วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 143

บทที่ 143 – อาณานิคม


โคลอสเซียมถูกยึด

ดันเจี้ยนที่อยู่รอบๆหลายแห่งระเบิดและมอนสเตอร์มารวมตัวกันรอบโคลอสเซียม มันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รัฐบาลจึงลังเลที่จะส่งกำลังทหารติดอาวุธเข้ามา

ทีมเราส์ถูกตั้งขึ้น พวกเขาทำตามแผนล่อมอนสเตอร์ออกมากำจัด แผนการเป็นไปได้ดี

แต่ไม่ว่าแผนอะไร พวกเขาต้องทำสำเร็จก่อนอาณานิคมจะสมบูรณ์ หนึ่งวันผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ที่งอกในโคลอสเซียมส่องแสง ถึงตอนนั้น มอนสเตอร์ที่มารวมตัวรอบๆอย่างสงบก็ออกอาละวาด

ไม่ใช่ ไม่ใช่การออกอาละวาดแต่เป็นการเดินทัพมากกว่า

เมืองถูกทำลาย กองทหารถอยทัพ โคลอสเซียมกลายเป็นฐานที่มั่นของพวกมอนสเตอร์และมนุษย์หลงเหลือแต่ซากศพ

*เสียงปืนกล*

มันเป็นการรบดุเดือด ปืนกลระดมยิงใส่พวกมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามา

ผิวของมอนสเตอร์โอเกอร์แข็งจนกระสุนเจาะไม่เข้า

โอเกอร์วิ่งก้าวเท้ายาวๆ มันเกือบจะถึงค่ายทหารแล้ว

เครื่องยิงจรวดยิงจรวดติดต่อกันถูกเป้าหมาย ก้อนเนื้อฉีกออกจากร่าง แต่ขณะที่โอเกอร์กำลังล้มลง มันเขวี้ยงกระบองออกไป

กระบองอันใหญ่ลอยตรงมายังหน้าต่างบานหนึ่งที่ส่งกระสุนมาทางโอเกอร์ไม่หยุด

“อ๊าก!”

“ฟาบิโอ!”

ทหารที่ใช้ปืนกลเสียชีวิตทันที และฟาบิโอที่อยู่ข้างๆก็อาการร่อแร่ กระบองฉีกแขนเขาออกไปหนึ่งข้าง
เขาถูกตีที่ศีรษะด้วยจึงมีเลือดไหลอาบ ถ้าปล่อยไว้เขาจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป

“ลงไปข้างล่างกัน อยู่กับฉันอีกหน่อยเถอะ”

“อั่ก”

แอนโทนิโอพยุงฟาบิโอลงบันได มอนสเตอร์บุกเข้ามาไม่จบสิ้น ไม่มีท่าทีว่าจำนวนจะน้อยลงเลยไม่ว่าจะถูกฆ่าไปเท่าไหร่

การรบครั้งนี้ต่อเนื่องมานาน 5 วัน ทั้งเมืองโรมสูญเสีย ไม่มีแม้แต่การสำรวจว่าพลเมืองและทหารตายไปเท่าไหร่

มอนสเตอร์เดินทัพขึ้นหน้า มนุษย์ถอย อาณาเขตของมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อออกจากตึกแล้ว แอนโทนิโอหาแพทย์ทหารที่อยู่แนวหลัง

ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บ

“โอย รีบรักษาฉันทีเถอะ”

“อ๊าก ช่วยด้วย”

คำสั่งสุดท้ายส่งมาท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย

“พาคนเจ็บขึ้นรถ! เราจะถอย”

เมื่อมีคำสั่งลงมาแล้ว ระเบิดที่วางแนวรบสุดท้ายจะระเบิดในอีก 5 นาที

“อยู่กับฉันอีกหน่อย ฟาบิโอ”

“โอย”

ในรถบรรทุกไม่มีที่ว่างให้นอน แพทย์ทหารนั่งบนเก้าอี้พันผ้าพันแผลห้ามเลือดให้ฟาบิโออย่างรวดเร็ว
แต่เพื่อนของเขาปิดตาลง เหมือนใกล้จะตายแล้ว และนี่จะเป็นการจากลาครั้งสุดท้ายกับเพื่อนของเขา

“เชี่ย!”

แอนโทนิโอสบถพลางคว้าปืน

เขาจะแก้แค้นให้เพื่อน!

พวกเราต้องการยัดกระสุนใส่พวกมอนสเตอร์นี่จนถึงที่สุด

ทหารยิงปืนสกัดครั้งสุดท้ายขณะที่กองทหารเริ่มถอย

“แอนโทนิโอ! ขึ้นมาเร็ว”

ยานพาหนะติดปืนกลบนหลังคาจอดข้างเขา แอนโทนิโอขึ้นไป พวกเขาถอยอย่างรวดเร็ว แอนโทนิโอพูดกับทหารที่ใช้ปืนกล

“เราเหลือเวลาอีก 4 นาที”

ระเบิดติดไว้ในหลายที่ มันจะสร้างความเสียหายอย่างหนักกับมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามา พวกเขาต้องไปให้ห่างก่อนมันจะระเบิด

“เชี่ย”

อาณาเขตที่พวกมอนสเตอร์ครอบครองขยายออกไปช้าๆ

พวกมอนสเตอร์เคลื่อนไหวตามคำสั่ง พวกมันไม่ใช่สัตว์ป่า มันคือกองทัพต่างดาวบุกดีๆนี่เอง

นี่ไม่ใช่การล่ามอนสเตอร์อีกแล้ว แต่เป็นสงครามระหว่างมอนสเตอร์กับมนุษย์

“เราต้องจับลอร์ดของพวกมัน”

มอนสเตอร์ลอร์ด

พวกมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าบอสของดันเจี้ยน

พวกมันเป็นสิ่งเร้นลับ ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับมันนัก พวกมันทำให้รู้สึกอันตรายเปรียบได้กับดันเจี้ยนช็อก

“แล้วก็ กำลังเสริมจากเกาหลีกำลังมา”

“อะไรนะ?”

แอนโทนิโอได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรกจึงหันไปมองสหายร่วมรบ สีหน้าเพื่อนคนนั้นเต็มไปด้วยความหวัง เป็นภาพแปลกตาเพราะกองทหารกำลังถอยและต้องหดแนวรบเข้ามาเรื่อยๆ

“เกาหลีอยู่ที่ไหนนะ?”

แอนโทนิโอไม่คุ้นชื่อเกาหลี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน

“พูดให้ถูกคือคังวูจินกำลังมา ฉันหมายถึงราชาของอลันดาล”

แอนโทนิโอเป็นคนตกข่าวมาก แต่แม้แต่เขายังรู้จักอลันดาล เขาลืมตาโต

“เมสสิอาห์ของตะวันออกกลาง!”

ทุกคนในโลกรู้สงครามระหว่างเขากับผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะพวกทหาร แอนโทนิโอสนใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง เขาเข้าใจเรื่องนี้ยิ่งกว่าพลเมืองส่วนใหญ่

เอี๊ยด!

ยานพาหนะหยุดอย่างรุนแรง คนด้านหลังล้มกลิ้ง

“เชี่ย! อะไรวะ?”

“ชิบหาย มอนสเตอร์!”

“เตรียมยิง!”

มอนสเตอร์บินได้ปรากฏตัวกลางอากาศอย่างกะทันหัน เครื่องกีดขวางบนพื้นหยุดมอนสเตอร์ที่เคลื่อนไหวบนดินไว้ชั่วคราว ตอนนี้จึงเป็นมอนสเตอร์โจมตีจากบนฟ้า

ยานพาหนะสำหรับหลบหนีหยุด ทหารเตรียมยิง

แต่ใครบางคนยิงมอนสเตอร์ร่วงลงตัดหน้าพวกเขา

เวทไฟหลายสายลอยมาในอากาศ

“หน่วยเราส์เหรอ?”

“ฉัน...ว่าเขามาแล้ว”

แอนโทนิโอลงจากรถมาพูดพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนเขากำลังอยู่ในภวังค์

มันเกิดขึ้นไม่ไกลนัก เหมือนจรวดหลายลูกถูกปล่อยออกมา พวกมอนสเตอร์ต้านเวทมนตร์ที่ลอยใส่ไม่ไหว มันร่วงลงพื้นหรือไม่ก็บินหนีไป

ฮี้

ม้าปีศาจตัวหนึ่งวิ่งมาตามถนน

“พระเจ้าช่วย!”

แอนโทนิโอกำหมัด รู้สึกเหมือนไม่อยากเชื่อ

นั่นคือคังวูจิน นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอตัวจริง!

วูจินหยุดตรงหน้าขบวนยานพาหนะ เขาส่งผู้หญิงที่นั่งข้างหลังเขาลงมา

“รักษาพวกเขา ฉันไปแล้ว”

“ระวังตัวด้วยนะคะ”

วูจินกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินคำลาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากเธอ

ฮี้

สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งตัวมีกลิ่นพลังศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเธอลงจากชิงชิง มันทำหน้าเหมือนได้ปล่อยของเสียที่อั้นไว้มา 10 ปี

วูจินกำลังจะควบม้ากลับไปที่เครื่องกีดขวาง แต่แอนโทนิโอขวางทางเขา

“อ๊ะ ไปไม่ได้นะ! เครื่องกั้นขึงระเบิดไว้”

“อะไรนะ? มันระเบิดแล้วเหรอ?”

‘พระเจ้า!’

แอนโทนิโอประหลาดใจเมื่อได้ยินภาษาอิตาเลียนไร้ที่ติจากปากวูจิน

“ยัง แต่ใกล้จะระเบิดแล้ว”

เขาดูนาฬิกาแล้วพูดต่อ

“เหลือ 59 วินาที คุณรอให้มันระเบิดเสร็จค่อยเข้าไปดีกว่า”

พวกมอนสเตอร์มาออกันตรงที่กีดขวาง ถ้าระเบิดที่ขึงไว้ระเบิดมันจะพามอนสเตอร์จำนวนมากไปด้วย ถ้าเข้าไปหลังจากนั้นจะดีกว่า

“ชิ! ไว้เจอกัน เมโลดี้”

“ค่ะ ท่านจ้าว”

วูจินขมวดคิ้วพลางกระตุ้นชิงชิงให้วิ่ง

“ระเบิดมันจะ...”

ขณะที่แอนโทนิโอคร่ำครวญกับความบุ่มบ่ามของวีรบุรุษของเขา วูจินก็คำนวณระยะทางเสร็จแล้ว

“ไม่ทันแน่”

ระเบิดจะระเบิดก่อนเขาจะไปถึง มันอาจสังหารมอนสเตอร์ทั้งหมด

“EXP ฉัน”

มอนสเตอร์ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ที่เดียวกำลังจะถูกระเบิด...

โชคดี วูจินมีอสูรที่เชี่ยวชาญด้านล่ามอนสเตอร์ที่อยู่เป็นกลุ่มเป็นพิเศษ

“เจนิส!”

ควันดำมารวมตัวกัน ลิชมาปรากฏข้างกายวูจิน

[นายข้า]

“ฆ่าพวกมันให้หมดใน 30 วิ”

เจนิสมองซากเมืองรอบๆ ไม่ใช่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เจนิสค่อนข้างชอบใจในสิ่งที่เห็น

[การได้ทำลายเมืองสักเมืองเป็นเรื่องสนุกสนานเสมอ]

ไฟพลุ่งออกมาจากไม้เท้าเจนิส มันไปเผาเครื่องกีดขวาง อาคารและทุกสิ่งที่ขวางหน้า

ตูม ตูม!

ระเบิดขนาดใหญ่!

จากนั้นเปลวไฟก็ลุกท่วมสนามรบ

ถ้าซุงกูมาเห็นกำแพงไฟนี้เขาคงตกใจ

กำแพงไฟเผาพวกมอนสเตอร์ มันกระทั่งจุดระเบิดที่ยังไม่ถึงเวลาระเบิด

ตูม ตูม!

ระเบิดระลอกต่อมาเผาผลาญทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว วูจินเรียกอัศวินมรณะออกมา

[โอ้ สงคราม!]

[ข้าคิดถึงนัก กลิ่นของความตาย!]

[ความตายเป็นสิ่งสูงส่งเสมอ]

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินอัศวินมรณะคุยกันอย่างตื่นเต้น พวกมันโดยพื้นฐานแล้วอิจฉาและเกลียดสิ่งมีชีวิต

มีเหตุผลอยู่ว่าทำไมพวกมันถึงเข้ากับเขาได้ตลอด 20 ปี...

เขาหัวเราะ

“คุ้นเคยดีใช่ไหมล่ะ?”

วูจินยิ้ม

ทุกคนหัวเราะด้วยความตื่นเต้นกับสงครามที่จะมาถึง

วูจินเรียกไม้เท้าเหล็กออกมา

เขาเปลี่ยนมันเป็นขวาน วูจินดึงบังเหียนชิงชิง

“เด็กๆ ไปกันเถอะ”

<คำรามปลุกใจ เพิ่มความคิดต่อสู้ให้สหายร่วมรบ>

<คำรามปลุกใจ เพิ่มพลังต่อสู้ให้สหายร่วมรบ>

อัศวินมรณะขี่ม้าปีศาจตามวูจินไป

เว้นแต่คิบะ วูจินให้คิบะเป็นผู้บัญชาการกองทัพปกป้องอาณาเขตมิติ น่าเสียดาย แต่เขาต้องให้คิบะอยู่เฝ้าอาณาเขตเป็นการป้องกันไว้ก่อน

[โอ โอ!]

[ถึงเทศกาลเลือดแล้ว!]

อัศวินมรณะที่ตื่นเต้นควบม้าพลางเรียกทหารโครงกระดูกออกมาตลอดทาง ทหารโครงกระดูกวิ่งตามหลังเป็นแถวด้วยความบ้าคลั่ง

เคะๆๆ

ขณะกองทัพผีดิบพุ่งโจมตี เจนิสหัวเราะพลางใช้เวทลอยไปบนฟ้า

[ได้ยินว่าท่านกลายเป็นนักรบ]

เมื่อวูจินมองมา ดวงตาสีแดงของเจนิสส่องประกาย

[นานแล้วจริงๆ]

เจนิสมือข้างหนึ่งชูไม้เท้าขึ้น มืออีกข้างลูบพลอยตรงหัวคทา

เปรี๊ยะๆ

พลังงานสีดำไม่น่าไว้ใจส่องแสงออกมา เจนิสกางแขนสองข้างออก

พลังงานสีดำพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนงู มันหายไปเหมือนสลายไปในอากาศ

<คำสาปของลิชลงมายังสนามรบ>

<พลังต่อสู้ของศัตรูลดลง>

<การเคลื่อนไหวของศัตรูช้าลง>

[ก๊ากฮ่าๆ นายข้าแสดงความสามารถต่อสู้ให้ข้าเห็นหน่อยได้หรือไม่?]

สองอาชีพอย่างนั้นหรือ?

โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เขาอาจเป็นกุญแจสำหรับความปรารถนาสูงสุดของเจนิสก็ได้

[โก!]

ขณะที่กองทัพผีดิบโจมตี โดลเซสร้างตัวเองจากกองคอนกรีต โกเลมยักษ์เริ่มออกอาละวาด

ไททันแห่งการทำลายรับหน้าที่เป็นหัวหอกเช่นเคย กองทัพผีดิบเดินหน้า

พวกมันมุ่งหน้าหาลอร์ดมิติที่กล้ามาสร้างอาณานิคมในโคลอสเซียม

***

“พระเจ้า นี่ต้องเป็นความฝันแน่”

แอนโทนิโอสับสนจนต้องยกมือกุมศีรษะ

เขาตกใจจนพูดไม่ถูก

เขาได้พบยอดวีรบุรุษคังวูจิน! แถมยังได้คุยกับเขาด้วย!

“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผลเลย”

“เฮ้ แอนโทนิโอ ตั้งสติหน่อย เรายังอยู่ในสนามรบนะ”

“อา โทษที... ฉันตกใจมากไปหน่อย”

แอนโทนิโอยอมรับความผิด เขาปรับสีหน้าให้ขึงขัง เขาเป็นทหารมีเกียรติ แต่กลับทำเหมือนแฟนเกิร์ลคลั่งไคล้ดารา แถมยังทำในสนามรบที่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย

“ทุกคนช่วยฟังฉันด้วยค่ะ...”

เมื่อได้ยินสตรีศักดิ์สิทธิ์พูด ทหารลงจากรถแล้วหันไปสนใจเธอ เธอเป็นสาวงามที่ร่วมทางกับคังวูจิน หน้าตาเธอดูคุ้นๆ...

“ฉันชื่อเมโลดี้ รับใช้เทพีอาเรีย พลังของฉันมีผลต่อพวกคุณก็ต่อเมื่อพวกคุณเชื่อในการมีอยู่ขององค์เทพี”

ไม่ได้ขอให้พวกเขากลายเป็นผู้นับถือนิกายอาเรีย แต่ต้องยอมรับรู้ว่ามีเทพีอาเรียอยู่ นี่จะทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอไหลเข้าไปในตัวพวกเขาได้ นี่คือข้อจำกัดของเธอ

“นี่เพื่อพวกคุณทุกคน ฉันหวังว่าหัวใจของฉันจะส่งผ่านไปถึงทุกคนได้”

เมโลดี้กุมมือหลับตา

แสงระเบิดออกจากตัวเธอ มันทำให้รอบๆสว่างไสว

“อา...”

แสงจากตัวเธอไม่ได้ทำให้เคืองตา พลังงานล้อมตัวทุกคนอย่างอ่อนโยนและทำให้พลังงานในร่างของพวกเขาบริสุทธิ์

เหมือนความเครียดจากการรบ บาดแผล และความเหนื่อยล้าหายไปหมด

ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึก มันเกิดขึ้นจริงๆ

แสงจากร่างเมโลดี้ล้อมรอบทหารบาดเจ็บในรถ

เมื่อแสงจางลง คนบาดเจ็บในรถก็ลงมา หนึ่งในนั้นคือฟาบิโอ เขากำลังมองหาเพื่อนสนิทของเขา

“แอนโทนิโอ!”

“ฟาบิโอ! พระเจ้า!”

แอนโทนิโอลืมตาโตเมื่อเห็นฟาบิโอ แขนของฟาบิโอขาดไปแต่แขนใหม่งอกมาแทนที่ และเขาไม่เห็นบาดแผลบนตัวเพื่อนเลย...

“พระเจ้า! ปาฏิหาริย์ชัดๆ”

แอนโทนิโอและฟาบิโอมองเมโลดี้อย่างเหม่อลอย

ในที่สุดเขาก็จำเธอได้แล้ว

มนุษย์คนแรกที่ถูกพบในดันเจี้ยน เราส์แรงค์ SS จากอเมริกา

เธอคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้



สารบัญ                                        บทที่ 144



เมโลดี้...บทเยอะกว่านางเอกจริงๆด้วย 55+

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 142

บทที่ 142 – อุกกาบาต (2)


โทรทัศน์ขนาดใหญ่ในห้องประชุมกำลังแสดงข่าว

-ก่อนมังกรที่ยึดนัมซานตาย มีทฤษฎีว่ามันเรียกอุกกาบาตลงมา เหตุการณ์นั้นผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในภาพพวกคุณจะเห็นหลุมขนาดใหญ่และไม่เหลือร่องรอยของหอคอยแห่งเดิมเลย-

หอคอยนัมซานถูกเผาราบ ตึกนับไม่ถ้วนถูกทำลาย ถนนสายต่างๆถูกทำลายไม่เหลือซาก ยากจะเชื่อว่าที่นี่คือโซล แต่พลเมืองไม่ได้ตื่นตระหนกนัก

อาจเป็นเพราะพวกเขาเจอมหันตภัยชื่อว่าดันเจี้ยนช็อกมาแล้ว โซลกลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
แทนที่จะวิตกกังวล พลเมืองกลับรู้สึกภูมิใจ

-คุณคังวูจินของอลันดาลคาดการณ์เรื่องอุกกาบาตได้ พลเมืองสามารถอพยพอย่างรวดเร็วเพราะข้อมูลจากเขา ดันเจี้ยนระเบิดติดต่อกันทั่วโลกแต่เมืองที่เตรียมพร้อมที่สุดคือโซล อสูรของคุณวังวูจินมีบทบาทสำคัญในการกำจัดมอนสเตอร์ตั้งแต่แรก...-

วิดีโอสั้นๆที่ชาวเมืองส่งมาถูกนำมาฉายใหม่ มีวิดีโอโกเลมเหล็กสู้กับพวกมอนสเตอร์ วิดีโอทหารโครงกระดูกและอัศวินมรณะกำลังสังหารพวกมอนสเตอร์

-คลื่นกระแทกทำให้เกิดแผ่นดินไหวทั้งชอนัน แต่พื้นที่ส่วนบุคคลของกิลด์อลันดาลไม่ได้รับความเสียหายจากแรงปะทะของอุกกาบาตเลย...-

จอโทรทัศน์แสดงภาพจากเฮลิคอปเตอร์

หอคอยนัมซานถูกถล่ม ตึกรอบๆถูกทำลาย ซากปรักหักพังมากมายจนมองไม่เห็นถนน

ไกลออกไปจากพื้นที่ที่ถูกอุกกาบาตหล่นใส่จะเห็นตึกรามบ้านช่องที่ค่อนข้างสมบูรณ์เว้นแต่กระจกหน้าต่างหายไป

แต่อลันดาลอยู่ในเมืองส่วนที่ถูกทำลาย

เหมือนพายุคลาดจากพื้นที่และอาคารที่เป็นของอลันดาลไปเลย ภาพที่เห็นเหมือนเกาะโดดเดี่ยวเหนือฝุ่นควัน เหมือนฝุ่นที่ตกลงมาไม่เกาะบนอลันดาล มีแต่อลันดาลที่สะอาด

-ผู้คุ้มครองของอลันดาลก็คือประธานคังวูจิน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่ได้อยู่ในโซล? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าถัดจากสถานีโซลไม่ใช่อลันดาล? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาย้ายไปโตเกียวหรือ LA?-

จอโทรทัศน์ฉายผู้ประกาศข่าวที่มีสีหน้าเคร่งเครียด

-เกิดดันเจี้ยนเบรกทุกวัน มอนสเตอร์หลุดออกมาไม่ขาดสาย บางประเทศใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับมอนสเตอร์เหล่านั้น ถึงผู้ชมทุกคน การลงประชามติเหลืออีก 1 วัน เกาหลีจะอยู่ในร่มเงาของอลันดาลหรือพวกเขาจะจากประเทศนี้ไป ทางเลือกขึ้นอยู่กับพวกคุณ ผมปาร์คซุนยุง สำนักข่าวMBS รายงาน-

จุงมินชานปิดโทรทัศน์เมื่อผู้ประกาศข่าวพูดจบ

สมาชิกหลักของอลันดาลกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สถานการณ์เอียงมาด้านเรา แต่เราก็ต้องเตรียมตัวเผื่อผลโหวตจะต่อต้านพวกเราด้วย”

ทนายความลีคังจินลาออกจากตำแหน่งอัยการและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอลันดาล เขาถามอย่างจริงจัง

“ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ เราก็ต้องออกจากเกาหลี”

เนื้อหาคือยอมรับให้มีนครรัฐในเกาหลี มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องการการยอมรับจากประชาชน และสนธิสัญญาจะเป็นผลก็ต้องให้เรื่องนี้สำเร็จก่อน

ความคิดของลีคังจินมีเหตุผล แต่สมาชิกแรกก่อตั้งทุกคนส่ายศีรษะ

“อลันดาลไม่ไปไหนทั้งนั้น ที่ดินที่เรายึดถืออยู่จะเป็นอาณาเขตของเรา”

“อะไร? ถ้าผลโหวตไม่เห็นด้วย เราก็ต้องจากไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ?”

ถ้าเกาหลีไม่ยอมรับอลันดาล พวกเขาจะขอให้อลันดาลย้ายไปประเทศอื่น แต่...

“ประธานไม่ไปหรอก ถ้าผลโหวตไม่เห็นด้วย อลันดาลจะกลายเป็นองค์กรต่อต้านรัฐบาล”

“...”

ลีคังจินอึ้ง วูซุงฮุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ประธานบอกว่าจะไม่ไปจากสถานีโซลเด็ดขาด เราไม่มีทางเลือก”

“หา แต่ว่า...”

“เฮ้อ คุณต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้นะ คุณทนายความ ยอมรับซะเถอะ ถ้าประธานบอกว่าไม่ไปก็ไม่ไป”

“...”

ลีคังจินมองหน้าทุกคนในห้องประชุม

จุงมินชาน รองประธานอลันดาล คิมเฮมิน กรรมการฝ่ายสนับสนุน วูซุงฮุน หัวหน้าแผนกเลขานุการ และฮงซุงกู กรรมการฝ่ายเบ็ดเตล็ดหรือเป็นที่รู้จักในชื่อคุณชายไฟ

ทุกคนยอมรับง่ายเกินไปแล้ว

“อย่างแย่ที่สุด อาจมีการปะทะกัน”

ด้านหนึ่งคือประเทศที่ไม่ยอมรับให้มีประเทศอื่นอยู่ในอาณาเขต อีกด้านคือนครรัฐเล็กๆที่แสดงสิทธิในฐานะประเทศอธิปไตย หากสองฝ่ายปะทะกันผลจะออกมาชัดเจน

นครรัฐเล็กๆจะชนะ

“ประธานอาจอยากยึดอำนาจรัฐบาลเกาหลีด้วยก็ได้ เราต้องวางแผนให้ดี”

ทุกคนผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของคิมเฮมิน

“นายหมายถึงปฏิวัติเรอะ?”

“ผมหมายถึงพยายามหยุดไม่ให้เรื่องนั้นเกิด”

“แค่โน้มน้าวประธานก็ได้แล้วนี่?”

“ผมว่ายึดประเทศจะง่ายกว่าโน้มน้าวลูกพี่นะ”

“...”

ทั้งห้องเงียบกริบเมื่อฟังคำพูดของซุงกู

“ท่านประธานจะกลับมาเมื่อไหร่?”

“เขาบอกว่าพรุ่งนี้แต่อาจจะเร็วกว่าที่บอกก็ได้”

“เขาจะกลับมาจากอังกฤษได้ภายในวันเดียวจริงๆเหรอ เขายังไปไม่ถึงที่นั่นเลยด้วยซ้ำ...”

“ประธานบอกว่าจะใช้ดันเจี้ยน”

ลีคังจินเลิกคิ้ว

“ดันเจี้ยนนี่เป็นประตูสารพัดมิติเหรอ?”

“ประธานใช้มันแบบนั้น”

“...”

ลีคังจินพูดไม่ออก มีหลายเรื่องเกินไปเกี่ยวกับคังวูจินที่เขาไม่รู้ ลีคังจินนึกได้แล้วถาม

“ที่เขาไม่ไปจากเกาหลีเพราะสถานีโซลเหรอครับ?”

“ถูกต้อง”

ลีคังจินเอนหลังพิงเก้าอี้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องภาวนาให้ผลโหวตเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“ความเห็นทั่วไปเห็นด้วยกับเรา ผมทำโพยล่วงหน้า ผลส่วนมากยอมรับการแก้ไขกฎหมาย มีบางคนกระทั่งอยากเลือกเขาให้เป็นประธานาธิบดีของเกาหลี”

ลีคังจินอ่านข้อมูลอย่างสงบ

“ถ้าเราไม่ไปจากโซล อลันดาลก็แค่อยู่ไปอย่างนี้”

“ถ้ารัฐบาลเกาหลีกดดันเราล่ะ?”

ลีคังจินกระตุกยิ้ม

“ใครเป็นคนตัดหัวสมาชิกสภา? ตอนนี้มีหมายจับพวกเขา เดี๋ยวนี้ความเห็นของประชาชนต่อสมาชิกรัฐสภาไม่ดีนัก”

เขาพูดถูก เกาหลีใต้ปิดกั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกรัฐสภาที่ตายไปแล้วไม่ให้มาวุ่นวายกับคังวูจิน นี่เป็นการทำเพื่อปกป้องเขา

“จนกว่าอันตรายจากดันเจี้ยนเบรกจะหมดไป ไม่มีใครมาวุ่นวายกับประธานของเราได้”

“อืม”

จุงมินชานพยักหน้าเมื่อฟังลีคังจินพูด

ลีคังจินเคยเป็นอัยการจึงเป็นคนรู้เรื่องพวกนี้ดีที่สุดในทุกคนในนี้ ถ้าผ่าน อลันดาลกับเกาหลีใต้ก็จะมีข้อตกลงร่วมกัน ถ้าไม่ผ่าน ก็อยู่ไปอย่างนี้

ถ้าเจอปัญหาอะไรถึงตอนนั้นพวกเขาก็จัดการไป มีดอยู่ในมืออลันดาล

“ที่เราทำได้ก็คือรอ”

พรุ่งนี้ทุกอย่างจะเปิดเผย ปัญหาหลักตอนนี้คือคังวูจินไปอังกฤษ ตอนเขาไปเขาแค่บอกว่า “แค่จัดการทุกอย่างให้เหมาะสมก็พอ”

จุงมินชานเหลือบมองลีคังจินที่ยังไม่รู้สถานการณ์ของอลันดาล

‘ถ้ารู้ว่าประธานเป็นคนเรียกอุกกาบาตนั้นมาทุกคนคงผวาแน่’

เขามองสมาชิกแรกก่อตั้ง ดูเหมือนทุกคนจะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ข่าวที่ออกไปเป็นผลดีต่ออลันดาล มันบอกว่ามังกรเป็นคนเรียกอุกกาบาต คังวูจินรู้แผนและเตือนประชาชนให้อพยพ

“เฮ้อ ผมหวังให้ท่านประธานกลับมาเร็วๆ”

จุงมินชานมีหน้าที่ตั้งประเทศ เขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ประธานอยู่กับไม่อยู่ให้ความรู้สึกต่างกันคนละโลก

“เอ่อ ผมไม่ว่าเลยครับถ้าลูกพี่จะกลับมาช้าหน่อย”

ถ้าวูจินกลับมา ซุงกูต้องเรียนเวทมนตร์จากลิช เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

***

ครั้งนี้เกิดดันเจี้ยนเบรก 212 แห่ง

ที่ต่างไปจากอดีตคือมีลอร์ดมิติ 19 ตนมาที่โลก

มอนสเตอร์โดยตัวมันเองก็อันตรายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวเหมือนถูกใครสั่งการ แรงกดดันยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม บางคนยังรู้สึกกลัว

ลอร์ดมิติที่บุกรัสเซียสร้างอาณานิคมในป่าในไซบีเรีย ที่เกาหลีเหนือ ลอร์ดมิติสร้างอาณานิคมในทำเนียบประธานาธิบดี

ทั้งสองประเทศใช้ระเบิดนิวเคลียร์ มันจัดการมอนสเตอร์เรียบร้อยแต่ความเสียหายมหาศาล

ลอร์ดมิติ 9 ตนปรากฏในโซล แต่โซลได้รับความเสียหายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับที่อื่น

ในโซลมีลอร์ดมิติ 7 ตน ในปูซานมี 2 ตน

วูจินลงมือรวดเร็ว สังหารลอร์ดมิติทั้งหมดก่อนพวกมันจะสร้างอาณานิคมสำเร็จ เขายังกำจัดลอร์ดมิติในปูซาน

มีเพียง 4 ประเทศที่สังหารลอร์ดมิติด้วยกำลังของตนเอง

สหรัฐอเมริกาสังหารไป 2 ญี่ปุ่นและจีนอย่างละ 1 เราส์และกองทัพร่วมมือกัน พวกเขาจัดการเป้าหมายสำเร็จและทำลายอาณานิคมไปได้

ปัญหาคือลอร์ดมิติในยุโรป

มีลอร์ดมิติในกรีก เยอรมันและอังกฤษ

มอนสเตอร์รวมตัวกันรอบอาณานิคม พวกมันไม่ทำอะไรนอกจากปกป้องฐานของตัวเอง เมื่อมอนสเตอร์ไม่ทำอะไร ประเทศเหล่านี้จึงคิดว่าพวกเขายังไม่มีอันตรายเร่งด่วน พวกเขาตัดสินใจกระทำการอย่างระมัดระวังเต็มที่

พวกเขารวบรวมกองกำลังอย่างช้ามาก กว่าเราส์และกองทัพจะเริ่มกวาดล้างก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว

พวกมอนสเตอร์รอจนฐานสร้างเสร็จแล้วพวกมันและลอร์ดมิติจึงออกอาละวาด ยุโรปจึงตกอยู่ในความโกลาหลทันที

การรบดุเดือดแต่จำนวนมอนสเตอร์ไม่ลดลง พวกมันหลั่งไหลออกมาจากอาณานิคมที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เรื่อยๆ...

ลอร์ดมิติแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปมาก การสังหารไม่ใช่เรื่องง่าย ความเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่ออาณานิคมเสร็จสมบูรณ์ สถานการณ์ก็ไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว ประเทศเหล่านี้ยังเสียหายกว่ารัสเซียและเกาหลีเหนือที่ใช้ระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก

ด้วยเหตุนี้วูจินกับสตรีศักดิ์สิทธิ์จึงนั่งด้วยกันในเครื่องบินมุ่งหน้าไปยุโรป พื้นที่ 30 เปอร์เซ็นต์ของคาบสมุทรอิตาลีถูกมอนสเตอร์ยึดครอง เครื่องบินจะไปถึงที่นั่นในอีก 1 ชั่วโมง

“เอานี่ไป”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ตาโตเมื่อเห็นวูจินส่งพลอยสีม่วงให้

มันคือชิ้นส่วนมิติ ไอเทมที่หายากและล้ำค่ามาก

“ทำไมถึงให้ของสำคัญขนาดนี้กับฉันคะ...”

“คราวก่อนฉันยืมไป ก็คืนให้ไง”

“...”

อ๊ะ ที่บอกว่าจะคืนให้ไม่ได้โกหกสินะ

เธอไม่รู้เลยว่าผู้ไม่ตายซื่อสัตย์แบบนี้

“ฉันไม่ต้องการมันแล้วค่ะ ท่านจ้าวรับไปเถอะ”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบถ่อมตัวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เขาเก็บชิ้นส่วนมิติกลับเข้าคลัง

“ได้ ฉันจะใช้มันให้ดี”

“...”

นี่ไม่ใช่การหลอกกันใช่ไหม ยอมรับคืนเร็วไปหน่อยหรือเปล่า...

“ว่าแต่เธอคิดยังไงกับทั้งหมดนี้?”

“หมายถึงอะไรคะ?”

“ฉันพูดถึงสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนที่เกิดในอัลเฟนเลยไม่ใช่เหรอ?”

อาณานิคมสร้างเสร็จ

มอนสเตอร์มาจากอาณานิคมเหล่านั้น

ลูกน้องของทราห์เน็ตมีไม่หมดสิ้นไม่ว่าจะถูกฆ่าไปเท่าไหร่

“ทำให้นึกถึงฝันร้ายครั้งนั้นจริงๆค่ะ”

“ใช่ไหม? ยืดเยื้อสุดๆ”

เมื่อได้ยิน สตรีศักดิ์สิทธิ์มองวูจินด้วยสายตาแปลกๆ

ทวีปอัลเฟนถูกลูกน้องของทราห์เน็ตยึดไปทีละน้อย กำลังของพวกมันมีเสริมเข้ามาเสมอจึงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ประเทศที่เหลือรอดร่วมมือกันตั้งเป็นสมาพันธ์แต่อิทธิพลของมันก็ลดลงเรื่อยๆ คนเดียวที่สามารถปกป้องพื้นที่กว้างใหญ่ไว้ได้คือผู้ไม่ตาย เขาคุ้มครองอลันดาล

“มาคิดดู พวกมันไม่ได้มีกองกำลังมาเสริมแบบไม่มีขีดจำกัด”

ที่อัลเฟน เขาแค่ฆ่าพวกที่เข้ามาในอาณาเขตของเขา แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างไป เขาต้องถอนรากถอนโคนศัตรูให้หมดก่อนพวกมันจะยึดพื้นที่ไปมากกว่านี้

อาณานิคมคือกุญแจหลัก มันทำให้ลอร์ดมิติสามารถใช้พลังได้

ถ้าพวกมันมีพลังงานก็จะเอาไปซื้อมอนสเตอร์เท่าที่จะซื้อได้ มอนสเตอร์จะออกมาล่ามนุษย์ทำให้ได้พลังงานเพิ่มขึ้น แล้วพวกมันก็จะเอาไปซื้อมอนสเตอร์มาเสริมอีก...

“เธอรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง?”

“ยังไงคะ?”

วูจินมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ข้างนอกมืดสนิททำให้เห็นแต่ใบหน้าเขาสะท้อนออกมาเหมือนกระจก วูจินกำลังยิ้มกว้าง

“รู้สึกเหมือนฉันได้พื้นที่ล่าที่ไม่มีวันหมดเป็นของขวัญ”

พวกมันสามารถใช้พลังงานเรียกมอนสเตอร์ทั้งหมดมาโจมตีเขา

เขาจะฆ่าให้หมด, EXP ทั้งนั้น


สารบัญ                                                     บทที่ 143

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 141

บทที่ 141 – อุกกาบาต


ผลหลังการระเบิดช่างสุดยอด นักเวทโครงกระดูกถูกพัดกระจาย โชคดีที่วูจินสู้คนเดียวจึงไม่มีทหารหรืออสูรของเขาอยู่ใกล้ๆ

ซากตึกที่ยังเหลือถูกคลื่นกระแทกและถล่มลงมา เมื่อฝุ่นจางลง วูจินเก็บเกราะแล้วเดินไปหาเจนิส

“รู้สึกยังไงบ้างที่หลุดจากผนึกได้?”

[ท่านนึกว่าข้าชอบหรืออยู่ในเวลาที่ไม่รู้ตัวเลย?]

วูจินยักไหล่ เขาไม่เคยอยู่ในห้องผนึกและไม่เคยตาย

“นายคงมีเรื่องอยากถามฉันหลายอย่าง มาจัดการสนามรบให้เสร็จก่อนเถอะ”

[เป็นความคิดที่ดี]

“ไปร่วมทีมกับแรมสันก็ดีนะ”

[ข้าจะทำตามนั้น]

วูจินคว้าเจนิสที่กำลังจะหายไป

“อ้อ อย่าฆ่ามนุษย์ล่ะ”

[ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ]

“อย่าฆ่าพวกเขา”

[...ตามแต่ประสงค์ของท่านจ้าว]

ร่างเจนิสกลายเป็นควันดำหายไป

ลิชเมื่อพูดแล้วไม่เคยกลับคำ ดังนั้นมันจะไม่ทำร้ายมนุษย์ นี่จะทำให้การกำจัดมอนสเตอร์ช้าลง แต่จะให้เผากระท่อมจับตัวเรือดเขาก็ทำไม่ได้

ถ้าวูจินไม่เตือน เจนิสคงถล่มเมืองโซลไม่เลือกหน้า นี่เป็นวิธีกำจัดมอนสเตอร์ให้หมดไปได้เร็วที่สุด

“ดูสถานะตัวเองหน่อยดีกว่า”

ตอนนี้วูจินเลเวล 80

อาวุธของเขาพัฒนาไปตลอด และเขาเพิ่งจะผ่านจุดที่อาวุธเขาจะพัฒนาอีกครั้ง

วูจินเปิดหน้าต่างทักษะ

<ไม้เท้าเหล็ก>
อาวุธของนักรบคือสหายสนิทและถือว่ามีชีวิตร่วมกัน อาวุธเติบโตไปพร้อมกับนักรบ อยู่เคียงข้างเสมอ พร้อมจะออกมาเมื่อท่านต้องการ

ความสามารถ : ความแข็งแกร่ง +30 ความเร็ว +30 พลังชีวิต +30 ซ่อมแซมตัวเอง

ทักษะ : เรียก,เก็บ,เปลี่ยนร่าง (หอก,ค้อน,ขวาน,ดาบสองมือ,ธนู,ดาบยาว,มีดซัด)

“มีดซัด?”

รูปร่างที่ 8 คือมีดซัด

บัฟจากอาวุธของเขาเริ่มจาก ‘ค่าความแข็งแกร่ง +5’ ตอนนี้มัน +30 และยังเพิ่มความเร็วและพลังชีวิต

เมื่อเขาไปถึงเลเวล 90 อาวุธเขาจะเปลี่ยนได้อีกและจะเพิ่มค่าสถานะมากขึ้น

ถ้าใครต้องการเดินเส้นทางนักรบ อาวุธของนักรบเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้

อาวุธของวูจินเปลี่ยนรูปร่าง จากไม้เท้าเหล็กกลายเป็นมีดซัดขนาดเล็ก 3 อันปรากฏในมือเขา แต่ละอันมีขนาดต่างกัน อันแรกมีใบมีดยาวเท่าฝ่ามือและสามารถใช้เป็นมีดสั้นได้ อันที่สองเหมือนมีดเงินอันเล็กหรูหราในงานพิธี อันสุดท้ายเหมือนมีดซัดขนาดกลาง

วูจินเรียกสลับกับเก็บมีดหลายครั้ง เขายังสามารถเปลี่ยนขนาดของมีดได้ตามใจ

“ฉันเรียนทักษะอะไรได้บ้างแล้ว?”

วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและซื้อทักษะเลเวล 80 ที่ปลดล็อกแล้ว เขาซื้อทักษะเฉพาะของอาชีพนักรบ

<ทักษะใช้มีด>,<เทคนิคปามีด>,<คำรามปลุกใจ>

สองทักษะแรกชื่อก็อธิบายตัวมันอยู่แล้ว วูจินสงสัยรายละเอียดของทักษะสุดท้าย

<คำรามปลุกใจ> - ในการต่อสู้อันยากลำบาก เสียงกู่ร้องของนักรบจะปลุกพลังใจให้กับฝ่ายเดียวกัน
ผล – เพิ่มขวัญกำลังใจ เพิ่มความสามารถในการรบ

วูจินยิ้มหลังอ่านคำอธิบาย

“มันเป็นบัฟกลุ่ม”

จนเลเวล 70 ทักษะที่เขาได้มีแต่ทำให้อาชีพนักรบแข็งแกร่งขึ้น ทักษะบัฟอันแรกมาเมื่อเลเวล 80 และเป็น AOE บัฟ

การรบค่อยๆเข้าใกล้จุดจบ วูจินมุ่งหน้าไปทางนัมซานที่เขาตั้งใจจะลองอาวุธทักษะใหม่

ราชาคอยปลูกเถาวัลย์เอาไว้ มันงอกคลุมทั้งหอคอย

ถ้าอาณานิคมตั้งรกรากได้จะกลายเป็นปัญหา เขาต้องทำลายมันอย่างเร็ว

“เอ๋?”

วูจินหยุดเมื่ออยู่ๆก็รู้สึกถึงอันตราย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า

ครืนๆๆ

เมื่อเพ่งสมาธิ เขารู้สึกถึงอากาศสั่นสะเทือน เมฆก็เปลี่ยนรูปร่างไปแบบแปลกๆ สายตาของเขาเพ่งมองไม่เห็นอะไร แต่เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง

“เฮ้อ”

วูจินส่ายศีรษะ

เจนิสเกลียดชังทราห์เน็ตยิ่งนัก

มันสร้างอุกกาบาตเพื่อทำลายอาณานิคมที่ยังไม่ทันตั้งรกรากดี...

จะหยุดมันก็สายไปแล้ว

“งั้นที่หอคอยนัมซานถูกทำลายรอบสองนี่ก็ฉันผิดน่ะสิ”

สัญลักษณ์เมืองโซลถูกทำลายไปเมื่อ 5 ปีก่อนตอนเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก มันเพิ่งจะสร้างใหม่ได้ไม่กี่ปี... นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นต้นเหตุที่มันถูกทำลายลงอีก

สิ่งที่กองทัพผีดิบทำลงไปถือเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่ผู้เดียว

“นี่ไม่น่าจะจบแค่หอคอย นัมซานเองก็อาจจะโดนลบไปด้วย”

เขายังมีเวลาเหลือก่อนอุกกาบาตจะชนภูเขา วูจินมองไปรอบๆ เขาขึ้นขี่ชิงชิงแล้วควบมันจากไป

***

สนามรบเต็มไปด้วยเสียงกระสุนและระเบิด ท่ามกลางทั้งหมดนี้ กล้องต่างๆกำลังบันทึกภาพการต่อสู้
หน้าจอเล็กๆฉายภาพการต่อสู้เหมือนมันกำลังเกิดตรงปลายจมูก ที่จริงแล้วกล้องตั้งอยู่ห่างไปประมาณ 1 กม.

“ฮู้ว เละไปหมดแล้ว”

พวกมอนสเตอร์บินได้และเคลื่อนไหวรวดเร็วอยู่ห่างไปแค่ 1 กม. เรื่องนี้ทำให้พวกเขากังวล แต่กองทหารทำการปราบปรามมาถึงช่วงสุดท้าย อันตรายต่อพวกเขาจึงลดไปมาก

“ผู้กำกับ เราขยับไปใกล้อีกหน่อยดีไหมครับ?”

“ไม่เป็นไร รอตรงนี้เถอะ รอให้ยิงเสร็จแล้วเราค่อยเข้าไป”

“ครับ”

“โลกกำลังจะถึงจุดจบ จุดจบ”

ผู้กำกับเอนหลังบนเก้าอี้ปิกนิก เหม่อมองท้องฟ้า

ในโลกที่ใกล้จะดับนี้จะหาข่าวเด่นไปทำไม ถ้าเขาข้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามที่กองทหารกำหนดไว้เขาอาจโชคร้ายโดนกระสุนลูกหลงตาย ถ้าเขาตายก็โทษใครไม่ได้

“เอ๋? มีอะไรกำลังมาทางนี้?”

“อะไร?”

“เหมือนม้าเลยครับ”

“หา? เจ้าหนุ่ม เราอยู่บนดาดฟ้า นายนึกว่าโลกนี้มีม้ามีปีกอะไรพรรค์นั้นเรอะ”

“ม...ไม่ได้โกหกนะครับ...”

“เฮ้อ เลิกเพ้อเจ้อ”

ผู้กำกับถลึงตาใส่รุ่นน้องแล้วลุกขึ้น เขาคาบบุหรี่ แล้วนิ่งไปเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านของราวกั้นดาดฟ้า

“ม้า”

“ผมบอกแล้ว”

“ใคร? ใครขี่มันอยู่น่ะ?”

“เอ่อ เหมือนจะเป็นคังวูจิน?”

“เอ๋อ? เหมือนจะใช่นะ?”

บุหรี่ในปากของผู้กำกับร่วงเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นน้อง

“เฮ้ย หมุนกล้องมาทางนี้เร็ว!”

กล้องกำลังบันทึกเหตุการณ์ในสนามรบ มันหันไปทางท้องฟ้าเพื่อบันทึกภาพของวูจินควบม้าข้ามท้องฟ้ามาทางพวกเขา

เมื่อชิงชิงมาถึงราวกั้นดาดฟ้า เขากระโดดลงมาจากหลังม้า

“อันนี้ถ่ายทอดสดได้ไหม?”

วูจินชี้ไปทางกล้อง ผู้กำกับส่ายศีรษะอย่างใจลอย

“ถ่ายทอดสดไม่ได้ เราส่งสัญญาณไปทุก 10 นาที”

“แบบนั้นจะสายเกินไป”

“วูจินขมวดคิ้ว ผู้กำกับรีบพูด

“มีเรื่องด่วนหรือครับ? เราลดเป็น 1 นาทีได้”

วูจินพยักหน้า

“จะมีอุกกาบาตลูกหนึ่งหล่นลงมาที่นัมซาน บอกให้ประชาชนรอบๆเตรียมตัว”

“อะไรนะ? อุกกาบาต?”

“รอบๆนัมซานมีทีมข่าวกี่ทีม?”

“4 ทีมครับ”

“ส่งข่าวให้พวกเขาที คุณติดต่อกองทัพได้ไหม?”

“ถ...ถ้าให้เวลาหน่อย ผมหาข้อมูลช่องทางติดต่อได้...”

“ไม่เป็นไร ผมไปเองเร็วกว่า”

ประชาชนที่อยู่แถบนี้อพยพออกไปแล้วเมื่อราชาคอยรวบรวมมอนสเตอร์ในนัมซาน เมื่ออุกกาบาตหล่นลงมา คนบาดเจ็บล้มตายคือคนในกองทหาร

เมื่อวูจินบอกเสร็จ เขาขี่ชิงชิงไปยังกองทหาร ผู้กำกับแค่มองแผ่นหลังของวูจิน

“ผู้กำกับครับ! แพร่ภาพเรื่องนี้ทันทีเลยไหมครับ?”

“...เจซุงอา ฉันเพิ่งจะคุยกับคังวูจินไปจริงๆน่ะ?”

“ใช่ครับ!”

“ฮ้า...”

ผู้กำกับมีสีหน้าเหม่อลอยเหมือนกำลังฝัน

“รุ่นพี่! จะให้ทำยังไงกับข่าวครับ!”

“คิดว่าไงล่ะ?”

ผู้กำกับโทรศัพท์ทันที

“รองประธาน! ผมได้สกู๊ปมา ภาพที่ผมเพิ่งส่งไปหลังตัดต่อแล้วต้องรีบออกอากาศทันทีนะครับ”

วูจินหายไปแล้วแต่ผู้กำกับยังมองไปทางนั้นพลางพูดโทรศัพท์

“วีรบุรุษคังวูจินรู้แผนของมังกรนั่น มันเรียกอุกกาบาตมา”

ไม่มีอะไรที่คังวูจินทำไม่ได้

ถ้าเขาไม่อยู่โซลจะเป็นอย่างไร? พวกมอนสเตอร์มารวมกันหลายจุดและอสูรของคังวูจินทำลายพวกมันจนหมด

กองทหารกำลังเก็บกวาดเศษมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่

“เขาบอกว่าอีกไม่นานอุกกาบาตจะหล่นลงมาที่นัมซาน พวกเราต้องอพยพ”

เขาไม่ต้องสงสัยว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่ด้วยซ้ำ คังวูจินไม่ใช่คนโกหก ผู้คนมองคังวูจินแบบนี้ คำพูดของเขามีน้ำหนัก

เสียงของผู้กำกับสั่นด้วยความภูมิใจอย่างประหลาด

นี่เป็นความรู้สึกเหมือนที่สมาชิกกองกำลังป้องกันโลกรู้สึกเหรอ? เขาเพียงถ่ายทอดคำพูดของคังวูจิน แต่นับว่ามีส่วนช่วยโซลอย่างมากไม่ใช่เหรอ? เขาไม่เคยภูมิใจขนาดนี้เลยที่เลือกมาเป็นนักข่าว

“เขาช่วยโซลไว้อีกครั้ง”

***

“เราถอนกำลังไม่ได้ ผมมีหน้าที่ปกป้องที่นี่”

วูจินยักไหล่เมื่อได้ยินผู้บัญชาการตอบ

“ถ้าคุณอยากตายผมก็ไม่ห้าม”

วูจินชี้ไปที่ท้องฟ้า เมฆกลายเป็นริ้วเหมือนคลื่น

“อีกประมาณ 10 นาที คุณจะเห็นด้วยตาตัวเอง ถ้าจะถอยตอนนั้นพวกคุณก็ตายหมด”

“...”

“ถ้าอยากรอด คุณต้องถอยตอนนี้ แต่ถ้าอยากตายผมก็ไม่ห้าม”

วูจินบอกเรื่องที่เขาตั้งใจจะบอกแล้ว

เขาไม่อยากให้มีการเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น แต่เขาไม่มีความรู้สึกว่าต้องช่วยทุกคน

วูจินบอกพวกเขาว่ามีอันตรายอย่างไร และนั่นเพียงพอแล้ว เขาไม่ใช่พี่เลี้ยง...

“ถ้าเราถอย พวกมอนสเตอร์จะเข้าไปในเมือง”

“ผมจะกันพวกมันไว้”

“...”

“จะเอายังไง?”

“ผมจะถอนกำลัง”

วูจินยิ้ม

“รีบไปเถอะ”

พูดจบวูจินก็มุ่งหน้าไปทางแนวหน้า ถ้าเขาจะช่วยกองทหารถอนกำลังเขาก็ต้องรั้งพวกมอนสเตอร์เอาไว้ เหล่าทหารแสดงความเคารพเขาขณะที่เขาจากไป

วูจินเรียกหอกกระดูกออกมาแล้วโยนไปตรงจุดต่างๆ

กระดูกงอกออกมาแล้วสานตัวกันเป็นกำแพงกระดูก วูจินสร้างกำแพงกระดูกเป็นทางยาว พลังเวทมหาศาลจึงถูกใช้ไป

เขาบ่นพลางดื่มโพชั่นเพิ่มพลังเวทที่ซื้อมาจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ

“เจนิส นายทำให้คนอื่นลำบากกันใหญ่แล้ว”

ในเมื่อวูจินบอกไปแล้วไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ก็ไม่น่าจะเป็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ แต่ต้องไม่ลืมแรงกระแทกหลังการปะทะ

โชคดีที่เจนิสเก่งขนาดใช้เวทได้อย่างแม่นยำ อุกกาบาตไม่มีทางพลาดไปตกที่อื่น

หอคอยนัมซานคงหายไปแน่ พื้นที่รอบๆจะถูกพลิกคว่ำ จะไม่มีคนตายแต่มอนสเตอร์ที่หลบในป่าจะถูกกวาดล้าง

วูจินล้อมมอนสเตอร์ไว้ในกำแพงกระดูกก่อนที่พวกมันจะหนีไป

ถ้ามีมอนสเตอร์ต่อต้านอย่างรุนแรง เขาจะไม่ใช้เวทที่เสียไปมากแล้ว เขาจะสู้กับพวกมันโดยใช้ทักษะของอาชีพนักรบ

วูจินต้านมอนสเตอร์คนเดียวหลังจากกองทหารจากไป ตอนนั้นเอง ควันดำก็รวมตัวกันเป็นลิชเจนิส

“นึกไงถึงเรียกอุกกาบาตลงมา?”

[ก๊าก ฮ่าๆ นี่เป็นวิธีทักทายโลกของข้า]

วูจินหน้าเบี้ยว

“ถ้าคราวหน้านายทำตัวสุภาพแบบนี้อีกโลกคงกลายเป็นจุณ”

[ก๊าก ฮ่าๆ แค่นี้ไม่มีคนตายหรอก]

วูจินถอนหายใจ

“ลูกเล็กเหรอ?”

[มันเป็นแค่หินก้อนเล็กๆสำหรับการทักทาย]

ปัญหาคือหินเล็กก้อนนั้นมีพลังทำลายล้นเหลือ

“ช่วยวางบาเรียรอบตึกอลันดาลให้ที”

[ใครจะไปสนพวกตึกเล่า?]

“ครอบครัวฉันอยู่ในนั้น”

[...ข้าผิดไปแล้ว]

เจนิสกลายเป็นควันดำหายไป วูจินถอนหายใจพลางมองท้องฟ้า

มีแสงกระพริบ

แสงเล็กๆมุ่งตรงมาทางนัมซาน เมื่อสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ใช้เวลาอีกไม่กี่วินาทีมันจะปะทะโลก

คว้าง!

หลังปะทะ เสียงระเบิดก็ดังตามมา พื้นดินสั่น เกราะผีของวูจินคลุมทั้งร่างของวูจิน

พื้นดินถูกทำลายจนไม่เหลือร่องรอยของหอคอยนัมซานและยังมีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้น ควันรูปเห็ดลอยขึ้นพร้อมกับฝุ่น และนี่ไม่ได้เกิดแต่ในโซลเท่านั้น



สารบัญ                                         บทที่ 142


วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 140

บทที่ 140 – จ้าวแห่งโรคระบาด (3)


“เข้าใจแล้วว่านายอยากเรียนมาก”

“เปล่า ผมไม่ได้ถามเพราะอย่างนั้น...”

“ไม่ต้องเร่งฉันนักก็ได้ เขาจะออกมาวันนี้ ตอนไหนสักตอนนี่ล่ะ”

“เปล่า ผมไม่ได้เร่ง...”

ซุงกูแค่อยากถามว่าต้องใช้ลิชจัดการปัญหาตอนนี้จริงๆเหรอ

“ฉันรับประกัน”

อา ซุงกูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

“นายแค่ต้องรอดให้ได้”

วูจินแตะบ่าซุงกู

“แล้วนายก็จะได้เป็นนักเวทไฟที่เก่งที่สุด”

“ลูกพี่...”

ไม่เข้าใจเลยว่าแค่เรียนเวทมนตร์ทำไมต้องเสี่ยงตายด้วย...

“ไปพักอีกหน่อยเถอะ”

“...”

วูจินก้าวไปทางเมโลดี้ที่ยังสะอึกอยู่ เธอสะดุ้งเหมือนทำอะไรผิด

“เธอเพิ่งเล่าประวัติฉันไปล่ะสิ?”

“ฉ...ฉันผิดไปแล้วค่ะ!”

สตรีศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าฮวบและค้อมหัวลง วูจินทำหน้าเบื่อ

“...ถ้าไม่อยากตายจริงๆก็ลุกขึ้น”

เธอเป็นนักบวชที่ถูกเลือกให้รับใช้เทพี เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่ค้อมคำนับเขาไม่หยุด เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์พยายามหมอบกราบเขา วูจินรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกับเทพ และเขาไม่ชอบ

เขาเป็นมนุษย์

“ค่ะ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นทันที วูจินขมวดคิ้วถาม เขาไม่สนที่เธอพูดถึงเขาลับหลัง ประวัติศาสตร์ของอัลเฟนน่าสนใจกว่า

“ดันเจี้ยนแรกเชื่อมต่อกับอัลเฟนเมื่อ 200 ปีก่อน?”

“ใช่ค่ะ”

“พวกลอร์ดมิติเริ่มถล่มอัลเฟนเมื่อไหร่?”

“ประมาณ 100 ปีก่อนค่ะ”

“...”

วูจินคำนวณช่วงเวลาแล้วขมวดคิ้ว

ที่โลกดันเจี้ยนแห่งแรกเกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ลอร์ดมิติเริ่มปรากฏตัว 5 ปีหลัง มันเร็วเกินไป

“งั้นอัลเฟนก็ต้านมาได้ 100 ปี เธอคิดว่าโลกจะต้านไว้ได้นานเท่าไหร่?”

“ดันเจี้ยนของอัลเฟนกับโลกไม่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถามถึงการคาดการณ์ก็ออกจะ...”

“อืม...”

เครือข่ายติดต่อสื่อสารของโลกเหนือกว่าอัลเฟนมาก

ถ้าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น พรุ่งนี้ทั้งโลกก็จะรู้

แต่คนที่โลกไม่ได้ต่อสู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขามีปัญหาเรื่องความสามัคคี

ข้อมูลข่าวสารรับส่งช้ากว่าในอัลเฟน แต่ที่นั่นมีผู้นำ คนเหล่านี้สามารถติดต่อและควบคุมคน ชักจูงจิตใจผู้คน พาพวกเขาไปยังทางที่กำหนด

วูจินมองเมโลดี้ที่เคยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรีย

“ฉันมีงานให้เธอทำ”

“อะไรคะ?”

“ปลุกพลังของโซอา”

“...”

คำพูดของเขาทำให้เมโลดี้ประหลาดใจ เธอเงยหน้ามองวูจิน

การถ่ายทอดสาสน์ของเทพไม่ใช่เรื่องง่าย เมโลดี้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงจึงรู้ดีกว่าใคร

“แน่ใจแล้วเหรอคะ?”

“ฉันไม่มีทางเลือก”

เขาไม่มีทางเลือกนัก นี่เพื่อน้องสาวของเขาและโลก

“เราต้องการกาวเชื่อมติดพวกเราไว้ด้วยกัน”

“...”

เมโลดี้เห็นด้วยเงียบๆ

วูจินพยายามเป็นกาวที่รั้งทุกคนไว้ด้วยกันมาแล้ว เขาพยายามใช้พลังที่เหนือกว่าและท่าทางเผด็จการนำผู้คน แต่โลกรอบตัวเขากลับล่มสลายเร็วขึ้น

โลกจะล่มสลายจากภายในก่อนวูจินจะมีอำนาจควบคุมเราส์

ศีลธรรมจะพังทลาย ความสิ้นหวังจะแผ่ขยายไปทั่วโลก เขาต้องมอบความหวังและความเชื่อให้ผู้คน

สิ่งที่วูจินพบว่าตัวเองขาดไป

น้องสาวของเขาเป็นเมล็ดพันธุ์พระเจ้า

เขาไม่รู้ว่าเทพองค์ใดจะปรากฏ

อาจเป็นเทพที่ผู้คนนับถือบูชามานาน หรืออาจเป็นเทพบรรพกาลที่ถูกหลงลืม ไม่มีใครรู้จัก...

โซอาถูกเทพเลือก อนาคตเธอจะลำบาก แต่เธอไม่มีทางเลือก วูจินทำอะไรให้เธอไม่ได้

“โซอาต้องรอดชีวิต”

เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าจะไม่ถูกปฏิเสธนอกเสียจากว่าจะตาย

“ถ้าเป็นเทพมารล่ะคะ?”

“หึ”

วูจินหัวเราะ

“เธอคิดว่าเทพแบ่งเป็นเทพฝ่ายดีกับเทพมารเหรอ?”

“...”

“ถ้าเธอศรัทธาก็เป็นเทพฝ่ายดี ถ้าไม่ก็เป็นเทพมาร”

“...”

ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรีย เมโลดี้ไม่อยากได้ยินคำพูดนั้นจากผู้ไม่ตาย แต่เธอไม่กล้าคัดค้าน

“เทพมารอะไรไม่มีหรอก ไปช่วยโซอาปลุกพลัง”

เมโลดี้สามารถช่วยให้เมล็ดพันธุ์พระเจ้างอกเงยโดยที่โซอาไม่เสียสติไป

นี่เป็นสิ่งที่มีแต่เธอที่ทำได้เพราะพลังของอาเรีย

“ทราบแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเมโลดี้ วูจินหันไปมองพวกมอนสเตอร์ที่กำลังอาละวาด

“เอาล่ะ ไปล่ามังกรสักตัวดีกว่า”

วูจินยิ้มพลางมองมังกรทองที่เกาะบนหอคอยนัมซาน

“ผมช่วยครับ”

วูจินส่ายศีรษะเมื่อซุงกูรีบลุกขึ้น

“นายกับฮีซอลไปจัดการมอนสเตอร์แถวนี้”

“ครับผม”

น่าเสียดาย แต่วูจินพูดแบบนี้แปลว่ามันอันตรายเกินไปสำหรับเขา ซุงกูจะไม่ฝืนตัวเองถ้าไม่จำเป็น เราส์ทำงานเสี่ยงชีวิต และไม่มีอะไรอันตรายไปกว่าการอวดเก่ง

วูจินกำลังจะไปจับมังกร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องยกพวกไปหมด

อัศวินมรณะ 10 ตนสำหรับก่อกวน โดลเซโจมตีไปเรื่อยๆ และบิบิจะโจมตีทางจิตใจทำให้มันสับสน วูจินก็โจมตีเช่นกัน เขาไม่ต้องการคนอื่นอีก

แต่พวกมอนสเตอร์กระจายเป็นวงกว้างโดยมีนัมซานเป็นศูนย์กลาง อสูรของเขาต้องแยกไปเช่นกัน พวกมันจึงมีงานยุ่งกันหมด

“หรือจะเรียกเจนิสออกมา”

ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นพรวดๆ อีกแค่ไม่กี่นาทีเขาจะเพิ่มเลเวล

ค่าประสบการณ์อยู่รอบตัวเขา

วูจินดีใจอยู่เหมือนกันที่ดันเจี้ยนเบรกเกิดรอบโซลเป็นหลัก กองทัพผีดิบของเขาสามารถล่าพวกมันและค่าประสบการณ์เพิ่มอย่างรวดเร็ว

วูจินวิ่งเข้าสู่สนามรบ เขาอยากเพิ่มเลเวลเร็วๆ

วูจินยื่นมือ หอกกระดูกพุ่งทะลุมอนสเตอร์เหมือนพวกมันเป็นกระดาษ

หอกวิญญาณแทงมอนสเตอร์ค้างคาวร่วงลงมา พวกมันหลบแต่หอกวิญญาณไล่ตามพวกมัน

หลังได้อาชีพนักรบ อาวุธที่วูจินใช้บ่อยที่สุดคือขวาน ขวานของเขาผ่าแยกศีรษะของมอนสเตอร์ สังหารมอนสเตอร์อย่างไม่ยากนัก

ทุกการปะทะจบลงด้วยซากศพกองรอบตัววูจิน

วูจินยิ้มเมื่อเห็นพวกมอนสเตอร์เริ่มถอย มันคงเริ่มเบื่อพลังที่เหนือกว่ามากของเขาแล้ว

“คิดจะไปไหนกันพวกนาย?”

วูจินใช้ศพเป็นสื่อกลางสร้างกำแพงกระดูกกันไม่ให้มอนสเตอร์หนี พลังของวูจินระเบิดออก

ควันพิษสีเขียวกระจายออกโดยมีวูจินเป็นศูนย์กลาง มอนสเตอร์แมลงตายถูกพิษตายหมดโดยเขาไม่ต้องลงมือฆ่าเอง

ถ้าไม่ต้องห่วงฝ่ายเดียวกัน สไตล์ต่อสู้ของวูจินไม่มีใครเปรียบได้ สไตล์นี้ส่งผ่านมายังฮงซุงกู

“ลุก!”

ศพรอบตัววูจินระเบิด เลือดเนื้อปลิวว่อน นักเวทโครงกระดูก 200 ตัวถูกเรียกออกมา เลเวลพวกมันสูงจนเทียบได้กับเราส์แรงค์ B

เวทของพวกมันล้วนอันตราย ข้อเสียเดียวคือพวกมันใช้ได้แค่เวทจากธาตุเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่าเวทที่ใช้จะไม่หลากหลายเมื่อมีนักเวทโครงกระดูกเป็นร้อย วูจินเรียกนักเวทโครงกระดูกที่สามารถใช้เวทไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า ลมและพิษออกมา เขาสามารถสร้างกองทัพนักเวทที่มีหลายคาถา

“ถล่มพวกมัน!”

พวกโครงกระดูกส่งเสียงน่าขนลุกแล้วเริ่มยิงเวท อัศวินมรณะมีโอกาสพักเมื่อวูจินสู้อย่างแข็งขัน พวกอัศวินมรณะเคลื่อนกองทัพโครงกระดูกล้อมพวกมอนสเตอร์ พวกมันขยายขอบเขตล้อมนัมซานเป็นวงกว้าง

99.9%

วูจินใกล้เลเวลอัพเต็มที แต่ตอนนั้นเอง มังกรผละจากหอคอยนัมซานมุ่งหน้ามาทางวูจิน ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อมังกรผละจากหอคอยก็เห็นเถาวัลย์พันรอบทั้งหอคอย

ดูเหมือนมังกรพยายามทำหอคอยนัมซานให้เป็นอาณานิคมของมัน

มันยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันถึงจะใช้งานได้ วูจินมีเวลาเหลืออีกมากสำหรับฆ่ามังกรและทำลายอาณานิคม
มังกรบินขึ้นสูง มันสูดลมหายใจจนท้องพอง

“มีปัญหาแล้ว”

เขาจะป้องกันลมหายใจมังกรได้ไหม?

วูจินจะไม่เป็นไร เกราะผีจะปกป้องเขา แต่คนรอบๆ...

<เพิ่มระดับ!>

ช่างเป็นเสียงที่น่ายินดีนัก วูจินเรียกเขาออกมาทันที

“เจนิส”

ครูผู้สอนทางแห่งการสังหารและความกล้าหาญ

ผู้ช่วยวูจินสร้างการทำลาย ผู้เป็นที่ปรึกษาสูงสุดที่ช่วยวูจินปกครองอลันดาล

ผู้เคยถูกเรียกว่ามหาปราชญ์และจอมเวทในอัลเฟน

เพื่อช่วยอัลเฟนไม่ให้ล่มสลาย มันเปลี่ยนตัวเองเป็นลิช และถูกความบ้าคลั่งครอบครอง

นักเวทผู้ไม่มีวันตาย

ควันดำรวมตัวกัน มันเป็นโครงกระดูกสวมผ้าคลุมดำ ถือไม้เท้าดำ มันสวมชุดคล้ายนักเวทโครงกระดูกแต่มีบรรยากาศกดดันรอบตัว

ดวงตาสีแดงของมันเปล่งประกาย

[เจ้านาย! อัลเฟนปลอดภัยหรือไม่?]

เสียงของมันฟังหึ่งๆเหมือนมีอำนาจสั่นคลอนจิตใจ เสียงชวนขนลุกเหมือนรถไฟเบรกฉุกเฉิน

วูจินลูบหูแล้วพูด

“ยัง ป้องกันนั่นให้ฉันก่อนได้ไหม?”

วูจินชี้ไปที่ท้องฟ้า มังกรทองราชาคอยพองตัวใหญ่ ใกล้จะปล่อยลมหายใจมังกรออกมา

[พลังของข้าหายไปไหน?]

“อ้อ”

วูจินเปิดหน้าต่างทักษะอย่างรวดเร็ว เขาใช้แต้มเพิ่มเลเวลให้ทักษะ ‘เรียกลิช’ ไม่นานเลเวล 1 ก็กลายเป็น 99 ร่างเจนิสเปล่งแสงหลายครั้ง ร่างกายมันก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง

ผ้าคลุมดำตอนนี้ประทับด้วยวงเวทเรืองแสงส่งบรรยากาศลึกลับ หัวไม้เท้าฝังพลอย 5 ชนิดส่องแสงแวววาว

ถ้าปิดตาลงจะได้ยินเหมือนฝาหม้อหุงข้าวถูกเปิดออก ต้นเสียงมาจากลมหายใจมังกรจากปากราชาคอย

เจนิสสร้างโล่คลุมทั้งท้องฟ้า

มันเป็นบาเรียที่สร้างจากพลังเวท มันปะทะกับลมหายใจมังกร เกิดแรงระเบิดเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ แต่แรงระเบิดส่วนใหญ่ถูกสะท้อนขึ้นฟ้า บนพื้นเกิดความเสียหายเล็กน้อย

“นายมาทันเวลาพอดี”

[รงรงอยากได้เพื่อนหรือเปล่า?]

“มันเป็นลูกน้องทราห์เน็ต ไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน ฆ่ามันซะ”

เมื่อลอร์ดมิติถูกสังหารจะไม่เหลือซากศพไว้ มันจะสลายไปพร้อมกับแสงสีเทา ถ้าจะสร้างมังกรกระดูกก็ต้องมีศพมังกรใช่ไหม?

[‘เพชรฆาตของทราช’เล่า?]

“ฉันหาแล้วแต่ไม่เจอ”

วูจินหาทั้งในร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและร้านค้าของมิติ แต่มันหายไป ในชุดเซ็ทของทราช เพชฌฆาตเป็นอาวุธ สูตรการสร้างก็หายไป เขาจึงไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่หรือเปล่า มันเป็นอาวุธที่แปลก

เจนิสยังบอกให้วูจินหาอาวุธนั้นต่อไป

ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน มังกรร่อนลงมาช้า

ราชาคอยจ้องนักเวทผีดิบที่ป้องกันลมหายใจมังกรของมันไว้ได้

มันนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอลิชที่เข้มแข็งขนาดนี้บนโลก

[โลกยังไม่ประสานดี เจ้าเป็นเราส์ของโลกแต่ไปได้พลังขนาดนี้มาจากไหน?]

เสียงของราชาคอยทำให้ดวงตาของลิชวาววับ

[น่าขยะแขยง!]

ความโกรธของเจนิสที่มีต่อทราห์เน็ตนั้นเกินกว่าใครจะจินตนาการไปถึงได้

วูจินยักไหล่

“ไว้คุยกันหลังนายฆ่าเจ้านั่นเสร็จ”

[รับบัญชาท่านจ้าว!]

ลิชจงใจเปลี่ยนคำเรียกไปมาระหว่างเจ้านายกับท่านจ้าว

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ วูจินไม่ได้สร้างมัน ลิชอยู่ของมันมา 200 ปีก่อนจะกลายเป็นอสูรของวูจิน แค่เจนิสทำตามคำสั่งวูจินก็ขอบคุณและโล่งใจแล้ว

[จงถูกไฟนรกเผาตายไปซะ!]

ไม้เท้าของเจนิสยิงไฟสีดำออกมาชนกับปีกราชาคอย มันเป็นไฟนรกประเภทหนึ่ง และเวลาในการร่ายเวทของเจนิสก็เร็วเหลือเชื่อ

[อั่ก?]

ปีกมันติดไฟและไม่อาจดับได้ ไฟลามไปทั่วร่างมัน

มังกรตีปีกแรงจนส่งรถหลายคันลอยไป กระจกหลุดจากตัวอาคารและนักเวทโครงกระดูกถูกพัดลอยไปทุกทิศทาง

มันขยับปีกสุดแรงก่อนจะกระแทกพื้น ทำอาคารทรุดไปหลายหลัง

ในที่สุดมันก็ดับไฟนรกได้อย่างเฉียดฉิว

ถ้าไม่ใช่ว่ามันเป็นมังกร... มันคงถูกเผาจนตายไปแล้ว

[บังอาจ! เจ้ากล้ายั่วยุข้า!]

มันประสานกับโลกโดยไม่นึกว่าจะถูกทำให้อัปยศขนาดนี้

[กลหลอกเด็กอย่าหวังว่าจะทนความโกรธของข้าได้!]

มันถูกโจมตีโดยไม่ระวังจึงถูกไฟนรกเล่นงานง่ายดาย คราวนี้มันเอาจริงแล้ว ไฟนรกโจมตีมันไม่ได้อีกแล้ว

มันจะทำลายทั้งเมืองนี้

ปีกมังกรมีควันออกมาขณะที่มันส่งเสียงคำราม มันยืนสี่ขา ความกลัวของมังกรทำให้สิ่งต่างรอบๆสั่นด้วยความหวาดกลัว

ลิชไม่มีหู มันจึงไม่สะทกสะท้าน มันแค่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้ามังกร

[ฮ่าๆ การโจมตีของข้าไม่แรงพอหรือ?]

พลังเวทถูกส่งออกมาจากไม้เท้าของลิช

เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นล้อมรอบมังกร เปลวไฟผ่าขึ้นมาจากพื้นดินและบานออก ศีรษะโผล่ออกมาจากลาวาร้อนแดง

พวกมันคือมังกรที่มีศีรษะ 9 เศียร มันถูกทรมานในไฟนรก

ไฮดร้าถูกเจนิสเรียกออกมา

นับแล้วมันเรียกไฮดร้าออกมา 100 ตัว

ศีรษะทั้ง 900 หันไปทางราชาคอยแล้วอ้าปาก



สารบัญ                                                 บทที่ 141


วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 139

บทที่ 139 – เจ้าแห่งโรคระบาด (2)


อลันดาลกำลังถูกกดดันอย่างหนัก

“ร...เราจะทำยังไงกันดีคะ?”

ฮีซอลถามด้วยความกังวล พวกไวเวิร์นกระจายเต็มท้องฟ้าและเริ่มการล่าไม่เลือกหน้า ไม่ใช่แค่บนท้องฟ้า บนพื้นก็มีมอนสเตอร์มากกว่าอีกหลายเท่า ทุกครั้งที่มังกรคำราม มอนสเตอร์จะกระจายออกไปโดยมีนัมซานเป็นจุดศูนย์กลาง

เหล่าทหารจัดแถวต่อสู้ขึ้นมาหยาบๆขณะที่มอนสเตอร์มารวมตัวกัน กองทัพเริ่มทิ้งระเบิด

“ถามทำไมครับ เราก็ทำสิ่งที่เราทำได้”

คำพูดของซุงกูทำให้ฮีซอลควบคุมอารมณ์ได้ ปกติแล้วเขาจะดูขาดๆเกินๆ แต่ในสถานการณ์คับขัน คำพูดของซุงกูมีผลกับเธอมาก

เขาไม่ได้ซื่อเพราะฉลาดน้อย

เขาถูกวูจินฝึกให้เป็นแบบนี้

“เราแค่ต้องป้องกันมอนสเตอร์ที่มาทางนี้ ทำสิ่งที่เราทำได้ให้มากที่สุด ถึงตอนนั้นลูกพี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว”

ซุงกูยกดาบที่วูจินมอบให้ขึ้นมา

ดาบของถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ ไม่ใช่แค่นั้น ทั่วร่างของซุงกูก็ถูกเปลวไฟคลุม

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ครับ ถ้าผมใกล้ตายช่วยรักษาผมด้วย”

“...ยกให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะค่ะ”

วูจินที่เป็นเชือกช่วยชีวิตไม่อยู่ ซุงกูได้แต่ฝากชีวิตไว้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์

“ไปก่อนล่ะ”

กองไฟฮงซุงกูพุ่งไปข้างหน้า

สไตล์ต่อสู้ของเขาไม่เหมาะจะสู้ร่วมกับพวกเดียวกัน เขาจะสู้ได้ดีที่สุดเมื่อพุ่งเข้าไปในกลุ่มศัตรู เปลวไฟของเขาไม่แยกศัตรูหรือสหายจึงอาจทำร้ายพวกเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ

ดังนั้นซุงกูจึงเป็นเราส์ที่เชี่ยวชาญเรื่องดึงความสนใจจากศัตรู

“เราก็เตรียมตัวกันเถอะ”

ฮีซอลเตรียมพร้อมมอนสเตอร์ของเธอ

ฮีซอลเคลื่อนที่เสือดำแจ็คสัน ฝูงกาปากมีด จระเข้หุ้มเกราะและมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ พวกมันมีสัญลักษณ์ของอลันดาลบนตัวเพื่อแยกออกจากมอนสเตอร์ทั่วไป

“แสดงสปิริตของพวกเราให้ทุกคนเห็นกัน”

ฉายาของเชฮีซอลคือเจ้าของสวนสัตว์ซาฟารี วันนี้เธอจะแสดงให้เห็นว่ามอนสเตอร์ของเธอไม่ได้มีไว้โชว์เฉยๆ

“โฮก!”

มอนสเตอร์ออกเดินด้วยท่าทางคึกคัก

[ทหาร!]

อัศวินมรณะทั้งสามเรียกทหารโครงกระดูกในอาณัติออกมา พวกมันเลเวล 50 แล้วและได้ทหารเพิ่มเมื่อเลเวลเพิ่มเลเวลละ 10 ตัว อัศวินมรณะแต่ละตัวมีทหารโครงกระดูก 500 ตัว ดังนั้นพริบตาเดียวก็ปรากฏกองทัพใหญ่

เคะๆๆ

ทหารโครงกระดูกปรากฏตัวพร้อมเสียงน่าขนลุก พวกมันจัดขบวนทัพโดยหลีกให้ห่างจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเตรียมตัวมาก่อนแล้ว เห็นดังนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์จึงถอยไปข้างหลัง

“ฉันจะคอยดูแลคนเจ็บเองค่ะ”

เธอไม่มีประโยชน์ต่อมอนสเตอร์ผีดิบ ทำได้แค่ร่วมมือกับซุงกูและฮีซอล แต่สองคนนี้ชินกับการสู้แบบบ้าระห่ำ พวกเขาจึงไม่แม้แต่คิดจะรับบัฟจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาพุ่งเข้าสู่สนามรบทันที

[โจมตี!]

[รักษาขบวนทัพไว้!]

ทหารโครงกระดูกแยกกัน กองทัพส่วนหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า ที่เหลือรักษาตำแหน่งอยู่ด้านหลัง ซุงกูกลับมาหลังจากสร้างความวุ่นวาย เขาต้องรักษาพื้นที่จนกว่าทหารโครงกระดูกจะจัดทัพใหม่

ซุงกูเหมือนปลาได้น้ำ เขาไปทุกที่

ทุกการเคลื่อนไหวของเขาทำให้เกิดรอยไฟ อาคารต่างๆระเบิดและลุกไหม้เมื่อเขาเหวี่ยงดาบเพลิง

แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาโจมตีโดยไม่วางแผน

เขาสร้างกำแพงไฟขึ้นระหว่างอาคาร เปลี่ยนเส้นทางของพวกมอนสเตอร์อย่างชำนาญ เขาควบคุมสนามรบเพื่อให้ทัพโครงกระดูกสู้กับมอนสเตอร์ได้

“ฮู้ว”

พลังเวทของเขาหมดอย่างรวดเร็ว ซุงกูถอนหายใจ ลมหายใจของเขาร้อน มอนสเตอร์มีไม่สิ้นสุดแม้ว่าเขาจะคอยเผาพวกมันตลอด

นี่เขากำลังเหนื่อยหรือกังวลนะ?

“ฮะๆ”

ซุงกูหัวเราะตัวสั่น

นี่ไม่ใช่เพราะกลัว เขาตัวสั่นด้วยความสนุก

“สุดๆเลย”

เขายังไม่ได้วัดระดับจากสมาคมผู้มีพลังพิเศษอย่างเป็นทางการ แต่การวัดระดับคร่าวๆในอลันดาล ซุงกูเป็นนักเวทวงแหวนที่ 7 เราส์แรงค์ AA

ในโลกมีเราส์ระดับเขาเพียงหยิบมือ

เขาควบคุมไฟได้เพียงขยับมือ

ครอบครัวของเขาหลบภัยในหลุมหลบภัยใต้ดินของอลันดาล เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบมากมายบนบ่า แต่การรู้ว่าตัวเองมีพลังพอปกป้องครอบครัวทำให้เขามีกำลังใจ

เขาไม่ได้ไร้พลังและไม่ต้องวิ่งหนี เขามีพลังที่จะต่อสู้และจะปกป้องครอบครัวอย่างห้าวหาญ

“มาเลย!”

ซุงกูเหวี่ยงดาบทำให้เกิดระเบิด

ตอนนั้นเอง ไวเวิร์นตัวหนึ่งดิ่งลงมาทางซุงกู

ซุงกูยกมือขึ้น เปลวไฟพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ไฟสีขาวเปลี่ยนไวเวิร์นให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ศพของมันหล่นลงมาทับตัวเขา

“อุ๊บ”

ซุงกูถูกมอนสเตอร์ร่างยักษ์ทับ เขาพยายามคลานออกมาจากใต้ศพ ในด้านความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขาอยู่ระดับเดียวกับเราส์สายกายภาพ

“โยชช่า!”

เขายืนขึ้นและผลักศพไวเวิร์นไปข้างๆ

ก๊าซ!

มอนสเตอร์นับไม่ถ้วนโจมตีเขา แต่ดวงตาของซุงกูเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวคนเดียวบ่อยๆ เขามีพลังเวทจำกัด แต่ได้เรียนรู้วิธีเปลี่ยนพละกำลังไปเป็นพลังเวทมาแล้ว

ซุงกูทำลายมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามา และตอนนี้กองทัพโครงกระดูกเข้ามาควบคุมการรบ ตรงจุดยุทธศาสตร์สำคัญมีมอนสเตอร์ของฮีซอลร่วมต่อสู้ด้วย

ตอนนั้นเอง มังกรบนหอคอยก็คำราม

ไม่แค่เสียงดัง มันผสมพลังประหลาดในนั้น คลื่นเสียงรบกวนเครื่องมือสื่อสารของกองทัพ ผลจากทักษะความกลัวไม่หยุดแค่นี้ มันมอบบัฟหลายอย่างให้พวกมอนสเตอร์ พวกมันยิ่งบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม

“ทำยังไงดี?”

มอนสเตอร์พุ่งเข้าหาซุงกูอย่างบ้าคลั่ง จำนวนมอนสเตอร์ดูจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกและซุงกูคิดถอย ลางสังหรณ์เขาถูกต้อง พวกมอนสเตอร์ต่อสู้ไม่เป็นระเบียบแต่เสียงคำรามของมังกรทองชี้นำพวกมันทั้งหมดมายังที่ๆซุงกูเฝ้าอยู่ มังกรส่งพวกมอนสเตอร์มาที่อลันดาล

ทหารที่เฝ้าอยู่อีกด้านสบายขึ้น แต่ซุงกูกำลังเสียพลังไปเพราะมอนสเตอร์โจมตีต่อๆกัน

‘ฉันต้องการเวลาพักสักหน่อย’

สนามรบต่างจากการเคลียร์ดันเจี้ยน

ในดันเจี้ยน เขาสามารถหาที่ปลอดภัยเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่ในสงครามเขาไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเขาล้มลง เพื่อนร่วมรบของเขาจะเจอปัญหา ยิ่งกว่านั้นครอบครัวเขาอยู่ด้านหลัง พวกเขาเชื่อใจเขา

‘ทำยังไงดี?’

นี่เขามั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า?

เขารีดเวทเฮือกสุดท้ายออกมา ในหัวซุงกูมีความคิดผ่านเข้ามามากมาย การเคลื่อนไหวเริ่มสะเปะสะปะ ตอนนั้นเอง แผ่นคอนกรีตก็หล่นลงมาจากฟ้า

[โก!]

กองคอนกรีตลอยขึ้นและเก็บกวาดมอนสเตอร์พร้อมๆกับเสียงคำรามเข้มแข็ง บิบิบินมาที่ด้านข้างซุงกู

“เฮะๆ ทำได้ดีจ้าซุงกูจิง”

“บิบิ!”

ซุงกูดีใจมากที่เห็นบิบิ

เมื่อหันไป เขาเห็นกองทัพทหารโครงกระดูกเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่า

‘อัศวินคนอื่นก็มาแล้ว’

ซุงกูได้รับการฝึกมาจากเหล่าอัศวินมรณะ เขารู้ว่าพวกมันแข็งแกร่งขนาดไหนจึงโล่งใจ

“ลูกพี่กลับมายัง?”

“เจ้านายยังไม่มาเลย ไปพักก่อนเถอะ”

“ได้ ฝากด้วยนะ บิบิ”

นี่เป็นช่วงสุดท้ายของการรบ ยังมีมอนสเตอร์เหลืออีกมาก แทนที่จะอยู่เกะกะ เขาไปพักฟื้นพลังแล้วกลับมาช่วยสู้ใหม่ดีกว่า ซุงกูขยับไปแนวหลังและเห็นฮีซอลนอนเหนื่อยอยู่ข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์

“มาทางนี้ค่ะ ฉันจะรักษาคุณให้”

“โอ้ ครับ ฝากตัวด้วย”

บนร่างซุงกูมีรอยขีดข่วน และเขาใช้พลังเวทไปจนหมดจึงรู้สึกคลื่นไส้ปวดศีรษะ เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์แตะเขา แผลก็เริ่มหายอย่างรวดเร็ว และพลังเวทของเขาสงบลง เขารู้สึกเหมือนพลังเวทฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าปกติ

ซุงกูถาม

“คิดว่าลูกพี่จะมาถึงเมื่อไหร่ครับ?”

“ภายใน 10 นาทีครับ”

คนตอบคำถามเป็นโดเจมิน เขามาช้าเพราะต้องพาซูลกิไปยังที่หลบภัยของอลันดาล เจมินเป็นข้ารับใช้ของลอร์ดมิติและเป็นหนึ่งในสามคนที่สามารถติดต่อทางจิตกับวูจินได้

ที่จริงในสามคนนี้ไม่ใช่คนทั้งนั้น หนึ่งเป็นแวมไพร์ หนึ่งเป็นนางปีศาจและอีกหนึ่งเป็นอัศวินมรณะ

“เอ๊ะ? นักเรียนเจมิน”

“ไม่เจอกันนานนะครับ”

“ฮ่าๆ นายเป็นไงบ้าง”

“ดีแล้วครับ”

“ดีมาก นายต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ใครจะสนล่ะว่านายจะเป็นมนุษย์หรือเปล่า นักเรียนเจมินน่ะหล่อ”

“...”

“แว่นกันแดดเท่ดีนะ ไอ้หยา”

บทสนทนารู้สึกไม่เข้ากับการรบเร่าร้อนรอบๆ ซุงกูทำให้เจมินนึกถึงวูจินอย่างประหลาด เจมินยิ้ม ทำไมเขาถึงรู้สึกสบายใจนักนะเมื่อนึกถึงวูจิน?

“แต่ว่านะ เราจะทำไงกับพวกนี้ดีครับ? เราป้องกันเขตของเรา แต่โซลคงถูกทำลาย”

นี่เทียบกับดันเจี้ยนเบรกครั้งก่อนๆไม่ได้เลย ปัญหาใหญ่คือพวกมอนสเตอร์รวมกันเป็นกองทัพ

“คิดว่าพี่วูจินจะจัดการพวกนี้ได้หมดไหมครับ?”

ซุงกูที่กำลังรับการรักษาผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำถามของเจมิน

“ถ้าลูกพี่มาถึงทำได้แน่ ฉันได้ยินมาว่าเขาใกล้จะอัญเชิญลิชได้แล้ว”

เมโลดี้ผงะเมื่อได้ยินซุงกูพูด

พลังงานอบอุ่นที่ช่วยเขาฟื้นฟูเวทติดขัดไป ซุงกูหันไปมองเธอ

“เอ๋? มีอะไรเหรอครับ?”

“อ๊ะ เปล่าค่ะ”

“คุณตัวสั่น...”

เมโลดี้ตัวสั่นเล็กน้อย เธอสงบใจ

“คุณบอกว่าจ้าวแห่งโรคระบาดกำลังจะมา...”

“เอ๋? โรคระบาด?”

“นั่นเป็นฉายาของลิชเจนิสค่ะ”

“ฉายานั่นออกจะ...”

“คุณรู้หรือเปล่าค่ะว่าคนตายไปกี่คนตอนที่กาฬโรคระบาดในอัลเฟน?”

ซุงกูไม่เก่งวิชาประวัติศาสตร์ ยิ่งประวัติศาสตร์ของโลกอื่นเขาจะไปรู้ได้อย่างไร?

“...กี่คนครับ?”

“20 ล้าน”

“เยอะจัง...”

“รู้ไหมคะว่า 200 ปีที่ผ่านมา ลิชเจนิสสังหารไปกี่คน?”

ซุงกูเริ่มรู้สึกอึดอัด

“กี่คนครับ?”

“สามสิบล้าน”

“...”

“ตัวเขาก็คือโรคระบาดนี่เอง ดังนั้นจะเรียกเขาว่าจ้าวแห่งโรคระบาดก็ไม่เกินไป”

ซุงกูหน้าเครียด

ทำยังไงดี ลูกพี่บอกให้เขาเรียนเวทจากลิช...

ลูกพี่เรียกฆาตกรหมู่ที่สุดยอดมากคนนั้นว่าครู และตอนนี้เขาเป็นอสูรของวูจิน

“ฮ่าๆ คุณเจนิสดูสุดยอดกว่าลูกพี่อีกนะครับ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของซุงกู มือเธอสั่น

“คุณรู้ไหมคะว่ามีคนตายกี่คนในการต่อสู้กับกองทัพผีดิบของผู้ไม่ตาย”

ซุงกูไม่กล้าถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของสตรีศักดิ์สิทธิ์

ฮงซุงกูนับนิ้ว ถ้าลิชฆ่าไป 30 ล้านคนใน 200 ปี 20 ปีก็น่าจะประมาณ...

“สามล้าน?”

นั่นก็มากแล้วนะ แต่...

“ร้อยล้านค่ะ”

“...”

อา ลูกพี่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเสมอ

จากที่ฟังมา ดูเหมือนมีขุมอำนาจสามแห่งบนอัลเฟน ทราห์เน็ต อลันดาล และสหพันธ์...

ดูเหมือนวูจินจะเป็นผู้ก่อสงครามโลก

“น...นั่นออกจะเยอะไปนิด”

“นี่แค่ประมาณคร่าวๆค่ะ ตัวเลขจริงสูงกว่านี้มาก”

ซุงกูมีสีหน้าซับซ้อน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมโลดี้กลัววูจินนัก

“หายนะ”

“ครับ?”

“เพียงผู้ไม่ตายก้าวเดินก็เป็นหายนะ”

“เอ่อ...”

ซุงกูหน้าเครียด

ลูกพี่ ผมจะนับถือลูกพี่ต่อไปดีหรือเปล่า?

“ใครนินทาฉันหรือเปล่า?”

“โอ๊ยโหย ตกใจหมด!”

ซุงกูตั้งใจฟังจนไม่ได้ดูรอบๆ จู่ๆวูจินก็โผล่หน้ามา ซุงกูตกใจมาก

“อึก อึก”

สตรีศักดิ์สิทธิ์สะอึกตาแดงก่ำ เธอทำตัวไม่ถูก

วูจินมองพวกเขาแล้วยิ้ม

“ถ้าสนุกพอแล้วก็ไปล่ากันเถอะ”

“ค...ครับผม!”

ซุงกูลุกทันที เขาต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี

“ขอโทษนะครับลูกพี่ ตกลงว่าลูกพี่ใกล้จะเรียกลิชที่พูดถึงคราวก่อนได้แล้วยัง...”

วูจินยิ้มกริ่ม



สารบัญ                                                            บทที่ 140