วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 130

บทที่ 130 – ลีอาห์ (2)

หน่วยกองโจรออร์คที่บังคับโดยบิบิเริ่มโจมตีฐานของศัตรู สถานการณ์เปลี่ยนไปเข้าข้างบิบิเหมือนละคร แม้แต่รังไวเวิร์นก็มีสร้างขึ้น วิทยาการถูกอัพเกรด พริบตาเดียวฐานทัพของศัตรูก็ถูกยึด

<คุณชนะสงครามมิติ>

<คุณได้รับรางวัล 10,000 แต้ม>

<เริ่มใช้สิทธิ์ของผู้ชนะ>

<กรุณาเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากปล้นห้องเก็บของหรือปล้นอาณาเขต>

“หา?”

วูจินครางแล้วมองบิบิ เธอลุกจากเก้าอี้บัญชาการและชูนิ้วเป็นตัว V เธอหัวเราะเบาๆ

“ฮิๆๆ เจ้านายเคยบอกว่าจะให้เรา 10,000 แต้ม?”

“อ...เออ ใครสอนเธอ?”

“ความลับ ฮิๆ”

“เจมินล่ะสิ?”

“เฮือก!”

วูจินรู้ว่าเดาถูกเมื่อเห็นบิบิตกใจ

‘ว่าแล้ว วิธีสร้างฐานแบบนั้นมันคุ้นๆ’

นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษของคนเกาหลี

ไม่ใช่ว่านักเรียนม.ปลายของเกาหลีเก่งน้อยกว่านักเล่นเกมมืออาชีพต่างประเทศแค่ไม่กี่ขั้นเท่านั้นเหรอ? เจมินสนใจแต่เรื่องเรียนจึงไม่เล่นเกมมากเท่าเด็กคนอื่น ถึงอย่างนั้นก็ยังเก่งกว่าบิบิมาก

เขารู้คอนเซ็ปต์พื้นฐานของเกมวางแผน

“ฮะๆ เราฝึกรบกับเจมินเรื่อยๆน่ะ”

ขณะที่วูจินใช้เวลา 3 วันบนโลก บิบิฝึกในอาณาเขตมิติตลอด 12 วัน

“เรายังไม่ถึงขั้นเจมิน แต่ฝึกอีกหน่อยก็จะชนะเขาได้แล้วล่ะ”

“หืม งั้นให้เจมินมาสู้แทนดีไหม?”

สงครามมิติไม่สำคัญสำหรับเขา ใครจะเป็นคนสู้ก็ช่าง

“ไม่น้า! แต้มพวกนี้เป็นของเรา!”

ขณะที่บิบิกับวูจินเถียงกันอยู่นั้น หน้าต่างประกาศก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าวูจิน

<สุ่มเลือก ปล้นอาณาเขตถูกเลือกตามสิทธิของผู้ชนะ>

<คุณขโมยทรัพย์สินของฐานลีอาห์ไป 7% >

<คุณได้รับบลัดสโตนเป็นจำนวน 850 แต้ม>

<คุณยึดสิ่งก่อสร้าง อาคารวิจัยกอบลินและกิลด์ทหารรับจ้าง>

<คุณจับกุมประชากรของอาณาเขต มนุษย์ 14 คน กอบลิน 3 ตัวและเอลฟ์ 1 ตัว>

“ฮืม ไว้คิดเรื่องจะเลือกเธอหรือเจมินทีหลังแล้วกัน”

“ฮึ อีกหน่อยเราก็จะชนะเจมินแล้ว”

วูจินเริ่มจัดการอาณาเขตของตัวเองไประหว่างได้คำสัญญามั่นเหมาะจากบิบิ

เขาได้ช่วงคุ้มครอง 4 วัน ตามเวลาโลกเท่ากับแค่วันเดียว น้อยไปหน่อยแต่ไม่ใช่เรื่องแย่

วูจินต้องเพิ่มเลเวล เขาจึงต้องการเวลา

เขาแค่ต้องแวะมาที่อาณาเขตมิติทุกวันเว้นวันเพื่อรับคำท้ารบ ต่อให้สู้แพ้เขาก็จะได้ทุกอย่างคืนมาจากการแก้แค้น

<คุณลีอาห์ขอท้าดวล>

<การแก้แค้นถูกกระตุ้น บังคับให้เกิดการดวล>

“น่าสนใจ”

มีลอร์ดมิติที่มั่นใจในการต่อสู้แบบเดียวกับวูจิน

<คุณจะถูกเชิญไปที่สนามรบ ‘ทุ่งร้าง’>

<หากชนะ คุณจะสามารถใช้สิทธิ์ของผู้ชนะหรือการแก้แค้นจากผู้แก้แค้น>

<ถ้าคุณแพ้ คุณจะประสบกับความตาย คุณจะคืนชีพหลังผ่านไป 12 วัน>

วูจินถูกทิ้งไว้ตรงใจกลางทุ่งร้างที่ฝุ่นลอยไปตามลม เขามองรอบๆเห็นหญิงงามผมแดงยืนนิ่งด้วยสีหน้าโกรธเคือง

‘ปืน?’

วูจินมองอาวุธในมือเธออย่างสงสัย มันดูต่างจากปืนบนโลกหน่อยแต่ดูเหมือนจะใช้เหมือนกัน

เธอมีดาบบางเหน็บที่เอว แต่อาวุธหลักดูจะเป็นปืนพกที่คาดตรงสะโพกและปืนไรเฟิลในมือ

“ชิ ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะแพ้ให้ลอร์ดหน้าใหม่ แถมยังเป็นแค่มนุษย์อีก”

“...”

วูจินจ้องลีอาห์อย่างพูดไม่ออก เธอก็เป็นมนุษย์แต่กลับพูดดูถูกมนุษย์

“ดาวโลก? นายมาจากดาวที่กำลังเป็นที่ต้องการมาก ชื่อคังวูจิน? ต้องแลกเปลี่ยนคำทักทายกันไหม?”

วูจินขมวดคิ้ว

“อะไร? นายไม่เย็นชากับมนุษย์แบบเดียวกันไปหน่อยเหรอ?”

ลีอาห์พาดไรเฟิลไว้ข้างๆ เธอล้วงบุหรี่ออกจากกระเป๋าแล้วจุดไฟ

เปลวไฟลุกพรึ่บจากปลายนิ้วของเธอ เธอเป็นผู้ใช้เวทและใช้อาวุธปืนกับดาบ วูจินกอดอก เขาตัดสินใจสังเกตท่าทีของเธอต่ออีกหน่อย

“เธอคิดจะทำอะไร?”

“เห ไม่ได้เป็นใบ้นี่”

ลีอาห์ดูดบุหรี่ยาว พ่นควันออกมาพลางพูด

“ต่อไปเราอาจได้เจอกันบ่อย ฉันแค่กำลังบอกว่ามาสนิทกันไว้เถอะ”

“แค่ฆ่ากับถูกฆ่า จำเป็นต้องเป็นเพื่อนด้วยเหรอ?”

วูจินหัวเราะกับคำพูดไร้สาระของเธอ สุดท้ายถ้าพวกเขาเจอกันในสงครามมิติก็เป็นศัตรูกัน เขาไม่มีเหตุผลและไม่สนใจจะเป็นเพื่อนกับคนที่เขาต้องฆ่า ลีอาห์หัวเราะเสียงดังเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลก

“ฮะ นายเป็นลอร์ดมือใหม่จริงด้วย ฮ่าๆ โลกเป็นไง? ล่าง่ายไหม? ฉันควรจะเชื่อมต่อกับที่นั่นไหม?”

“อย่าดีกว่า”

ลีอาห์ยิ้มกว้างกว่าเดิม

“โฮ่? นายเป็นผู้พิทักษ์ดาวดวงนั้นหรือยังไง?”

ทุกคนต้องการปกป้องดาวบ้านเกิดของตัวเอง นั่นเป็นของแน่

แต่ โลกเป็นดาวสะอาด ไม่มีลอร์ดมิติคนไหนปักธงเป็นเจ้าของ

“ยอมแพ้เสียเถอะ นายปกป้องไม่ได้หรอก”

“...?”

“พี่สาวคนนี้กำลังเตือนนายอยู่นะ เหนื่อยเปล่าๆ”

วูจินขมวดคิ้ว ลีอาห์ไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เธอดูดบุหรี่อีกอึกแล้วโยนมันทิ้ง

“เฮ้อ เริ่มเลยไหม?”

ลีอาห์หยิบปืนไรเฟิลข้างตัว ปลายกระบอกปืนแตะก้นบุหรี่ ลีอาห์เหยียดยิ้มเมื่อมองวูจิน

“นายซื่อขนาดนี้จริงๆเหรอ? ปล่อยให้ฉันเตรียมอาวุธ”

“...”

วูจินรู้อยู่แล้วว่าทำไมเธอจึงพูดมากนัก

ลีอาห์ไม่ได้พูดเพราะเจอลอร์ดมิติที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน เธอไม่ได้อยากรู้เรื่องโลกด้วย เธอแค่ถ่วงเวลาเพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้

เขาตกหลุมพรางเธอง่ายดายจนไม่น่าแปลกใจที่เธอคิดว่าเขาซื่อบื้อ

ลีอาห์บรรจุกระสุนแล้วเล็งไปที่วูจิน เขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

“อะไร? นายซื่อ บื้อ หรือกำลังแกล้งโง่กันแน่?”

เสียงเบาๆดังขึ้นจากปืน แต่ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ

ไม่มีกระสุนออกมา ควันเริ่มไหลออกมาจากปืน

กลุ่มควันเรืองแสง และทำให้มองอะไรไปไกลได้แทบไม่เกินหนึ่งนิ้ว ควันปิดกั้นทัศนวิสัย ยิ่งกว่านั้นยังดูเหมือนจะมีพิษ มันทิ่มแทงผิวหนังและทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง

“ฮ่าๆๆ นายรบในสงครามมิติได้ดี แต่ดวลตัวต่อตัวห่วยนะ ยอมแพ้เร็วไปหน่อยหรือเปล่า?”

วูจินไม่รู้ว่าลีอาห์อยู่ที่ไหนเพราะควันอำพรางตัวเธอไว้ เสียงของเธอเหมือนดังมาจากทุกทิศทาง เขารู้สึกเหมือนการมองเห็นและการฟังของเขาถูกผนึกไว้

“ใครบอกฉันยอมแพ้?”

“โฮ่ ตอนนี้ฉันปล่อยเมฆแห่งความตายออกมาแล้ว นายไม่มีทางชนะ”

เสียงยิงกระสุนดังขึ้นหนึ่งนัด

วูจินกันกระสุนด้วยไม้เท้าเหล็ก เขาได้ยินเสียงของลีอาห์และฟังเหมือนเธอกำลังสนุก

“นายคิดว่าจะปัดการโจมตีของฉันไปได้นานแค่ไหน? รู้สึกเหมือนกำลังสู้กับคนหลายสิบคนอยู่เลยใช่ไหมล่ะ?”

เมฆแห่งความตายซ่อนตัวเธอ เธอกำลังยิงจากทุกทิศทางพลางพูดเยาะเย้ยวูจิน สุดท้ายเขาจะบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆและเธอจะฆ่าเขาได้

เมฆแห่งความตายใช้เวลาเตรียมการนานมาก แต่ถ้าเธอใช้มันได้สำเร็จจะมีอัตราชนะ 90% มันเป็นวิธีที่น่ากลัวมาก

“เหมือนกำลังสู้กับคนหลายสิบคน...”

ลีอาห์จู่โจมวูจินด้วยดาบ เขาปัดการโจมตีไป เขาเห็นเธอครู่หนึ่งแต่เธอกระโดดหนีไปทันที เธอซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มควันอีกครั้ง

“ก็สนุกดี”

วูจินเรียกอัศวินมรณะออกมา

ควันดำมารวมตัวกันเมื่ออัศวินมรณะถูกเรียกออกมา วูจินไม่เห็นพวกมันเพราะควัน แต่สามารถรู้สึกได้ว่าอยู่ตรงไหน

“แทนที่จะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนสู้กับคนหลายสิบคน ทำไมเธอไม่สู้เองล่ะ?”

“ฮึ! ฉันก็แค่ต้องฆ่าพวกมันทีละคน”

ลีอาห์ไม่มีข้อมูลของศัตรูเธอมากนัก จึงไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้อัญเชิญ ลีอาห์แค่นเสียงขณะวูจินยิ้มกว้าง

ยิ้มของวูจินออกจะชั่วนิดๆ

“ถ้าหลายสิบไม่พอใจ เอาสักหลายร้อยไหม? หรือหลายพัน?”

อัศวินมรณะแปลคำพูดของวูจินอย่างถูกต้อง พวกมันเรียกทหารโครงกระดูกในสังกัดออกมา

“อ...อะไรกัน?”

เสียงของลีอาห์ฟังตกใจ ทัพผีดิบถูกเรียกออกมาจนเต็มควันแห่งความตาย วูจินออกคำสั่ง

“จับยัยบ้านั่น”

[เราจะมอบพรแห่งความตายให้ศัตรูของราชาของพวกเรา!]

อัศวินมรณะวิ่งออกไป เสียงต่อสู้ดังอยู่เพียงครู่หนึ่ง ไม่นานควันก็เริ่มบางลง

หอกของอัศวินมรณะแทงทะลุร่างกายหลายๆส่วนของลีอาห์ เธออยู่ในท่าประหลาดกึ่งยืนกึ่งคุกเข่า วูจินเข้าไปใกล้ลีอาห์

“เตือนเหรอ?”

“...”

วูจินเปลี่ยนไม้เท้าเหล็กเป็นขวาน

“ห่วงแต่เรื่องตัวเองเถอะ”

ขวานของวูจินฝังเข้าไปในศีรษะลีอาห์

มนุษย์เหมือนกัน? ผู้พิทักษ์โลก? เธอรู้เพราะเคยทำมาแล้วหรือไง?”

ลอร์ดมิติที่ไร้ความหมายแบบนี้กล้าเตือนเขา?

<คุณชนะการดวล>

<การแก้แค้นของลีอาห์ล้มเหลว ผู้ชนะเริ่มการใช้สิทธิ์>

<กรุณาเลือกข้อใดข้อหนึ่งจากปล้นห้องเก็บของหรือปล้นอาณาเขต>

วูจินเลือกปล้นห้องเก็บของ ไอเทมที่เก็บในห้องเก็บของในอาณาเขตมิติของลีอาห์เลื่อนผ่านสายตาเขาและไอเทมบางชิ้นถูกสุ่มเลือกออกมา ในนั้นมีไอเทมหนึ่งที่สะดุดตาวูจิน

<รองเท้าบูทของสเกีย>

นี่คือรองเท้าของสเกีย เทพผู้คุ้มครองนักผจญภัย

“โชคฉันดีแฮะ”

รองเท้าโดยตัวมันเองแล้วเป็นของดี แต่มันเป็นของจำเป็นในการสร้างไอเทม ‘หน้ากากทราช’ ไอเทมชิ้นหนึ่งในเซ็ทไอเทมของทราช

วัตถุดิบอื่นๆหาได้จากโลก แต่ไอเทมบางอย่างหาได้แต่ในอัลเฟน บูทของสเกียเป็นหนึ่งในนั้น

เทพคุ้มครองนักผจญภัย สเกีย เป็นหนึ่งในทวยเทพของอัลเฟน

วูจินวางแผนไว้ว่าจะไปอัลเฟน แต่เขาอาจจะได้เซ็ทไอเทมสักชิ้นก่อน

“เดี๋ยวนะ... ถ้าฉันทำได้ดีในสงครามมิติอาจจะดีกว่าก็ได้?”

ถ้าเขาชนะไปเรื่อยๆ เขาจะได้แต้มไปซื้อวัตถุดิบที่เขาต้องการ...

วูจินมีร้านค้าสองแห่งที่สามารถใช้ได้ ร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ กับร้านค้าของมิติ

ค่าความสำเร็จหาได้จากการล่า แต่พลังงานมิติได้แต่จากผู้อาศัยในอาณาเขตมิติ

“เจมินทำอะไรอยู่นะ?”

วูจินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาจัดเก็บไอเทมที่ปล้นมาแล้วออกจากปราสาท ทำไมวันนี้เจมินถึงได้หล่อนัก

***

<คุณแพ้ดวล การแก้แค้นล้มเหลว>

<คุณจะคืนชีพหลังผ่านไป 12 วัน>

ความตายของลีอาห์ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เธอเคยตายมาหลายร้อยครั้งแล้ว เธอชินกับมันแต่ไม่ได้หมายความว่าชอบ

ความกลัวและกดดันถูกแสดงออกมาเป็นความโกรธ

‘ไอ้สัตว์!’

ในหมู่ลอร์ดมิติรู้จักลีอาห์ในฐานะสุนัขบ้า

เธอชอบการดวลมากกว่าสงครามมิติ ถ้าเธอแพ้ เธอจะเรียกร้องสิทธิ์แก้แค้นเสมอ

ยิ่งกว่านั้นเธอยังท้าสู้ศัตรูไปเรื่อยๆจนกว่าจะชนะ

ตอนนี้เอง เป้าหมายของเธอถูกกำหนดไว้แล้ว

‘ดาวโลก? คอยดูไปเถอะ’

การปกป้องดาวสักดวงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

สุดท้าย สิ่งเดียวที่ลอร์ดสามารถปกป้องได้คืออาณาเขตมิติของตัวเอง สุดท้ายแล้วทุกคนจะฝังดาวบ้านเกิดของตัวเองไว้แค่ในใจ

มันเป็นแบบนี้เสมอ ดาวบ้านเกิดไม่เคยถูกทำลายจากผู้รุกราน มันถูกทำลายเพราะคนใน...

โลกเป็นเรือที่กำลังล่ม

การซ่อมเรือขณะคนอื่นๆพยายามจะเอาชีวิตรอดเป็นเรื่องบ้า ทุกคนต้องหาทางรอดให้ตัวเอง

อาจจะเป็นการว่ายน้ำ หรือไปขึ้นเรือที่ล่มเรือของตัวเอง...

สติของลีอาห์เลือนหายไปและร่างของเธอถูกความว่างเปล่าห่อหุ้ม



                                สารบัญ                                                      ตอนที่ 131


หือ? จาก 16 หน้าแปลไปแปลมาเหลือ 9 หน้า - -? อ้อใช่ เราตัดซาวด์เอฟเฟคท์ออก XD

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 129

บทที่ 129 – ลีอาห์

ผู้หญิงสวมแว่นและหน้ากากปิดจมูกออกมาจากประตูทางออกสนามบิน มีคนกลุ่มมากรวมกันอยู่ที่นั้น แต่ละคนมีกล้องในมือ มองผ่านๆเกิน 50 คน แต่ไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว

พวกเขาเหมือนตัวเมียร์แคท ยืดคอยาวจ้องประตูทางออก

‘อีกแล้วเหรอ?’

ผู้หญิงขมวดคิ้วขณะเดินผ่านกลุ่มนักข่าว เมื่อไปถึงรถตู้ที่จอดรอ เธอถอดหน้ากากออก

“เฮ้อ คังวูจินอีกแล้วเหรอ?”

“อา ซินดี้ ดูเหมือนจะใช่นะ”

ซินดี้ถอนหายใจกับคำตอบของผู้จัดการ

“ทำไมเขากลับจากต่างประเทศพร้อมๆกับฉันทุกทีเลยนะ?”

“ฮะๆ”

ผู้จัดการได้แต่หัวเราะ ที่ซินดี้พูดไม่จริงเสียทีเดียว วูจินไม่ได้จัดตารางเวลาไปต่างประเทศตรงกับเธอ
แค่ตารางเวลาของซินดี้ทำให้ต้องไปจีนบ่อยๆ เพราะอย่างนี้เธอจึงใช้สนามบินบ่อย และบางครั้งเวลาที่เธอกลับประเทศก็จะไปตรงกับการมาถึงของคังวูจิน

“เฮ้อ นักข่าวพวกนี้ไม่รู้จักจำกันเลยเหรอ?”

กี่ครั้งที่คังวูจินออกจากประตูสนามบิน ส่วนใหญ่เขาใช้เส้นทางอื่นในการออกจากสนามบิน เธอรู้สึกสงสารนักข่าวที่ต้องรอเขาตรงประตูทางออกอย่างดื้อรั้น

“เพราะอย่างนี้ถึงมีนักข่าวอยู่ทุกซอกทุกมุมเลยไง”

“...”

ซินดี้อ้าปากค้าง

ถ้ามีนักข่าวครอบคลุมอยู่ทุกทางออกของสนามบินแล้วจะมีกี่คนกันนั่น? อย่างน้อยคงมีมากกว่านักข่าวตรงประตูทางออก 5 เท่า แข่งขันกันเพื่อภาพถ่ายของคนๆเดียว...

“พวกเขาแค่มาถ่ายรูปเหรอ? ฉันได้ยินว่าเขาชื่อเสียงแย่เรื่องไม่ยอมให้สัมภาษณ์”

“แค่? เขาเป็นพระราชาของอลันดาลนะ”

“พระราชา...”

ซินดีกลืนเสียงครางกลับไป ตอนนี้มีอาณาจักรแห่งหนึ่งอยู่ในเกาหลี มันพิลึกเพราะนี่ไม่ใช่นิยายหรือการ์ตูน

“เฮ้อ จริงๆนะ”

ดาราอยู่คนละโลกกับคนธรรมดา แต่คังวูจินอยู่เหนือกว่าดารา เธอเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแต่คังวูจินเหมือนลงมาจากสวรรค์

“ไม่รู้เขาจะมางานชุมนุมศิษย์เก่าไหม”

“หือ? ชุมนุมศิษย์เก่าอะไร?”

ซินดี้พูดกับตัวเอง แต่ผู้จัดการถาม เธอส่ายศีรษะเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ แต่พวกเราเรียนโรงเรียนมัธยมที่เดียวกัน”

“ฮ้า จริงเหรอ? ไม่น่าจะมานะ”

“ฉันก็คิดเหมือนกัน”

งานชุมนุมศิษย์เก่าครั้งก่อนถูกเลื่อนไปเพราะดันเจี้ยนเบรกหลายแห่งในโซล

หลังจากนั้น ประชากรจำนวนมากย้ายออกจากโซล เขตอาศัยบางแห่งกลายเป็นว่างเปล่าจนเหมือนเมือง
ร้าง

“เฮ้อ ไม่รู้สิ”

ถ้าโชคชะตากำหนดให้พวกเธอได้เจอกัน เธอก็จะได้เจอ... ซินดี้เอนหลังแล้วหลับตาลง

***

“เอ๊ะ? เขาออกมาแล้ว!”

พวกนักข่าวไม่ได้ตั้งความหวังไว้นัก แต่ใบหน้าคุ้นเคยที่ปรากฏที่ประตูสนามบินทำให้พวกเขาคลั่ง

แชะๆ!

คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาท่ามกลางแสงแฟลชกล้อง

พวกเขาคือฮงซุงกูและวูซุงฮุนของอลันดาล ยังมีเบคจองโดและเลขานุการของเขาจุงชานซุง พวกเขามีรปภ.ตามส่ง

ในนั้น ซุงกูเป็นคนที่กำลังยิ้มกว้าง

“เฮะๆ ผมดังมากแล้วตอนนี้”

“ถ้าไม่รวมท่านประธาน กรรมการฮงคงเป็นเราส์ที่มีชื่อเสียงมาแรงที่สุดแล้ว”

ซุงกูหัวเราะคิกๆขณะที่วูซุงฮุนพยายามทำตัวเองให้ดูดี

ก่อนวูซุงฮุนจะออกจากเครื่องบิน เขาทาครีมที่หน้า เขาแต่งตัวอย่างดียิ่งกว่าแฟชั่นสนามบินอีก สภาพของซุงฮุนทำให้ซุงกูหัวเราะ

“หัวหน้าแผนกวู คุณดูดีมากครับ”

“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ใช่หัวหน้าแผนกเลขานุการแล้วนะ ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ”

“เฮะๆ จะว่าไปคุณก็มาไกลมากเลยนะครับ”

“ฮ่าๆ นี่เป็นผลมาจากที่ผมอุทิศกายใจให้ท่านประธานไงล่ะ”

ซุงกูหัวเราะในใจเมื่อได้ยินซุงฮุนพูด

อืม การพบกันครั้งแรกไม่สวยงามนักและซุงฮุนก็ทนทรมานมามาก

ซุงฮุนยิ้มกว้างพลางมองนักข่าว เขาโบกมือให้พวกเขา

‘นายประสบความสำเร็จแล้วนะวูซุงฮุน!”

ในใจเขากำลังเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง

เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอลันดาล

ความทรงจำแปดปีของการเป็นคนขายโทรศัพท์เข้ามาในหัวเขาเหมือนภาพในกล้องสลับลาย เขาไม่เคยคาดฝันว่าจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ เขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกใหม่ๆ

“ผมจุงชินยองจาก KB มีเดีย ขอคุยด้วยได้ไหมครับ”

“ลีโฮซานจากหนังสือพิมพ์ทูเดย์ครับ เรื่องที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในจีนจริงหรือไม่ครับ?”

นักข่าวพูดไม่หยุด วูซุงฮุนจึงขอตัวจากเบคจองโด เขาหยุดครู่หนึ่ง

มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำมานานแล้ว

“ผมจะตอบคำถาม 3 ข้อ”

นักข่าวรุมซุงฮุนเหมือนฝูงผึ้งเมื่อได้ยิน นักข่าวสาวน่ารักคนหนึ่งมองเขาด้วยสายตาจริงจัง ซุงฮุนชี้ไปที่เธอ

“ฉันลีเชยุนจากแจยองมีเดียค่ะ คุณคังวูจินอยู่ที่ไหน...”

“เขาเป็นพระราชาของอลันดาล เรียกเขาว่าคุณคังวูจินนี่...”

ซุงฮุนขมวดคิ้วแล้วพูดขัดจังหวะ นักข่าวสาวอึ้งไปครู่แต่แล้วก็พูดต่อ

“...ตอนนี้พระราชาของอลันดาลอยู่ที่ไหนคะ?”

เพราะว่าพวกเขาอยู่ในประเทศที่ราชาธิปไตยหายไปนานแล้ว? ไม่ใช่  วูจินคนนี้ไม่มีเชื้อสายกษัตริย์ เขาสร้างประเทศใหม่และตั้งตัวเองเป็นพระราชา ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่

แน่นอน พวกเขาทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องนี้ได้ยาก

“เขาอยู่ในดันเจี้ยน”

“ดันเจี้ยนในอเมริกาหรือคะ?”

“ไม่ใช่”

คำตอบของซุงฮุนทำให้นักข่าวตกใจ คังวูจินไปที่อื่นและให้คนในทีมของเขากลับมาก่อนเหรอ?

“แล้วเขามีกำหนดจะกลับมาเมื่อไหร่คะ?”

วูจินยิ้ม

“ผมไม่ทราบ เขาอาจกลับไปที่อลันดาลแล้วก็ได้ หรืออาจจะกลับวันอื่น”

“...?”

นักข่าวรู้สึกสับสนเมื่อได้ฟังคำตอบไร้เหตุผลของซุงฮุน ซุงฮุนมีความสุข

‘นี่ไงล่ะ’

กี่ครั้งแล้วที่เขาอยากเลียนแบบคังวูจิน?

ซุงฮุนพูดประโยคสุดท้ายอย่างเท่

“จบเท่านี้ 3 ข้อแล้ว”

“ข...ขอโทษค่ะ ขอถามอีกข้อ”

นักข่าวพุ่งมาทางซุงฮุน แต่รปภ.กั้นพวกเขาไว้ หลังจากบอกลาสมาชิกกิลด์ KH ซุงฮุนและซุงกูเดินไปทางรถที่อลันดาลส่งมา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

“พี่ซุงฮุน เมื่อกี๊เลียนแบบลูกพี่ใช่ไหมครับ? ที่บอกว่าจะตอบคำถามแค่ 3 ข้อ”

ซุงกูเลียนแบบวูจิน ซุงฮุนหัวเราะอายๆ

“ฮ่าๆ ผมอยากลองทำแบบนั้นสักครั้งมานานแล้ว”

“คิดว่าลูกพี่กลับไปถึงอลันดาลแล้วจริงๆเหรอครับ?”

“ไม่รู้สิ เขาบอกว่าเขาจะอยู่ที่นั่น ผมแค่คิดว่าคงจริง”

ซุงฮุนได้ความสามารถพูดถึง 10 ภาษาเพราะวูจิน เพราะอย่างนั้นคำพูดของวูจินคือกฎของซุงฮุน ต่อให้เขาบอกว่าถั่วแดงเอาไปใช้ทำถั่วหมักได้ซุงฮุนก็จะเชื่อ

“ไปดูกันเถอะ เขาอาจไปถึงที่นั่นก่อนพวกเราจริงๆก็ได้”

“ครับ”

รถที่ซุงกูกับซุงฮุนนั่งมุ่งหน้าไปทางอาณาเขตของอลันดาล หรือก็คือสถานีโซลทางออกที่ 1

***

ก่อนหน้านั้น

หลังจากวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนในลอสแอนเจลิสซึ่งเป็นที่สุดท้ายตามตารางเวลา

<เพิ่มระดับ!>

‘โฮ่ อีกแค่สองเลเวล’

เขาต้องเพิ่มเลเวลอีกแค่ 2 ครั้งก็จะถึง 80 ดันเจี้ยนบางแห่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นดันเจี้ยน 6 ดาวก็ลำบาก

มีดันเจี้ยน 5 แห่งที่มีมอนสเตอร์ระดับ 7 ดาวอยู่

ถ้าไม่ใช่เพราะวูจิน ดันเจี้ยน 7 ดาวคงระเบิดเป็นครั้งแรกบนโลก มันอาจเกิดขึ้น 5 ครั้ง กองทัพอาจควบคุมพวกมอนสเตอร์ได้ แต่ความเสียหายคงมหาศาล

‘สงครามแบบยืดเยื้อมันอันตรายเกินไป’

ถ้าโลกกลายเป็นสนามรบจะอันตราย ถ้าพวกเขาต้องการสู้ก็ต้องโจมตีดันเจี้ยนก่อนที่มันจะระเบิด พวกเขาต้องสู้ให้จบในดันเจี้ยน

ถ้าต้องการให้แผนนี้เป็นไปได้ ก็ต้องมีเราส์จำนวนมาก แต่คุณภาพของเราส์บนโลกนั้นอ่อนแอ

เราส์แรงค์ AA หรือเราส์ระดับวงแหวนที่ 7 เพิ่งจะเริ่มปรากฏตัว ทีละหนึ่งหรือสองคน

วูจินไม่สามารถเดินทางไปหยุดดันเจี้ยนเบรกรอบโลกได้เสมอ สุดท้ายแล้ว ทุกคนต้องช่วยกัน

‘อืม สุดท้ายแล้ว ฉันคงต้องปล่อยให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเอง’

เขาเคยบ่มเพาะหญ้าอย่างซุงกู เขาไม่ต้องการดอกไม้ที่โตได้แต่ในเรือนกระจก เขาจะลงมือฝึกสอนคนแบบบลังกาที่มีแววจะไปได้ไกล ที่เหลือคงต้องเติบโตด้วยตัวเอง

ตัวเองก็ต้องปกป้องตัวเอง การพึ่งพาคนอื่นเป็นเรื่องอันตรายเกินไป

‘ถ้าฉันรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กจะอันตราย’

ตอนนี้มีพวกปากมากที่เรียกวูจินเป็นผู้กอบกู้แล้ว นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่สุด

ถ้าต้องการให้เราส์บนโลกแข็งแกร่งขึ้น วูจินก็ต้องให้พวกเขาสู้เอง แน่นอน เขาต้องหยุดยั้งทราห์เน็ตไม่ให้ครอบครองโลก ดังนั้นเขาต้องควบคุมกำลังพลของเราส์

พวกเราส์จะเป็นยาต้านดันเจี้ยนเบรกที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ วูจินแค่ต้องจัดการกับมอนสเตอร์ที่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ

“พวกนายกลับเกาหลีไปก่อน”

“ครับ? แล้วลูกพี่ล่ะ?”

“ฉันจะไปของฉันเอง พวกนายกลับไปก่อน”

วูจินต้องอยู่ตอนที่เกิดสงครามมิติในอาณาเขตมิติของเขา เขาเปิดประตูมิติไปที่อาณาเขต

ฐานของเขาคือสถานีโซลทางออกที่ 1 ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดบนโลก เขาสามารถกลับไปที่อาณาเขตของเขาทันที

หากนั่งเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคจะเสียเวลามาก หลังจากเดินทางไปรอบโลกเพื่อปิดดันเจี้ยน ระยะเวลาคุ้มครองของเขาใกล้หมดแล้ว

หลังแยกจากคนอื่นๆ วูจินเข้าไปในประตูมิติทันที

ตอนนี้เขาค่อนข้างชินกับความรู้สึกวิงเวียนแล้ว เขาเห็นห้องโถงที่ตั้งบัลลังก์ในอาณาเขตมิติของอลันดาล

“เจ้านาย!”

บิบิวิ่งมากระโดดกอดเขาทันที

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

“ค่ะ ฮิๆ แล้วก็ เรามั่นใจในฝีมือต่อสู้ในสงครามมิติแล้วล่ะ”

“หา?”

“เราได้คอร์สฝึกสอนส่วนตัวน่ะ”

“ฝึกสอนส่วนตัว? จากใคร?”

“ฮิๆ ความลับ!”

มีผู้อพยพที่รอบรู้เรื่องสงครามมิติเข้ามาเหรอ?

วูจินดูสถานะของอาณาเขตอย่างไม่สนใจนัก

“พลเมืองเพิ่มขึ้นเยอะนะ”

“ค่ะ มีข่าวลือออกไปว่าเราไม่เก็บค่าตั้งถิ่นฐาน แต่เพราะเราไม่เปิดดันเจี้ยนให้ใช้ พวกอพยพที่ต่อสู้เก่งๆ
เลยจากไปแล้ว”

วูจินไม่ยอมเปิดดันเจี้ยนหนึ่งเดียวที่เขามี เขายังไม่ยกเลิกห้ามคนเข้าออกดันเจี้ยนสถานีโซลทางออกที่ 1 ผู้อาศัยในมิติไม่สามารถล่ามนุษย์หรือรวบรวมบลัดสโตนได้ สิ่งเหล่านี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาผ่านดันเจี้ยนไปยังโลกได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้อพยพที่ชอบทำสงครามจึงผ่านอลันดาลไป

ผู้อพยพที่ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานคือนักเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยกับการเร่ร่อน พวกเขามีแนวโน้มไปทางรักสันติ

แม้จะไม่เปิดดันเจี้ยนก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเก็บบลัดสโตนไม่ได้ เพียงแต่จะไม่ได้จำนวนมากๆในทีเดียว พวกเขาสามารถทำฟาร์มบลัดสโตน ล่าหรือเลี้ยงมอนสเตอร์

“เหลืออีกแค่ 2 นาที”

“ฮิๆ คราวนี้เรามั่นใจมาก”

บิบิยิ้มกริ่มอย่างมั่นใจ ถ้าเธอชนะ เขาจะถูกปรับช่วงคุ้มครองเป็น 4 วัน

สงครามมิติเป็นสงครามกลยุทธ์ที่สู้กันโดยใช้พลังของอาณาเขตมิติ

ดวลคือการสู้โดยใช้ความสามารถด้านต่อสู้ของลอร์ดมิติ

ผลลัพธ์เหมือนกัน คนแพ้เท่านั้นจึงจะได้ช่วงคุ้มครอง 12 วัน

ถ้าชนะ คนชนะจะได้ช่วงคุ้มครองเพียง 4 วัน ช่วงนั้น ระหว่างนั้นถ้าไปท้ารบกับอาณาเขตอื่น บาเรียที่ปกป้องรอบอาณาเขตจะหายไป ยกเว้นว่าจะเป็นการชนะจากการท้าดวลเป็นการแก้แค้นหลังแพ้

สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือให้บิบิแพ้ เพื่อเขาจะได้ช่วงคุ้มครอง 12 วัน จากนั้นเขาแก้แค้นและได้แต้มกับไอเทมที่ถูกปล้นไปคืนมา

“ฮิๆ เริ่มเร็วๆหน่อยสิ”

บิบิคาดหวังกับตัวเองไว้สูงมาก วูจินนึกออกเลยว่าเธอจะเศร้าขนาดไหนถ้าแพ้ เขารู้สึกผิดแต่ไม่มีทางเลือก

วูจินไม่อยากเจอกับความหงุดหงิดในสงครามมิติอีก เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องทรมาทรกรรมอย่างนั้น

<ช่วงคุ้มครองหมดลงแล้ว>

<คุณสามารถรับคำท้ารบในสงครามมิติ คุณสามารถรับคำท้าดวล>

<คุณสามารถปฏิเสธได้ 3 ครั้ง หลังจากนั้นจะการต่อสู้จะถูกบังคับให้เกิดขึ้น>

วูจินนั่งบนบัลลังก์ครู่เดียวก็ได้รับคำท้ารบในสงครามมิติมากมาย เขาสุ่มเลือกมาหนึ่งอัน

<สงครามมิติกับลีอาห์เริ่มขึ้นแล้ว>

วูจินนั่งบนบัลลังก์ ภาพเบื้องหน้าของเขาขยายกว้างขึ้น

เขาสามารถสำรวจดินแดนกว้างใหญ่ได้เพียงมองผ่านๆ เขาสามารถรับรู้ความเป็นไปของสงครามระหว่างบิบิกับลอร์ดมิติคนอื่นได้พร้อมกัน วูจินอ่านข้อมูลของศัตรู

“เธอเป็นมนุษย์เหรอ?”

เผ่าพันธุ์ของศัตรูของเขามีเขียนไว้ แต่เขาไม่มีทางรู้ว่าเธอมีความสามารถหรือมีกองกำลังอะไรบ้าง ที่เขารู้มีเพียงประวัติการต่อสู้ของเธอ

<สงครามมิติ 102W 542L>

<ดวล 640W 230L>

“โฮ่! น่าสนุก”

ดูเหมือนคนๆนี้จะใช้วิธีการแบบเดียวกับวูจิน เธอมีประวัติชนะในการดวลมากกว่าในสงครามมิติ

แปลได้ว่าศัตรูของเขาเป็นลอร์ดมิติสายต่อสู้ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องกลัวแม้จะเห็นประวัติของศัตรู เขาไม่กลัวตาย ต่อให้บัลลังก์ทั้ง 72 มาเขาก็ไม่ลังเลที่จะแก้แค้น

“บิบิทนได้นานแฮะ”

เวลาผ่านไปนานแล้วแต่การรบยังไม่จบ วูจินจึงดูแผนที่

“หา”

วูจินไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หรือว่าเธอจะได้ครูดีจริงๆ? สถานการณ์ในการรบเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางแปลกๆ



สารบัญ                                                        บทที่ 130

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 128

บทที่ 128 – ผู้ปิดดันเจี้ยน (3)


มีวิญญาณส่วนน้อยที่จากศพไปแล้ว ศพนับพันตอบรับเวทของวูจินและพลังเวทในศพทุกหยาดหยดถูกบีบเค้นออกมา

เสียงระเบิดแสบแก้วหูพร้อมกับเดรดระเหยไป ทำให้วูจินได้รับค่าประสบการณ์ก้อนใหญ่

<เพิ่มระดับ!>

 อีกเพียง 4 เลเวลเขาจะเป็นเลเวล 80

ระเบิดขนาดใหญ่เกิดขึ้นใกล้ๆแต่ทีมปลอดภัย เสียงระเบิดหูดับทำให้พวกเขาหูอื้อ แต่ถ้าเทียบจากขนาดของการระเบิดถือว่าพวกเขาได้รับความเสียหายน้อยมาก

บาเรียกึ่งล่องหนห่อหุ้มทีมไว้ มันป้องกันทุกอย่าง ความร้อน เสียงและเศษหินจากการระเบิด

บลังกายกมือสองข้างขึ้นเหมือนกำลังค้ำฟ้า จากนั้นเขากระอักเลือด

เขาใช้พลังเวทมากเกินไปจึงพยายามสงบความพลุ่งพล่านในร่างลง เขามองวูจินด้วยสายตาตัดพ้อ

“เตือนพวกเราหน่อยไม่ได้เหรอครับ?”

เขากังวลเมื่อเห็นเดรดปรากฏตัวจึงเตรียมบาเรียเอาไว้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงถูกระเบิดไปแล้ว แต่วูจินกลับยักไหล่

“นายไม่ต้องทำแบบนั้น”

“...”

เกราะผี มันลอยรอบตัววูจินเสมอ ถ้ามีสัญญาณอันตรายบาเรียของวูจินจะก่อตัวขึ้น เขาเพิ่มเลเวลให้มันจนสามารถป้องกันแรงระเบิดได้แทบทั้งหมด

แน่นอนว่าสมาชิกทีมใกล้ๆก็จะได้รับการปกป้องด้วย วูจินไม่ต้องให้ใครมาปกป้องเขา

วูจินพูดว่าสิ่งที่บลังกาทำเป็นเรื่องไม่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหดหู่

แทนที่จะขอบคุณ เขา...

“เฮ้อ คุณอ้วกเอาของอร่อยออกมาหมดเลย”

“จุ๊ๆ ฉันบอกแล้วว่าให้นายดูอย่างเดียว”

ฮงซุงกูกับเบคจองโดตำหนิเขา บลังการู้สึกอยากจะร้องไห้

เขาลืมไปว่าทุกคนที่นี่เป็นเราส์แรงค์ A

พวกเขาเป็นเราส์ที่สามารถพูดได้ว่าเก่งที่สุดในโลก ทุกคนมีความสามารถรักษาชีวิตของตัวเอง ดังนั้นก็เหมือนเขาทำเกินหน้าที่

‘แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันควรทำไม่ใช่เหรอ?!’

เขาอยากจะตะโกนประโยคนี้ออกมาแต่ไม่มีแรง หัวของเขาหมุนติ้ว บลังกากำลังยืนโงนเงนอยู่เมื่อพลังงานประหลาดไหลเข้าร่าง

“ฮ้า”

หัวเขาเย็นลงบ้าง เขาตระหนักว่าวูจินใช้ทักษะบางอย่างเพิ่มพลังให้

‘ความสามารถของเขาไม่มีที่สิ้นสุด...’

เขามีทักษะอัญเชิญ ต่อสู้ได้ ใช้เวทย์ได้แล้วยังฮีลได้อีก... บลังกาสงสัยว่าทักษะของวูจินขยายไปถึงขั้นไหน... เขาเดาไม่ออกด้วยซ้ำว่าวูจินมีทักษะกี่อย่าง

“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ จากตรงนี้ผมฮีลเองได้”

สายตาบลังกาสื่อถึงความขอบคุณ จากนั้นเขาปล่อยพลังเวทที่เพิ่งสงบลงเพื่อตรวจร่างกายตัวเอง

“ทักษะรักษาตัวเองนี่หายากนะ”

วูจินมองอย่างทึ่ง

ชายคนนี้เป็นเราส์สายเสริมพลังและยังเป็นนักเวทสายฟื้นพลัง ดูเหมือนทักษะของเขาไม่ได้พึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์จึงแปลก

“นายชื่ออะไรนะ?”

“บลังกาครับ”

“พูดเกาหลีคล่องดี... นายบอกว่ามาจากกิลด์วิษณุใช่ไหม? ทางนั้นจ่ายให้เท่าไหร่?”

“อะไรนะ?”

“มาอลันดาลสิ”

“...”

บลังกาควบคุมพลังที่จะปั่นป่วนอีกครั้งแล้วมองวูจิน

เขาวางแผนอะไร? บลังกาอ่านสายตาของวูจินไม่ออกแต่ดูไม่เหมือนกำลังพูดเล่น

‘อะไรเนี่ย?’

ต่อให้เป็นทีมบุกดันเจี้ยนที่ไม่รู้จักอันตรายอะไรเลย แต่มาชวนเข้ากิลด์กันในสถานการณ์แบบนี้มันควรแล้วเหรอ? ถึงอย่างไรบลังกาก็ไม่คิดย้ายกิลด์

“ขอบคุณ แต่หัวหน้ากิลด์เป็นเพื่อนสนิทผม ผมตั้งใจจะฝังสังขารตัวเองไว้ที่กิลด์วิษณุ”

“เหรอ? น่าเสียดาย”

ยิ่งบลังกาแสดงความจงรักภักดีกับกิลด์ตัวเองวูจินยิ่งอยากได้ตัวเขามากขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

“น่าเสียดาย มาจบนี่กันเถอะ”

วูจินเก็บโต๊ะเก้าอี้เข้าคลังส่วนตัว จากนั้นก็ย้ายที่ ไม่มีหาดขาวอีกต่อไปเหลือแต่ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เกิดจากแรงระเบิด

ซากศพและบลัดสโตนสูญเสียไปในการระเบิด แต่วูจินไม่เสียดาย

กลางทะเลสาบ มีพลอยสีม่วงตกลงตรงที่เดรดตาย

วูจินก้าวลงบนผืนน้ำ

<เท้าข้ามอากาศ>

เขาใช้ทักษะตัวเบาของอาชีพนักรบ เลเวลยังต่ำเกินจะเดินบนอากาศแต่เขาสามารถเดินบนน้ำได้สบาย
เท้าวูจินแตะน้ำแต่จมลงไปไม่ถึงตาตุ่ม วูจินเดินข้ามน้ำไปหยิบพลอย

<คุณได้รับชิ้นส่วนมิติ>

ในที่สุดเขาก็จะได้ดันเจี้ยนที่นำไปสู่อัลเฟน

วูจินเก็บพลอยม่วงแล้วเดินไปทางวังใต้น้ำของเดรด เขามองข้างล่างเห็นแสงสีเขียวของหินรีเทิร์นสโตน

เขายกเลิกทักษะเท้าข้ามอากาศ ในขณะเดียวกันก็ใช้ทักษะทำให้ตัวหนักขึ้น เขาจมลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว

ยังมีมอนสเตอร์ทะเลเหลืออยู่บ้างแต่เขามองข้ามพวกมันไป วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนแล้วกระโดดพ้นน้ำ

เขาใช้โบนัสทั้งหมดเพิ่มค่าสถานะเวทย์และความฉลาด ค่าพลังงานในการใช้ทักษะเทียบกันแล้วจึงอ่อนแอ ทั้งหมดนี้ใช้ค่าพลังงานของเขาไปจนหมด เขาใช้เท้าข้ามอากาศอีกไม่ได้

“ชิงชิง”

วูจินขี่ชิงชิงไปทางทีมของเขา

“ไปกันเถอะ”

“อ้าว? ไม่สำรวจหาสมบัติเหรอครับ?”

นี่เป็นการพิชิตดันเจี้ยนครั้งแรกจึงมีอาร์ติแฟคจำนวนมากซ่อนอยู่ วูจินยักไหล่

“ฉันอยู่ใต้น้ำนานไม่ได้”

ผลจากอาชีพนักรบทำให้เขามีความจุปอดมากเทียบกับคนธรรมดา แต่เขาอยู่ใต้น้ำได้ไม่เกิน 10 นาที

ทะเลกว้างเกินไปจนไม่อาจใช้เวทค้นหาอาร์ติแฟค

“ผมมีบัฟที่ทำให้คนอยู่ใต้น้ำได้โดยไม่ต้องหายใจ”

“หา?”

คำพูดของบลังกาทำให้ทุกคนหันมาสนใจเขา โดยเฉพาะวูจินที่ตาเป็นประกาย

‘หมอนี่สารพัดประโยชน์ดีแฮะ’

ถ้านับแค่ทักษะเสริมพลัง วูจินได้มาพบชาวอินเดียที่มีความสามารถหลากหลายเป็นรองแค่เขาแล้ว

เมื่อออกจากดันเจี้ยนมาอย่างปลอดภัย คนกลุ่มใหญ่รอต้อนรับพวกเขาอยู่ มีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์อินเดีย ข้าราชการตำแหน่งสูง ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น คนจากกิลด์วิษณุ คนผ่านทางที่หยุดมอง...

ปกติแล้ววูจินจะเรียกม้าปีศาจเพื่อหลีกฝูงชนและหายตัวไปยังสนามบินทันที แต่คราวนี้เขาทำตัวแปลกไป เขาขึ้นไปนั่งในรถที่เตรียมไว้เพื่อเขา

ทีมเคลียร์ดันเจี้ยน 4 คน และหัวหน้ากิลด์วิษณุ กัสสิม เข้าไปในรถลีมูซีนที่จอดรอ

[ฮ่าๆๆ ผมต้องขอบคุณที่คุณเคลียร์ดันเจี้ยนที่พวกเรารับมือไม่ไหวได้อย่างง่ายดาย]

“เขาขอบคุณที่คุณเคลียร์ดันเจี้ยนครับ”

กัสสิมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เขาจึงพูดเป็นภาษาฮินดี บลังกาแปลเป็นภาษาเกาหลี

“อืม ภาษาฮินดีเหรอ?”

“ครับ”

ใช้เวลาครู่เดียววูจินก็หายาเรียนภาษาฮินดีในร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จเจอ วูจินดึงขวดยาออกมาจากกลางอากาศและดื่มมันเข้าไป กัสสิมมองอย่างงุนงง

[กัสสิม? หัวหน้ากิลด์วิษณุ?]

[โอ้แม่เจ้า คุณพูดภาษาฮินดีได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?]

[เมื่อกี๊]

[...?]

สีหน้ากัสสิมเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ แต่วูจินไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบาย

เขามีเวลาไม่มาก แต่เขามานั่งในรถลีมูซีนที่คืบคลานผ่านฝูงชนไปช้าๆ ตำรวจหลายนายติดตามพวกเขาไปส่งที่สนามบิน เขานั่งรถมาเพื่อเหตุผลเดียว

[ฉันต้องการตกลงธุรกิจกับกิลด์วิษณุ]

[ธุรกิจอะไร?]

อลันดาลถูกเรียกเป็นกิลด์อันดับหนึ่งของโลกเพราะเราส์คนเดียว นี่เป็นข้อเสนอจากอลันดาล กัสสิมตาเป็นประกายเมื่อการเจรจาเปลี่ยนไปทางธุรกิจกิลด์

[ฉันอยากได้บลังกา]

[โอ้ เขาเป็นพี่น้องผม]

บลังกาพยักหน้าเมื่อกัสสิมปฏิเสธ อีกใจก็รู้สึกดีที่วูจิน เราส์ที่เก่งที่สุดในโลกต้องการเขา

[อยากได้เท่าไหร่?]

[ผมไม่ขายน้องตัวเอง...]

[สิทธิ์ใช้ดันเจี้ยนนี้ 100%]

[…]

กัสสิมมองอย่างประหลาดใจ

ถ้ากล่าวตามการวัดพลังงาน ดันเจี้ยนนี้สูงกว่า 6 ดาว

กัสสิมคิดถึงผลกำไรมหาศาล จากนั้นเริ่มชั่งน้ำหนักระหว่างพี่น้องร่วมสาบานที่เป็นเราส์แรงค์ A…

[พ...พี่!]

บลังกาพูดอย่างร้อนรน กัสสิมรู้สึกผิดจึงคิดจะปฏิเสธ

[ถ้าต่อไปมีดันเจี้ยนแบบนี้อีก ฉันจะเคลียร์และมอบสิทธิ์ดันเจี้ยนนั้นให้นายด้วย]

[ฮะ...ฮืม]

พวกนี้คือดันเจี้ยนอันตรายที่เราส์ในตอนนี้จัดการไม่ได้ ผลกำไรย่อมมหาศาล เขาจะได้ดันเจี้ยนสูงกว่า 6 ดาวสองแห่งแลกกับเราส์แรงค์ A หนึ่งคน...

[ฉันให้อีกที่]

[ผมรับข้อเสนอ]

บลังกามองกัสสิมด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

[พี่...]

กัสสิมตบบ่าบลังกา

[เรื่องเมื่อ 5 ปีก่อนก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ]

เมื่อเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกในอินเดียเมื่อ 5 ปีก่อน บลังกาช่วยชีวิตกัสสิมไว้ แสงในดวงตาบลังกาวูบไหว

[ผมช่วยพี่ไว้ไม่ใช่เหรอ?]

บลังกาช่วยกัสสิมจากอันตราย กัสสิมกลายเป็นเพื่อนเขาเป็นการตอบแทน และพวกเขากลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน กัสสิมกระแอมไอ

[ฉันจะเก็บนายไว้แล้วอ้างเป็นการใช้หนี้ได้ยังไง? นายควรออกไปสู่โลกกว้าง]

[หา...]

วูจินยิ้มพลางฟังทั้งสองคุยกัน

[พวกนายตกลงกันแล้วนะ]

เขาคว้าไหล่ของบลังกา

“ยินดีต้อนรับสู่อลันดาล”

“...”

“ว้าว คุณบลังกาตกลงมากับเราเหรอครับ?”

บทสนทนาเป็นภาษาฮินดี ซุงกูจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองบลังกาอย่างดีใจ บลังกาสามารถใช้คาถาเสริมพลังสนับสนุนพวกเขา เขามีเวทเสริมพลังหลากหลายและล้วนแต่มีผลดีทั้งนั้น ขนาดลดผลของเวทเหล่านั้นลงครึ่งหนึ่งก็ยังยอดเยี่ยมพอแล้ว

ถ้าเขามาอลันดาล แม้จะช่วยวูจินได้ไม่มากแต่เขาจะเป็นประโยชน์ต่อเราส์เช่นซุงกูและฮีซอลอย่างมาก

“...ผมรู้สึกเหมือนถูกขาย”

บลังกาถอนหายใจ ซุงกูหัวเราะ

“ฮะๆ ถูกขายแล้วไง? ของผมเป็นสัญญาทาสแต่ดูผมตอนนี้สิว่าเป็นยังไง”

“...?”

“ดีเท่าไหร่แล้วที่คุณไม่ต้องมาอยู่กับพวกเราหลังตาย? โอ๊ะ ฮะๆ”

“...!”

รูม่านตาบลังกาหดลง จากนั้นมองกัสสิมด้วยสายตาอ้อนวอน กัสสิมหลบตา

การกระทำของวูจินกลายเป็นข่าวทุกวัน

สำนักข่าวหลักๆของแต่ละประเทศติดตามวูจินและรายงานทุกการเคลื่อนไหวของเขา ความสนใจของทั้งโลกมุ่งไปที่วูจินแต่เพียงผู้เดียว

-ยังเคลียร์ดันเจี้ยนที่ใกล้เบรกอย่างต่อเนื่อง!

-การระเบิดกำลังจะเกิดขึ้นในหนึ่งชั่วโมง ปารีสถูกช่วยไว้ได้

-เวิล์ดทัวร์กู้โลก

-ปราการสุดท้ายของโลก คังวูจินผู้ปิดดันเจี้ยน!

ระหว่างวูจินกำลังเคลียร์ดันเจี้ยน มีคนผู้หนึ่งที่ทำงานหนักทุกวินาที เขาคือรองประธานกิลด์อลันดาล... ไม่ใช่สิ จุงมินชานเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว

-ญี่ปุ่นต้องการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

-เจ้าชายมาฮาดแห่งดูไบให้สัมภาษณ์ อลันดาลเป็นประเทศพี่น้องของเรา

-สหรัฐอเมริกากับจีนสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับอลันดาล อลันดาลตอกย้ำสถานะประเทศพันธมิตร

-ฮีโร่ของเดลี อลันดาล

-ฝรั่งเศสส่งทูตไปยังอลันดาล ขอความช่วยเหลือจากเกาหลี

คังวูจินและอลันดาล

เขากลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลกเมื่อครั้งที่เขากวาดล้างตะวันออกกลาง แต่ดูเหมือนข่าวของเขาจะมาถึงจุดรุ่งเรืองที่สุด

นี่ยิ่งเป็นเรื่องจริงสำหรับนักข่าวสงครามที่วูจินช่วยไว้ในตะวันออกกลาง มีนักข่าวเหล่านั้นเป็นหลัก พวกเขาทำให้วูจินกลายเป็นวีรบุรุษ มีกระทั่งบางกลุ่มยกย่องเขาเป็นพระเจ้า

ทั้งโลกมุ่งสนใจอลันดาล และประเทศที่ใกล้อลันดาลที่สุดคือเกาหลี

รากฐานของเกาหลีสั่นสะเทือน

ห้องประธานาธิบดีในชองวาแด

“เฮ้อ”

ประธานาธิบดีคิมบยองแมนถอนหายใจยาว

“เราจะทำสนธิสัญญาหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”

“ใช่ เราไม่มีทางเลือกแล้ว”

นายกรัฐมนตรีที่อยู่ตรงหน้าประธานาธิบดีส่ายศีรษะ

ทั้งโลกยอมรับอลันดาลในฐานะประเทศหนึ่งไปแล้ว สหรัฐอเมริกายิ่งพยายามแสดงออกว่าอลันดาลเป็นประเทศพันธมิตรที่สนิทสนม ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยเรื่องนี้ในการประชุมหลายครั้ง

ประเทศทุกประเทศกำลังแข่งขันกันยอมรับอลันดาลในฐานะประเทศหนึ่ง

ตอนนี้เกาหลีจะทำอะไรได้?

“ความเห็นของประชาชนว่ายังไง?”

“พวกเขามองว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันไปแล้ว”

“...”

พวกเขาจะยอมหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว อลันดาลกลายเป็นประเทศอิสระไปเรียบร้อย ถ้าพลเมืองเกาหลีถือว่าเรื่องนี้ตกลงกันไปแล้ว...

พวกเขาไม่มีทางหยุดยั้ง

“เริ่มทำประชามติ”

“ทราบแล้วครับ”

อลันดาลยิ่งใหญ่เกินเกาหลีจะกดไว้ได้

ถ้าพวกเขาควบคุมอลันดาลไม่ได้ พวกเขาก็ต้องเก็บอลันดาลไว้ใกล้ตัวที่สุดต่อให้เป็นในฐานะมิตรที่เสมอกันก็ตาม



สารบัญ                                           บทที่ 129


วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 127

บทที่ 127 - ผู้ปิดดันเจี้ยน (2)


“เดรด?”

วูจินขมวดคิ้ว

เขานึกไปถึงร่างยึกยือที่ลากตัวเองเข้ามาในอาณาเขตของเขา

“คิดจะขุดอุโมงค์มาที่นี่เหรอ?”

คิดถึงเวลาที่ต้องใช้ในการประสานกับดันเจี้ยน แปลว่าเดรดเริ่มเชื่อมต่อดันเจี้ยนเขากับโลกตั้งแต่ก่อนมาเยี่ยมอาณาเขตของวูจิน แต่วูจินรู้สึกไม่ดี

วูจินตัดสินใจเลือกจากหลายข้อๆที่มีให้

<คุณเลือกโหมดพิชิต>

<ถ้าคุณเคลียร์โหมดนี้ได้ คุณจะได้ค่าความสำเร็จ>

“ผมเป็นเราส์สายสนับสนุน จะร่ายคำอวยพรให้นะครับ”

บลังกาตั้งใจจะทำหน้าที่ของตัวเอง วูจินขมวดคิ้ว ถ้าเป็นสายสนับสนุนแบบเสริมความแข็งแกร่งก็ไม่เป็นไร แต่สายอวยพรไม่เข้ากับเขา นอกจากไม่เป็นผลดีแล้วยังส่งผลเสียกับเขาด้วย

“ฉันไม่ต้องใช้นาย ดูเฉยๆไม่ต้องทำอะไรก็พอ”

“ผมก็เป็นเราส์แรงค์ A ผมช่วยทีมได้...”

บลังการู้สึกเหมือนถูกละเลยเขาจึงท้วง แต่วูจินไปไกลแล้ว เบคจองโดส่ายศีรษะเมื่อเห็นบลังกาทำหน้าหดหู่

“ถ้าเขาบอกให้รอก็รอเถอะ”

บลังกาหันไปมองชายคนที่พูดกับเขาอย่างเป็นกันเองมาก

บลังกาเป็นเราส์แถวหน้าของกิลด์วิษณุ กิลด์นี้มีชื่อเสียงในอินเดียทีเดียว เพราะอย่างนี้เขาจึงพูดได้คล่องทั้งภาษาเกาหลี ญี่ปุ่นและจีน

เขาเป็นสายสนับสนุนไม่ใช่สายต่อสู้โดยตรง เขายังฉลาดมาก เขารู้จักเราส์ของเอเชียดี เขารู้จักว่าคนที่กำลังพูดด้วยคือใคร

ประธานกิลด์ KH เบคจองโด

บลังกาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเบคจองโดกับคังวูจินเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนกัน

“เราเข้าดันเจี้ยนเป็นทีม เราควรจะช่วยเขาไม่ใช่เหรอ?”

บลังกาตอบเบคจองโดด้วยภาษาเกาหลีไร้ที่ติ

“ทีมอะไร? เดี๋ยวไม่เกิน 5 นาทีเขาก็กลับมาแล้ว”

บลังกางงกับคำพูดของเบคจองโด

“ผมเข้าใจที่คังวูจินไม่อยากเปิดเผยวิธีสู้ของเขาเพราะผมเป็นคนนอก แต่ทำไมประธานเบคถึงได้ถูกทำแบบนี้ด้วย?”

คังวูจินโด่งดังอย่างรวดเร็วจนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา แต่ในข้อมูลน้อยนิดนี้คือนิสัยไม่เข้าสังคมระหว่างเข้าดันเจี้ยน ส่วนใหญ่เขาจะเคลียร์ดันเจี้ยนคนเดียว หรือถ้าเป็นทีมก็เฉพาะกับสมาชิกกิลด์ของเขา

เบคจองโดไม่มีทีท่าจะร่วมล่า ดูเหมือนเขาก็ถูกมองเป็นคนนอกเช่นกัน

เบคจองโดหัวเราะที่บลังกาเข้าใจผิด

“ไม่จำเป็นต้องไป เราช่วยอะไรไม่ได้มากแล้วจะไปทำไม?”

ถ้าเบคจองโดร่วมด้วยอาจจะลดเวลาเคลียร์ดันเจี้ยนสัก 10 วินาที? เขาจะลงแรงด้วยหรือไม่ก็แทบไม่มีผลอะไร

บลังกายังสับสน เบคจองโดเห็นแล้วถอนหายใจ

ตอนวูจินปิดดันเจี้ยน 5 แห่งในญี่ปุ่นกับจีน เราส์ทุกคนที่เข้าดันเจี้ยนด้วยก็มีท่าทางแบบเดียวกับบลังกา พวกเขาพยายามไขความลับของวูจิน สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร

ไม่ใช่ พวกเขาได้รู้หนึ่งอย่าง

‘เขากำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดเร็วมากและง่ายมาก’

เบคจองโดนั่งลงกับพื้น

“แค่อย่าลืมอัดวิดีโอไว้ให้หมดก็พอ”

บลังกาเข้ามาด้วยเพราะอยากเห็นวิธีเคลียร์ดันเจี้ยนของคังวูจิน เพราะเหตุนี้เขาจึงมีคำถามเต็มไปหมด

ไม่ว่าจะมีส่วนในการสู้หรือไม่เขาก็มีหน้าที่ต้องทำ แต่เบคจองโดเข้ามาทำไม?

“อ๊ะ ไม่ต้องมาสงสารฉัน ฉันแค่มาเล่น”

“...?”

“ปิกนิกไง ไม่รู้จักเหรอ?”

แน่นอน เขารู้จัก เขาแค่สงสัยว่าทำไมต้องมาปิกนิกในดันเจี้ยนที่ยังไม่ถูกพิชิต นี่ไม่ใช่ตามแม่ไปตลาด ทำไมเขาถึงเข้าดันเจี้ยนแบบนี้...

วิ้ง

ตอนนั้นเอง อุโมงค์แดงก็ก่อตัวขึ้นใกล้ๆจุดที่เบคจองโดนั่ง ความหมายของมันชัดเจน

มอนสเตอร์ในสถานีใต้ดินถูกจัดการหมดแล้ว

เวลาเพิ่งผ่านไป 4 นาที เบคจองโดยิ้มพลางมองสีหน้าเหลือเชื่อของบลังกา

“ทำไมทุกคนถึงทำท่าแบบเดียวกันหมดเลยนะ?”

ปฏิกิริยาเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นคนจากญี่ปุ่น จีนหรืออินเดีย

เบคจองโดยืนขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า

“ไปเถอะ ไหนดูสิว่าคราวนี้จะมีอะไร”

ไม่นานคังวูจินกับฮงซุงกูก็มาถึง ทั้งหมดผ่านอุโมงค์แดงเข้าไป

วิ้ง

เสียงอื้อในหูหายไป ภาพตรงหน้าพวกเขาเป็นชายหาดคลื่นลมสงบ คนแรกที่มีปฏิกิริยาคือซุงกู

“ว้าว! ที่นี่ยอดไปเลยนะครับลูกพี่”

หาดทรายสีขาวกับน้ำใส เทียบได้กับสถานที่ท่องเที่ยวบนโลก หาดทรายไร้ผู้คนแตะต้องจึงมีความสวยงามแบบไม่แปดเปื้อน

ซุงกูวิ่งฝ่าทราย เมื่อมอนสเตอร์ปูพุ่งมาเขาก็ส่งเสียงตะโกน

“ลูกพี่! มีปูด้วย กินปูต้มกันไหมครับ?”

บลังกาตะลึงกับเสียงหัวเราะร่าของซุงกู

มอนสเตอร์ตัวเล็กประมาณ 50 ซม. แต่ยังใหญ่เกินปูธรรมดามาก และก้ามปูของมันสามารถหักกระดูกคนได้ง่ายดาย

“อันตราย!”

มันเป็นมอนเตอร์ที่ไม่อาจจัดการได้ง่ายๆ

ซุงกูจุดไฟใส่มันตอนที่ปูกำลังตะกายออกจากทราย

“เฮะๆ สุกแล้ว”

ปูตายทันทีเพราะความร้อนสูง กระดองเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนสุกดีแล้ว ซุงกูชักดาบสั้นออกมา ถ้านึกถึงบรรดามอนสเตอร์ที่เขาต้องชำแหละมาก่อนเขาคงปวดหัว

เขามั่นใจว่าสามารถแล่เนื้อปูออกมาได้

“พวกมันเคลื่อนที่เป็นกลุ่ม! พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ”

เหมือนพิสูจน์ความกังวลของบลังกา หาดทรายขยับเมื่อพวกมอนสเตอร์ปูเริ่มคลานออกมา พวกมันมีจำนวนมากกว่า 100 ตัว

ถ้าถูกก้ามปูจับก็มีสิทธิ์แขนขาขาด จำนวนปูที่โผล่มาเทียบเท่ากับพวกราควิ กิลด์วิษณุพยายามจะพิชิตดันเจี้ยนนี้ครั้งหนึ่งและไม่เคยพยายามอีกเลยเพราะพวกมัน (TN-ราควิ มอนสเตอร์แมลงสาป โผล่มาตอน 21 ที่วูจินสั่งให้ซุงกูหาดันเจี้ยนที่มีมอนสเตอร์จำนวนมหาศาล)

มอนสเตอร์ที่มีพลังทำลายสูงปรากฏตัวพร้อมๆกันในปริมาณมาก ไม่มีทางที่ปาร์ตี้ 10 คนจะรับมือได้

ซุงกูเมื่อเห็นเหล่าปูที่หลบอยู่ในหาดทรายก็ผงะไป... ไม่ใช่สิ เขาตะโกนอย่างดีใจ

“ว้าว! ลูกพี่ ของกินเพียบเลย!”

“ทำให้สุกล่ะ ไว้กินอิ่มแล้วค่อยออกล่า”

วูจินน้ำลายสอเมื่อเห็นปู ตารางเวลาของพวกเขาแน่นเอี้ยดแต่ 4 ชั่วโมงในดันเจี้ยนเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงข้างนอก พวกเขาพอมีเวลาอยู่บ้าง วูจินดึงโต๊ะเก้าอี้ออกมาทันที

เขานั่งที่แล้วซื้อเบียร์สดจากร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ

“เย้ ฉันชอบแบบนี้ชะมัด”

เบคจองโดรับเหยือกไม้ขนาดเท่าศีรษะที่ใส่เบียร์ไว้เต็มมา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง แค่มองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้

“...ทำไมพวกคุณ... นี่ดันเจี้ยน 6 ดาวนะ”

“อา พูดเกาหลีได้คล่องดีนะนายคนต่างชาติ นั่งนี่สิ”

“...”

บลังกานั่งลงอึ้งๆ ไม่นานเขาก็เห็นเปลวไฟลุกผ่านหาดทราย

“กำแพงไฟมีประโยชน์ดีนี่”

“เฮะๆ ขอบคุณครับลูกพี่”

ซุงกูเกาต้นคออย่างเขินคำชมของวูจิน ซุงกูเลือกปูที่สุกดีแล้วมาแกะกระดองออก เขาขยับมืออย่างเชี่ยวชาญขณะคนอื่นๆดื่มเบียร์ บลังกาไม่สามารถคุ้นเคยกับภาพตรงหน้าได้

“ที่นี่เป็นดันเจี้ยนนะ”

“ฉันรู้”

“ทำไมพวกคุณไม่กลัวเลย?”

“เหตุผลที่พวกเราต้องกลัวล่ะ?”

“นั่น...”

ข้างในดันเจี้ยนมันอันตรายจึงควรระมัดระวังตัวไว้เสมอ นั่นคือสามัญสำนึกไม่ใช่เหรอ? แต่สถานการณ์ตอนนี้จะเรียกว่าอันตรายก็ไม่ได้...

“ฮ้า อร่อยกว่าปูหิมะอีกนะว่าไหม?”

เบคจองโดเป็นรุ่นหลานของตระกูลดังเขาจึงได้กินแต่ของดีๆ แต่เขาได้ลิ้มรสเครื่องดื่มปริศนาที่วูจินเอามา และได้กินเมนูมอนสเตอร์ในดันเจี้ยน เขาชอบมันมาก

วูจินมีความรู้เรื่องมอนสเตอร์กว้างขวาง ฝีมือทำอาหารก็ดี ยิ่งกว่านั้นสุราก็มีรสชาติไม่แพ้สุรายี่ห้อไหนในโลก

“เฮ้ เพื่อนชาวต่างชาติ อย่าเอาแต่ขมวดคิ้ว ทำตัวให้สนุกสิ”

ให้เขาทำตัวให้สนุกในดันเจี้ยน...

นี่คือการผจญภัยเพื่อปกป้องครอบครัวและประเทศชาติจริงๆเหรอ? มันควรจะเป็นการต่อสู้เสี่ยงชีวิตสิ?

“เราต้องมีแผนอื่นนะครับ ปัญหาเรื่องปูหมดไปแล้วแต่เวทไฟใช้ไม่ได้ผลในน้ำ”

มันเป็นอย่างที่บลังกาพูด

เดรดสร้างวังใต้น้ำ พวกเขาต้องสู้ในสภาวะพิเศษ การที่วังอยู่ใต้น้ำเป็นเหมือนบาเรียป้องกันคนบุกรุก นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทีมเราส์ของอินเดียเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ไม่ได้

“แมงกะพรุนเป็นร้อย ไม่สิ เป็นพันจะรุมล้อมพวกเรา การฝ่าพวกมันไปให้ถึงรีเทิร์นสโตนเป็นเรื่องยาก พิษอัมพาตของพวกมันรุนแรงจนยาแก้พิษส่วนใหญ่รักษาไม่ได้”

มีแต่บลังกาที่พูดอย่างจริงจัง วูจินลุกขึ้น เขากินขาปูไปหนึ่งข้างก็อิ่มแล้ว

“นายนั่งดื่มไปตามสบาย ร้อยถึงพัน... จำนวนกำลังดี”

เขาจะได้ล่ามอนสเตอร์จำนวนขนาดนี้อีกเมื่อไหร่?

“ถ้ามอนสเตอร์ทุกตัวอยู่แต่ในน้ำจะสบายขนาดไหนนะ”

น้ำเป็นบาเรียสำคัญที่ปกป้องพวกมันจากสิ่งมีชีวิตบนพื้นดิน แต่มันมีจุดอ่อนร้ายแรง

วูจินใช้ซากศพปูนับร้อยเป็นสื่อเรียกนักเวทโครงกระดูกออกมา จากนั้นเขาส่งนักเวทที่ใช้เวทพิษหรือสายฟ้าไม่ได้กลับไป

สุดท้ายมีนักเวทโครงกระดูก 20 ตัวข้างกายวูจิน

“เริ่มตกปลากันเลยไหม?”

วูจินเดินลงน้ำไปเรื่อยๆจนระดับน้ำถึงเอว

เมื่อมีผู้บุกรุก มอนสเตอร์ใต้น้ำหลายประเภทก็มุ่งตรงมาที่วูจิน ถึงจุดหนึ่งวูจินก็ใช้พอยซั่นโนวา

พิษผสมกับน้ำและทำลายสภาพแวดล้อมในทะเล วูจินส่งพลังเวทออกมาและพิษก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆและกระจายไกลออกไป

แมงกะพรุนที่ถูกพิษลอยขึ้นมายังผิวน้ำ วูจินกลับมาที่ชายหาด มอนสเตอร์จะมีกระดูกหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นศพเขาสามารถใช้เป็นสื่อกลางอัญเชิญ

วูจินใช้ศพปูปลาและแมงกะพรุนเรียกนักเวทโครงกระดูกเพิ่มอีก

เขาเลือกนักเวทโครงกระดูกที่ใช้สายฟ้ากับพิษได้เอาไว้ มี 500 ตัว

“ฆ่าแม่งเลย”

เคะๆๆ

นักเวทโครงกระดูกยิงสายฟ้าและพิษใส่ทะเล วูจินกลับไปนั่งที่ เบคจองโดยิ้มกว้าง

“น้องคังล่าสบายเลย ฮะๆ”

“อืม ก็เฉพาะตอนผมล่าพวกอ่อนแอเท่านั้น”

ถ้าเป็นการโจมตีหรือป้องกันมอนสเตอร์จำนวนมากๆ จะมีใครสู้วูจินได้? ถ้าในดันเจี้ยนมีมอนสเตอร์เป็นร้อยเป็นพัน นั่นจะกลายเป็นเขาได้เปรียบ กองทัพโครงกระดูกของเขาจะจัดการพวกมันเอง

ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นมอนสเตอร์แกร่งๆถึงจะจำนวนน้อยปรากฏในดันเจี้ยน กองทัพโครงกระดูกของเขาจะไร้ประโยชน์ แต่วูจินก็ยังมีอัศวินมรณะที่ทรงพลังและความสามารถด้านต่อสู้ของเขาเองก็ไม่แย่ด้วย

“ทีนี้ก็รอจนกว่าปลาหมึกนั่นจะไสหัวออกมา ระหว่างนั้นมาดื่มกันเถอะ”

“ฮ่าๆ ไม่เลว แต่นายหมายความว่ายังไงที่ว่าปลาหมึก?”

“เดี๋ยวก็เห็น”

นักเวทโครงกระดูกยิงกราดใส่ทะเล เมื่อเห็นปลาลอยขึ้นมาพวกเขาเสียดายที่ไม่ได้กินซาชิมิ ปลาถูกพิษพวกเขาจึงกินไม่ได้

พวกเขากินเนื้อปูหวานๆและรอให้เจ้าของดันเจี้ยนออกมา

ผ่านไปประมาณ 30 นาที

ศพมอนสเตอร์นับพันเกยตื้นหาดทราย เมื่อภาพหาดทรายสวยเปลี่ยนเป็นสยอง บอสก็ปรากฏตัว

ปลาหมึกแยกผิวน้ำออกมา นักเวทโครงกระดูกยิงเวทใส่มัน แต่บาเรียถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายดายและเวทไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆให้กับบอส

หนวดทั้ง 8 เดินเหนือน้ำ เมื่อมันมาถึงหาดทราย เดรดก็พูดอย่างโมโห

[ครืด เจ้าทำบ้าอะไร? นี่คือการประกาศสงครามใช่ไหม?]

[นายต่างหากที่หาเรื่อง ใครบอกให้นายเชื่อมต่อกับโลก?]

[ครืด ตลกนัก เจ้าอวดดีที่คิดว่าทั้งมิติโลกเป็นของเจ้า]

ไม่มีลอร์ดมิติคนไหนถือทั้งโลกเป็นอาณาเขตของตัวเอง แต่มนุษย์นามคังวูจินตรงหน้าเขาช่างกล้าทำแบบนั้น

[กล้ามากที่เลือกพิชิตอาณาเขตของข้า เจ้าต้องชดใช้ให้กับความโง่ของเจ้า]

เดรดยังเข้าใจได้ถ้านี่เป็นสงครามมิติที่วูจินสามารถใช้พลังของอาณาเขตตัวเอง แต่คังวูจินเข้ามาในดันเจี้ยนอย่างเย่อหยิ่งเพื่อพิชิตดันเจี้ยนของเขาด้วยทีมเล็กๆ วูจินท้าเดรดหลังจากเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก ‘ลอร์ด’ เป็น ‘นักผจญภัย’

เดรดสามารถใช้พลังทั้งหมดจากอาณาเขตของเขา ในขณะที่วูจินใช้ได้แต่ทักษะส่วนตัว

ถ้าวูจินใกล้ตายเมื่อไหร่ เขาจะขโมยอาณาเขตที่ไม่มีคนคุ้มครองของมัน

[ครืด ข้าจะแสดงพลังของเดรดให้เจ้าได้เห็น!]

หัวปลาหมึกเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนอวด จากนั้นเขาเริ่มรวบรวมเวทมนตร์จากรอบๆ วูจินยิ้ม

[คำพูดก่อนตายของนายเชยมาก]

เดรด

หนวดทั้ง 8 ของมันยืนอยู่บนกองซากศพ หมายความว่าอย่างไร?

มันจะรับพลังจากศพนับพันได้หรือไม่?

วูจินสะสมพลังเวทระหว่างรอเดรดจนเต็ม และเขาปล่อยพลังเวทออกมาในทีเดียว

“ศพระเบิด”

เวททั้งหมดถูกดึงออกไปจากร่างวูจิน



สารบัญ                                       บทที่ 128

...เละ คงไม่ได้กินหมึกผัดแล้ว