วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 134

บทที่ 134 – มิวิช



ไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนท์กระพริบ สมาชิกฮอทเกิร์ลสมองหน้ากันอย่างตกใจ ไฟเหมือนใกล้จะดับเต็มทีเมื่อตึกสั่น

“อะไรน่ะ? เมื่อกี๊เธอรู้สึกไหม?”

“แผ่นดินไหวหรือเปล่า?”

มีนักร้องกลุ่มใหม่หลายกลุ่มในห้องพัก ซูลกิจับมือสมาชิกในกลุ่มของเธอขณะมองรอบๆด้วยความกังวล

“เราจะไม่เป็นไร”

สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทันทีที่เธอพูดจบ มันส่งแสงจ้า

“กรี๊ด!”

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นกะทันหัน เสียงคนกรีดร้องและผู้คนเกิดความสับสนทำให้ห้องพักตกอยู่ในความโกลาหล

ซูลกินึกได้ถึงขั้นตอนการหลบภัยที่เคยเรียนในโรงเรียนจึงตะโกน

“ที่หลบภัย! พวกเราต้องไปที่หลบภัย”

หลังดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก อาคารทุกหลังถูกกำหนดให้สร้างที่หลบภัยไว้ข้างใน

คำพูดของซูลกิทำให้คนวิ่งออกไปยังทางเดิน มันเป็นเวลากลางวันแต่ทางเดินมืดเพราะไฟดับ ยิ่งทำให้คนกลัวมากขึ้น ทุกคนวิ่งไปยังป้ายทางออกฉุกเฉิน

พอคนหนึ่งออกวิ่ง ทุกคนก็วิ่งตาม ซูลกิรู้สึกถึงอันตราย

‘พวกเราควรเดินกันอย่างเป็นระเบียบ...’

เธอเคยเรียนมาว่าการหลบภัยควรเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน แต่นั่นทำได้เฉพาะตอนฝึกซ้อม

ในความเป็นจริง ความกลัวทำให้ทุกคนวิ่งลงบันได พวกเขาไม่อยากตาย

“พี่ ไปกันเถอะ!”

ซูลกิกับสมาชิกฮอทเกิร์ลสพยายามตามหลังกลุ่มคนไป ทุกคนวิ่งลงบันไดฉุกเฉินแล้วจู่ๆก็หยุด

พวกเขาได้ยินเสียงหายใจ และแน่นอนว่าไม่ใช่เสียงหายใจของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นยังมีเสียงคนกรีดร้อง!

“อ๊าก!”

ซูลกิมองไม่เห็นว่าสุดบันไดมีอะไรแต่เธอรู้ว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เธอคิดไปถึงหายนะที่น่าจะใช่ที่สุด

‘ดันเจี้ยนเบรก’

เธอแน่ใจว่ามอนสเตอร์มาอยู่ในสถานีโทรทัศน์

“ฮือๆ”

มีพนักงานของสถานีโทรทัศน์จำนวนมาก แต่เกิร์ลกรุ๊ปประกอบด้วยเด็กสาวไม่เกินอายุ 20 เด็กสาวส่วนใหญ่ยกมือปิดปากร้องไห้ พวกเธอกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดความสามารถ

“อ...ออกตรงนี้เถอะ”

สมาชิกบอยแบนด์ชื่อโทนี่พูดเบาๆ พวกเขาออกจากบันไดฉุกเฉินไปเงียบๆ มองที่หมายเลขบอกชั้น พวกเขาอยู่ที่ชั้น 7

“มีบันไดฉุกเฉินอีกอันตรงนั้น”

โทนี่นำทุกคนจึงตามเขาไป พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าจะถูกมอนสเตอร์เจอ พวกเขาเปิดประตูไปยังบันไดฉุกเฉินอีกที่ แต่สถานการณ์ยังเหมือนเดิม

“อ๊าก! ช่วยด้วย”

ทุกคนหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากประตูที่ถูกเปิด พวกเขาปิดประตูอย่างระวัง เด็กสาวส่งเสียงร้องไห้และคนอื่นๆยืนคว้างอย่างใจไม่อยู่กับตัว

ทุกคนมองโทนี่

“เราจะทำยังไงดี?”

“ท...ทำไมถามผม...”

เขาแค่กล้าแสดงออกมากกว่าคนอื่นหน่อย แต่เขาก็แค่ไอดอลชายธรรมดา สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขากลัวเช่นกัน แม้จะถูกถามแต่เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร

กึงๆ

ตอนนั้นเองบันไดฉุกเฉินก็สั่นสะเทือน พวกเขาได้ยินอะไรบางอย่างเข้ามาใกล้ ทุกคนถอยห่างจากประตูตามสัญชาติญาณ

“ข...เข้าไปในห้องนั้นเถอะ”

เมื่อใครคนหนึ่งตะโกน พวกเขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานกว้างห้องหนึ่ง

“ก...กั้นทางเข้าเอาไว้”

พวกเขาขยับโต๊ะและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆมากั้นประตู เหมือนรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง พวกเขาเริ่มคุยกันเบาๆราวกับพยายามลดความเครียด

บางคนเริ่มร้องไห้อีก ซูลกิกอดปลอบสมาชิกฮอทเกิร์ลสที่กำลังร้องไห้

“ฮือ เราจะทำยังไงดีคะพี่?”

สมาชิกฮอทเกิร์ลสยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ซูลกิอายุมากที่สุดในกลุ่ม เธอจึงทำใจให้เข้มแข็ง

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยพวกเราแน่”

อาจจะเป็นเราส์หรือทหาร อีกไม่นานมอนสเตอร์จะถูกกำจัดหมด ถ้าพวกเขาอยู่ในที่หลบภัยได้คงดี แต่ห้องทำงานก็ดีพอแล้ว พวกเขาแค่ต้องซ่อนตัวดีๆ

แต่ งานเล็กแค่นั้นก็ยังยากเกินไป

กึง กึง!

เมื่อบางอย่างกระแทกประตูอย่างรุนแรง ทุกคนก็สะดุ้งตกใจ

“กรี๊ด! ทำยังไงดี!”

“เงียบ! ทุกคนหลบ!”

ทุกคนพยายามหาที่หลบให้ไกลจากประตูที่สุด

เฟอร์นิเจอร์ถูกผลักออกไปและเสือดำขนาดใหญ่มาปรากฏตรงประตู

“เฮือก!”

โทนี่สบตากับเสือดำ ร่างเขาแข็งทื่อ

เสือดำวิ่งเข้ามา มันเหวี่ยงกรงเล็บ หน้าของโทนี่ถูกฉีกออกจากกะโหลกศีรษะ

“...!”

มันเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที

มีแต่ความเงียบและความกลัวสุดใจ

นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ ไม่ใช่การฝึกทหารหรือประสบการณ์ในบ้านผีสิง

นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง นี่คือความจริงและคือหายนะ

เสือดำทำให้ทุกคนตัวแข็งทื่อ พวกเขาตัวสั่นไม่รู้จะทำอย่างไร เสือดำมองเหล่ามนุษย์ที่เกาะกลุ่มกัน โลกเต็มไปด้วยเหยื่ออ่อนแอ มันรู้สึกพึงพอใจขณะกำลังเริ่มทำการเข่นฆ่าอย่างช้าๆ

“เพล้ง!”

ฝูงค้างคาวกระแทกกระจกเข้ามา ค้างคาวรวมตัวกันในที่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นคน

มันเป็นชายสวมเสื้อโค้ทดำ ทุกคนเริ่มมีความหวังกับการมาถึงของโดเจมิน

‘เราส์!’

เสือดำจ้องร่างชายคนนั้นแล้วโจมตีก่อน มันกระโดดเหวี่ยงกรงเล็บ กรงเล็บของมันแข็งแรงขนาดบิดเหล็กได้ แทนที่จะหลบ เจมินเหวี่ยงหมัด

เสือดำทุ่มน้ำหนักตัวทั้งหมดไปที่การโจมตี แต่มันไม่อาจเอาชนะหมัดของแวมไพร์ที่แข็งแกร่งขึ้นด้วยการดื่มเลือดทุกวัน

ก่อนเสือดำจะหล่นถึงพื้น เจมินเตะมัน

เขาไม่อาจฆ่ามันได้ในทีเดียว แต่แรงเตะมากพอทำให้เสือดำเจ็บปวด ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่หยุดที่เตะ

เขากระทืบศีรษะของเสือดำแล้วร่างใหญ่ก็ไม่ขยับอีกเลย ชายในเสื้อโค้ทดำเดินไปหยิบแว่นกันแดดที่เขาทำหล่นระหว่างต่อสู้

“ร...เรารอดแล้ว!”

ทุกคนร้องอย่างโล่งใจเมื่อเห็นเราส์ที่มาช่วย

เจมินมองหาซูลกิ

“ซูลกิ?”

“...!”

ซูลกิตาโตเมื่อได้ยินเราส์เรียกชื่อเธอ สันกราม ร่างกายและเสียงของเขา...

“เจมิน?”

โดเจมินเดินไปหาซูลกิ เขาหาไปทั่วสถานีโทรทัศน์ในที่สุดก็เจอเธอ เขารู้สึกขอบคุณที่เธอยังมีชีวิตอยู่

“พี่ชายอยู่นี่แล้วนะซูลกิ”

โดเจมินพูดติดตลกพลางอ้าแขนออก ซูลกิเริ่มร้องไห้

“บ้า นายมาสายไปตั้ง 7 เดือน”

เจมินมองเธอร้องไห้ เขายิ้มเศร้า ความกลัวและโล่งอกของเธอส่งมาที่เขา

“ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

เขาเคยคิดว่าร่างที่ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์นี้คือคำสาป

แต่ตอนนี้ เขารู้สึกขอบคุณสำหรับความแข็งแกร่งที่ทำให้เขาปกป้องคนสำคัญได้

***

“ว้าว อะไรวะเนี่ย? เบรกอีกแล้ว?”

ซุนกูออกจากดันเจี้ยนหลังเคลียร์มันเสร็จ เขาตาโตเมื่อได้รับรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน

“แถวอลันดาลเป็นยังไงครับ?”

“กรรมการเชฮีซอลกำลังป้องกันที่นั่นอยู่ครับ”

ความสามารถของเชฮีซอลอยู่ที่แรงค์ B แต่ไม่นานนี้เธอจับไวเวิร์นได้สำเร็จ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเกินเลยถ้าจะพูดว่ามอนสเตอร์ที่เธอมีเท่ากับเราส์แรงค์ A 10 คน

“แถบไหนเสียหายมากที่สุดครับ?”

“เราต้องกลับไปที่อลันดาลครับ”

“เอ๋? ฮีซอลอยู่ที่นั่นนะ”

“พื้นที่แถบของเราต้องการเรามากที่สุดครับ”

ดูเหมือนว่าบรรดาดันเจี้ยนใกล้ๆอลันดาลระเบิด

“มังกรตัวหนึ่งอยู่เหนือหอคอยนัมซาน มอนสเตอร์ที่ออกมาจากดันเจี้ยนจากที่ต่างๆในโซลต่างมุ่งหน้าไปที่นั่น”

คำพูดของทีมสนับสนุนทำให้ซุงกูหน้าเครียด

“ลูกพี่ล่ะ?”

“ยังไม่ออกจากดันเจี้ยนเลยครับ”

“ฮืม”

ถ้าคังวูจินไม่อยู่ เขาคงต้องสู้แทน

“ไปที่อลันดาลกันเถอะครับ”

ซุงกูขึ้นรถอย่างมุ่งมั่น คราวนี้เขาจะรับภาระเท่าๆกันกับลูกพี่

***

โรงแรมใกล้สถานีฮงแด

‘อึก’

โดจีวอนดิ้นรน เธอกำลังหายใจไม่ออก เธอขยับตัวไม่ได้เลย ใยแมงมุมรัดตัวเธอแน่นเหมือนดักแด้ ภาพที่เห็นผ่านใยแมงมุมก็น่าเป็นห่วง

ดักแด้ขาวจำนวนมากถูกแขวนเต็มเพดาน

แน่นอนว่าเธอก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับทุกคน

‘หายใจไม่ออก’

เธอหายใจอย่างลำบาก ยิ่งกว่านั้นยังมีกลิ่นประหลาดออกมาจากใยแมงมุมที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนและสลบไป เธอเริ่มคิดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกว่าถ้าหลับไปต้องแย่แน่

นางพญาแมงมุมชาร์ล็อตสร้างดักแด้เสร็จแล้วยิ้มให้มนุษย์ที่ถูกขังไว้

“โย่โฮ่โฮ่ ข้าไม่รู้เลยว่ามีดาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่”

การล่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ดาวเต็มไปด้วยเหยื่ออ่อนแอที่เรียกว่ามนุษย์ มันใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ที่ไม่มีสหพันธ์ใดยึดครองพื้นที่ล่าระดับนี้

“หรือผู้พิทักษ์ของดาวดวงนี้จะเข้มแข็งมาก?”

ดันเจี้ยนที่พยายามจะประสานกับโลกถูกทำลายไปหมด

สหพันธ์กิ้งก่าเหลือต้องยอมรับค่าปรับจากการฝืนเชื่อมต่อ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ นี่เป็นการ ‘เชิญ’ ไม่ใช่ ‘การรุกราน’

แน่นอน พลังในการเปลี่ยนคนภายนอกให้กลายเป็นผู้เชื่อมต่อเป็นสิ่งที่มีแต่เกรทลอร์ดทั้ง 72 ตนเท่านั้นที่ทำได้

“ฮืม นี่คือดาวที่ท่านอิเอลโลต้องการ...”

อิเอลโลผู้ครอบครองบัลลังก์ 25 แท่นเป็นผู้สร้างผู้เชื่อมต่อ เขาช่วยกิ้งก่าเหลืองมาที่นี่

ชาร์ล็อตต้องการโลก แต่อิเอลโลประกาศจะยึดครองมัน ดังนั้นไม่ว่านางจะต้องการมันหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ โลกนี้จะกลายเป็นสนามรบของบรรดาเกรทลอร์ด

“เอาล่ะ เริ่มตั้งอาณานิคมเลยดีไหม?”

นางต้องกำจัดมนุษย์ที่มีพลังทั้งหมด นี่จะทำให้โลกอ่อนแอลง

ชาร์ล็อตเข้าไปใกล้ดักแด้อันหนึ่ง นางยื่นมือออก

เมื่อดักแด้ถูกแก้ออกก็เห็นใบหน้าหวาดกลัวของคนๆหนึ่ง

นางครางอย่างตื่นเต้นแล้วยื่นปากไปใกล้ปากของมนุษย์

บางอย่างไหลผ่านปากของชาร์ล็อตเข้าไปในปากของมนุษย์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเลวร้าย เขารู้สึกคลื่นไส้และเจ็บ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเส้นเลือดในตาใกล้ระเบิด

เมื่อชาร์ล็อตถอนปากออก ชายในดักแด้ก็ดิ้นอย่างรุนแรง

มนุษย์มอบสารอาหารอย่างดีเยี่ยมให้ไข่ของเธอ...

“ฮิ ลูกที่น่ารักของข้า โตไวๆนะ”

ชาร์ล็อตขยับไปยังดักแด้ถัดไปและเริ่มวางไข่

ถ้าต้องการทำลายโลกที่มีอารยธรรมก้าวหน้าเช่นนี้ มอนสเตอร์ขนาดใหญ่อย่างเผ่าไททันไม่เหมาะสมกับงานนี้ มอนสเตอร์ขนาดเล็กอย่างแมงมุมเหมาะกว่า

ชาร์ล็อตเพิ่มจำนวนลูกๆของนางซึ่งก็เป็นสมุนของนางด้วยอย่างรวดเร็ว

และลอร์ดมิติอื่นๆก็กำลังตั้งอาณานิคมเหมือนเธอตามที่ต่างๆในโลก

***

อาณาเขตมิติ ทุ่งของมิวิช

วูจินเกือบถึงเสาแสงสีเขียว

เสาแสงพุ่งมาจากปราสาทเก่าแห่งหนึ่ง วูจินมุ่งหน้าไปยังปราสาทนั้น

มีคนๆหนึ่งกำลังรอตรงหน้าปราสาทพัง

“อะไร? นายคนเดียวเหรอ?”

วูจินลงจากหลังชิงชิง

ชายคนนั้นสวมฮู้ดคลุมศีรษะ แต่วูจินรู้ว่าเขาเป็นมนุษย์ และสัญชาติญาณบอกว่าเขาเดาถูก ชายคนนั้นอยู่เพียงลำพัง

เมื่อวูจินเข้าไปใกล้ศัตรู ชายคนนั้นลุกขึ้นช้าๆ

“นายคือมิวิชใช่ไหม?”

“...”

ศัตรูไม่ตอบ วูจินจึงรู้ว่าเขาถูก

ชายคนนี้คือเจ้าของอาณาเขตมิติแห่งนี้

เขามีความมั่นใจขนาดไหนจึงป้องกันอาณาเขตนี้ด้วยตัวคนเดียว? หรือว่าเขาไม่มีพลังงานดันเจี้ยน? ถ้าเช่นนั้นทำไมจึงเชื่อมต่อกับโลกอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย?

มิวิชถอดฮู้ดออกช้าๆ

“ไม่เจอกันนาน”

“...”

เมื่อเห็นหน้าของมิวิช วูจินมีสีหน้าตึงเครียดขึ้น กลับกัน มิวิชยิ้ม

“นานแล้วนะ? ผู้ไม่ตาย”

“...”

วูจินหัวเราะขมเมื่อเห็นหน้าคนที่ไม่ต้องการเจอ

“ผู้กล้าของอัลเฟนมาทำอะไรที่นี่?”

“ลองเดาดูสิ”

ลอร์ดมิติมิวิชส่งยิ้มประหลาด




สารบัญ                                                      บทที่ 135



วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 133

บทที่ 133 – พบกันใหม่อีกครั้งอย่างเลือดโชก (3)


เมื่อดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทเชื่อมต่อกับโลก หินรีเทิร์นสโตนจะก่อตัวขึ้น ขั้นตอนการประสานยังไม่เกิดขึ้นจึงมีช่วงรอ 120 วัน แต่บรรดาทหารในอาณาเขตถูกใส่อาวุธให้ครบราวกับพร้อมจะรบทันที

“โย่โฮ่โฮ่ เตรียมตัว”

ลอร์ดมิตินี้เป็นมนุษย์แมงมุมตัวใหญ่ ชื่อนางคือชาร์ลอต ลีซังโฮผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินคำพูดของชาร์ลอต

‘ฉันกำลังจะกลับโลก’

ความรู้สึกของลีซังโฮทื่อลงหลังผ่านความตายและคืนชีพ ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อคิดถึงดาวบ้านเกิด

ไม่นานอุโมงค์สีแดงก็ก่อตัวขึ้น ชายท่าทางกระวนกระวายอย่างหนักคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เขาระวังตัวเมื่อเห็นพวกมอนสเตอร์ ไม่นานก็นึกได้และมุ่งหน้ามาทางหินรีเทิร์นสโตนพลางเหลียวมองรอบๆตัว

“ผู้เชื่อมต่อมาแล้ว”

กองทัพของชาร์ลอตไม่โจมตีชายคนนั้น ชายคนนั้นหยิบหินรีเทิร์นสโตนแล้วหายไป

“โย่โฮ่ๆ ไปสู้กันเลยไหม?”

เธอมีประสบการณ์โชกโชนเรื่องเปลี่ยนดาวให้เป็นอาณานิคม การเสียสละขั้นต้นเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้แต่เมื่อคิดถึงรางวัลแล้วทำให้ยอมรับความสูญเสียได้บ้าง คนจากโลกที่เป็นผู้เชื่อมต่อจะเปิดบาเรียด้วยความเต็มใจของเขาเอง

ที่น่าเสียดายคือพวกเขายังไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกอย่างสมบูรณ์

<คุณกำลังเข้าสู่ดาวโลก ความสามารถของคุณกลายเป็น 74%>

นี่คือผลกระทบจากการบังคับเชื่อมต่อดันเจี้ยน ลอร์ดมิติกับมอนสเตอร์ในสังกัดจะถูกปรับขึ้นอยู่กับอัตราการประสาน

ที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องป้องกันอาณาเขตจากผู้บุกรุกถึง 120 วัน

ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชื่อมต่อ บาเรียที่กักพวกเขาไว้ก็สลายไป บรรดามอนสเตอร์หลั่งไหลเข้าสู่ท้องถนน ลีซังโฮออกไปพร้อมกับพวกมอนสเตอร์แล้วปะปนไปกับประชากรที่กำลังหลบหนี

***

MBS บรอดคาสต์ สตูดิโอ

โดเจมินได้ตั๋วมาจากการขอผ่านกิลด์ เขานั่งตามที่นั่งที่กำหนดโดยกำตั๋วไว้ในมือ

พี่สาวของเขาไปงานชุมนุมศิษย์เก่า วูจิน,ซุงกู และคนอื่นที่เขาสนิทด้วยลงดันเจี้ยนกันหมด

เขามีเวลาหนึ่งวันก่อนต้องกลับไปทำสงครามมิติ แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าเวลา

“ไม่น่าเชื่อว่าซูลกิดีบิวต์แล้ว”

มีคนที่เขาอยากเจอ

เธอเป็นรักแรกของเขาและเป็นคนที่เขารักษาไว้ไม่ได้ เธอทำตามฝันสำเร็จเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน

เธอเปิดตัวกับกลุ่มไอดอล ‘ฮอท เกิร์ลส’

พวกเธอเป็นเกิร์ลกรุ๊ปใหม่ และวันนี้เป็นวันที่ ‘ฮอท เกิร์ลส’ จะถ่ายทำโปรแกรมเพลง

เขาอยากเห็นซูลกิจากที่ไกลๆ จึงมาที่นี่

“พ...พี่ชาย พี่มาเชียร์เล็กเซอร์เหรอ?”

“เอ๊ะ?”

เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งถัดจากเขารวบรวมความกล้าถาม เจมินมองเธออย่างสงสัย

วัยรุ่นหน้าตาหล่อเหลาผิวซีดขาวกำลังมองเธอ เด็กสาวหน้าแดงแล้วหลบตา

“ต...ตรงนี้เป็นที่เชียร์กลุ่มพี่เล็กเซอร์...”

“...”

เจมินมองรอบๆ พอเขาเริ่มสนใจก็เห็นว่าคนตรงนี้กำลังถือลูกโป่งสีเดียวกัน

“เปล่า ผมเป็นแฟนฮอท เกิร์ลส”

“ฮอท เกิร์ลส? ใครเหรอ”

พวกเธอเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ก่อนจึงไม่มีชื่อเสียงอะไร ไม่มีใครพูดถึงเหมือนยังไม่รู้จักพวกเธอเลย

“พอฮอท เกิร์ลสออกมา พวกเธอช่วยเชียร์หน่อยนะ”

“อ๊ะ ได้ค่ะ”

เด็กสาวเหล่านี้เสี่ยงชีวิตมายังสตูดิโอในโซลที่อันตรายเพื่อเชียร์ไอดอลของพวกเธอ แต่รับปากทันทีที่เจมินรูปหล่อขอ

ความหน้าตาดีของเขามีพลังดึงดูดเด็กสาวรอบๆ

เจมินหายใจหอบเมื่อเด็กสาวมารวมตัวรอบๆเขา

‘ไม่ไหวแล้ว’

ถ้าเขาอยู่นานไปกว่านี้คงได้กัดคอใครสักคนแน่

“พ...เพราะงั้นพวกเธอต้องเชียร์ ฮอท เกิร์ลส เข้าใจนะ?”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“ดี”

เจมินรีบลุกขึ้นแล้วจากไป เด็กสาวเริ่มคุยกัน

“อ๊าย! เธอถ่ายรูปไว้หรือเปล่า?”

“ว้าว อย่างหล่ออ่ะ แจ๊คพอต!”

“เขาเป็นนักเรียนการแสดงหรือเปล่า หรือว่าเป็นสมาชิกฮอท เกิร์ลส? หรือว่าอยู่เอเย่นต์เดียวกัน?”

“เขาอาจมาเชียร์เพราะอยู่เอเย่นต์เดียวกันก็ได้”

พอเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ เจมินตัวซีดลงและดูดีขึ้น เด็กสาวทุกคนคิดว่าเขาเป็นดารา

“ว้าว ถ้าพี่ชายคนนั้นเปิดตัว ฉันจะเปลี่ยนเป็นแฟนเขาล่ะ”

“เมื่อกี๊ฉันจับมือเขา เฮ้อ กลิ่นยังติดอยู่เลย”

เจมินปลีกตัวออกจากกลุ่มเด็กสาวที่กำลังเจี๊ยวจ๊าว เขาไปนั่งด้านหลัง

เวทีอยู่ห่างจนมองหน้าคนบนเวทีไม่ออก แต่เจมินไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกล ร่างกายของเขามีความสามารถเกินมนุษย์ปกติไปแล้ว

หลังจากกลุ่มหลายกลุ่มผ่านไป ฮอท เกิร์ลสก็ขึ้นเวที กลุ่มนี้มีสามคน แต่เจมินมองแต่ซูลกิ

“เธอผอมจัง”

เธอก็ผอมอยู่แล้วแต่ดูเหมือนจะไปลดน้ำหนักมา เขารู้สึกเป็นห่วงแต่ซูลกิดูงดงามตอนที่กำลังร้องเพลงและเต้นในชุดสำหรับใส่บนเวที

“เฮ้อ...ซูลกิ”

ถ้าเขาไม่ปล่อยเธอไปจะเป็นอย่างไรนะ? จะกำลังคบกันอยู่หรือเปล่า?

ไม่ เธอมีความฝัน และเขาจะกลายเป็นตัวถ่วงเธอ

ใช่ แบบนี้ล่ะดีแล้ว

‘ฉันกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว ซูลกิ ฉันจะคอยเชียร์เธออยู่ห่างๆ’

เจมินมองฮอท เกิร์ลสลงจากเวทีด้วยสายตาอาวรณ์

เขาเห็นซูลกิแล้วและไม่สนใจดูนักร้องคนอื่น เขาออกจากสตูดิโอ ไม่ใช่ ที่จริงคือเขาพยายามจะออกไป

“อ...อะไรกัน?”

ถนนเต็มไปด้วยมอนสเตอร์

“ดันเจี้ยนเบรกเหรอ?”

เจมินอาศัยในอาณาเขตมิติอลันดาลของวูจินอยู่นาน เขาไม่ตกใจที่เจอมอนสเตอร์ แต่เขาคงลำบากถ้าต้องสู้กับพวกมัน ความสามารถในการต่อสู้ของเจมินไม่ได้ดีถึงขั้นนั้น

“ฉันต้องรีบหนี”

โอ้!

เจมินหันไปทางต้นเสียงคำราม เขาเห็นบรรดามอนสเตอร์บินเหนือหลังคาสถานีโทรทัศน์ ยิ่งกว่านั้นยังมีบางส่วนที่พุ่งเข้าไปทางหน้าต่าง

“ซ...ซูลกิ!”

เจมินวิ่งกลับไปที่สถานีโทรทัศน์อีกครั้ง

***

“เฮ้ ดูสิใครมา!”

“ฮ่าๆ ดีใจที่ได้เจอเธอ นานแค่ไหนแล้วนะ?”

งานชุมนุมศิษย์เก่า กับบางคน นี่คือการรำลึกอดีต กับบางคน นี่คือการสร้างเส้นสาย

พวกเขาจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเช่าทั้งห้องโถงต้อนรับของโรงแรม มีคนร่วมงานราว 200 คน นี่เป็นงานชุมนุมศิษย์เก่าครั้งใหญ่ที่มีศิษย์เก่าเกือบ 90% มาร่วมงาน

พวกเขาล้วนแต่มีธุระยุ่งเพราะเพิ่งเข้าสู่สังคมคนทำงาน ถึงอย่างนั้นก็ยังมาเพราะอยากเจอคังวูจินผู้โด่งดัง

แม้แต่ตอนที่คนทักทายกันอย่างร่าเริง พวกเขาเอาแต่มองรอบๆเพื่อหาคังวูจิน

“เฮ้ จีวอน วันนี้วูจินมาไม่ได้เหรอ?”

“อืม คงไม่มาล่ะ”

จีวอนตอบหัวหน้างานนัมจียุค ตอนนั้นเอง ซินดี้เข้ามาถาม เธอยังสวมแว่นกันแดดอยู่

“ทำไมเขาไม่มาล่ะ?”

“เขายุ่งน่ะ”

“หืม เหรอ?”

คังวูจินไม่มา มีความจำเป็นอะไรที่เธอต้องอยู่? ซินดี้กำลังจะเดินออกไป

‘ฉันเปลี่ยนตารางเวลาไปเปล่าๆ’

เธอตั้งใจปล่อยตารางเวลาช่วงนี้ให้ว่างเพื่อจะได้มางานนี้ ช่วงนี้ชื่อเสียงของเธอกำลังพุ่งสูงดังนั้นทุกนาทีจึงเป็นเงินเป็นทอง

“ซินดี้ คราวนี้เธอตั้งใจมามากเลยไม่ใช่เหรอ?”

“อืม ฉันไม่ได้มางานแบบนี้ตั้งนานแล้ว”

ซินดี้ขยับแว่นพลางฟังหัวหน้านัมจียุคพูด

“ดีใจที่ได้เจอเธอนะ”

“เอ๊ะ? จะไปแล้วเหรอ?”

“ตารางฉันแน่นเลย”

“อา เข้าใจแล้ว แย่เลยนะ”

นัมจียุคใจเต้นขณะพยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้

เขาอายุ 24 ปี

พวกเขาเคยเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ 5 ปีมานี้เขาได้เจอเธอแค่ในโทรทัศน์ ต่อหน้าดาราเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมและเกร็ง

“ขอให้สนุกนะ”

“อ่า ฉันไปส่ง”

“เอาสิ”

ซินดี้ไม่ปฏิเสธ เธอออกจากห้องจัดงาน นัมจียุคตามไปส่ง เหลือโดจีวอนคนเดียว เธอรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

“ถ้าวูจินมาก็ดีสิ”

จีวอนรู้ว่าวูจินผ่านเรื่องลำบากมาแค่ไหน เธออยากให้เขาได้คิดถึงความทรงจำเก่าๆโดยการมาเจอกับเพื่อนสมัยเรียน เขาจะดีใจไหมนะถ้าได้ฟื้นความหลังบ้าง?

ตอนนี้เขากำลังยุ่งกับการเคลียร์ดันเจี้ยน เธอทั้งรู้สึกขอบคุณและเสียใจ

“เอ๋?”

จีวอนตาโตเมื่อมองไปที่ทางเข้า

ซินดี้ที่หน้าซีดและตกใจกลัววิ่งมากับจียุค เหมือนกำลังถูกไล่ตาม ไม่นานฝูงแมงมุมก็ตามมา จีวอนส่งเสียงร้อง

แมงมุมหลายร้อยคลานเข้ามา  พวกมันตัวเท่าศีรษะมนุษย์

“โย่โฮ่ๆ ในนี้มีมนุษย์หลายคนเชียว”

หญิงแมงมุม ชาร์ลอตฮัมเพลงเข้ามา

เธอยิ้มเมื่อเห็นท่าทางหวาดผวาของมนุษย์

***

ยานพาหนะไถลออกนอกเส้นทางขณะที่รถถังวิ่งข้ามถนน

มอนสเตอร์รูปร่างคล้ายค้างคาวครอบครองท้องฟ้าและส่งเสียงน่ากลัว เฮลิคอปเตอร์ไม่มีทางสู้พวกมันได้

พวกมันสามารถอำพรางตัวและเคลื่อนไปตามอาคารอย่างอิสระ การจะลดจำนวนพวกมันลงเป็นเรื่องยากแม้หน่วยภาคพื้นดินใช้อาวุธต่อต้านอากาศยาน

ปัญหาคือไม่ได้มีแต่มอนสเตอร์ค้างคาว

มอนสเตอร์หมีใหญ่ตัวหนึ่งคำรามพร้อมกับพุ่งใส่รถถังคันหนึ่ง รถถังระดมยิงปืนใส่

หลังจากยิงพลาดหลายครั้ง การระเบิดทำให้ถนนพัง กำแพงตึกถล่ม

หมีใหญ่ออกมาจากกองฝุ่น ไหล่และแขนของมันถูกระเบิดหายไป สภาพมันน่ากลัวแต่ยังไม่ตาย

หมีตัวขนาดเท่าตึก 2 ชั้นเหวี่ยงอุ้งเท้าและทำให้ปืนรถถังบิดเบี้ยวไปง่ายดายเหมือนไม้จิ้มฟัน รถถังหมุนคว้าง

การระดมยิงครั้งที่สองทำให้หัวหมีระเบิดและล้มลง ในที่สุดพวกเขาก็ฆ่ามันได้ ที่แย่คือมอนสเตอร์ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

“เชี่ย นี่มันเรื่องอะไรกันวะ?”

ร้อยเอกฮันซังพิล หัวหน้าหน่วยรถถังสบถ

ดันเจี้ยนเบรกครั้งก่อนๆมีความเสียหายในระดับน้อยเพราะพวกเขาเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว

เมื่อได้คำเตือนว่าดันเจี้ยนจะระเบิด พวกเขาจะสามารถอพยพประชากรออกไป จากนั้นแค่ระดมยิงปืนใส่พวกมอนสเตอร์

แต่เมื่อไม่ได้คำเตือนและไม่ได้อพยพประชากรออกไป พวกเขาก็โจมตีไม่ถนัด นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กองทหารที่ประจำอยู่ตามที่ต่างๆของโซลกำจัดมอนสเตอร์ได้เชื่องช้า

“เวรเอ๊ย! พวกกิลด์ทำบ้าอะไรอยู่วะ?”

แค่การยิงสนับสนุนของกองทหารไม่มีทางกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ มีคนในตึกอีกหลายคนรอการช่วยเหลือ และเราส์เป็นสิ่งจำเป็นในการกำจัดมอนสเตอร์ในที่ๆปืนและปืนใหญ่ยิงไม่ถึง

จากนั้นก็เกิดดันเจี้ยนเบรกในเดกู กวานจู ปูซาน โซลและที่ต่างๆในเกาหลี... ดันเจี้ยนต่างๆในโลกกำลังระเบิดพร้อมๆกัน กำลังทหารมีไม่เพียงพอ

เราส์แรงค์ E ลงไปไร้ประโยชน์เทียบกับทหารติดอาวุธ อย่างน้อยก็ต้องเป็นแรงค์ D แต่จำนวนดันเจี้ยนเบรกทำให้ข้อจำกัดนี้ไม่สำคัญ

ในเมื่อพวกเขาไม่มีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนคน ก็ต้องมีพลังที่เหนือกว่ามาก แน่นอน นี่ทำให้พวกเขาคิดถึงเราส์แรงค์สูงคนหนึ่ง

“เขายังไม่มาอีกเหรอ?”

ถนนและอาคารเต็มไปด้วยมอนสเตอร์

เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาคิดถึงดันเจี้ยนช็อกเมื่อ 5 ปีก่อน

โลกกำลังจะเผชิญนรกแบบนั้นอีกครั้ง

“ก...กัปตัน! ดูนั่น”

“หา?”

ลูกน้องของเขาตะโกนอย่างสิ้นหวัง ฮันซังพิลคว้ากล้องส่องทางไกลที่คล้องคอไว้ขึ้นมา เขากลืนน้ำลายเมื่อมองไปทางที่ถูกชี้

มังกรขนาดยักษ์กำลังใช้กรงเล็บยึดเกาะบนยอดหอคอยนัมซาน มันนั่งตรงนั้นทอดมองลงมาเหนือโซล เหมือนภาพในภาพยนตร์

“ผ...ผมเพิ่งเคยเห็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก”

มันเป็นครั้งแรกของฮันซังพิลเช่นกัน ไม่นานเครื่องบินรบก็บินเข้าไปหามันและยิงจรวดใส่

การระเบิดรุนแรงถึงขั้นหน่วยของฮันซังพิลที่อยู่ห่างไปยังรู้สึกถึงแรงสะเทือน แต่มังกรไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย มันสร้างบาเรียใหญ่เท่าตัวมัน

จะดีแค่ไหนถ้านี่เป็นแค่ภาพยนตร์?

มอนสเตอร์ที่จะสร้างภัยพิบัติในโซลปรากฏตัวแล้ว



สารบัญ                              บทที่ 134



วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 132

บทที่ 132 – พบกันใหม่อีกครั้งอย่างเลือดโชก (2)


ภูเขาคาออสเป็นภูเขาสูงที่สุดของโลกจาคุ

มันเป็นฐานของกลุ่มอำนาจใหญ่สุดของโลกจาคุ มีกิ้งก่าเหลืองและลอร์ดมิติที่อยู่ฝ่ายเดียวกับองค์กรกำลังประชุมกัน พวกเขามีทั้งหมด 8 ชีวิต ล้วนแต่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป

ถนนสายหนึ่งมีเสาขนาดใหญ่ตั้งขนาบทาง ลอร์ดมิติอยู่บนเสาแต่ละต้น พวกเขามองลงมายังมนุษย์ที่กำลังเดินถนน

“โย่โฮ่โฮ่ มนุษย์นั่นคือผู้ส่งสาสน์ของเกรทลอร์ดท่านอิเอลโล?”

“น่าสมเพช มองแวบเดียว เขาเป็นของใช้แล้วทิ้ง”

ลีซังโฮได้ยินที่พวกเขาคุยกัน แต่เขาไม่ออกความคิดเห็น เขาไม่กล้าพูด

บนเสาสูง มีไททันสูงเกิน 10 เมตร และสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอื่นๆจากเผ่าใดไม่ทราบ

มีพวกที่คล้ายมนุษย์ แต่แรงกดดันที่พวกเขาแผ่ออกมาไม่ใช่เรื่องเล่นเลย

ลีซังโฮรู้สึกตกเป็นเป้าสายตา เขาขาสั่นด้วยความเครียด

เมื่อผ่านถนนที่มีเสาตั้งเรียงก็จะถึงหอคอยแห่งหนึ่ง

นี่เป็นจุดสูงสุดบนยอดเขาคาออส

ครือ

ราชาคอย มังกรทอง ปรากฏตัวพร้อมพ่นลมหายใจแรง

[ผู้ส่งสาสน์ของท่านอิเอลโลต้องการอะไรจากข้า?]

ผู้ส่งสาสน์ลีซังโฮมึนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงดังในหัว

“ถ้าท่านทำลายโลก ท่านผู้นั้นจะยกทางเข้าโลกอิเฟอรินให้”

[คึๆๆ อิเฟอริน]

ราชาคอยตัวสั่นเมื่อได้ยินชื่อที่อ่อนไหว เขาสลับไปมาระหว่างดีใจกับโกรธ ทักษะความกลัวของมังกรพลุ่งขึ้น ลอร์ดในที่นั้นคุกเข่าลงกัดฟันรับความกลัวของมังกร

ลีซังโฮรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ร่างเขาแข็งทื่อ หากกำลังสู้กันเขาคงตายก่อนได้ทำอะไร

[เจ้ามีอะไรจะพูดอีก?]

“กรุณาส่งผมไปที่โลก”

[นั่นไม่ใช่เรื่องยาก]

ราชาคอยกางปีกออกกว้าง

ความยาวของปีกแผ่ออกมากกว่า 50 เมตร ตัวระหว่างปีกก็ใหญ่เหลือเชื่อ ลอร์ดมิติยืดคอมองเขา

[เราจะยึดโลก]

“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกับดาวนี้?”

บนโลกจาคุ นอกจากสหพันธ์กิ้งก่าเหลืองยังมีสหพันธ์หมวกดำกับสหพันธ์ค้อนแดง หากพวกเขารามือจากการครอบครองดาวนี้จะเสียผลประโยชน์ แต่หากต้องการร่วมมือกับอีกสองสหพันธ์พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก

[เราจะย้ายไปใช้โลกเป็นพื้นที่ล่าหลักของเรา]

โลกเป็นดาวที่พวกเขายังประสานได้ไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ

ความเสี่ยงสูง แต่รางวัลก็ใหญ่โตมากเช่นกัน เขามีเป้าหมายที่คุ้มค่าแก่การเสียสละ

ทางกลับอิเฟอรินดาวบ้านเกิดเปิดให้เขาแล้ว

***

รถตู้คันหนึ่งหยุดตรงหน้าสถานีมกดอง

“ถึงแล้วครับ ประธาน”

เมื่อได้ยินเสียงซุงฮุน วูจินลืมตา ดึงเก้าอี้ขึ้น

“นี่อย่างต่ำ 6 ดาวใช่ไหม?”

“ครับ”

สถานีมกดองทางออกที่ 4

ดันเจี้ยนรีเซ็ทไปเมื่อ 7 วันก่อน ยังไม่มีใครเข้าไปพิชิตมัน

กิลด์ KH ได้สิทธิ์เคลียร์ก่อนเพราะเจอเป็นกลุ่มแรก แต่เมื่อวัดพลังงานดันเจี้ยนแล้วมันสูงกว่าพลังงานดันเจี้ยน 6 ดาว พวกเขาจึงยังไม่ส่งทีมเราส์แรงค์ A เข้าไปทันที

พวกเขาสามารถเข้าไปพร้อมกับอุโมงค์หวนกลับ แต่ไอเทมนั้นราคาแพง พวกเขาสามารถรวมทีมเราส์ที่เก่งที่สุด แต่ตัดสินใจทำตามคำขอของอลันดาลแทน

ยังมีเวลาอีกมากก่อนจะเกิดดันเจี้ยนเบรก แต่วูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ แน่นอน ผลประโยชน์จะแบ่งกันระหว่างสองกิลด์

วูจินแค่ต้องการที่เก็บเลเวล

“ฉันจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน ผลัดกันไปหาอะไรกินล่ะ”

“ครับผม ไม่ต้องห่วง พวกเราจะตั้งใจเฝ้าที่นี่ให้ดี”

“ดี ขอบใจ”

วูจินตบบ่าซุงฮุนแล้วมุ่งหน้าไปทางดันเจี้ยน

<คุณได้เข้าสู่ทุ่งหญ้าของมิวิช>

<กรุณาเลือกหนึ่งโหมดจาก ‘ดวล’, ‘สงครามมิติ’, ‘เยี่ยมเยือน’, ‘แทรกซึม’ หรือ ‘เคลียร์’>

“ว่าแล้ว ลอร์ดมิติคนอื่นอยู่ที่นี่”

ดันเจี้ยน 6 ดาวและต่ำกว่าส่วนใหญ่เป็นของเจ้าของดันเจี้ยน ดันเจี้ยนใดที่มีพลังงานเกินกว่าดันเจี้ยน 6 ดาวมักจะเป็นของลอร์ดมิติ

ในเมื่อลอร์ดมิติกำลังเชื่อมต่อกับโลกจากหลายแห่งทั่วโลก ไม่ช้าก็เร็วคนใดคนหนึ่งจะทำสำเร็จ

แน่นอน วูจินสามารถเคลียร์ดันเจี้ยนเพื่อตัดการเชื่อมต่อ แต่ระหว่างนั้นเกรงว่าข้ารับใช้ของลอร์ดมิติจะทำร้ายมนุษย์ชาติ

พวกมันคนละระดับกับเราส์ขั้นกลางหรือมอนสเตอร์ ถ้าวูจินไม่ได้ไล่จูเลียลและรัชโมดไปแล้ว โลกคงใกล้ถึงจุดจบยิ่งกว่านี้

“อะไรวะ?”

วูจินเดินในสถานีใต้ดินว่างเปล่า เขาเอียงคออย่างสับสน ถ้าไม่ใช่ไม่มีการลงทุนพลังงานในดันเจี้ยนนี้เลยก็คือไม่มีมอนสเตอร์ให้เกิดใหม่ เขาไม่จำเป็นต้องเดินลงไปเพื่อดูชั้นล่างๆด้วยซ้ำ

วิ้ง วิ้ง

เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นเมื่ออุโมงค์สีแดงก่อตัวขึ้น

“หมายความว่าไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมาขวางเหรอ?”

การส่งมอนสเตอร์ให้อยู่ในดันเจี้ยนคือการป้องกันขั้นแรก ขั้นนี้ใช้ตัดผู้ที่ไม่มีความสามารถเข้ามาในอาณาเขตมิติออกไปได้ระดับหนึ่ง

แน่นอน นี่ขึ้นอยู่กับนิสัยของลอร์ดมิติ แทนที่จะส่งมอนสเตอร์เข้ามาในดันเจี้ยน ลอร์ดมิติสามารถรวบรวมกำลังรบทั้งหมดไปที่อาณาเขตมิติแทน

เมื่อวูจินผ่านอุโมงค์ไป เขาเห็นทุ่งหญ้าเขียว

มีพวกเนินเตี้ยๆที่ทำให้ทอดสายตามองได้ไม่ไกล วูจินปีนเนินที่สูงที่สุดเท่าที่เห็นเพื่อมองรอบๆ

“ทำไมที่นี่ร้างนัก?”

วูจินส่ายศีรษะเมื่อมองไม่เห็นมอนสเตอร์สักตัว

หรือเจ้าของจะชอบกองรบจำนวนน้อยแต่เก่ง?

พลังงานดันเจี้ยนที่บันทึกไว้นั้นสูง และกำลังรบของลอร์ดไม่เปลี่ยน

หากไม่ใช่มีมอนสเตอร์จำนวนมากก็จะเป็นมอนสเตอร์น้อยมากแต่ทรงพลัง

ครั้งนี้เขาคงโชคไม่ดีมาเจอกับอย่างหลัง

ในฐานะเนโครแมนเซอร์ สู้กับศัตรูไม่เก่งหลายๆตัวง่ายกว่าสู้กับศัตรูทรงพลังหนึ่งตัวมาก

เขาจะเปลี่ยนศพเป็นทหารโครงกระดูกไม่ได้ และไม่มีศพก็ใช้ทักษะศพระเบิดไม่ได้

ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ถึงกับไร้ทางสู้

“รัคโต”

ควันดำรวมกลุ่มกันและอัศวินมรณะนามรัคโตปรากฏตัว เขาเป็นผู้ใช้หอกปีศาจ

[ท่านจ้าว]

อัศวินมรณะตนนี้แทบเทียบได้กับคิบะหากเป็นการสู้ตัวต่อตัว และการสู้บนหลังม้าไม่มีใครเทียบชั้นเขาได้ ที่วูจินไม่เรียกอัศวินมรณะออกมาทั้งหมดเพราะมีโอกาสที่อาณาเขตมิติอลันดาลจะถูกบุกรุก

ถ้าสิ่งมีชีวิตจากโลกจาคุเคลียร์เสานีเซียได้ก่อนการเชื่อมต่อจะสมบูรณ์ เขาจะเสียดันเจี้ยนนั้นไป

ถ้าการล่าครั้งนี้ลำบาก วูจินตัดสินใจจะเรียกอัศวินมรณะมาไม่เกิน 20 ตน

“ไปกันสองคนเถอะ”

[รับบัญชา]

วูจินและรัคโตเรียกม้าปีศาจออกมา วูจินเรียกอาวุธนักรบและเปลี่ยนมันเป็นหอก พวกเขาควบผ่านทุ่งหญ้า เป้าหมายเห็นได้ชัดเจน มันคือเสาสีเขียวที่อยู่ห่างออกไป ที่ๆมีหินรีเทิร์นสโตนอยู่

***

หน้าสถานีมกดองทางออกที่ 4

“ฮัดชิ้ว หนาวจริง”

“หัวหน้า ผมว่าเราเจอนักข่าวแล้ว”

“ห๊ะ? ไหน?”

วูซุงฮุนมองรอบๆและเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่กับชายถือกล้องติดเลนส์ยาว เขายิ้มแล้วส่ายหน้า

“ปล่อยเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้”

“ครับ เรามาแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ?”

“หือ? หมายความว่ายังไง?”

“ประเทศเรายังไม่เป็นอิสระ อีกอย่าง เราอยู่บนผืนดินเกาหลี...”

ซุงฮุนกอดคอพนักงาน

“เฮ้ย นายคิดว่าพวกเราเป็นเกาหลีเหนือหรือไง? ประเทศจำเป็นต้องรบกับประเทศเพื่อนบ้านเรอะ?”

“อา”

“อีกอย่าง สนธิสัญญายังไม่เซ็น พวกเรายังเป็นคนเกาหลีใต้...”

อย่างที่ซุงฮุนพูด พวกเขายังเป็นคนเกาหลี แค่ได้รับสัญชาติอลันดาล เมื่อมีประชามติเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ รายละเอียดในสนธิสัญญาจึงจะบรรลุผล

อลันดาลกลายเป็นประเทศก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่มันก็เหมือนโรมกับนครวาติกัน

มันอนุญาตให้ชาวเกาหลีเข้ากิลด์ พวกเขาจะได้สิทธิ์ในการเป็นพลเมืองอลันดาล

เมื่อออกจากกิลด์ เขาจะถูกถอนสิทธิ์ในอลันดาลไป

“เฮ้อ คิดเรื่องนี้แล้วปวดหัว พักสักหน่อยเถอะ”

“ครับ ผมจะไปซื้ออะไรมากิน”

“ได้”

พนักงานวิ่งข้ามถนนไปยังร้านสะดวกซื้อ

ซุงฮุนเดินไปทางคนจากกิลด์ KH ที่กำลังเฝ้าดันเจี้ยน

“เฮ้อ ดูเหมือนพวกเราจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน มาแนะนำตัวกันเถอะ”

“อา ครับ”

ฐานะซุงฮุนไม่ต่ำต้อย เขาเป็นสมาชิกแรกก่อตั้งของอลันดาลและเป็นหัวหน้าเลขานุการขึ้นกับวูจินโดยตรง มีข่าวลือว่าเขาจะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอลันดาล สำหรับพนักงานทั่วไป เขาคือคนที่อยู่เหนือกว่า

คนจากกิลด์ KH ทักทายเขาอย่างขัดเขิน และซุงฮุนคุยกับพวกเขาเป็นนาน เขากำลังคุยพลางกินบะหมี่ถ้วยกับคิมบับเมื่อจู่ๆก็นึกขึ้นได้ เขาก้มมองนาฬิกา

“เอ๊ะ? ทำไมเขาออกมาช้านัก?”

“นั่นสิครับ ถ้าเทียบกับเวลาเล่นของท่านประธานแล้วถือว่าช้ามาก”

“ฮืม...”

ซุงฮุนขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกลุกลี้ลุกลนอย่างประหลาด

นี่เป็นการเคลียร์ดันเจี้ยนครั้งแรก แต่วูจินแสดงความสามารถในการเคลียร์ดันเจี้ยนขั้นปาฎิหาริย์มาก่อน ป่านนี้เขาควรจะออกมาแล้ว นับจากเขาเข้าดันเจี้ยนไปก็ผ่านไป 6 ชั่วโมง ข้างในควรจะผ่านไปเป็นวันแล้ว

นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซุงฮุนมองบาเรียที่ปิดแน่นอย่างกังวลเล็กน้อย

“หา? มีข่าวด่วน”

“เอ๊ะ? เพิ่มเสียงหน่อย”

พนักงานคนหนึ่งกำลังดูทีวีในสมาร์ทโฟน เขาถอดหูฟังออกแล้วเปิดเสียง

- เวลานี้กำลังเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ทติดต่อกัน ตอนนี้มี 11 แห่งในโซล 4 แห่งในเดกู และ 7 แห่งในปูซาน รวมแล้ว 20 ดันเจี้ยนแห่งใหม่ได้ก่อตัวขึ้น หลังการวัดพลังงาน 8 แห่งในนั้นมีค่าพลังงานสูงกว่าดันเจี้ยน 6 ดาว...

“อะไรนะ?”

ซุงฮุนหยิบสมาร์ทโฟนของเขาขึ้นมาทันทีแล้วต่ออินเตอร์เน็ต

ดันเจี้ยนรีเซ็ทเกิดขึ้นแบบสุ่ม ในช่วงเวลาสั้นๆเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ทหลายแห่ง เขาผงะไปเพราะบางอย่างที่เป็นเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

“หา ไม่ได้เกิดแต่ในเกาหลีด้วย?”

อินเตอร์เน็ตยิ่งสับสนอลหม่านกว่าในข่าว

อเมริกา ญี่ปุ่น จีนล้วนกำลังเจอดันเจี้ยนรีเซ็ทติดต่อกัน

“ไม่นะ ในโซลมีดันเจี้ยนเพิ่มอีก 3 ที่”

“อะไรกัน? กำลังจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

พนักงานกระซิบกันอย่างไม่สบายใจ

ที่กิลด์แข่งกันแย่งสิทธิ์เคลียร์ดันเจี้ยนก็เพราะดันเจี้ยนรีเซ็ทมีไม่บ่อย แต่คราวนี้พวกมันกลับเกิดรีเซ็ทพร้อมๆกัน...

ความรู้สึกไม่ปลอดภัยท่วมท้นซุงฮุน

เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย ซุงฮุนจึงมองหาเขา

“ประธาน...”

ทำไมคังวูจินใช้เวลาเคลียร์ดันเจี้ยนนานนัก? นี่มันผิดปกติและซุงฮุนทำได้แต่มองด้วยความกังวล

***

ชายซีดเซียวคนหนึ่งเดินบนถนนในฮงเดอย่างรีบเร่ง

“แฮ่กๆ”

เขาท่าทางบาดเจ็บ เขามองไปรอบๆไม่หยุดเหมือนกำลังถูกใครบางคนไล่ตาม แสงในดวงตาของเขาสั่นไหว

‘นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ?’

ความรู้ในหัวเขาชัดเจนเกินกว่าจะเรียกว่าภาพหลอน

‘ถ้าเจ้าทำอย่างที่ข้าบอก เฮยอนจะมีชีวิต’

เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E นี่คงเป็นความเมตตาของพระเจ้า ท่านประสงค์จะรักษาลูกสาวของเขา

เขาไม่สนว่าเป็นพระเจ้ากรุณาหรือปีศาจล่อลวง เขาแค่อยากให้ลูกสาวของเขาหายป่วย

‘ฉันต้องทำ’

เขาไม่มีทางเลือกอื่น

ชายคนนั้นเดินไปยังทางเข้าสถานีฮงเดช้าๆ

ทางออกที่ 1 เพิ่งรีเซ็ทจึงมีตำรวจเฝ้า สถานที่นี้กำลังพลุกพล่านเพราะสำนักงานผู้มีพลังพิเศษกำลังวัดพลังงานดันเจี้ยน

“อ๊ะ? ถอยไปด้วยครับ ที่นี่อันตราย”

เมื่อตำรวจละสายตาไปจากเขา เขาวิ่งไปข้างหน้า

“เฮ้ย? ใครน่ะ? จับเขาไว้!”

ก่อนที่ตำรวจจะออกไล่ชายคนนั้นก็เข้าไปในดันเจี้ยนแล้ว เขาแทบจะกลิ้งลงบันไดไป



สารบัญ                                                  บทที่ 133



วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 131

บทที่ 131 – พบกันใหม่อีกครั้งอย่างเลือดโชก


ยิ่งเวลาผ่านไป อาณาเขตมิติอลันดาลก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเพิ่มอาณาเขตที่ยึดจากลีอาห์เข้ามา ขนาดของอลันดาลก็เพิ่มขึ้นอีก 10% ยังมีกิลด์ทหารรับจ้างกับศูนย์วิจัยกอบลินถูกสร้างขึ้นเรียบร้อย

เมื่อออกจากปราสาทของวูจินที่ตั้งบนยอดเขาก็จะเข้าถนนสายการค้าทันที

บนถนนมีร้านค้าหลายแบบ ที่นี่ไม่แออัดแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

รายได้จากร้านค้าค่อยๆเพิ่มพลังงานดันเจี้ยนช้าๆ

เมื่อออกจากถนนสายนี้ ทางบนภูเขามีบ้านของผู้อาศัยในอาณาเขตตั้งกระจัดกระจายไปตามทาง เดินต่อไปจะเป็นอาคารสำหรับฝึกซ้อมกำลังรบสร้างติดกัน จากนั้นเป็นพื้นที่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาซึ่งเป็นที่พักของผู้อพยพ

วูจินไม่ต้องไปหาเจมินถึงบ้าน

วูจินกำลังจะเลยร้านกาแฟแห่งหนึ่งไปแล้วแต่หยุดก่อน

“เอ๋? นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

วูจินสงสัยเมื่อเห็นวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังนั่งที่ระเบียงร้านกาแฟ

“พี่กลับมาแล้วเหรอ?”

วูจินนั่งตรงข้ามเจมิน เขามองสำรวจรอบๆแวบหนึ่ง ที่นี่ดูทันสมัยกว่าโรงเหล้าที่พวกอัศวินมรณะใช้เล่นไพ่

ท่าทางจะมีคนคิดถึงโลกยุคปัจจุบัน...

“นายสร้างที่นี่เหรอ?”

“ครับ ผมช่วยพ่อบ้านบิบิเลือกการออกแบบ ดูเหมือนจะมีดาวอีกหลายแห่งที่การออกแบบคล้ายๆโลก”

มีสิ่งก่อสร้างหลายพันแบบให้ซื้อในร้านค้ามิติ

ด้วยสาเหตุบางอย่าง มีไอเทมจากโลกมากมายในร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ แต่ไม่มีในร้านค้ามิติ มีแต่ไอเทมที่คล้ายๆของบนโลก

‘มันเกี่ยวกับที่นี่ยังประสานกับโลกไม่เต็มที่หรือเปล่า?’

นอกจากนี้ยังมีเวลาที่แตกต่างกัน 4 เท่าระหว่างโลกกับมิติอื่นๆด้วย

วูจินต้องการเวลา 30 วันเพื่อเชื่อมต่อกับโลกจาคุผ่านดันเจี้ยนเสานีเซีย แต่ถ้าเขาต้องการซื้อดันเจี้ยนบนโลกเขาต้องใช้เวลา 120 วันเพื่อเชื่อมต่อกับโลก

เวลาดันเจี้ยนในดันเจี้ยนของเขาไม่ต่างจากเวลาบนโลกจาคุ

วูจินมองกาแฟที่เจมินกำลังดื่ม

“รสชาติมันเหมือนกับกาแฟบนโลกหรือเปล่า มาทางนี้หน่อย”

วูจินยกมือเรียกพนักงานในร้าน เด็กหญิงหูแมว เธอมาจากเผ่าแปลงร่างเป็นคน เธอเข้ามาหาวูจินเมื่อเห็นหน้าเขา เธอก็คำนับอย่างตกใจ

“คารวะท่านลอร์ด”

“อืม เอาแบบนั้นมาที่นึง”

“ท...ท่านจะดื่มอันนั้นเหรอคะ?”

“เอ๋? มันคืออะไรน่ะ?”

วูจินหันไปมองเจมิน เขาหัวเราะเขินๆ

“เลือดครับ”

“เลือด?”

“ครับ ผมลองมาหลายแบบแล้วแต่เลือดมนุษย์อร่อยที่สุด ผมไม่กล้าทำร้ายคนอื่น... ที่นี่มีขายไม่แพง”

“...มีทุกสิ่งให้เลือกสรรจริงๆแฮะ ขอกาแฟแก้วนึง”

“ค่ะ”

เด็กสาวเผ่าแปลงร่างสวมเครื่องแบบติดลูกไม้น่ารัก เธอโค้งตัวให้แล้วเข้าไปในร้าน ที่ระเบียงมีโต๊ะวางเป็นกลุ่ม เป็นที่ๆเหมาะกับการมองคนเดินถนน

“แปลกดีนะครับ”

เจมินชอบนั่งที่ร้านกาแฟ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประวันของเขาไปแล้วกับการมองถนนที่มีบรรยากาศสุขสงบและเฉื่อยชา

ตอนแรกที่นี่มีคนไม่มากนัก แต่ตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตมากกว่า 400 ไม่รวมกำลังทหาร

“อะไรแปลก?”

“ผมแค่ไม่อยากเชื่อว่ามีโลกแบบนี้อยู่”

วูจินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขามองออกไปที่ถนน เผ่าแปลงร่างเป็นคนอย่างน้อยก็ยังเหมือนมนุษย์ เขาเห็นออร์ค บางครั้งก็เห็นโทรลตัวใหญ่ผ่านไป ยังมีเผ่านาคที่ร่างกายส่วนล่างเป็นงู...

“เหมือนผมกำลังเห็นพาเหรดวันฮาโลวีนในอเมริกาเลย เหมือนอยู่ในฉากถ่ายทำภาพยนตร์”

“หืม”

วูจินนั่งเฉยมองเจมิน หน้าเจมินซีดกว่าเดิมเล็กน้อยแต่บรรยากาศอมโรคที่เคยมีหายไปแล้ว มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนนี้นายรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม?”

“ผมว่าผมก็แค่ชินกับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว”

วูจินยิ้ม คำพูดของเจมินถูกต้อง สุดท้ายทุกคนก็จะปรับตัว

“นายจะไปหาพี่สาวนายตอนไหน?”

“ผมตั้งใจจะถามตอนพี่กลับมาพอดี พี่จะกลับโลกเมื่อไหร่?”

“ถ้านายบอกบิบิ เธอจะเปิดอุโมงค์ไปสถานีโซลทางออกที่ 1 ให้นาย อยากกลับไปเมื่อไหร่ก็บอกเธอ”

“ฮู่ว ผมคงต้องซื้อแว่นกันแดดสักอัน”

วูจินหัวเราะ

ในอาณาเขตมิติไม่เป็นไร แต่เจมินไม่สามารถถูกแสงอาทิตย์ของโลกได้ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน

“แล้วเรื่องสงครามมิตินี่มันเป็นยังไงมายังไง นายเคยเล่นวาร์คราฟท์มาก่อนเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ พอขึ้นม.5 ผมก็ไม่ได้เล่นแล้ว”

“ถ้าเบื่อจะลองสงครามมิติไหม?”

“ผมเหรอ?”

“ใช่”

“ใช้นักเล่นเกมมืออาชีพไม่ได้เหรอครับ?”

“ก็ได้อยู่ แต่ทำไมฉันต้องเชื่อใจคนอื่นด้วย?”

“เอ๋?”

แน่นอนต้องมีเราส์ที่เป็นนักเล่นเกมมืออาชีพ ที่สามารถเข้าดันเจี้ยนของเขาได้

“นายแพ้ได้ ฉันไม่ห่วงเรื่องแพ้หรือชนะ”

เป้าหมายของวูจินไม่ใช่การไต่ลำดับ

“เอ่อ งั้นก็ดีครับ ผมได้ยินจากพ่อบ้านบิบิว่าพี่ให้แต้มเธอตอนที่ชนะ เธอโม้เรื่องนี้ไว้เยอะ”

“...อืม ฉันก็จะให้นายด้วย”

“สงครามมิติครั้งต่อไปคือ 4 วันให้หลัง เราไปอยู่ที่โลกได้ 1 วัน นายอยากไปหาพี่นายไหม?”

“ไปครับ”

เจมินหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาดื่มเลือดที่เหลือ หลังดื่มมีรอยเลือดเลอะที่ปาก เขาเลียมันเหมือนอยากได้อีก

“ฮ้า...”

เขาพยายามนิ่ง แต่ดวงตาเจมินสั่นขณะเขาพยายามกดความรู้สึกเคลิบเคลิ้มที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ดื่มเลือดลงไป

“ไปกันเถอะ”

เจมินตั้งสติได้ทันที เขาลุกขึ้น ตอนนั้นเองเด็กหญิงก็ถือถ้วยกาแฟมาหาวูจิน

“กาแฟได้แล้วค่ะท่านลอร์ด”

“อืม ไว้ไปหลังฉันดื่มนี่เสร็จก่อน”

วูจินจิบกาแฟอย่างสบายใจ เจมินกลับไปนั่งที่เดิม

***

เขตพักอาศัยของอลันดาล

“ 1 ทุ่มคืนนี้นะ? อื้ม วูจินไปไม่ได้ อื้ม เขายุ่งน่ะ”

จีวอนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วมองนาฬิกา

มันเป็นเวลา 9 โมงเช้า

ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลานัด จีวอนจึงตัดสินใจอาบน้ำ

เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว

ประเทศอลันดาลอยู่ในระหว่างแยกตัวออกจากเกาหลี แต่สนธิสัญญายังไม่บรรลุผล ดังนั้นเรื่องชายแดนจึงค่อนข้างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้คนจึงเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศได้อย่างอิสระ

แม้สองประเทศจะตกลงกันแล้วก็เป็นไปได้ว่าจะไม่มีข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างสองประเทศเหมือนเดิม

แต่มีองค์กรหัวรุนแรงและกลุ่มที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอยู่ใกล้อลันดาล เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น สมาชิกของอลันดาลจึงต้องไปไหนมาไหนพร้อมคนอารักขา

ครอบครัวของวูจินและโดจีวอนแฟนสาวของเขาอยู่ในการปกป้องเป็นพิเศษ

เธอไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไร แต่ต้องไปไหนมาไหนพร้อมกับผู้อารักขาเป็นสิบคน เธอรู้สึกเหมือนทำให้คนอื่นลำบากจึงเลือกเก็บตัวอยู่ในที่พัก

เธอสนุกที่ได้เห็นเชฮีซอลฝึกมอนสเตอร์ตัวใหม่ๆ และได้เขียนนิยายของตัวเอง เธอไม่เหงาแต่รู้สึกอึดอัด

งานชุมนุมศิษย์เก่าเป็นสิ่งที่เธอตั้งตารอ

“เฮ้อ ถ้าวูจินไปด้วยก็ดีสิ”

จะบอกว่างานนี้จัดขึ้นเพราะคังวูจินก็ไม่ผิด

เขากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก จึงไม่มากเกินไปถ้าจะบอกว่าศิษย์เก่าส่วนใหญ่มาเพราะอยากเจอวูจิน

แม้แต่ซินดี้ที่ไม่เคยมางานชุมนุมศิษย์เก่าเลยหลังจากกลายเป็นดาราก็ยังมา

แต่พวกเขาต้องการอะไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้คังวูจินยุ่งมาก

หลังอาบน้ำ เธอพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ต้องแปลกใจ แขกที่ไม่คาดฝันกำลังนั่งตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น

“พี่ ไม่เจอกันตั้งนาน”

เจมินยืนขึ้นอย่างขัดเขินแล้วยกมือทักทาย

จีวอนยกสองมือกุมหน้า ไม่นานดวงตาของเธอก็รื้นน้ำตา

“เจมินอา!”

เธอวิ่งไปกอดน้องแน่น

ไม่รู้เพราะร่างนุ่ม? หรือเพราะผ้าเช็ดตัวใกล้จะหลุดแล้ว?

หน้าเจมินกลายเป็นสีแดง

“เอ่อ พี่”

“ฮือๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่เธอเข้าใจทุกอย่าง”

เจมินไม่รู้ว่ามีอะไรให้ต้องอธิบายด้วย

“พี่ ปล่อยผมก่อนแล้วไปเปลี่ยน...”

“ใครจะสนล่ะว่าเธอเป็นแวมไพร์? เธอก็ยังเป็นเธอ พี่จะไม่ทิ้งเธอ ฮือ หน้าเธอซีดมากได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า?”

จีวอนจับหน้าเจมินหมุนไปมาเพื่อสำรวจ

ที่ผ่านมาเธอเป็นห่วงน้องชายที่กำลังทุกข์ทรมานมาก... ทำไมหน้าเขาถึงซีดเซียวนัก

“พี่ นี่มันออกจะ...”

เจมินจับผ้าเช็ดตัวที่ใกล้จะร่วง เพราะเขาเป็นน้องหรือเปล่า? เธอไม่มีท่าทีอายนักขณะจัดผ้าเช็ดตัวใหม่

“ฮือๆ ไม่เป็นไรแล้ว”

“พี่วูจินก็อยู่นะ...”

หน้าเจมินแดงขึ้นไปอีกด้วยความอาย

“เอ๊ะ?”

จีวอนนึกว่าฟังผิดไป เธอกำลังจะเหลียวหน้าไปแต่ตัวแข็งทื่อเสียก่อน วูจินกำลังนั่งยิ้มกริ่มบนโซฟา

“หุ่นเธอก็ดีมากนะ”

“...”

เท่าที่มีให้มองคือส่วนต่างที่บอกขนาดตัวของเธอ แต่ว่า...

จีวอนหน้าแดงแล้วถอยห่างจากพวกเขา วูจินยิ้มพลางมองเธอหายเข้าไปในห้องแต่งตัวเงียบๆ

“ทำไมพี่นายเป็นแบบนั้นล่ะ?”

“อย่าถามผม”

เขาถามเพราะไม่รู้จริงๆเหรอ? เจมินส่ายหน้า

“เป็นการพบกันของพี่น้องที่งดงามมาก”

“พี่จะไปแล้วเหรอครับ?”

“ฉันไม่มีเวลาพักหรอก ฉันจะกลับดันเจี้ยน”

“...ไม่ใช่ว่าพี่ต้องการเงินสักหน่อย ทำไมถึงขยันลงดันจัง?”

วูจินมีอาณาเขตมิติ เจมินพอเข้าใจอยู่บ้างว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไปแบบไหน ดันเจี้ยนคือที่ๆเราลงไปเพื่อเก็บบลัดสโตน บนโลก บลัดสโตนคือเงิน ในอาณาเขตมิติ บลัดสโตนคือแต้ม

เจมินไม่เข้าใจว่าวูจินอยู่ในสถานการณ์ไหนดีนัก ดังนั้นเขาจึงสงสัย

“เก็บเลเวล”

“เก็บเลเวล?”

วูจินออกจากห้องพลางโบกมือลา เจมินเอียงคองง

“เก็บเลเวล...หมายความว่ายังเก่งขึ้นได้อีกเหรอ?”

เขาแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ยังเข้าดันเจี้ยนต่อ... ความขยันนี่อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมวูจินจึงได้แข็งแกร่งนัก

***

ทางออกก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่า

‘อึก’

เวลาผ่านไปมากพอให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเอง ขณะที่แสงจากทางออกใกล้มายังเขา ความทรงจำก็เริ่มกลับมา

‘ฉันอยากมีชีวิต’

แสงจากทางออกหุ้มตัวเขา เขาได้ตัวเองที่เสียไปคืนมา

‘ฉันไม่อยากตายอีกแล้ว’

หลังเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดลีซังโฮก็ถูกปลุกชีพขึ้นมาใหม่

เขานอนแผ่บนพื้นปราสาทน้ำแข็งที่คุ้นเคย

“เจ้าคนไร้ประโยชน์”

“...”

ลีซังโฮตัวสั่น

อิเอลโลใช้แต้มอันล้ำค่าเพื่อชุบชีวิตมันผู้นี้ขึ้นมา มันก้มมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ข้ามีงานให้เจ้า”

“ว...วางใจเถอะ คราวนี้ผมจะไม่ทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกพลาดอีก...”

“โง่เง่า!”

คำพูดจริงใจของลีซังโฮถูกกลบด้วยเสียงคำรามของอิเอลโล

เขาทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อเขาตายและคืนชีพก็ไม่ถือเป็น 'เราส์ของโลก' อีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นแค่ข้ารับใช้ของอิเอลโล
เกรทลอร์ดลำดับที่ 25

ลีซังโฮไม่มี ‘รากฐาน’ มาจากโลกอีกต่อไป

“ข้าต้องการให้เจ้าเอาสิ่งนี้ไปยังโลกจาคุ”

แหวนวงหนึ่งลอยตรงหน้าอิเอลโลแล้วมาหยุดตรงหน้าลีซังโฮ เขาใช้สองมือรับมันอย่างนอบน้อม

“ผมต้องทำยังไง?”

“หาราชาคอย แล้วบอกเขาว่า -ถ้าเจ้าทำลายโลกได้ ข้าจะยกทางเข้าโลกเลฟรินให้-”

ลีซังโฮไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เขาถูกสั่งให้ส่งสาส์น  เขาก็จะทำ

“ผมจะส่งข้อความนั้นให้เขาอย่างถูกต้องครบถ้วน”

“จากนั้นไปที่โลกไม่ต้องกลับมาที่นี่ เจ้าต้องสร้างความขัดแย้งระหว่างคนบนโลก”

“...ผมจะไปที่โลกได้ยังไง?”

“ใส่แหวนวงนี้”

“...”

ลีซังโฮแบมือ เวทมนตร์ที่ไม่รู้จักส่งออกมาจากแหวน เขาสวมแหวนกลายร่างอย่างช้าๆ






สารบัญ                                                          บทที่ 132



โชกเลือด...ในหลายๆความหมาย //พิมพ์ชื่อราชาคอยแล้วนึกถึงคอยคิง XD