วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 147

บทที่ 147 – ออกสำรวจ


ตามที่มินชานคาดเอาไว้ วูจินกลับมาถึงอลันดาลแล้ว

เขาใช้เวลาเดินทางจากลอนดอนถึงโซลน้อยกว่า 5 นาที...

มันเป็นสถานที่ที่มีดันเจี้ยนซึ่งอาจเป็นปราการสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ตั้งอยู่

“ผมมาตามคำสัญญา”

บลังกายืดอกเมื่อมาเข้ามาในห้องประธาน ยืนตรงหน้าวูจิน

มินชานกับซุงฮุนก็เข้ามาด้วย วูจินจึงถามพวกเขา

“ทำไมพวกนายมาด้วยกันได้?”

“พวกผมเจอเขาที่ประตูหน้าน่ะ”

“อืม ทุกคนนั่ง”

ทุกคนนั่งลงที่โซฟาอีกด้านของวูจิน เลขานุการคนหนึ่งนำชาเข้ามา

ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมอลันดาลเพิ่มขึ้นมาก

ใต้ท้องฟ้าเมืองโซล พื้นที่ปลอดภัยที่สุดคือที่ใกล้สถานีโซล มันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของอลันดาล

แม้จะไม่มีการประกาศรับสมัคร คนยังเข้ามาของานทำในกิลด์ ดูเหมือนว่าบลังกาจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชาวต่างชาติมาหางานเขาจึงถูกห้ามเข้า

“ทำไมนายมาช้านัก?”

“ยามหน้าประตูไม่ยอมให้ผมเข้ามาเร็วกว่านี้ ช่างน่าเศร้า”

เขาถูกทำเหมือนเป็นแรงงานต่างชาติ บลังกาจึงรู้สึกผิดหวังมาก วูจินยิ้ม

“โกหกล่ะสิ นายไม่อยากมาที่นี่เอง”

“ม...ไม่ใช่นะ ผมอยากมาที่นี่”

ท่าทางลนลานของบลังกาเท่ากับยืนยันข้อสงสัยของวูจิน

ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือความรู้สึกติดค้างอะไร สุดท้ายเขาก็มาแล้ว

วูจินได้เราส์สายบัฟฝีมือดีมาหนึ่งคน

“หัวหน้ากิลด์วิษณุฝากบอกอะไรบ้างหรือเปล่า?”

“เขาฝากให้บอกคุณว่าเขารักษาสัญญาแล้ว”

วูจินยิ้ม

เขาได้เราส์ฝีมือดีแลกกับดันเจี้ยนในเดลี

หัวหน้ากิลด์วิษณุคงคิดหนักว่าจะยอมเสียดันเจี้ยนเพื่อเก็บบลังกาไว้ดีไหม แต่ระหว่างนั้นดันเจี้ยนก็ระเบิดอีกและเขาต้องช่วยกองทัพสู้กับมอนสเตอร์ลอร์ด

ถ้าเกิดหายนะในอินเดียอีกจะเป็นอย่างไร?

เพื่อเป็นหลักประกันหายนะภายภาคหน้า หัวหน้ากิลด์จึงรีบส่งบลังกาตามสัญญา

“ฉันบอกว่าจะช่วยสองครั้งใช่ไหม?”

“ครับ”

วูจินสัญญาว่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทที่กิลด์วิษณุเคลียร์ไม่ไหว เขายังสัญญาจะให้สิทธิ์จัดการดันเจี้ยนนั้น 100%

มองจากด้านพวกเขา สิทธิ์จัดการดันเจี้ยนเป็นแค่โบนัส ที่พวกเขาต้องการจริงๆคือการประกันว่าวูจินจะช่วยอินเดียจากหายนะ 2 ครั้ง

“อืม เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่อลันดาล”

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

เมื่อคุยจบ จุงมินชานเขย่ามือบลังกา

“ยินดีต้อนรับ ผมชื่อจุงมินชาน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“คุณพูดเกาหลีเก่งมาก”

บลังกาเป็นเราส์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอินเดีย จุงมินชานรู้จักเขาอยู่แล้ว และยังได้ยินเรื่องที่บลังกาได้รับการทาบทามจากที่นี่ เขาจึงรู้เรื่องดี

“ท่านประธาน เราจะปฏิบัติตัวกับคุณบลังกายังไงดี? เขาเป็นคนของอลันดาลหรือกิลด์เขาส่งมาประจำการที่นี่?”

“นายกำลังถามว่าเขาเป็นตัวประกันหรือทาสใช่ไหม...”

จุงมินชานกระแอมเมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน เขาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก

“จะถูกขายหรือให้ยืมก็ช่าง ทำกับเขาแบบที่นายเห็นควรเถอะ”

“...”

วูจินไม่สนว่าความจงรักภักดีของบลังกาอยู่ที่ใคร ที่สำคัญคือเขาได้ใช้พลังสนับสนุนของบลังกา

หลังจบงาน วูจินไม่สนใจว่าบลังกาจะยังอยู่อลันดาลหรือกลับอินเดีย

“ฮะๆ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”

“ดี”

วูจินตอบแล้วเอียงคออย่างสงสัยเมื่อเห็นมินชานกับซุงฮุนยังยิ้ม

“พวกนายทำไมเอาแต่ยิ้มใส่ฉัน?”

“วันนี้เราจบสนธิสัญญาได้แล้วครับ”

มินชานเปิดกระเป๋าเอกสารและดึงซองเอกสารหนาออกมา เขาพยายามส่งให้วูจินแต่วูจินผลักมันออก

“เล่ามาย่อๆพอ”

“มีจุดสำคัญ 2 จุดครับ”

“คืออะไร?”

“นครรัฐอลันดาลได้รับการยอมรับจากเกาหลี”

“แล้วอีกข้อ?”

“รัฐธรรมนูญถูกแก้ไข พวกเราสามารถมี 2 สัญชาติ พลเมืองอลันดาลไม่จำเป็นต้องทิ้งสัญญาติเกาหลี”

“ดี”

ในที่สุดอลันดาลก็ได้รับการยอมรับเหมือนอย่างวาติกัน

นี่หมายถึงพนักงานสามารถเดินทางมาทำงานในอลันดาลได้เหมือนที่ทำงานอื่นๆ

พวกเขาได้สิทธิ์เหมือนชาวเกาหลีทั่วไป ในขณะเดียวกันก็เป็นคนของอลันดาล นี่จะช่วยลดความวิตกกังวลของพนักงาน

“เพราะท่านประธานนั่นล่ะ ผมควรเรียกท่านว่าฝ่าบาทแล้วสิ?”

“เฮ้ สมควรเรียกอย่างยิ่ง”

“...”

มินชานแค่พูดเล่น เขามองสีหน้าเอาจริงของวูจินแล้วตะกุกตะกักออกมา

“ครับ ฝ่าบาท”

“เฮ้ย ฉันพูดเล่น”

“ฮะๆ”

ไม่เห็นเหมือนพูดเล่นเลย...

“เอาเถอะ ที่ฉันอยากได้เอกราชเพราะความสะดวก นายจะเรียกฉันยังไงก็ได้”

ตอนนั้นเอง เลขานุการคนหนึ่งเคาะประตูเข้ามา

“กรรมการฮงซุงกูมาถึงแล้วครับ”

วูจินลุกขึ้น

ที่เขานั่งเสียเวลาในห้องประธานเพราะรอซุงกูอยู่

“ท่านจะไปไหน?”

“ไปฝึก ตอนนี้พวกเรามากันเกือบครบแล้ว”

“เอ่อ ท่านจะปราศรัยเนื่องในโอกาสตั้งประเทศก่อนไปได้ไหม?”

“นายทำสิ ฉันยกตำแหน่งนายกให้นายเพราะอย่างนี้”

“...ในฐานะพระราชาพระองค์แรก ท่านควรเป็นคนกล่าว”

“ก็ได้ ไปรวบรวมคนมาตอนนี้เลย ฉันจะไปหลายวัน”

“ผมจะไปเตรียมการครับ”

จุงมินชานรู้จักนิสัยวูจินจึงรู้ว่าเขาต้องเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็ว เขาออกจากห้องประธาน ซุงฮุนก็ลุกขึ้นด้วย

“ถ้างั้นผมก็ไปก่อนนะครับ”

“อืม แล้วก็นายควรติดต่อกิลด์แฮมเมอร์ด้วย พวกนั้นต้องเป็นคนจัดงานประชุมกิลด์แต่ทำไมยังไม่ติดต่อฉัน?”

“อา! ผมจะไปถามเดี๋ยวนี้ครับ”

บลังกาหลังจากลาซุงฮุนแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาช้าๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมก็...”

“นายอยู่นี่”

“ครับ”

บลังกานั่งลงใหม่แล้วถามคำถามที่เขาสงสัย

“ตอนนี้ผมเป็นตัวประกันเหรอ?”

“นายอยากเป็นอะไรก็เป็นสิ”

“...”

ตอบอะไรแบบนี้?

“ผมมาที่นี่ด้วยความสมัครใจ”

“ฉันบอกอย่างอื่นเหรอ?”

“ผมอาสาเป็นคนของอลันดาล...”

“คนที่รู้ตัวว่าผิดไม่จำเป็นต้องมีคนกล่าวหา นายแค่อยู่ตรงนี้และทักทายกับสมาชิกคนอื่นที่จะมาถึงก็พอ”

“...ครับ”

หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ ซุงกูกับฮีซอลมาถึงห้องประธาน

“ลูกพี่เรียกผมเหรอ?”

“ใช่ มานั่งนี่”

“หือ บลังกา?”

“ไม่เจอกันนานนะครับ”

“เฮะๆ เพิ่งมาถึงเหรอครับ?”

“ครับ ผมอาสามาเป็นพลเมืองอลันดาลด้วยความสมัครใจ”

“...?”

ซุงกูงงเมื่อได้ยินคำประกาศแปลกๆของบลังกา

ฮีซอลที่อยู่ถัดจากซุงกู ยื่นมือมาทักทาย

“ยินดีต้อนรับค่ะ”

“อ้า ครับ”

“สหาย”

“...”

ทำไมตอนเขย่ามือกัน บลังกาถึงรู้สึกว่าฮีซอลยินดีเกินเหตุนะ?

ฮีซอลกับซุงกูเข้ามารุมล้อมบลังกาเพราะเขากำลังจะกลายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับพวกเขา

สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในระหว่างการสนทนา

วูจินหน้าเคร่งลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ

“โซอาเป็นไงบ้าง?”

“เธอกำลังจะตื่นค่ะ”

เธอจะกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพหรือเทพี?

เรื่องนั้นไม่สำคัญ เธอกำลังเป็นตัวแทนของเทพที่เพิ่งตื่น

ระหว่างขั้นตอน ถ้าเธอทนไม่ไหว เธอจะตาย ถ้าเธอทนได้ พลังของเธอจะตื่นขึ้น จะยังมีการชักเป็นครั้งคราวและมันเป็นขั้นตอนที่เธอต้องผ่านเพื่อปรับตัวสำหรับชีวิตใหม่

เงาบนหน้าของวูจินหายไป

“มากันครบแล้ว ทุกคนนั่ง”

“...”

เราส์ของอลันดาลมารวมกันครบ ทุกคนมีพลังและแรงค์ที่ไม่อาจมองข้าม

พวกเขามีจำนวนน้อย แต่คุณภาพเทียบเท่ากับกิลด์ส่วนใหญ่ วูจินยังมีพลังเหนือกว่ากิลด์ด้วยซ้ำ ความสามารถในการรบของเขาใกล้เคียงกับกองกำลังของประเทศ

“ฉันอยากให้พวกนายเดินทางไปโลกอื่น”

“เราจะไปอัลเฟนกันหรือคะ?”

“ยังก่อน...”

เขาเพิ่งซื้อดันเจี้ยนแห่งหนึ่งในอัลเฟน มีผู้ท้าเข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนมากมายดังนั้นวูจินจึงต้องส่งคิบะไปป้องกันอาณาเขตมิติของเขา คิบะกำลังยุ่งมาก

“ฉันจะไปโลกจาคุ”

“หืม”

ถึงจะกำลังพูดถึงมันอยู่แต่ก็ไม่มีใครมีข้อมูลของโลกจาคุนัก

พวกเขาแค่ต้องทำตามคำสั่งวูจินในระหว่างที่วูจินเปิดเผยข้อมูลให้พวกเขาได้รู้มากขึ้น

“ราชาคอยที่เคยเชื่อมต่อกับโลกเกี่ยวข้องกับสมาพันธ์กิ้งก่าเหลือง เราไปที่นั่นเพื่อล่าในดันเจี้ยนพวกมัน”

“พวกเราก็ไปด้วยเหรอคะ?”

ฮีซอลถาม วูจินพยักหน้า

“ถ้าจะสร้างสนามรบ เราควรไปที่ที่ตั้งหลักของพวกมัน เธออยากสู้ที่โลกเหรอ?”

“คุณตัดสินใจถูกแล้วค่ะ”

ถ้าสู้ที่โลก พวกเขาจะได้กำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของแพ้หรือชนะ การนำความสูญเสียมาสู่โลกไม่ใช่เรื่องดี ถ้าพวกเขาจะทำสงคราม ไปทำหน้าบ้านศัตรูดีกว่า

“ฉันจะแบ่งกลุ่มของเราเป็นสามกลุ่ม ฉันไปของฉันเอง พวกเธอร่วมมือกัน”

“กลุ่มสุดท้ายล่ะคะ?”

“คิดว่าไงล่ะ?”

วูจินยิ้มพลางมองซุงกู

“ซุงกู นายตามเจนิส เรียนรู้จากเขาไปด้วย”

“...”

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

ซุงกูหน้าดำลง

***

เดิมอลันดาลเป็นพื้นที่เตรียมไว้สำหรับใช้ในการทหาร มันถูกแบ่งเป็นสามเขต

มีอาคารไม่หรูหราแต่ใหญ่โตที่สร้างเหมือนโรงเรียน โรงยิมแห่งหนึ่งตั้งถัดจากอาคารหลัก ยังมีเขตหวงห้ามชื่อ ‘เชฮีซอลซาฟารี’ มันเป็นที่อยู่ของมอนสเตอร์ที่ถูกฝึกแล้ว พวกมันเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้ในยามคับขัน

พนักงานอลันดาลทุกคนมารวมตัวกันในโรงยิม

นอกจากนั้นยังมองเห็นนักข่าวจำนวนหนึ่งที่มินชานเชิญมาอย่างเร่งด่วน

เก้าอี้จำนวนหนึ่งตั้งบนเวที มีสมาชิกแรกก่อตั้งและสมาชิกคนสำคัญของอลันดาลนั่งอยู่

คังวูจินถามมินชานอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นคนแน่นโรงยิม

“เรามีคนมากขนาดนี้เลยเหรอ?”

“พวกเขาเป็นคนเก่งที่ผมตั้งใจเลือกมาเลยนะ”

“...”

วูจินคาดไม่ถึงว่าคนเก่งที่พวกเขาจ้างมาจะเกือบพันคน

ในอลันดาลมีเราส์ไม่ถึง 10 คน แต่มีพนักงานในหน่วยสนับสนุนมากขนาดนี้...

“ฉันว่าเราต้องหาเราส์มาเพิ่มอีกหน่อย”

“ที่จริง ใบสมัครก็ท่วมหัวเราแล้ว เป็นเราส์แรงค์ B หรือสูงกว่าด้วยครับ”

อลันดาลเป็นกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่ใช่สิ พวกเขากลายเป็นประเทศแล้ว...

เสียงของวูซุงฮุนดังผ่านไมโครโฟน

“ต่อไปนี้เราจะเริ่มการประกาศก่อตั้งประเทศอลันดาล ก่อนอื่น...”

ซุงฮุนกำลังอ่านคำปราศรัยที่ร่างขึ้นอย่างเร่งด่วนอยู่เมื่อมือข้างหนึ่งมาแตะไหล่ เขาหันไปมอง วูจินกำลังยืนข้างๆเขา

“ถอยไป แบบนี้มีหวังใช้เวลาทั้งวัน”

“ครับ”

วูจินเดินผ่านแท่นกล่าวคำปราศรัยไปยืนตรงหน้าเวที เขาไม่ต้องใช้ไมโครโฟน

ควันสีดำก่อตัวรอบวูจินและรวมตัวเป็นอสูรของเขา

“เรากำลังเล่นกับครูเจมินอยู่เลย เรียกมาทำไมเหรอ?”

[ท่านจ้าว!]

[ต้องการใช้ค้อนของแรมสันผู้นี้หรือ?]

[ก๊ากฮ่าๆ คราวนี้เราจะล่าพวกมนุษย์หรือ?]

เวทีเต็มไปด้วยอสูรที่คุยเสียงดังหลังถูกเรียกออกมา

“ทุกคนเงียบ”

วูจินมองพนักงานที่อยู่ด้านล่าง

คนเหล่านี้ถูกเลือกโดยจุงมินชานผู้เป็นรองประธานและนายกรัฐมนตรีของอลันดาล ถึงอย่างนั้น คนเหล่านี้ก็มารวมกันในชื่ออลันดาล

ถ้าคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน อย่างน้อยที่สุดกลุ่มควรคิดเห็นเหมือนหัวหน้า

“เมื่อ 5 ปีก่อน ฉันถูกเรียกไปที่อัลเฟน ฉันอยู่ข้างความตายมาตลอด 20 ปี”

วูจินไม่ใช้ไมโครโฟนแต่เสียงของเขาดังถึงทุกคนในโรงยิม

“มอนสเตอร์ที่กลืนกินอัลเฟนกำลังเล็งมาที่โลก”

เมื่อเขาพูดแบบนั้น ทุกคนรู้สึกถึงความกราดเกรี้ยว

น้ำเสียงของวูจินดุเดือดขึ้นอีก

“คนที่สู้ด้วยกันกับฉันจะเป็นสหาย! คนที่หนีจะเป็นผีร่วมรบ!”

[โอ!]

อัศวินมรณะส่งเสียงคำราม

วูจินพูดกับพนักงานที่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาต่อ

“ถ้าพวกนายมาเพราะคิดว่าอลันดาลเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดก็เข้าใจผิดถนัด ที่นี่คือแนวหน้าของสนามรบ”

วูจินพูดไม่ผิด เขามีศัตรูมากมายเป็นลอร์ดมิติ มอนสเตอร์ลอร์ดปรากฏตัวในโซลมากมายในหายนะครั้งก่อน

“คนที่มารวมกันใต้ชื่ออลันดาลทุกคนคือนักรบ!”

ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย

“ถ้าพวกนายอยากตายก็วิ่งหนีซะ”

ถึงพวกเขาจะหวาดกลัวหนีไปก็ไม่เป็นไร วูจินขู่พวกเขาเพราะเหตุนี้ คนที่ไม่มีความกล้า ให้ติดตามเขาในฐานะผีดิบดีที่สุด

หน้าผานรกอยู่ตรงหน้าอลันดาลเพียงก้าวเดียว

ที่นี่คือที่ใกล้กับเส้นแบ่งความเป็นกับความตายที่สุด

ถ้าพวกเขาติดตามวูจิน พวกเขาจะผ่านประตูความตายก่อนใคร

“ฉันประกาศก่อตั้งอลันดาล ณ บัดนี้”

คนมองวูจินกล่าวคำปราศรัยหน้าซีด



                              สารบัญ                                                      บทที่ 148




วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 146

บทที่ 146 – ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ (2)


“เป้าหมายของผมเป็นไปทางเดียวกับของคุณ”

“หมายถึงปกป้องโลกน่ะเหรอ?”

ท็อปเลอร์ยิ้มพยักหน้า

“ผมเป็นคนสนับสนุนให้ทุกคนสามารถปกป้องโลกของตัวเองได้”

ชาสีขาวน้ำนมละลายเมื่อน้ำร้อนเทลงบนถุงชา วูจินหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบ

“นายอยู่บนโลกมานานแค่ไหนแล้ว?”

“ถ้าหมายถึงอายุ ผม 45 ปี”

“นายล้อฉันเล่นเหรอ?”

“ผมพูดจริง...”

วูจินจ้องเขาก่อนถามต่อ

“ทำไมนายไม่บอกคนอื่นว่าจะเกิดดันเจี้ยนช็อก?”

“คนจะคิดว่าผมบ้าน่ะสิ”

“ก็จริง”

วูจินพยักหน้า

“แล้วการคาดคะเนที่นายพูดในรายการทีวีล่ะ?”

ท็อปเลอร์เป็นที่รู้จักในฐานะยอดนักวิจัยด้านดันเจี้ยน

เขาสร้างสมมติฐานขึ้นมาไม่น้อยและพูดถึงเหตุผลเบื้องหลังรูปแบบดันเจี้ยนและความเกี่ยวพันกับมอนสเตอร์ในนั้น ยิ่งกว่านั้นเขายังประกาศว่าธุรกิจดันเจี้ยนเป็นตัวเร่งให้เกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท

“ทั้งหมดนั่นเป็นความจริง”

มันไม่ใช่สมมติฐาน เขาบอกความจริง

ท็อปเลอร์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?

จากประสบการณ์ตรงเหรอ?

“ทำไมนายไม่เปิดเผยข้อมูลให้มากกว่านี้?”

“ถ้าผมบอกทุกอย่างที่รู้คงไม่มีใครเชื่อ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?”

การค้นคว้าของเขาไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในอังกฤษ การค้นคว้าของเขาเกี่ยวกับดันเจี้ยนเป็นที่รู้จักทั่วโลก คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักยิ่งกว่า 5 ปีก่อน

“ผมไม่มีทางแก้ ถ้าพูดถึงมันก็มีแต่จะทำให้ปั่นป่วน”

ท็อปเลอร์ถูกอีกแล้ว

วูจินเลิกคิ้ว

“งั้นบอกเรื่องที่นายยังไม่พูดมา”

“คุณรู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เขาพูดเป็นนัยว่าวูจินเห็นทุกอย่างแล้วบนอัลเฟนที่มีดันเจี้ยนเกิดขึ้น

เมโลดี้หน้าหม่นลง

วูจินเอนหลังพิงเก้าอี้พลางดื่มชา

“ก็ได้ ดูจากท่าทางของนาย นายรู้อยู่แล้วว่าฉันจะกลับมาที่โลกใช่ไหม?”

“ผมรอใครสักคน”

“งั้นก็ไม่ต้องเป็นฉันก็ได้?”

ท็อปเลอร์นิ่งเป็นการยอมรับ วูจินถามอีก

“โลกของนายชื่ออะไร?”

“ผมจะบอกคุณทีหลัง”

วูจินยักไหล่

“ก็ได้ นายจะมาจากโลกไหนไม่สำคัญกับฉัน”

วูจินร่วมมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากอัลเฟน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ร่วมมือกับคนจากมิติอื่น แน่นอนมีเหตุผลอื่นที่เขาอยากร่วมมือกับท็อปเลอร์

“มาแบ่งสิ่งที่ต่างคนต้องการเถอะ”

วูจินตามหาคำตอบของคำถามจำนวนหนึ่งมา 20 ปีแต่ไม่สำเร็จ เขาถามหนึ่งในคำถามนั้น

“ฉันไม่อยากให้ลอร์ดมิติเชื่อมต่อกับโลกได้อีก ไม่สิ ฉันอยากทำลายดันเจี้ยนทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับโลก นายรู้วิธีไหม?”

เสียงวูจินเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ถ้าท็อปเลอร์ไม่รู้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะร่วมมือกับคนจากมิติอื่น

“แน่นอน”

วูจินตาพราว เขารักษาท่าทางเยือกเย็นเอาไว้เพื่อซ่อนเสียงหัวใจเต้นแรง

“ต้องทำยังไง?”

“คุณรู้จักตัวจริงของทราห์เน็ตหรือเปล่า?”

“พอรู้คร่าวๆ”

“ผมว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคงไม่สำคัญ ทราห์เน็ตทำให้เกิดเครือข่ายเหนือธรรมชาติระหว่างโลกต่างๆ”

“การเคลื่อนที่ระหว่างมิติ”

“ใช่แล้ว การเชื่อมโยงแบบไม่เสถียรที่ยอมให้สิ่งมีชีวิตเดินทางไปยังมิติอื่น”

นั่นเป็นสิ่งที่เกิดกับวูจิน เขาข้ามมิติไปยังอัลเฟน

มันเหมือนท็อปเลอร์รู้อดีตของเขา วูจินตงิดใจกับเรื่องนี้

“นายสังเกตฉันมานานแล้วเหรอ?”

“ไม่เลย ผมเพิ่งรู้เรื่องของคุณจากข่าว”

เรื่องเกี่ยวกับวูจินถูกแปลและเผยแพร่ไปทั่วโลก มันเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผล

“ไม่ใช่ว่าผมรอคุณคังวูจิน ผมแค่รอใครสักคนที่สามารถแก้ไขโลกของผมได้”

“อืม ก็ได้ ฉันไม่รู้ว่านายรอใคร แต่ที่ฉันเคยไปอัลเฟนแล้วกลับมาเป็นเรื่องจริง”

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด มีหลายคนที่หลงไปมิติอื่นเหมือนคุณ แต่คนที่รอดจากประสบการณ์นั้นมาได้นี่สิที่หายาก”

อาจมีคนอื่น แต่วูจินเป็นคนเดียวที่ได้กลับโลก

“ถ้าทราห์เน็ตคือเครือข่ายเหนือธรรมชาติ อย่างนั้นอาณาเขตมิติก็คือจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกต่างๆ”

“ฉันถามถึงวิธีแก้ไม่ใช่เหรอ?”

ท็อปเลอร์กระแอม

มาเริ่มอธิบายตั้งแต่ทฤษฎีกับคนใจร้อนไม่ใช่เรื่องฉลาด

“ถ้าคุณอยากหยุดการเชื่อมโยง คุณต้องสร้างไฟร์วอล”

“ทำยังไง?”

ท็อปเลอร์มองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ วูจินมองตาม

วูจินขมวดคิ้ว

“เทพ...”

“ถ้าไฟร์วอลอ่อนแอ ช่องโหว่จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามันแข็งแรง มันจะสะท้อนการบุกรุกทุกอย่าง”

บนโลกไม่มีเทพ

ไม่ใช่ มีองค์หนึ่งกำลังจะตื่นขึ้นนี่?

แต่การมีอยู่ของเทพไม่สำคัญแล้วเพราะเกิดการเชื่อมต่อขึ้นแล้ว พวกเขาไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอีกต่อไป

“การเชื่อมต่อไม่ใช่ไม่ดี มันทำให้คนท่องไปยังมิติอื่นๆได้โดยไม่สนเรื่องระยะทาง”

“แล้วฉันจะตัดมันได้ยังไง?”

“โลกไม่สามารถตัดการเชื่อมต่อได้อีกแล้ว”

“...”

วูจินลุกขึ้น

“คุยจบแล้ว”

วูจินเรียกหอกออกมาแต่ท็อปเลอร์ไม่แสดงความกังวลแม้แต่น้อย

“คุณบอกว่าผมไม่มีวิญญาณ”

“ใช่”

“คุณทำให้ผมมีความหวัง”

“หมายความว่าไง?”

“คุณมีดวงตาที่เห็นถึงความจริง คุณใกล้เคียงกับลักษณะคนที่ผมกำลังตามหามากที่สุด”

“แล้วไง? สำหรับฉันแล้วนายดูช่วยอะไรฉันไม่ได้มาก”

เขาไม่สนท็อปเลอร์ที่รอคนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง สิ่งสำคัญคือคำพูดของท็อปเลอร์ไม่มีประโยชน์กับเขา เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องสานสัมพันธ์ไร้ประโยชน์

ท็อปเลอร์พูดก่อนวูจินจะขยับหอก

“ปัญหาไม่ใช่การเชื่อมโยงแต่เป็นคนที่ใช้มันในทางที่ผิด ผมพูดถึงพวกลอร์ดมิติ”

พวกมันเป็นผู้รักษาจุดเชื่อมต่อ แต่พวกมันปรารถนาโลกต่างๆ

รากเหง้าของโศกนาฏกรรมทั้งหมดมาจากความโลภของพวกมัน

“ฉันฆ่าพวกมันแต่ไม่จบสิ้นเสียที ฉันจะหยุดพวกมันได้ยังไง?”

“ถ้าพวกมันแอบแฝงเหมือนไวรัส คุณต้องเป็นวัคซีน”

“...”

วูจินหน้าเครียด

“คุณคงรู้มาสักวิธีแล้ว”

“...”

มหาปราชญ์ของอัลเฟน

เจนิสเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นลิชและต่อสู้กับการบุกรุกของทราห์เน็ต วูจินจำคำพูดของครูเขาได้

‘อาวุธประหารของทราช’

ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าไอเทมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่และไม่มีวิธีหาข้อมูลของมัน

ดูเหมือนท็อปเลอร์จะไม่ตอบปัญหาเขาเลย

ตึง!

ท็อปเลอร์ลุกพรวดจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางห้องนอน

“ถ้าอยู่นานกว่านี้ผมคงถูกฆ่า การพบกันครั้งแรกของเราจบตรงนี้เถอะ”

“ฮะ!”

วูจินสูดลมหายใจสั้นๆ เขาเผลอปล่อยให้ท็อปเลอร์วิ่งหนี เมื่อท็อปเลอร์ผ่านประตูร่างเขาก็หายไป วูจินเห็นเหตุประหลาดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

“มันเป็นดันเจี้ยน”

บาเรียจะก่อตัวขึ้นภายใน 30 วินาทีหลังจากมีคนเข้าไป คนๆนั้นจะถูกตัดออกจากโลกภายนอกบาเรียโดยสิ้นเชิง วูจินกระโจนเข้าไปทางประตูอย่างเร็ว

“รอตรงนี้”

เขาทิ้งสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้วเข้าไปในดันเจี้ยน วูจินมองรอบห้องนอน

ซ่า

เขาขมวดคิ้วเมื่อบาเรียก่อตัวขึ้นที่ทางเข้าประตู

“ไอ้เปรตนั่น”

วูจินมองไม่เห็นวิญญาณของเขา จึงหาท็อปเลอร์ไม่ได้

โชคดีว่าที่นี่เป็นดันเจี้ยนที่เล็กที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

วูจินเตะเตียงเคลื่อนไปทางอื่น

เขาใช้หอกแทงใส่ตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อเปิดตู้ก็เห็นแต่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด

ห้องนอนเล็กนี้ๆมีเตียง,ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเท่านั้น

“เฮ้อ...มันเป็นตัวอะไรแน่?”

เหมือนกับว่าการสร้างดันเจี้ยนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับท็อปเลอร์ เขาสร้างดันเจี้ยนเล็กๆนี้ขึ้นมา

วูจินรู้ว่าเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างดันเจี้ยนนอกสถานีใต้ดินจึงไม่ประหลาดใจนัก แต่วูจินตามท็อปเลอร์เข้าดันเจี้ยนมา ท็อปเลอร์กลับหายไปจากดันเจี้ยน นี่แสดงว่าเขาเอาทฤษฎีดันเจี้ยนมาใช้เต็มที่

วูจิต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าท็อปเลอร์ไม่ได้ใช้ทักษะพรางตัวจึงปล่อยพิษออกมาเต็มห้อง เขายังโจมตีรอบห้องด้วยหอกวิญญาณ

“ฉันทำบ้าอะไรอยู่วะ...”

สายตาวูจินหยุดตรงหินรีเทิร์นสโตนที่วางบนโต๊ะ

ในนี้ไม่มีมอนสเตอร์ ไม่มีแม้แต่อุโมงค์ไปยังอาณาเขตมิติ มันเป็นแค่ห้องนอนห้องหนึ่ง

ต่อให้หาละเอียดกว่านี้เขาก็หาท็อปเลอร์ไม่เจอ วูจินจึงออกจากดันเจี้ยนโดยใช้หินรีเทิร์นสโตน

“คุณไม่เป็นอะไรนะคะ?”

“ไม่เป็นไร เธอพอจะรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมโลดี้เลิกคิ้ว จากมุมมองของเธอ ท็อปเลอร์ทำตัวแปลก แต่เธอบอกไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

“ฉันไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษค่ะ”

“เฮ้อ เจนิส”

ควันดำมารวมกันและลิชปรากฏตัว

เจนิสขมวดคิ้วเมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ มันขยับห่างจากเธอ วูจินถาม

“นายจำตอนนั้นได้ไหม”

[ท่านหมายถึงตอนไหน?]

“วันที่นายเลือกเป็นอสูรของฉัน”

[...]

วูจินมีสีหน้าจริงจัง

“ทำไมนายเลือกฉัน?”

[ท่านจ้าวมีคุณสมบัติพิเศษ]

“ตอนนั้นฉันไม่มี”

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้บอกท็อปเลอร์

[คุณสมบัติพิเศษที่ข้าพูดถึงไม่ใช่พรจากเทพ]

ความสามารถมองสีของวิญญาณได้มาหลังจากวูจินไปเจอเทพ แต่เจนิสมีเหตุผลอื่นที่ยืนยันจะเป็นอสูรของวูจิน

[มีเพียงไม่กี่คนที่มีศักยภาพขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเนโครแมนเซอร์ ในที่สุดแล้วท่านก็ไปถึงจุดนั้น ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกท่าน]

“เนโครแมนเซอร์...”

คุณสมบัติของการเป็นเนโครแมนเซอร์

เขาไปถึงจุดสูงสุดและเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับความตายมาแล้ว

เขาพร้อมจะสืบต่อเส้นทางของทราช...

“สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องหาอาวุธประหาร”

[ข้าคิดว่าการต่อชิ้นส่วนปริศนาดีกว่าพยายามทายคำปริศนา]

เซ็ทไอเทมของทราช มีหมวก เกราะ เข็มขัด ถุงมือและรองเท้า

เขาต้องหาชิ้นส่วน 5 อย่างนี้ก่อน อาวุธประหารของทราชยังไม่แน่ว่าจะมีจริงหรือเปล่า เขาจะห่วงเรื่องนั้นทีหลัง

“กลับกันเถอะ”

วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมอาณาเขตมิติอลันดาล

***

รถกำลังวิ่งไปทางเมืองหลวงอลันดาล จุงมินชานและวูซุงฮุนที่นั่งด้านหลังเอาแต่หัวเราะ

พวกเขาทำสัญญากับรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย เห็นได้ชัดทีเดียวว่าฝ่ายไหนเหนือกว่าดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หยา ตอนนี้ผมต้องเรียกคุณว่ารัฐมนตรีแล้วสิ? คุณไปเรียนภาษาต่างประเทศมากมายนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำได้ดีมาก”

มุมปากวูซุงฮุนกระตุกยิ้ม

“เฮ้อ นายกจุงต่างหากครับที่ทำงานหนัก”

“ฮ่าๆ นายกจุง!”

จุงมินชานทวนคำ มันทำให้เขาหัวเราะต่อ

เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขนาดนี้ กลายเป็นนายกรัฐมนตรี...

ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศตั้งใหม่ที่มีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นในโลก

เขาพยายามทำใจเย็นแต่ที่จริงแล้วแทบจะกดความทะเยอทะยานไว้ไม่ไหว

“เอ๊ะ? ดูเหมือนว่าท่านประธานจะเสร็จธุระที่อังกฤษแล้ว”

“อะไรกัน? ยังไม่มีใครติดต่อมานี่”

วูจินไปด้วยเครื่องบินของกิลด์ KH วูซุงฮุนควรเป็นคนไปกับวูจินแต่เขามีงานต้องทำจึงส่งลูกน้องไปแทน แต่ลูกน้องคนนั้นยังไม่ติดต่อมาเลย

“ดูนี่ครับ”

ซุงฮุนหันโทรศัพท์มือถือออกมา ในนั้นเป็นภาพเซลฟี่ของวูจิน สตรีศักดิ์สิทธิ์และนักข่าวชื่อโจนี่ที่อัพโหลดลง SNS

“คุณรู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมมีคนรู้จักในประเทศต่างๆเพราะเป็นหัวหน้าฝ่ายการทูต? ผมพบนักข่าวคนนี้ตอนไปตะวันออกกลางกับท่านประธาน เธอเป็นเพื่อนทาง SNS”

“ฮะๆ ถ้าเขาจัดการอาณานิคมที่อังกฤษเสร็จแล้วก็คงใกล้กลับมาแล้วล่ะ”

“นั่นสิ เราต้องรีบรายงานท่านประธานเรื่องวันนี้”

“ฮะๆ เราทำเรื่องใหญ่สำเร็จ”

จุงมินชานและวูซุงฮุนมีสีหน้าภูมิใจ

พวกเขาทำธุระสำคัญเสร็จเรียบร้อย สิ่งที่พวกเขาทำจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลก จุงมินชานอ่านรายงานสนธิสัญญาอีกครั้งอย่างไม่กลัวเมารถ

รถพาทั้งสองไปถึงประตูหน้าของอลันดาล แต่เกิดความวุ่นวายที่ประตู

“เฮ้ ผมบอกว่าคุณเข้ามาไม่ได้”

“เอ๋ ที่นี่คืออลันดาลไม่ใช่เหรอ? ผมรู้จักประธานนะ”

“ประธานไม่รู้จักคนอย่างคุณหรอก”

“ผมสัญญากับเขาว่าจะมาที่นี่”

“เฮ้อ คุณไม่มีชื่อในรายชื่อนัดพบนะ”

“คุณไม่รู้จักผมเหรอ? ผมมีชื่อเสียงในอินเดียอยู่นะ”

“ผมจะไปรู้จักคนจากอินเดียได้ยังไง?”

รปภ.ที่เฝ้าประตูหน้ากำลังโต้เถียงกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง โชคดีที่วูซุงฮุนเคยเจอคนๆนี้มาก่อน เขาลดกระจกรถแล้วตะโกนทัก

“บลังกา!”

“โอ้ ซุงฮุน!”

ตามที่สัญญาไว้ บลังกาออกจากกิลด์วิษณุและมาเกาหลี


สารบัญ                                               บทที่ 147




สงสัยเพราะอาทิตย์ก่อนมีหยุดยาวเลยมีนักอ่านคนใหม่แวะมา ยินดีต้อนรับค่ะ :D ช่วงวันหยุดเราก็ไปติดนิยายเหมือนกัน XD

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 145

บทที่ 145 – ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์



“อ๋อ มันย่อมาจาก ‘หูตาของผู้ช่วยชีวิต’ น่ะครับ”

“หูตาของผู้ช่วยชีวิต?”

“ครับ มันเป็นกลุ่มที่ติดตามคุณคังวูจิน พวกนักข่าวที่คุณช่วยไว้มารวมกลุ่มกัน...”

“...”

วูจินมองอย่างอึ้ง นักข่าวตอบอย่างภูมิใจ

“ถ้าคุณต้องการอะไร เราจะช่วยคุณทันที แค่ขอมา”

“หืม”

มันคือการรวมกลุ่มของนักข่าว

ถ้าองค์กรสักแห่งตัดสินใจจะติดตามใครคนหนึ่ง คนๆนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?

อาจรู้สึกอึดอัดที่ถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว อาจรู้สึกยินดีที่ได้รับความสนใจเหลือล้น

ในกรณีของวูจิน เขาเฉยๆ

‘ตั้งอะไรได้ประหลาดดีแฮะ’

วูจินยิ้มพลางโอบบ่านักข่าวให้เข้ามาใกล้ๆ จากนั้นชูมือทำเครื่องหมาย V

“เหมือนแฟนคลับใช่ไหม?”

“คล้ายกันครับ”

“ฉันจะใช้พวกนายบ้าง”

“เป็นเกียรติที่ได้ตอบแทนบุญคุณคุณครับ”

แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างวาบ

หลังคุยกันครู่หนึ่ง วูจินและสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากไป นักข่าววิ่งกลับไปที่รถแล้วเปิดแล็ปท็อป

-ประกาศถึงสมาชิกทุกคน คำสั่งแรกของผู้ช่วยชีวิตออกมาแล้ว เขาต้องการให้เรานัดหมายเขากับผู้เชี่ยวชาญด้านดันเจี้ยน ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์

นักข่าวจัดการเรื่องด่วนที่สุดคือถ่ายทอดคำพูดของวูจินก่อน จากนั้นเขาอัพโหลดรูปถ่าย

-นี่จะเป็นสมบัติประจำตระกูลของผม ไม่นึกเลยว่าจะได้ถ่ายรูปกับเขา...

เขามองประกาศที่เพิ่งอัพโหลดไปอย่างตื้นตันไม่หาย และยิ่งพอใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นมันถูกแชร์อย่างรวดเร็ว

***

<เพิ่มระดับ!>

วูจินไปถึงเลเวล 81 เขาเปิดหน้าต่างสถานะและเอาแต้มทั้งหมดไปเพิ่มบงการ

“ฝากพวกนายจัดการด้วย”

[เราทำตามประสงค์ของท่านจ้าว]

กองทัพผีดิบเริ่มสังหารมอนสเตอร์ที่เหลือ

หอนาฬิกาของลอนดอนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ความเสียหายรุนแรงจนน่าสงสัยว่าเมืองจะฟื้นฟูได้อีกครั้งไหม

การอพยพประชากรทำได้ช้า ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีกองทหารและอาวุธทรงพลังแต่ลังเลไม่โจมตีอาณานิคม ผลคือหายนะ

“เจอล่ะ”

วูจินเก็บชิ้นส่วนมิติ ตอนนั้นเอง ประธานองค์กรผู้มีพลังพิเศษของอังกฤษก็เดินมาหาวูจิน เขาชื่อ ทอม คล้าคสัน

“โฮ่ คุณเหมือนที่ผมได้ยินมาเลย กองทัพบริเตนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตคงมากกว่านี้ถ้าไม่มีคุณคังวูจินเข้ามา”

“อืม พวกเราต่างก็ได้ประโยชน์”

พวกเขาได้วูจินช่วย วูจินได้ค่าประสบการณ์และชิ้นส่วนมิติ

เขาได้ชิ้นแรกจากโรม ชิ้นที่สองจากลอนดอน รวมกับที่ได้จากเกาหลีเป็น 5 ชิ้น

ถ้ารวมกับที่ได้จากดันเจี้ยนของเดรด เท่ากับเขามี 6 ชิ้น

เขาสามารถซื้อดันเจี้ยนได้ เขายังสามารถรวมชิ้นส่วน 3 ชิ้นสร้างตราประทับมิติ

“เพราะอย่างนี้ผมจึงมีข้อเสนอ ทรัพย์สินที่ได้จากสงคราม...”

“ฉันไม่ต้องการศพหรืออาร์ติแฟค พวกคุณเอาไปได้เลย”

เขาไม่มีเหตุผลต้องมาแงะบลัดสโตนจากศพมอนสเตอร์ที่อยู่ทั่วเมือง เขามีเงินมากมายอยู่แล้ว และรายได้ของอลันดาลก็ไม่หมดง่ายๆ

ทอมตาเป็นประกายพลางถาม

“คุณจะขายคริสตัลที่ได้มาให้อังกฤษไหม?”

“อะไรนะ? หมายถึงชิ้นส่วนมิติเหรอ?”

“โอ้! สิ่งนั้นเรียกว่าชิ้นส่วนมิตินี่เอง”

วูจินหยิบพลอยที่ส่องแสงสีม่วงออกมา ต่อให้ไม่มีความสามารถด้านตรวจจับของเราส์ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่มันปล่อยออกมา มันเป็นสมบัติมีค่าแน่นอน

นี่เป็นพลอยที่มาจากสถานที่ประหลาดที่มอนสเตอร์ลอร์ดเป็นผู้สร้างขึ้น

อเมริกา ญี่ปุ่น จีนและเยอรมันได้คริสตัลชื่อชิ้นส่วนมิตินี้ไว้แล้ว

เป็นไปได้ว่ามันคือไอเทมระดับตำนานอย่างลูกแก้วหวนกลับที่ใช้หลบหนีออกจากดันเจี้ยน เขาต้องหาวิธีได้มันมาเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทดลอง

วูจินยิ้มเมื่อเห็นทอมตาลุกโพลง

“จะซื้อเท่าไหร่ล่ะ?”

“ค...คุณจะขายมันจริงๆเหรอ?”

“ฉันจะฟังดูก่อน”

“...”

ทอมพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เขาไม่นึกว่าวูจินจะยอมปล่อยพลอยนี้

“อะไร? คุณไม่มีแม้แต่สิทธิ์ให้ข้อเสนอตรงนี้เลยเหรอ?”

“ม..ไม่ ผมมีอำนาจนั้นอยู่ ไม่มีปัญหา... คุณจะไปที่ประชุมสภาไหม?”

วูจินขมวดคิ้ว

จะให้วูจินไปต่อรองน่าเบื่อเหรอ? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาน่าจะเอาวูซุงฮุนหรือไม่ก็จุงมินชานมาด้วย

“ฉันจะให้นายแลกกับเครื่องบินหนึ่งลำ”

“...อะไรนะ?”

“ถ้าไม่อยากก็ช่างเถอะ”

“ก...กรุณารอก่อน”

ข้อเสนอของวูจินกระทันหันเกินไป นอกเหนือความคาดหมายเกินไปจนทอมคำนวณค่าใช้จ่ายไม่ถูก

“คุณจะให้โอกาสพวกเราเจรจาเรื่องราคาได้ไหม?”

“ฉันยุ่ง”

“ได้โปรดเถอะ...”

สีหน้าขอร้องของทอมดูน่าสงสารมาก

ทำให้สงสัยว่าเขาได้คำสั่งแบบไหนมาจากรัฐสภาบริเตน.. วูจินพูดเหมือนใจกว้างมาก เขาเก่งเรื่องต่อรองแต่ไม่ได้สนใจมันนัก 20 ปีที่ผ่านมา เขาช่วงชิงสิ่งที่ต้องการ ทำลายสิ่งที่ไม่ต้องการ ไม่ใช่ว่าเขาสร้างอลันดาลเพราะไม่อยากยุ่งกับการต่อรองน่ารำคาญนี่เหรอ?

“ไปเจรจาเรื่องนี้ที่อลันดาลแล้วกัน ฉันจะทิ้งมันไว้ที่นั่นอันนึง”

“...!”

ดวงตาทอมลุกวาว หมายความว่าวูจินมีมากกว่าหนึ่งชิ้น? ตัวอย่างที่ใช้ทดลองยิ่งเยอะยิ่งดี ถ้าพวกเขาต่อรองได้ดี...

“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรา”

“คุณไปทำธุระของคุณเถอะ”

“คุณจะไปที่พระราชวังไหม? มีคำเชิญคุณให้ไปได้ตลอดเวลา”

“ถ้าใครอยากเจอฉันก็มาหาได้”

“มันเป็นคำเชิญจากพระราชินี”

“แล้วมันทำไม?”

“...”

“...”

วูจินยิ้มแล้วหันหลัง

“คนที่อยากเจอฉันก็ควรจะเป็นฝ่ายมาหาฉัน ฉันมีคนอื่นที่ต้องไปเจอ”

วูจินหันไปอย่างมาดเท่ ทอมไม่แม้แต่คิดจะหยุดเขา

“เฮ้อ เรื่องนี้เหนือความสามารถของฉัน”

วูจินเรียกเครื่องบินหนึ่งลำ... ทอมเป็นแค่ประธานของสมาคมผู้มีพลังพิเศษ เรื่องนี้เกินอำนาจของเขา
ในเมื่อทุกประเทศเล็งไอเทมชิ้นนั้นอยู่ พวกเขาต้องรีบส่งนักต่อรองที่เก่งที่สุดไป

เมื่อวูจินไม่รู้สึกถึงทอมอีก เขาส่งกองทัพผีดิบทั้งหมดกลับไปยังอาณาเขตมิติ

วูจินขี่ม้าปีศาจไประยะหนึ่งจนถึงสุดขอบเมืองที่ถูกทำลาย

“ขอบคุณที่ท่านทำงานหนักค่ะ ท่านจ้าว”

“เธอยุ่งอยู่หรือเปล่า?”

แน่นอนเธอยุ่ง ความโกลาหลคราวนี้ทำให้เกิดผู้บาดเจ็บมากมาย

“ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ฉันจะไปกับคุณค่ะ”

“ยังไงก็ได้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตามวูจินไปโดยทิ้งผู้บาดเจ็บที่กำลังครางไว้ข้างหลัง นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เพื่อความอยู่รอดของอัลเฟน...

พวกเธอกำลังไปหานักปราชญ์คนหนึ่งที่สั่งสมความรู้ด้านดันเจี้ยนมากที่สุดในโลก

“แล้วนักข่าวคนเมื่อกี๊ล่ะ?”

“เธอออกไปเอารถค่ะ”

“เหรอ?”

ไม่นาน โจนี่ก็ขับรถ SUV คันเก่าของเธอออกมา เธอลงจากที่นั่งคนขับแล้วโค้งต่ำให้วูจิน

“ขอโทษที่รับรองคุณได้ไม่เต็มที่นะคะ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ฉันไม่ได้อยู่หรูอะไร”

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในสนามรบ ชีวิตเขาจึงห่างจากความหรูหรา แน่นอน ตอนอยู่ในอลันดาล เขาได้รับการปฏิบัติเหมือนจักรพรรดิ

เมื่อวูจินนั่งบนที่นั่งแข็งกระด้างดีแล้วรถก็ออกวิ่ง

เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากลอนดอน รถมาจอดตรงที่ๆเต็มไปด้วยตึก 4 ชั้น

“นี่เป็นเมืองที่สร้างขึ้นหลังเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกค่ะ”

ในประเทศที่มีสถานีรถไฟใต้ดินจะเกิดเหตุการณ์หนึ่งคล้ายกัน

ขอบเขตสถานีใต้ดิน

ยิ่งอยู่ห่างจากดันเจี้ยนความปลอดภัยจะเพิ่มขึ้น

อาศัยอยู่ใกล้ดันเจี้ยนดีก็ต่อเมื่อคนๆนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิลด์หรือทำงานที่เกี่ยวกับธุรกิจดันเจี้ยนเท่านั้น
ถนนแคบลงเมื่อพวกเขาเดินทางผ่านตึกต่างๆ สุดท้ายพวกเขาก็หยุดตรงที่หมาย

“ตึกนั้นค่ะ”

“ดูไม่เหมือนศูนย์วิจัยเลยนะ”

“ศูนย์วิจัยถูกทำลายไปในวิกฤติครั้งล่าสุดค่ะ ที่นี่เป็นที่พักของด็อกเตอร์ท็อปเลอร์”

“หืม เหรอ?”

โจนี่นำทางวูจินไปยังบ้านด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ ใช้เวลานานกว่าด็อกเตอร์จะตอบรับเสียงกริ่งประตู

[ใครครับ?]

มันคือเสียงที่คุ้นเคย เขาเคยได้ยินในโทรทัศน์

“คังวูจิน”

[...เข้ามาเถอะ]

ประตูปลดล็อกเผยให้เห็นตัวบ้านด้านใน มันสกปรกจนชวนให้สงสัยว่าเคยทำความสะอาดมาก่อนบ้างหรือไม่ วูจินหันไปมองโจนี่

“เธอไปได้แล้ว”

“คือว่า...”

“อะไร? พูดมาสิ”

โจนี่ลังเล จากนั้นเธอรวบรวมความกล้าแล้วถาม

“ขอถ่ายรูปเซลฟี่ได้ไหมคะ?”

“เอาสิ”

วูจินตกลงโดยไม่ลังเล โจนี่หัวเราะดีใจและหยิบมือถือออกมา

“เธอก็มาด้วย”

“...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆเข้ามาถ่ายรูปด้วย

“ขอบคุณค่ะ”

“เรื่องเล็ก ฉันจะโทรหาเธออีก”

“เอ่อ ไม่คิดจะสร้างบัญชี SNS เหรอคะ? จะได้ติดต่อกับ S.E.E ได้สะดวก”

“ฉันจะคิดดู”

“ขอบคุณค่ะ”

เธอ ‘ขอบคุณ’ กับทุกคำที่เขาพูด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชิน

มันเหมือนองค์กรในอัลเฟนที่นับถือผู้ไม่ตาย

วูจินกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในบ้านรก บ้านไม่ใหญ่นัก มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอนที่สามารถเห็นได้จากประตู

ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์อยู่ในห้องครัว เขากำลังต้มน้ำ

“เชิญนั่ง”

“คุณพูดเกาหลีคล่องดีนะ”

เมื่อวูจินนั่งลง ท็อปเลอร์รินน้ำร้อนลงในถ้วยชา เขาพูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ยังยืนอยู่

[สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เชิญนั่ง]

“...”

“...”

วูจินหน้าเครียด เมโลดี้ก็ตกใจ วูจินเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เพียงพริบตาเดียวมีดสั้นก็ถูกเรียกออกมาจ่อคอท็อปเลอร์

[นายพูดภาษาอัลเฟนได้ยังไง?]

[ผมเรียนมัน]

เรียน? เขาไม่น่าจะเคยอยู่ที่โลกอัลเฟนแต่พูดภาษาที่นั่นได้?

[นายเป็นลอร์ดมิติเหรอ?]

[ไม่ใช่]

[งั้นนายเป็นตัวอะไร?]

“คุณพูดเกาหลีเถอะ”

“หา”

วูจินจ้องท็อปเลอร์แล้วอึ้ง พวกเขาจ้องกันเป็นเวลานาน

‘ไอ้นี่ไม่กลัวตาย’

ดูเหมือนการข่มขู่ไม่มีผลกับเขา ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกนี่คืออะไร?

วูจินลุกพรวดขึ้น

เขาถอยไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่ละสายตาจากท็อปเลอร์ จากนั้นเปลี่ยนมีดสั้นเป็นหอก บรรยากาศตึงเครียด

วูจินถามหน้าตึง

“นายเป็นตัวอะไร?”

เขาพูดภาษาเกาหลีได้ดีเหมือนเจ้าของภาษา เขายังรู้จักภาษาอัลเฟน แต่นี่ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง

อีกสิ่งหนึ่งนั้นทำให้วูจินคิดหนัก

“ทำไมนายถึงไม่มีวิญญาณ?”

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์

วูจินไม่รู้สึกถึงวิญญาณของเขาเลย

คน สัตว์ มอนสเตอร์หรือแม้แต่แมลงมีวิญญาณ มันมีทั้งสีดำสนิทไปจนถึงกระจ่างใส แม้แต่ลอร์ดมิติก็เป็นเช่นกัน

เขาไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ไม่มีวิญญาณมาก่อน

เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก ความกลัวจากความไม่รู้จะมีมากขนาดไหน? วูจินมีสีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อหยดลงจากหน้าผาก

อีกด้าน ท็อปเลอร์หัวเราะอย่างใจกว้าง

“คุณไม่ต้องระแวงขนาดนั้น เป้าหมายของผมก็เหมือนกับคุณคังวูจิน”

“ฉันถามว่านายเป็นตัวอะไร!”

“...ผมเป็นมนุษย์มาจากมิติอื่น”

มิติอื่น? มิติเดียวกับอัลเฟนหรือเปล่า?

แล้วทำไมวูจินไม่รู้สึกถึงวิญญาณของท็อปเลอร์เลย ความระวังภัยของวูจินไม่ลดลงเลย

“คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่ว่าคุณมีเรื่องจะถามผมไม่ใช่เหรอ?”

“...”

วูจินหรี่ตา

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ เขารู้มากกว่าที่วูจินคาดไว้มาก

ท็อปเลอร์เสแสร้งเมื่อออกมาคุยเกี่ยวกับการทดลองของเขาในโปรแกรมโทรทัศน์ ที่จริงเขารู้ความลับของดันเจี้ยนมากกว่าที่เปิดเผยในสื่อ

วูจินเก็บอาวุธนักรบแล้วนั่งลงตามเดิม

เขาไม่สนแม้คนๆนี้จะไม่มีวิญญาณ ต่อให้ไม่ใช่มนุษย์ก็ช่าง

วูจินฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าต้องการ

“บอกทุกอย่างที่นายรู้มา”

สายตาคุกคามของวูจินจับจ้องที่ตัวด็อกเตอร์ท็อปเลอร์



สารบัญ                                               บทที่ 146


วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 144

บทที่ 144 – อาณานิคม (2)


มอนสเตอร์กระจายตัวออกไปโดยมีอาณานิคมเป็นศูนย์กลาง แต่วูจินไม่จำเป็นต้องวิ่งไปทั่วเพื่อล่ามอนสเตอร์ที่ตั้งใจสังหารมนุษย์

เขาจะไปที่อาณานิคมโดยตรง!

มอนสเตอร์อยู่ใต้การควบคุมของลอร์ดมิติ จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของมันไม่ใช่การล่ามนุษย์แต่เป็นปกป้องอาณานิคม อาณานิคมบนดาวต่างๆก็คือดันเจี้ยนนั่นเอง

เหมือนกับวงเวทอัญเชิญรัชโมด พวกนี้เป็นดันเจี้ยนจำลองที่สร้างบนดินแทนที่จะเป็นสถานีใต้ดิน มันถูกเรียกว่าประตูมิติ

เมื่อวูจินมุ่งหน้าไปช้าๆ พวกมอนสเตอร์ที่โจมตีอยู่ด้านอื่นก็หันกลับมาทางเขาตามความคาดหมาย สุดท้ายก็กลายเป็นเพิ่มขนาดให้กองทัพผีดิบ

แต้มที่วูจินได้มาจากการเพิ่มเลเวลถูกเอาไปเพิ่มค่าบงการทั้งหมด

ทหารโครงกระดูกล้วนอยู่ใต้บัญชาการของอัศวินมรณะ อัศวินมรณะแต่ละตัวใช้ค่าบงการเพียง 1 แต้ม เขามีลิชเจนิส ที่เพิ่มเลเวลเป็น 99 ทันที และทุกเลเวลที่เพิ่มขึ้น นักเวทโครงกระดูกจะถูกนำไปไว้ใต้บัญชาการของเจนิส มันสามารถควบคุมนักเวทโครงกระดูกได้ทั้งหมด 990 ตัว

ค่าบงการที่ใช้ในการรักษากองทัพผีดิบ,อัศวินมรณะ,ลิช,โกเลม,และอสูรน้อยรวมแล้วไม่ถึง 100 แต้ม
ค่าบงการที่เหลือใช้กับลูกน้องตัวอื่นๆ

ศพถูกบังคับเหมือนหุ่นเชิด รูปร่างหน้าตาพวกมันไม่ต่างจากก่อนตาย

กองทัพซอมบี้ที่รวมมอนสเตอร์เล็กใหญ่กระทั่งโอเกอร์มากกว่า 2,000 ตัวโจมตีศัตรู พวกมันเคลื่อนไหวช้าอยู่บ้าง

[ซื้ด ตื่นเต้นนัก ข้าตื่นเต้นจริงๆ]

กาเกบิสิงศพโอเกอร์ตัวหนึ่ง มันอาละวาดเหมือนคนบ้า

เมื่อศพถูกคืนชีพเป็นซอมบี้ ความสามารถพวกมันจะน้อยกว่าก่อนตาย แต่ถ้ากาเกบิสิงร่าง มันจะดึงความสามารถที่สูงกว่าสมัยมีชีวิตออกมา

โอเกอร์กาเกบิฉีกป้ายถนนและเหวี่ยงไปมาเป็นอาวุธ ผลงานของกาเกบิแทบจะเทียบได้กับโดลเซ สองคนนี้เหมาะดีกับการสร้างความโกลาหลฝ่าดงศัตรู

กองทัพผีดิบตามทั้งสองที่เบิกทางไป

หลังจากฝ่าซากศพกองแล้วกองเล่า วูจินก็มาถึงโคลอสเซียม

“มันโตขึ้นเยอะ”

รากไม้แผ่คลุมโคลอสเซียมและลำต้นสูงกว่าตึกในบริเวณนี้เสียอีก เมื่อวูจินมองขึ้นไป ไททันตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากฟ้า

กึง

ไททันตัวสูงกว่า 10 เมตร ขนาดพอๆกับโดลเซ

[แกคือไอ้คนที่ล้มท่านราชาคอย!]

วูจินนั่งบนหลังม้าไม่ลงมา เขายักไหล่

“ก็ตามนั้น...”

[โก ข้านิคเตอร์ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านราชาคอย!]

วูจินถอนหายใจ

“หัวนายก็ใหญ่ดีแต่ไม่มีสมองเหรอ? นายชนะราชาคอยได้หรือเปล่า?”

[โก! ท่านราชาคอยคือเกรทลอร์ด ท่านแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าจึงติดตามท่าน]

“ฉันฆ่ามัน นายยังคิดว่าจะสู้ฉันได้เหรอ?”

[โก]

นิคเตอร์แห่งเผ่ายักษ์ยกมือใหญ่ขึ้นมาขยี้ศีรษะ แล้วมันก็ยกค้อนใหญ่ขึ้นอย่างโมโห

[โก! เจ้ากล้าดูถูกนักรบได้ยังไง]

“มันโง่เหรอวะ?”

วูจินทำหน้าอึ้ง

เพราะอย่างนี้เผ่ายักษ์ถึงได้...

“ฆ่ามัน”

[รับบัญชาท่านจ้าว!]

อัศวินมรณะกระโดดลงจากหลังม้าแล้วพุ่งใส่ศัตรู

[โก บังอาจ พวกแมลง!]

นิคเตอร์เหวี่ยงค้อนเต็มแรงแต่ไม่โดนใครเลย อัศวินมรณะกำลังโจมตีหนักหน่วงจึงเทียบพวกมันกับแมลงไม่ได้เลย พวกอัศวินมรณะเชือดยักษ์

ไม่รวมอัศวินใหม่คืออัล อัสสาดกับรีลิค อัศวินตัวอื่นอยู่เหนือกว่าแรงค์ S

ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีในการล้มยักษ์ หอกของรัคโตพุ่งทะลุหน้าผากมันล้มลง

“เก็บกวาดที่เหลือด้วย”

[ต่อหน้าท่านจ้าวจะมีแต่ความตาย!]

[กวาดล้างทุกอย่างที่ยังมีชีวิต!]

พวกโครงกระดูกและอัศวินมรณะสังหารต่างยุ่งกับการมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ ขณะที่วูจินกำลังเงยหน้ามองฐานทัพ เจนิสมาปรากฏตัวข้างเขา

[ข้าเห็นสิ่งน่ารังเกียจนี่หลายครั้งเกินไปแล้ว]

“คิดว่ามันจะออกมาไหม?”

[ท่านหมายถึงชิ้นส่วนมิติ?]

วูจินเคลียร์อาณานิคมในโซลกับปูซานไป 9 แห่ง ได้ชิ้นส่วนมิติมา 3 ชิ้น โอกาสได้ค่อนข้างสูง ไม่แปลกที่เขาจะคาดหวัง

“ใช่ ไอเทมนั่นมีประโยชน์เยอะ”

[สิ่งที่นำไปยังทราห์เน็ต...]

เจนิสชูไม้เท้าขึ้น ไฟลุกโพลง วูจินยกมือห้าม

“ไม่เป็นไร ฉันทำเอง”

ฝูงซอมบี้ยืนนิ่งเฉย วูจินสั่งให้พวกมันพุ่งใส่อาณานิคมและปีนต้นไม้ เขาต้องกำจัดพวกซอมบี้นี้อยู่ดี...

ตูม!

ฝูงซอมบี้ระเบิด อาณานิคมถูกแรงระเบิดกระชากขึ้น

ชิ้นส่วนอาณานิคมเริ่มร่วงลงมา เมื่อสงบลง วูจินมุ่งหน้าไปยังใจกลางอาณานิคมที่ไม่เหลือเค้าร่างเดิม

พลอยอันหนึ่งส่องแสงสีม่วงกำลังลอยกลางอากาศ

<คุณได้รับชิ้นส่วนมิติ>

ไม่แค่ซื้อดันเจี้ยน ชิ้นส่วนมิติยังมีประโยชน์อื่นๆอีก ในเมื่อวูจินมีชิ้นส่วนมิติมากกว่า 3 ชิ้น เขาจึงสามารถให้สตรีศักดิ์สิทธิ์หรือคนอื่นกลายเป็นลอร์ดมิติได้ถ้าต้องการ

“ว่าแต่ พวกมันมาจากกรีก ทำไมมาสร้างอาณานิคมที่นี่?”

[ดูเหมือนไททันชอบพลังงานในสถานที่แห่งนี้]

“หืม คงเกี่ยวกับอัตราเชื่อมต่อล่ะมั้ง”

วูจินลูบคางคิด

ตอนเขาเลือกสถานีโซลเป็นอาณาเขตมิติ เขาต้องคิดถึงอัตราเชื่อมต่อด้วย ลอร์ดมิติทุกตัวสร้างอาณานิคมในสถานที่ทางประวัติศาสตร์หรือไม่ก็สถานที่มีคนรวมตัวกันเยอะๆ

มาคิดดูแล้ว การสร้างดันเจี้ยนใหม่ที่ไม่เหมือนดันเจี้ยนในสถานีรถไฟใต้ดินสามารถทำได้ด้วยการใช้ชิ้นส่วนมิติ

‘ถ้าเกิดฐานทัพแบบของรัชโมดคงแย่’

มันคือผลจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องดันเจี้ยนใช่ไหม?

นักวิทยาศาสตร์ที่เขาเจอในอเมริกาสร้างดันเจี้ยนขึ้นมา

ถ้ามีคนสร้างวงเวทอัญเชิญลอร์ดมิติออกมาจะเป็นอันตราย จะไม่เหมือนแบบนี้ที่มีพวกมอนสเตอร์บอกว่าลอร์ดมิติอยู่ที่ไหน

‘อืม อาจจะมีไปแล้วหลายตัวก็ได้...’

บางทีอาจจะมีลอร์ดมิติที่กำลังเคลื่อนไหวหลบๆซ่อนๆบนโลก วูจินเลิกกังวลเรื่องนี้เพราะไม่ใช่สิ่งที่เขาจะป้องกันได้

ถ้าต้องการวิธีแก้แบบถาวร วูจินต้องหยุดที่สาเหตุ เขาต้องป้องกันไม่ให้มีการเชื่อมต่อเกิดขึ้นอีก แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“เอาล่ะ สะสางที่นี่ให้เสร็จแล้วไปเยอรมันกันต่อ”

เขาได้ชิ้นส่วนมิติมาหนึ่งชิ้นและได้ฆ่ามอนสเตอร์หลายพันตัว

เหลืออาณานิคมที่เยอรมันหนึ่งแห่งและที่อังกฤษอีกสองแห่ง

***

อาคารขายตั๋ว ถ้ำลาวามานจังกุล เมืองเจจู

รถบรรทุก 7 คันแล่นมายังอาคารขายตั๋ว พนักงานออกมาข้างนอก

คนกลุ่มหนึ่งลงจากรถซีดานที่มากับรถบรรทุก

พนักงานจำหน้าคนๆหนึ่งในกลุ่มคนนั้นได้จึงถามอย่างคุ้นเคย

“พวกนี้คืออะไรเหรอ?”

“อ๋อ คุณจำจดหมายแจ้งครั้งก่อนได้ไหม? งานซ่อมแซมจะทำก่อนกำหนด”

“น่าจะบอกกันก่อน นักท่องเที่ยวยังอยู่ข้างใน...”

“ฮะๆ ขอโทษ ช่วยหยุดนักท่องเที่ยวไม่ให้เข้าไปแล้วก็ช่วยประกาศคนที่อยู่ข้างในให้ค่อยๆออกมาด้วยนะ”

“ได้ ผมจะทำให้”

“อ๊ะ นี่คือผู้จัดการ ลีซังจุน เขาเป็นผู้รับผิดชอบงานปรับปรุงนี้ครับ”

พนักงานเดินไปทางชายที่สวมแว่นกันแดด

เขามีท่าทางเย็นชาชวนคุยยาก

“ผมชื่อลีซังจุน”

“ผมคิมเทจิคครับ”

“เริ่มกันเถอะ”

ทักทายเสร็จ ลีซังจุนก็สั่งคนงานให้ขนของลง กล่องมากมายถูกนำออกมาจากรถบรรทุก คิมเทจิคถามเมื่อเห็นกล่องพวกนั้น

“มันคืออะไรเหรอ? พวกเขาไม่ใช่คนที่มาซ่อมราวกั้นเมื่อคราวก่อนนี่...”

“เราจ้างบริษัทอื่น อย่าถามมากเลย มาช่วยหน่อยจะได้เสร็จเร็วๆ”

“ได้”

พวกเขาคงเปลี่ยนบริษัทรับเหมาเอาส่วนลด

แต่ของมันเยอะเกินไปไม่เหมือนงานซ่อมราวกั้นธรรมดาเลย

ป้ายห้ามเข้าถูกวางไว้ตรงที่ต่างๆเริ่มจากที่จอดรถ

ลูกจ้างของรัฐบาลจากไป คิมเทชิคเลยไม่มีอะไรทำ เขาจึงมาเดินแถวทางเข้าถ้ำ คนงานพวกนี้แข็งแรงมาก พวกเขายกกล่องหนักลงไปอย่างง่ายดาย

ผู้จัดการลีซังจุนเดินมาหาคิมเทจิค

“ตอนนี้ที่นี่เป็นสถานที่ก่อสร้าง มันอันตราย คุณถอยไปเถอะ”

“แหม ผมแค่เบื่อๆ...”

“ถอยไป”

“เฮ้อ ได้ครับ”

คิมเทจิคถอยไปพลางบ่นพึม ลีซังจุนเรียกคนงานมา

“พวกนายอย่าให้ใครเข้ามา”

“ครับ ประธาน”

คิมเทจิคมองลีซังจุนลงบันไดไป เขาถอดแว่นกันถอดเมื่อเข้าไปในถ้ำมืด

เจ้าของใบหน้านั้นไม่ใช่ใคร เขาคือหัวหน้ากิลด์ฮวาราง ทาสของอิเอลโล ลีซังโฮ

คนงานทุกคนคืออดีตพนักงานของกิลด์ฮวาราง

หลังจากเดินเข้าถ้ำไปเป็นเวลานาน ลีซังโฮมาถึงจุดที่กล่องถูกนำมาวางเรียงกัน

“เปิดกล่องได้”

“ครับ”

พนักงานเปิดฝากล่องออก

พวกเขาเห็นแร่สีแดงส่องแสงจาง

กล่องหลายร้อยใบมีบลัดสโตนบรรจุเต็ม

“...”

ลีซังโฮเขียนวงเวทบนพื้นถ้ำเงียบๆ

นี่คือประตูเรียกท่านอิเอลโลมาที่นี่

เขาเริ่มสร้างฐานทัพ

***

เยอรมัน

พวกเขามาถึงพื้นที่ๆเกิดการเสียหายรุนแรง

“ที่นี่เคยเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะจริงๆเหรอ?”

“ดิฉันก็เคยได้ยินมาแบบนั้นค่ะ”

“หืม พวกเขาป้องกันได้ดีนะ”

เฮลิคอปเตอร์และเราส์กำลังเคลื่อนที่ในซากปรักหักพัง ทหารสวมหน้ากากกันพิษ วูจินประเมินสิ่งที่เขาเห็น

“ฉันมาเสียเที่ยว”

EXP ของเขาไปเสียแล้ว เขาเสียเวลาเปล่า

เยอรมันขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการไปยังอลันดาล แต่พวกเขาไม่รอให้วูจินมาถึง

พวกเขาใช้อาวุธนิวเคลียร์กวาดล้างกลุ่มมอนสเตอร์และส่งเราส์ชั้นยอดเข้ามาสังหารลอร์ดมิติ

ไม่ใช่สิ คนที่โลกเรียกพวกมันว่ามอนสเตอร์ลอร์ด

ไม่รวมวูจิน เยอรมันเป็นประเทศลำดับสี่ที่สังหารมอนสเตอร์ลอร์ดสำเร็จ

สตรีศักดิ์สิทธิ์มองอย่างเสียดายเมื่อเห็นทหารนำพลอยส่องแสงสีม่วงแสบตาออกไป

“คุณจะไม่ไปเอาสิ่งนั้นหรือคะ?”

วูจินกระตุกยิ้ม

“เธอคิดว่าฉันเป็นโจรเหรอ? ฉันไม่ปล้นของใคร”

“...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์มองอย่างตัดพ้อจางๆ

ถ้าเขามีคุณธรรมขนาดนั้น ทำไมถึงแย่งชิ้นส่วนมิติของเธอไปล่ะ?

“เธอรู้สึกไม่ยุติธรรมเหรอ?”

“เปล่าค่ะ”

“ฉันบอกแล้วว่าจะคืนให้แต่เธอไม่เอาเอง”

“ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่คะ”

ใช่ เธอไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นสายตาตัดพ้อของเธอ

วูจินยักไหล่สีหน้ายิ้มๆ

“เอาเถอะ ไปอังกฤษก่อนจะสายไปดีกว่า”

“ค่ะท่านจ้าว”

วูจินและสตรีศักดิ์สิทธิ์เดินไปทางเฮลิคอปเตอร์ที่พาพวกเขามาจากสนามบิน ตอนนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถคันหนึ่งและวิ่งมาทางวูจิน ดูจากกล้องและท่าทางของพวกเขาแล้ว พวกเขาคือนักข่าว

“วีรบุรุษ! ไม่เจอกันนานนะครับ”

ในพวกเขามีนักข่าวคนหนึ่งที่มีสีหน้ากระตือรือร้นกว่าใคร เขามาหาวูจินและพยักหน้าทักทาย ความจำของวูจินไม่แย่นักหรือเทียบกับคนปกติแล้วถือว่าดีมาก

“ฉันเคยเห็นนายที่ตะวันออกกลางนี่?”

“โอ้ พระเจ้า! ผมไม่อยากเชื่อว่าคุณจำคนไม่สำคัญแบบผมได้ เป็นเกียรติครับ”

วูจินยิ้ม

ชายคนนี้คือหนึ่งในผู้รายงานข่าวที่เขาช่วยจากตะวันออกกลาง

“อืม ผมกำลังยุ่ง ไม่ให้สัมภาษณ์นะ”

“ไม่ครับ ผมจะทำให้คุณเสียเวลาได้ยังไง ได้ยินว่าคุณมาที่นี่ผมเลยมาทักทาย”

“แล้วก็มาถ่ายรูป”

วูจินมองกล้องหลายตัวที่เล็งมาทางเขา

นักข่าวส่ายศีรษะ หน้าซีด

“ไม่ครับ ผมไม่กล้าหรอก”

นักข่าวสงครามระมัดระวังตัวอย่างหนักเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ช่วยชีวิตเขา วูจินจับบ่าชายคนนั้นแล้วพูด

“เอาเถอะ ถ่ายรูปเป็นงานของนาย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ช่วยอะไรฉันหน่อย...”

“โอ้ เป็นเกียรติครับ เชิญบอกได้เลย ผมจะทำทุกอย่าง”

เมื่อถูกวูจินโอบไหล่ นักข่าวทำหน้าเหมือนยินดีวิ่งเข้าสู่สนามรบถ้าวูจินขอ

“นายรู้จักใครในอังกฤษบ้างไหม? ฉันต้องการหาคนที่นั่น”

“มีสมาชิก S.E.E ในอังกฤษอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อโจนี่...”

“S.E.E? มันคืออะไรล่ะนั่น?”




สารบัญ                                               บทที่ 145

ประโยคสุดท้ายนั่นมันปักธงนะวูจิน...