูจินกระทันหันเกินไป นอกเหนือความคาดหมายเกินไปจนทอมคำนวณค่าใช้จ่ายไม่ถูก
“คุณจะให้โอกาสพวกเราเจรจาเรื่องราคาได้ไหม?”
“ฉันยุ่ง”
“ได้โปรดเถอะ...”
สีหน้าขอร้องของทอมดูน่าสงสารมาก
ทำให้สงสัยว่าเขาได้คำสั่งแบบไหนมาจากรัฐสภาบริเตน.. วูจินพูดเหมือนใจกว้างมาก เขาเก่งเรื่องต่อรองแต่ไม่ได้สนใจมันนัก 20 ปีที่ผ่านมา เขาช่วงชิงสิ่งที่ต้องการ ทำลายสิ่งที่ไม่ต้องการ ไม่ใช่ว่าเขาสร้างอลันดาลเพราะไม่อยากยุ่งกับการต่อรองน่ารำคาญนี่เหรอ?
“ไปเจรจาเรื่องนี้ที่อลันดาลแล้วกัน ฉันจะทิ้งมันไว้ที่นั่นอันนึง”
“...!”
ดวงตาทอมลุกวาว หมายความว่าวูจินมีมากกว่าหนึ่งชิ้น? ตัวอย่างที่ใช้ทดลองยิ่งเยอะยิ่งดี ถ้าพวกเขาต่อรองได้ดี...
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรา”
“คุณไปทำธุระของคุณเถอะ”
“คุณจะไปที่พระราชวังไหม? มีคำเชิญคุณให้ไปได้ตลอดเวลา”
“ถ้าใครอยากเจอฉันก็มาหาได้”
“มันเป็นคำเชิญจากพระราชินี”
“แล้วมันทำไม?”
“...”
“...”
วูจินยิ้มแล้วหันหลัง
“คนที่อยากเจอฉันก็ควรจะเป็นฝ่ายมาหาฉัน ฉันมีคนอื่นที่ต้องไปเจอ”
วูจินหันไปอย่างมาดเท่ ทอมไม่แม้แต่คิดจะหยุดเขา
“เฮ้อ เรื่องนี้เหนือความสามารถของฉัน”
วูจินเรียกเครื่องบินหนึ่งลำ... ทอมเป็นแค่ประธานของสมาคมผู้มีพลังพิเศษ เรื่องนี้เกินอำนาจของเขา
ในเมื่อทุกประเทศเล็งไอเทมชิ้นนั้นอยู่ พวกเขาต้องรีบส่งนักต่อรองที่เก่งที่สุดไป
เมื่อวูจินไม่รู้สึกถึงทอมอีก เขาส่งกองทัพผีดิบทั้งหมดกลับไปยังอาณาเขตมิติ
วูจินขี่ม้าปีศาจไประยะหนึ่งจนถึงสุดขอบเมืองที่ถูกทำลาย
“ขอบคุณที่ท่านทำงานหนักค่ะ ท่านจ้าว”
“เธอยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
แน่นอนเธอยุ่ง ความโกลาหลคราวนี้ทำให้เกิดผู้บาดเจ็บมากมาย
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ฉันจะไปกับคุณค่ะ”
“ยังไงก็ได้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตามวูจินไปโดยทิ้งผู้บาดเจ็บที่กำลังครางไว้ข้างหลัง นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เพื่อความอยู่รอดของอัลเฟน...
พวกเธอกำลังไปหานักปราชญ์คนหนึ่งที่สั่งสมความรู้ด้านดันเจี้ยนมากที่สุดในโลก
“แล้วนักข่าวคนเมื่อกี๊ล่ะ?”
“เธอออกไปเอารถค่ะ”
“เหรอ?”
ไม่นาน โจนี่ก็ขับรถ SUV คันเก่าของเธอออกมา เธอลงจากที่นั่งคนขับแล้วโค้งต่ำให้วูจิน
“ขอโทษที่รับรองคุณได้ไม่เต็มที่นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ฉันไม่ได้อยู่หรูอะไร”
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในสนามรบ ชีวิตเขาจึงห่างจากความหรูหรา แน่นอน ตอนอยู่ในอลันดาล เขาได้รับการปฏิบัติเหมือนจักรพรรดิ
เมื่อวูจินนั่งบนที่นั่งแข็งกระด้างดีแล้วรถก็ออกวิ่ง
เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากลอนดอน รถมาจอดตรงที่ๆเต็มไปด้วยตึก 4 ชั้น
“นี่เป็นเมืองที่สร้างขึ้นหลังเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกค่ะ”
ในประเทศที่มีสถานีรถไฟใต้ดินจะเกิดเหตุการณ์หนึ่งคล้ายกัน
ขอบเขตสถานีใต้ดิน
ยิ่งอยู่ห่างจากดันเจี้ยนความปลอดภัยจะเพิ่มขึ้น
อาศัยอยู่ใกล้ดันเจี้ยนดีก็ต่อเมื่อคนๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิลด์หรือทำงานที่เกี่ยวกับธุรกิจดันเจี้ยนเท่านั้น
ถนนแคบลงเมื่อพวกเขาเดินทางผ่านตึกต่างๆ สุดท้ายพวกเขาก็หยุดตรงที่หมาย
“ตึกนั้นค่ะ”
“ดูไม่เหมือนศูนย์วิจัยเลยนะ”
“ศูนย์วิจัยถูกทำลายไปในวิกฤติครั้งล่าสุดค่ะ ที่นี่เป็นที่พักของด็อกเตอร์ท็อปเลอร์”
“หืม เหรอ?”
โจนี่นำทางวูจินไปยังบ้านด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ ใช้เวลานานกว่าด็อกเตอร์จะตอบรับเสียงกริ่งประตู
[ใครครับ?]
มันคือเสียงที่คุ้นเคย เขาเคยได้ยินในโทรทัศน์
“คังวูจิน”
[...เข้ามาเถอะ]
ประตูปลดล็อกเผยให้เห็นตัวบ้านด้านใน มันสกปรกจนชวนให้สงสัยว่าเคยทำความสะอาดมาก่อนบ้างหรือไม่ วูจินหันไปมองโจนี่
“เธอไปได้แล้ว”
“คือว่า...”
“อะไร? พูดมาสิ”
โจนี่ลังเล จากนั้นเธอรวบรวมความกล้าแล้วถาม
“ขอถ่ายรูปเซลฟี่ได้ไหมคะ?”
“เอาสิ”
วูจินตกลงโดยไม่ลังเล โจนี่หัวเราะดีใจและหยิบมือถือออกมา
“เธอก็มาด้วย”
“...”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆเข้ามาถ่ายรูปด้วย
“ขอบคุณค่ะ”
“เรื่องเล็ก ฉันจะโทรหาเธออีก”
“เอ่อ ไม่คิดจะสร้างบัญชี SNS เหรอคะ? จะได้ติดต่อกับ S.E.E ได้สะดวก”
“ฉันจะคิดดู”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอ ‘ขอบคุณ’ กับทุกคำที่เขาพูด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชิน
มันเหมือนองค์กรในอัลเฟนที่นับถือผู้ไม่ตาย
วูจินกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในบ้านรก บ้านไม่ใหญ่นัก มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอนที่สามารถเห็นได้จากประตู
ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์อยู่ในห้องครัว เขากำลังต้มน้ำ
“เชิญนั่ง”
“คุณพูดเกาหลีคล่องดีนะ”
เมื่อวูจินนั่งลง ท็อปเลอร์รินน้ำร้อนลงในถ้วยชา เขาพูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ยังยืนอยู่
[สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เชิญนั่ง]
“...”
“...”
วูจินหน้าเครียด เมโลดี้ก็ตกใจ วูจินเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เพียงพริบตาเดียวมีดสั้นก็ถูกเรียกออกมาจ่อคอท็อปเลอร์
[นายพูดภาษาอัลเฟนได้ยังไง?]
[ผมเรียนมัน]
เรียน? เขาไม่น่าจะเคยอยู่ที่โลกอัลเฟนแต่พูดภาษาที่นั่นได้?
[นายเป็นลอร์ดมิติเหรอ?]
[ไม่ใช่]
[งั้นนายเป็นตัวอะไร?]
“คุณพูดเกาหลีเถอะ”
“หา”
วูจินจ้องท็อปเลอร์แล้วอึ้ง พวกเขาจ้องกันเป็นเวลานาน
‘ไอ้นี่ไม่กลัวตาย’
ดูเหมือนการข่มขู่ไม่มีผลกับเขา ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกนี่คืออะไร?
วูจินลุกพรวดขึ้น
เขาถอยไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่ละสายตาจากท็อปเลอร์ จากนั้นเปลี่ยนมีดสั้นเป็นหอก บรรยากาศตึงเครียด
วูจินถามหน้าตึง
“นายเป็นตัวอะไร?”
เขาพูดภาษาเกาหลีได้ดีเหมือนเจ้าของภาษา เขายังรู้จักภาษาอัลเฟน แต่นี่ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง
อีกสิ่งหนึ่งนั้นทำให้วูจินคิดหนัก
“ทำไมนายถึงไม่มีวิญญาณ?”
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
วูจินไม่รู้สึกถึงวิญญาณของเขาเลย
คน สัตว์ มอนสเตอร์หรือแม้แต่แมลงมีวิญญาณ มันมีทั้งสีดำสนิทไปจนถึงกระจ่างใส แม้แต่ลอร์ดมิติก็เป็นเช่นกัน
เขาไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ไม่มีวิญญาณมาก่อน
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก ความกลัวจากความไม่รู้จะมีมากขนาดไหน? วูจินมีสีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อหยดลงจากหน้าผาก
อีกด้าน ท็อปเลอร์หัวเราะอย่างใจกว้าง
“คุณไม่ต้องระแวงขนาดนั้น เป้าหมายของผมก็เหมือนกับคุณคังวูจิน”
“ฉันถามว่านายเป็นตัวอะไร!”
“...ผมเป็นมนุษย์มาจากมิติอื่น”
มิติอื่น? มิติเดียวกับอัลเฟนหรือเปล่า?
แล้วทำไมวูจินไม่รู้สึกถึงวิญญาณของท็อปเลอร์เลย ความระวังภัยของวูจินไม่ลดลงเลย
“คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่ว่าคุณมีเรื่องจะถามผมไม่ใช่เหรอ?”
“...”
วูจินหรี่ตา
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ เขารู้มากกว่าที่วูจินคาดไว้มาก
ท็อปเลอร์เสแสร้งเมื่อออกมาคุยเกี่ยวกับการทดลองของเขาในโปรแกรมโทรทัศน์ ที่จริงเขารู้ความลับของดันเจี้ยนมากกว่าที่เปิดเผยในสื่อ
วูจินเก็บอาวุธนักรบแล้วนั่งลงตามเดิม
เขาไม่สนแม้คนๆนี้จะไม่มีวิญญาณ ต่อให้ไม่ใช่มนุษย์ก็ช่าง
วูจินฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าต้องการ
“บอกทุกอย่างที่นายรู้มา”
สายตาคุกคามของวูจินจับจ้องที่ตัวด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
อ่านทีเดียวยาวติดงอมเลยครับ สองวันจบถ้าไม่ติดงานนี่คงอ่านวันเดียวจบ 555 แปลได้ดีมากเลยขอบคุณครับ
ตอบลบติดตามๆ
ตอบลบคังวูจิน มันควรจะเป็นผู้พรากชีวิตมากกว่าผู้ช่วยชีวิดนะ
ตอบลบ