วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 126

บทที่ 126 – ผู้ปิดดันเจี้ยน

ห้องประชุมของกิลด์เซ็นเซย์

เมื่อมิโนทอร์ตาย ภาพก็ดับลง

ภาพเหตุการณ์ถูกบันทึกและฉายออกมาโดยหินอ่อนขนาดเท่ากำปั้นในมือของทากุจิ

มันไม่แพงขนาดอุโมงค์กลับ แต่เกือบครึ่งของราคานั้น มันคือหินสำหรับดูเหตุการณ์ย้อนหลังชื่อ ความทรงจำของฮาร์ริส ข้อมูลที่พวกเขาได้จากการใช้ไอเทมราคาแพงนี้น้อยมาก

“เฮ้อ”

ประธานกิลด์เซ็นเซย์ถอนหายใจทำลายความเงียบของห้องประชุม

“แค่นี้เรอะ?”

“...ครับ”

ทากุจิไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เขารู้สึกต้องรับผิดชอบเมื่อได้ยินคำพูดของประธาน ระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยนเขาทำอยู่ 3 อย่าง

มอง ชื่นชมแล้วบันทึกภาพ

ในสี่คน มีซุงกูกับวูจินที่สู้ เบคจองโดกับทากุจิตามหลังเหมือนมาทัศนศึกษา

ฮงซุงกูเองก็ไม่ใช่ส่วนสำคัญในการต่อสู้ขณะที่วูจินเป็นผู้นำ ไม่ใช่ อสูรของเขาต่างหากที่เป็นคนเปิดทาง พวกเขาแค่ขี่ม้าปีศาจตามหลัง

“ทำไมเขาเคลียร์ได้ง่ายนัก?”

“...ก็เห็นไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“ที่พูดก็เพราะขนาดเห็นกับตาแล้วผมยังไม่ค่อยอยากเชื่อไง”

“...”

เราส์เก่งๆของญี่ปุ่นมารวมทีมกันเพื่อพิชิตดันเจี้ยนนี้แล้ว 3 ครั้ง

พวกเขาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลหลังจากล้มเหลวไป 3 ครั้ง พวกเขาไม่เชื่อว่าจะพิชิตดันเจี้ยนนี้ได้จึงอพยพประชากรใกล้ๆออกไปแล้ว กองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นก็เตรียมตัวพร้อม

เมื่ออลันดาลขอส่วนแบ่ง 7:3 พวกเขาตกลงง่ายๆเพราะพวกเขาได้กำไร

ระเบิดเวลากลายเป็นขุมสมบัติ ต่อให้ได้ส่วนแบ่งแค่ 1 ส่วนก็ยังได้กำไร

แต่นั่นจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อพวกเขาเคลียร์ดันเจี้ยนที่ถูกเปลี่ยนเป็นเหมืองได้

พวกเขาให้ทากุจิเข้าไปเพื่อดูวิธีที่วูจินใช้เคลียร์ดันเจี้ยน

พวกเขาลงทุนเงินไปจำนวนมากเพื่อใช้ ความทรงจำของฮาริส บันทึกเหตุการณ์ระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยน

แต่มันมีปัญหา วูจินใช้วิธีง่ายๆแต่ทรงพลังมากในการเคลียร์ดันเจี้ยน นี่เป็นสไตล์ของวูจิน แล้วใครจะทำแบบเขาได้?

“ผมสงสัยว่าเราจะขุดเหมืองกันได้ไหม...”

โอกาสที่จะได้อาร์ติแฟคมีสูงเมื่อจำนวนครั้งที่เคลียร์ดันเจี้ยนต่ำ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องดันเจี้ยนเบรก ดังนั้นพวกเขาสามารถค่อยๆเคลียร์ดันเจี้ยนได้ พวกเขาจะได้อาร์ติแฟคมากมาย ปัญหาคือพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้

ช่างเป็นวิธีเคลียร์ดันเจี้ยนที่แปลกประหลาด...

“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ เราต้องลอง ตอนนี้คุณคังวูจินอยู่ไหนล่ะ?”

“เขาจัดการดันเจี้ยนที่ใกล้เบรกในโตเกียวเสร็จแล้วครับ ตอนนี้เขาไปที่จีน”

“ไปแล้ว?”

“ครับ”

“...”

ธุรกิจดันเจี้ยนในญี่ปุ่นพัฒนาไปมากเพราะมีสถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่ง

ถ้าเทียบจำนวนเราส์ในญี่ปุ่นกับที่อื่นๆในโลก จำนวนเราส์ในญี่ปุ่นถือว่าสูงมาก ญี่ปุ่นมีเราส์แรงค์ A มากกว่าเกาหลี 3 เท่า เราส์ที่เก่งที่สุดของพวกเขารวมทีมกันเพื่อจะพิชิตดันเจี้ยนนี้แต่ล้มเหลว วูจินกลับพิชิตได้ด้วยตัวคนเดียว

ยิ่งกว่านั้นเขายังทำเสร็จในเวลารวดเร็ว

“นี่มันไม่ขายหน้าไปหน่อยเหรอ? แบบนี้เท่ากับคนๆเดียวเก่งกว่าเราส์ทั้งประเทศ...”

คังวูจินทำสิ่งที่ทุกคนทำไม่ได้ เขายังแสดงความโหดร้ายตอนอยู่ตะวันออกกลางออกมาอย่างสบายและทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง

คนๆเดียวมีพลังที่เหนือกว่าประเทศส่วนมาก

มีเราส์นับไม่ถ้วนในโลกที่ถูกมองเป็นบุคคลพิเศษ แต่เราส์ระดับพิเศษอย่างวูจินไม่เคยมีมาก่อน

หนำซ้ำวูจินไม่ใช่คนญี่ปุ่น เขาเป็นคนเกาหลี...

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอิจฉาเกาหลี”

ถ้าเขาเป็นคนญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะกลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง...

“ผมคิดว่าเขาไม่ใช่คนเกาหลีแล้วนี่ครับ?”

“คุณหมายถึงอลันดาล? พวกเขาไม่ได้ทำข้อตกลงกันนี่ รัฐบาลเกาหลียังไม่ยอมรับเป็นประเทศ”

“ใครยอมรับใครกันแน่ครับ? ฝ่ายอ่อนแอกว่ายอมรับฝ่ายแข็งแรงกว่าเหรอ?”

ประธานเบิกตาโตกับคำพูดของพนักงาน

เป็นความคิดที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ ประเทศยอมให้กิลด์ๆเดียว? แต่นี่ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น นี่เป็นเรื่องที่ประชุมกันในรัฐสภาของเกาหลี

เรื่องแบบนี้เป็นไปได้อย่างไร?

ง่ายๆ อลันดาลมีอำนาจทำให้มันเกิดขึ้น

ระหว่างที่มีดันเจี้ยนอยู่ อลันดาลอาจเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งกว่าเกาหลี

“ถ้าเราทำดีๆ เราอาจเชิญอลันดาลมาที่ประเทศเราได้”

ตอนนี้สถานการณ์ของเกาหลีไม่สงบเพราะการสังหารคนรวยและนักการเมือง ถ้าเกาหลีปฏิเสธอลันดาล ญี่ปุ่นอาจดึงอลันดาลมาที่ประเทศพวกเขาได้

ถ้าคิดถึงความสามารถด้านการต่อสู้ของอลันดาลแล้วเทียบพวกเขากับอะไรสักอย่างก็คงเป็นร่ม ถ้าอลันดาลอยู่ฝ่ายญี่ปุ่น พวกเขาจะสามารถหลบฝนที่เรียกว่ามอนสเตอร์

“ผมต้องไปพบนายกฯ”

ตอนนี้กำไรของกิลด์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ นี่เป็นโอกาสดีของพวกเขาเพราะเกาหลีกับอลันดาลมีความสัมพันธ์ไม่แน่นอน

สวรรค์กำลังดูแลประเทศญี่ปุ่นของเรา นี่เป็นโอกาสที่ฟ้าประทานให้

***

หลังจากปิดดันเจี้ยนในโอซาก้ากับโตเกียว วูจินปิดอีก 3 ดันเจี้ยนในจีน เขาเคลียร์ดันเจี้ยนไป 5 แห่ง แต่ใช้เวลาไปแค่วันเดียว

“พวกจีนนี่ยุ่งยากจริงๆ”

พวกเขามีความเห็นเรื่องส่วนแบ่งจากดันเจี้ยนไม่ตรงกัน แต่วูจินตัดสินใจทำตามความเห็นของอีกฝ่าย เขาไม่หวังความพยายามในการแบ่งผลประโยชน์ให้ตรงกับที่ตกลงกันไว้

ดันเจี้ยนเหล่านี้ใกล้จะระเบิดเต็มที

ในนั้นอาจมีลอร์ดมิติอยู่ เป้าหมายของวูจินคือหยุดไม่ให้ลอร์ดมิติเชื่อมต่อกับโลก

ผลประโยชน์ที่ได้จากการปิดดันเจี้ยนเป็นแค่เรื่องรอง

“ไม่ต้องกังวลกับมันมาก ตอนนี้เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

“เฮ้อ ประธาน ขอบคุณที่ทำงานหนักครับ”

วูซุงฮุนบอกกับวูจินจากใจจริง

ตอนนี้ซุงฮุนพูดได้ 3 ภาษาแล้ว เขาเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นและจีน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาอาจได้รู้อีกอย่างน้อย 10 ภาษาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

‘แหม ไม่นึกเลยว่าจะได้เรียนภาษาอังกฤษด้วยการกินยา’

มีอาร์ติแฟคประหลาดมากมายออกมาจากดันเจี้ยน เขาเคยได้ยินเรื่องไอเทมที่แปลภาษาได้ แต่ไม่เคยนึกว่าจะได้เรียนภาษาเหมือนเรียนทักษะ

“เหลืออีกกี่ที่?”

“7 ที่ครับ”

“อืม ที่ต่อไปคือที่ไหนล่ะ?”

“เดลีครับ มีที่ดูไบหนึ่งที่แต่ที่ปารีสเร่งกว่า เพราะงั้นเส้นทางของพวกเราจะวกหน่อยนะครับ”

หลังจบดันเจี้ยนในเดลี อินเดีย ดันเจี้ยนที่ใกล้ที่สุดอยู่ในดูไบ แต่ยังมีเวลาอีกหน่อยก่อนดันเจี้ยนแห่งนั้นจะระเบิด พวกเขาจึงต้องเดินทางไปที่ปารีสซึ่งเหลือเวลาเพียงวันเดียวก่อนจะระเบิด ทหารที่นั่นถูกส่งมากำจัดมอนสเตอร์แล้ว

มันเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาจะดีใจมากถ้าคังวูจินมาถึงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“น้องคัง นายคิดยังไงกับข้อเสนอ?”

“หา? ข้อเสนออะไรครับ?”

เบคจองโดตอบอย่างกังวล

“ฉันพูดถึงที่ญี่ปุ่นกับจีนเสนอให้นายอพยพมาน่ะ”

“อ้อ นั่น...”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลญี่ปุ่นนั่งเครื่องบินมาหาคังวูจินที่จีน วูจินยังอยู่ระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยนแต่พวกเขามามอบแผ่นป้ายแสดงความขอบคุณและรางวัลมากมาย พวกเขายังยื่นข้อเสนอ

รัฐบาลญี่ปุ่นเต็มใจมอบที่ดินให้ พวกเขาอยากให้ประเทศอลันดาลย้ายมาที่ญี่ปุ่น

ไม่ใช่แค่นั้น ญี่ปุ่นเต็มใจเซ็นสัญญาที่เกาหลียืดเยื้อ และญี่ปุ่นจะถืออลันดาลเป็นประเทศที่มีฐานะเท่าเทียมกัน

“สำหรับนายญี่ปุ่นดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”

วูจินยิ้ม

“ผมจะไปทำไม?”

“หา? ว่าแล้วว่าน้องคังคงไม่อยากเข้ากับญี่ปุ่น”

เบคจองโดค่อนข้างแอนตี้ญี่ปุ่น เขาจึงดีใจ ไม่นานก็ถามอีกอย่างระมัดระวัง

“งั้นใจนายก็ไปทางจีน...”

สัญญาจากจีนพิเศษมาก

รัฐบาลจีนไม่ต้องมีการลงมติกับเรื่องนี้ ถ้าวูจินตกลง พวกเขาจะให้ที่ดินขนาดเป็นสองเท่าของเกาหลี พวกเขาจะยอมรับเขตแดนของอลันดาลและปฏิบัติต่ออลันดาลเหมือนประเทศๆหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์ชวนดึงดูดใจอีกมาก

“ผมก็ไม่ไปที่นั่นเหมือนกัน”

วูจินตอบอย่างไม่ลังเล ทำให้ดวงตาเบคจองโดเป็นประกาย

“สมเป็นน้องคัง ฉันไม่รู้เลยว่านายจะเป็นคนรักชาติ”

รักชาติ... ถ้าสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ยินจะว่ายังไงนะ?

วูจินยิ้มพลางพูด

“ผมไม่ได้รักชาติ แต่ย้ายไปมามันยุ่งยาก อีกอย่างสถานีโซลอยู่ในเกาหลี”

ถ้าเขาอยากได้ดันเจี้ยนอื่น เขาต้องมีชิ้นส่วนมิติ

ใช่ ถ้าเขามีดันเจี้ยนบนโลกหลายแห่งก็ไม่ต้องเดินทางโดยเครื่องบิน เขาจะไปยังที่ต่างๆได้อย่างอิสระโดยใช้ดันเจี้ยน แต่เขาไม่ควรใช้ชิ้นส่วนมิติไปกับเหตุผลสิ้นเปลืองแบบนั้น

“หา? สรุปว่าเพราะสถานีโซลเหรอ?”

“แน่นอน”

เบคจองโดคิดหนักก่อนถาม

“มีอะไรในสถานีทางออกที่ 1 เหรอ? อ๊ะ ถ้านายไม่อยากตอบก็ไม่ต้องนะ”

ทางออกที่ 1 คือที่ๆคังวูจินเข้าไปกับลีซังโฮ

ลักษณะพิเศษของดันเจี้ยนทำให้ไม่รู้ว่าลีซังโฮถูกฆ่าจริงหรือไม่ แต่คนเฝ้าทางออกที่ 1 เป็นคนของกิลด์ KH ในฐานะประธานกิลด์ เขารู้เรื่องที่คนเฝ้ารู้ 

ตอนนั้นเบคจองโดคิดว่าวูจินอยากจะยึดดันเจี้ยนที่เขาเคลียร์ไว้ใช้คนเดียว เขาไม่คิดมากเมื่อเราส์คนอื่นถูกห้ามไม่ให้เข้าดันเจี้ยน ตอนนี้มาคิดดูเขารู้สึกว่าวูจินจะปกป้องดันเจี้ยนนั้นมาก

มีอะไรพิเศษในดันเจี้ยนนั้นเหรอ?

“มันเป็นอาณาเขตมิติ”

วูจินตั้งใจจะเปิดเผยทั้งหมดเมื่อตัวแทนกิลด์ต่างๆมาประชุมกัน เขาไม่มีเหตุผลจะปิดเรื่องนี้ไว้ วูจินจึงบอกเบคจองโดทั้งหมด

เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมด เบคจองโดมีสีหน้าช็อกหน่อยๆ ตอนเปิดกล่องแพนโดร่ามันคือความรู้สึกแบบนี้? หรือต่างไป? เหมือนเขาเพิ่งได้เห็นตัวจริงของซานต้า เขาเหมือนเด็กที่เพิ่งรู้ว่าทารกมาจากไหน

เขาได้รู้ว่าดันเจี้ยนคือสัญญาณสิ้นโลก เหตุผลนี้ทำให้ช็อก

“น้องคัง นายรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”

“ไม่เลยครับ”

“อ่า ฉันไม่...”

นี่เป็นเรื่องใหญ่จนเขาพูดไม่ถูก

เรื่องแบบนี้ใครจะไปรู้?

พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจึงมีดันเจี้ยน ไม่รู้ว่ามอนสเตอร์มาจากไหน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็เกิดเราส์ขึ้นมา มีการค้นคว้าเรื่องนี้มากมาย แต่ไม่มีคำตอบนัก

แต่วูจินมีคำตอบให้กับปริศนาพวกนี้

“งั้นนายรู้ไหมว่าจะกำจัดดันเจี้ยนพวกนี้ไปแบบถาวรได้ยังไง?”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้”

วูจินจะไปรู้ทุกอย่างได้อย่างไร?

เบคจองโดเม้มปาก ถ้าจะช่วยโลก ก่อนอื่นต้องปิดดันเจี้ยนพวกนี้

“อ้อใช่ เคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านดันเจี้ยนชื่อ...”

“ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์หรือเปล่าครับ?”

ซุงกูที่ฟังอยู่ข้างๆพูดแทรก วูจินพยักหน้า

“ใช่”

“เฮะๆ ผมเคยเห็นเขาในทีวี ดังมากเลยครับ”

เขาก็สมควรมีชื่อเสียงจริงๆ วูจินอยากคุยกับท็อปเลอร์ถึงการวิจัยของเขา แค่การสันนิษฐานหรือการคาดเดาก็ได้

วูจินสามารถพิสูจน์ได้ว่าสมมุติฐานเขาถูกหรือไม่

“เขาคนที่ไหนนะ?”

“คนอังกฤษครับ”

“มีดันเจี้ยนในอังกฤษที่เราต้องแวะหรือเปล่า?”

“อืม ไม่มีครับ”

โชคไม่ดี ตารางเดินทางไม่มีประเทศอังกฤษเป็นเป้าหมาย วูจินบอกซุงฮุน

“เชิญเขาที บอกว่าฉันอยากเจอ”

“ได้ครับ”

การพบปะกันต้องเป็นครั้งหน้า

วูจินมีธุระด่วนคือปิดดันเจี้ยนที่ใกล้จะระเบิด เขาต้องทำให้เสร็จก่อนช่วงคุ้มครองอาณาเขตมิติจะหมด

สถานีรถไฟใต้ดินของเดลี

ที่นี่สถานีรถไฟส่วนใหญ่อยู่บนดิน มีสถานีรถไฟใต้ดินน้อยมาก จำนวนดันเจี้ยนเทียบกับจำนวนประชากรแล้วน้อย อินเดียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการจัดการกับดันเจี้ยนเบรกที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง

ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากจำนวนประชากรสูงมากจึงมีเราส์แรงค์สูงท่วมท้น นี่หมายถึงดันเจี้ยนที่ถูกขอให้มาช่วยเคลียร์ต้องยากมากจนเราส์ของอินเดียเคลียร์ไม่ได้

ความยากของดันเจี้ยนหมายถึงพลังงานดันเจี้ยนสูงมาก

‘เป็นไปได้ว่าที่นี่จะเป็นอาณาเขตมิติ’

ด้วยมีเวลาไม่มาก วูจิน ซุงกูและเบคจองโดจึงขี่ม้าปีศาจไปยังดันเจี้ยนเป้าหมาย

บลังกาจากกิลด์วิษณุกำลังรอพวกเขาอยู่ที่สถานี เขาเข้าดันเจี้ยนไปด้วยทันที

<คุณได้เข้าสู่ชายหาดของเดรด>

อย่างที่คาด ในนี้มีลอร์ดมิติ วูจินเอียงคออย่างงงเมื่อได้ยินชื่อคุ้นเคยของดันเจี้ยน

“เอ๋?” 




                                 สารบัญ                                                รอใส่บทที่ 127

ได้เวลากินผัดปลาหมึก :3

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 125

บทที่ 125 – ลิช เจนิส (3)


สถานีรถไฟที่ต้องเคลียร์คือสถานีนัมบะ

วูซุงฮุนตีหน้าเข้มพูดกดดันคนจากกิลด์เซ็นเซย์ด้วยภาษาญี่ปุ่นชัดเจน

[นี่มันเรื่องอะไรกัน? เรามาช่วยพวกคุณแต่คุณอยากเข้าดันเจี้ยนด้วย!]

[ใจเย็นก่อนครับ นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงไม่ใช่เหรอ? เราจำเป็นต้องรู้ว่าคุณเคลียร์ดันเจี้ยนยังไง ไม่อย่างนั้นต่อไปเราจะเก็บบลัดสโตนได้ยังไง?]

คำขอของกิลด์เซ็นเซย์มีเหตุผล พวกวูจินตั้งใจจะเคลียร์ดันเจี้ยนรอบโลกจึงต้องเคลียร์ให้เร็วที่สุด จะไปมีเวลาเขียนคู่มือเคลียร์ดันเจี้ยนได้เหรอ?

“เฮ้อ เหมือนช่วยคนกำลังจมน้ำแล้วโดนคนขโมยของเลย”

“อะไรนะ?”

คนฟังหน้าตึงเมื่อได้ยินที่ซุงฮุนพูดกับตัวเอง

สุดท้ายก็ตัดสินใจกันไม่ได้ พวกเขาจึงถามวูจิน

“คุณจะทำยังไงครับ?”

“คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

วูจินถามคนจากกิลด์เซ็นเซย์

“ผมรู้ว่าธุรกิจดันเจี้ยนมันดี แต่ช่วยโลกก่อนดีไหม”

“คุณได้รางวัลจากการเคลียร์ดันเจี้ยนจากรัฐบาลญี่ปุ่นใช่ไหม? เรากำลังคุยเรื่องข้อตกลงทางธุรกิจ คนที่เสนอเรื่องนี้คืออลันดาลนะครับ”

“หา?”

วูจินถามซุงฮุน

“ใครรับผิดชอบเรื่องประสานงานกับจัดตารางเวลา?”

“กรรมการคิมเฮมินครับ”

วูจินพูดกับคนจากกิลด์เซ็นเซย์

“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมที”

“เราตกลงกันว่าสมาชิกคนหนึ่งของกิลด์เราจะได้สังเกตการณ์คุณระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยน ไอเทมกับบลัดสโตนทั้งหมดที่ได้จากการเคลียร์ครั้งแรกเป็นของอลันดาล หลังจากนั้นจะแบ่งกัน 7:3”

วูจินหันไปมองซุงฮุน ซุงกูกับเบคจองโด

เป็นสัญญาที่ดีทีเดียว หลังจากเคลียร์ครั้งแรก กิลด์เซ็นเซย์จะรับหน้าที่ขุดบลัดสโตนเรื่อยๆและเขาจะได้ส่วนแบ่งด้วย

“ก็ดี ได้ 30% ก็โอเค”

“อลันดาลได้ 70% ครับ...”

“...?”

วูจินมีสีหน้าสับสน คนจากกิลด์เซ็นเซย์เลยเอาสัญญาออกมา

ในสัญญาเขียนความเป็นไปได้ไว้หลายข้อ เราส์หนึ่งคนจากฝ่ายญี่ปุ่นต้องร่วมกับปาร์ตี้เคลียร์ดันเจี้ยน และสิทธิ์ในการใช้ดันเจี้ยนจะส่งผ่านไปยังกิลด์เซ็นเซย์

กำไร 70% มอบให้อลันดาล...

‘เจ้าบ้านั่นโหดน่าดู’

อาจเพราะเฮมินตรากตรำอยู่ด้านล่างมานาน เขาจึงเขียนสัญญาอันโหดร้ายขึ้นมาได้ ฝ่ายกิลด์เซ็นเซย์ ถ้าวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้พวกเขาก็ไม่เสียอะไร ถ้าวูจินเคลียร์ได้ พวกเขาก็เหมือนได้ดันเจี้ยน 6 ดาวมาฟรีๆ แม้จะได้ส่วนแบ่งแค่ 30% ก็ไม่เสียหาย

‘ฉันชอบแฮะ’

วูจินชมคิมเฮมินในใจ

“งั้นบอกให้ทุกคนเตรียมตัวได้แล้ว”

“เราพร้อมแล้วครับ”

ทากุจิเดินออกมาจากด้านหลังพนักงานกิลด์ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เหตุผลที่ทากุจิมาต้อนรับกลุ่มวูจินแต่แรกก็เพราะเขาเป็นเราส์แรงค์ A อย่างน้อยก็ไม่เป็นตัวถ่วง

“ตกลงมีพวกเรา 4 คนใช่ไหม?”

กลุ่มประกอบด้วย วูจิน ซุงกู เบคจองโดและทากุจิ

“ไปกันเถอะ”

วูจินลงบันไดสถานีโดยไม่ลังเล ซุงกูคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดีอยู่แล้วจึงตามไปทันที เบคจองโดเข้าดันเจี้ยนไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ทากุจิเข้าไปเป็นคนสุดท้ายด้วยความกังวล

‘เขาจะเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยคนแค่นี้จริงๆน่ะ?’

ทากุจิรู้ว่าวูจินเคยเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวคนเดียวมาก่อน แต่เขารู้ว่าจะเชื่อข่าวนี้ได้หรือไม่ ถ้าวูจินพลาดเขาก็ตายด้วย

‘นี่ไม่ใช่ดันเจี้ยน 6 ดาวธรรมดา’

ถ้าดูตามตัวเลขค่าพลังงาน ดันเจี้ยนนี้สูงกว่า 6 ดาว

ถ้าเป็นดันเจี้ยน 6 ดาวธรรมดา ดันเจี้ยนคงถูกทีมเราส์ของญี่ปุ่นพิชิตไปแล้ว เราส์ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นมารวมตัวกันเป็นทีมแต่ก็ยังล้มเหลว 3 ครั้ง หลังจากล้มเหลว ทุกคนแค่รอให้เกิดดันเจี้ยนเบรก

ทากุจิร่วมทีม 2 ครั้ง เขาจึงรู้ดีถึงความยากของดันเจี้ยนนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่อาจใช้อุโมงค์ย้อนกลับ ถ้าเคลียร์ดันเจี้ยนไม่ได้พวกเขาจะตาย

ทากุจิรู้สึกคาดหวัง แต่ก็รู้สึกกังวลด้วย

บาเรียก่อตัวขึ้นหลังจากเขาเข้าดันเจี้ยนไป

[เริ่มแรก พวกมนุษย์หมาป่า... เอ๊ะ?]

ทากุจิเข้าดันเจี้ยนนี้ 2 ครั้งแล้ว เขาจึงคิดจะแนะนำคนอื่น เพิ่งจะเริ่มอธิบายเขาก็ลืมตาโต

เปรี๊ยะๆ

เถ้าถ่านและไฟคงเหลือตามที่ต่างๆในสถานี

สิ่งที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านก็คือศพมนุษย์หมาป่านั่นเอง

[ข...เขาไปไหนแล้วครับ?]

“ผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น”

เบคจองโดเป็นคนเดียวที่รั้งท้ายอยู่กับทากุจิ เขายื่นดาบสั้นให้ ทากุจิรับมางงๆ

“เขาบอกให้ตามมาแล้วเก็บบลัดสโตนไปด้วย”

มนุษย์หมาป่าโจมตีทันทีที่พวกเขาเข้าดันเจี้ยน และถูกฆ่าในวินาทีเดียว เบคจองโดประหลาดใจมาก

ฉายาคุณชายไฟฮงซุงกูไม่ได้มีไว้เปล่าๆ คังวูจินเป็นภูเขาใหญ่และฮงซุงกูได้รับความสนใจเพราะเป็นคนข้างกายเขา แต่ฮงซุงกูมีพลังโจมตียอดเยี่ยมและถือเป็นมหาอำนาจคนหนึ่ง

ทางที่ฮงซุงกูวิ่งไปกลายเป็นเปลวไฟ และวูจินเรียกอัศวินมรณะออกมา พวกเขากวาดล้างดันเจี้ยน

พวกเขาเดินหน้าไปโดยไม่มีความระมัดระวัง นี่ไม่ใช่การล่า เหมือนการวิ่งแข่งกันมากกว่า

“พี่เบค ค่อยๆเก็บบลัดสโตนไปแล้วตามผมมานะ”

คังวูจินพูดประโยคนี้เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของเขาแล้ว วูจินลงไปชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว

[อะไรกัน]

ทากุจิก็ตกใจ โชคดีแม้เขาพูดภาษาเกาหลีไม่คล่องแต่ฟังเข้าใจ เขาทำตามเบคจองโด พวกเขาผ่าหน้าอกมนุษย์หมาป่าเอาบลัดสโตนออกมา แต่ไม่นานก็ต้องหยุดมือ

มีเสียงฝีเท้ารีบร้อน วูจิน ซุงกูและพวกทหารผีดิบกำลังกลับขึ้นมา

“กลับกันเถอะ”

ทากุจิยืดหลังแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม เขาอดร้องออกมาด้วยความทึ่งไม่ได้

[เป็นไปไม่ได้ เพิ่งจะ 5 นาที 5 นาทีนะ]

5 นาทีนับจากพวกเขาเข้าดันเจี้ยนมา มอนสเตอร์พื้นฐานถูกฆ่าจนหมด หลักฐานคืออุโมงค์สีแดงที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา

“ระวังตัวด้วย พวกนายต้องรักษาชีวิตตัวเองตอนตามฉัน”

วูจินเตือนสมาชิกกลุ่มแล้วผ่านอุโมงค์แดงไปเป็นคนแรก

หลังผ่านอุโมงค์เข้ามา สิ่งแรกที่ทักทายพวกเขาคือไอร้อน อากาศปนควันร้อนเข้าไปในปอดจนเจ็บ

“มันคือภูเขาไฟ”

ลาวาไหล พ่นแก๊สออกมา

มีหุบเขาเป็นลาวาร้อนหลายลูก หินก้อนใหญ่เป็นร้อยๆเหมือนเกาะ ทั้งกลุ่มกำลังยืนบนเกาะหินแห่งหนึ่งสูงประมาณ 10 เมตร

ลาวาเดือดอยู่ด้านล่างและแสงสีเขียวจากหินรีเทิร์นสโตนอยู่ห่างไปมาก

[ถ้ากำจัดปลาบินลาวาได้เกาะจะเคลื่อนไปประกบกับเกาะอื่น นี่เป็นวิธีหลุดจากเขตลาวานี้ครับ]

วูจินส่ายหน้า

[ช้าเกินไป บินกันเถอะ]

วูจินเรียกชิงชิงออกมา อัศวินมรณะ 2 นายถูกเรียกออกมาและพวกเขาเรียกม้าปีศาจของตัวเองออกมา

[แต่เราเดินทางกลางอากาศไม่ได้นะครับ]

[ทำไมล่ะ?]

[ถ้ามีคนพ้นจากเกาะไปถึงตรงส่วนหนึ่ง มันจะระเบิด]

วูจินหรี่ตามองท้องฟ้าตอนที่ฟังคำอธิบายของทากุจิ

“ซุงกู”

“ครับลูกพี่”

“มียุงลูกระเบิดบนฟ้า พวกมันเข้ามาใกล้ลาวาไม่ได้”

“อ้อ! ให้ผมโยนลาวาใส่พวกมันไหม?”

“ไม่ล่ะ ยุ่งยากเกินไป”

วูจินเรียกโดลเซออกมา โดลเซหล่นลงไปในลาวา ไม่นานยักษ์ไฟก็ปรากฏตัวขึ้น

[โอ!]

เมื่อมันขยับตัวไฟก็ลุกโพลง มันคือโกเลมไฟ

ยุงลูกระเบิดหลบร่างยักษ์ของโดลเซอย่างรวดเร็ว

“ขึ้นมา ตามเขาไป”

วูจินขี่ชิงชิง ซุงกูนั่งข้างหลัง เบคจองโดกับทากุจิได้ประสบการณ์แปลกใหม่ของการซ้อนท้ายอัศวินมรณะ ม้าปีศาจไต่อากาศและตามติดหลังโกเลมไฟ

[ฮ้า ง่ายไปแล้ว...]

ทากุจิส่งเสียงหดหู่ มีปลาบินลาวาและปลาโลมาลาวากระโจนออกมาโจมตี พวกมันเป็นมอนสเตอร์ธาตุไฟและใช้ความร้อนของร่างกายมันเป็นอาวุธ พวกมันต้องเข้าใกล้เป้าหมายถึงจะทำอันตรายได้ พวกวูจินจึงปลอดภัย

และมียุงลูกระเบิดอยู่กลางอากาศ... ทากุจิได้รู้ว่ามียุงระเบิดเพราะวูจินบอก ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่ามีการตั้งระบบบางอย่างทำให้เกิดการระเบิด

‘เขาเป็นคนน่าทึ่ง’

ทากุจิประทับใจวูจินตรงความรู้และวิธีแก้ปัญหาของเขามากกว่ากองทัพผีดิบหรือพลังต่อสู้ เขารู้สิ่งที่คนในโลกนี้ยังไม่รู้

วูจินอธิบายพลางทำไม้ทำมือกับซุงกูที่นั่งด้านหลัง

ทากุจิเข้าใจภาษาเกาหลีอยู่บ้าง เขาไม่เข้าใจทุกคำแต่รู้ว่าวูจินกำลังพูดถึงข้อมูลสำคัญบางอย่างของดันเจี้ยนนี้

“คุณวูจินรู้เรื่องพวกนี้จากที่ไหนครับ?”

“หา? นายพูดเกาหลีได้ด้วยเหรอ?”

“น้อยมากๆครับ”

วูจินยิ้ม

“จะใครล่ะ? ฉันเรียนมาจากครู”

“อา”

ใครเป็นครูที่สั่งสอนคังวูจินนะ? ทากุจิได้แต่คิดอย่างนับถือ

ซุงกูถามด้วยตาเป็นประกาย

“ลูกพี่มีครูด้วยเหรอครับ?”

“แน่สิ...”

“ว้าว... ตอนลูกพี่ถูกอัญเชิญไปที่อัลเฟน ลูกพี่เรียนเวทย์มนตร์จากครูคนนั้นเหรอครับ?”

วูจินยิ้มแล้วส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่ อันนั้นฉันฝึกเอาเอง”

พลังเวทย์ของวูจินมาจากความรู้จากการเล่นเกมของเขา เขาไม่ได้รู้จักพวกมันทุกอย่างแต่เขาเรียนทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จากนั้นเขาเริ่มใช้เวทย์มนตร์และในที่สุดก็บังคับเหล่าผีดิบได้

“เห ถ้าไม่ได้เรียนเวทย์มนตร์มาจากเขา หรือว่าลูกพี่เรียนศิลปะการต่อสู้?”

การเคลื่อนไหวและการใช้อาวุธของวูจินดูช่ำชองมาก ทักษะด้านกายภาพของเขาสูงจนอาจถูกเข้าใจผิดได้ว่าเป็นเราส์สายกายภาพ

“เปล่า”

ศิลปะการต่อสู้นี่เขาเรียนตอนกลับมาที่โลก เขาถูกลดเลเวลเป็น 1 และได้ทักษะพวกนี้มาจากอาชีพที่สอง

“เอ๋? งั้นลูกพี่เรียนอะไรมาครับ?”

“เอาตัวรอด”

“อา...”

ซุงกูพยักหน้าอย่างเข้าใจ วูจินยังพูดไม่จบ เขาพูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง

“ความบ้าคลั่งกับความโหดร้าย”

“...!”

ทำไมต้องเรียนของพวกนี้ด้วย?

“ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว”

“...”

“ความกลัวที่ท่วมท้น”

“เฮือก”

วูจินปล่อยจิตสังหารออกมาโดยไม่ตั้งใจและทำให้ซุงกูกลัว วูจินมารู้ตัวทีหลังและสลายจิตสังหารไป

“อื้ม ฉันเรียนพวกนั้นแหละ”

“โอ ฟังแล้วเหมือนเขาเป็นคนที่สุดยอดมากเลยครับ”

“สุดยอดจริงๆ”

“แล้วครูลูกพี่ยังอยู่ที่โลกอัลเฟนเหรอครับ?”

“ไม่ เขาตายแล้ว”

ซุงกูรู้ตัวว่าพลาดไป

“อา ขอโทษครับ...ผมไม่ควรพูด...”

“ไม่เป็นไร ตอนฉันเจอเขา เขาก็ตายอยู่แล้ว”

“อะไรนะ?”

ลูกพี่พูดอะไรเนี่ย? วูจินกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางสับสนของซุงกู

“เดี๋ยวนายก็ได้เจอ”

เขาเคยเป็นนักปราชญ์และจอมเวทย์ของโลกอัลเฟน

เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นลิชด้วยความตั้งใจของตัวเองและสู้กับทราห์เน็ตมา 200 ปี ในบรรดาอสูรของวูจิน เขาเป็นคนสำคัญมาก วูจินจะได้เจอเขาอีกครั้งในอีกไม่นาน

“เขาถนัดด้านเวทย์ไฟ นายควรเรียนจากเขา”

“...จะดีเหรอครับ?”

เท่านี้ซุงกูก็รู้สึกเหมือนปัสสาวะจะราดแล้ว เขาคิดว่าตัวเองชินกับสไตล์การสอนของวูจินแล้ว แต่วูจินมาพูดถึงครูสุดโหดอีกคน...

“ฉันรับรองกับนายได้อย่าง”

“อ...อะไรครับ?”

“มันจะได้ผลสองแบบ”

วูจินเหลียวกลับไปมองซุงกู เขาหัวเราะพลางมองซุงกูที่กำลังทำคอหด

ครูเกลียดคนขี้ขลาดแบบนี้ที่สุด แต่ครูเก่งเรื่องเปลี่ยนนิสัยคน

“ไม่นายเป็นนักเวทย์ไฟที่เก่งที่สุดในโลกก็ตาย”

“...”

ผลลัพธ์มันไม่สุดโต่งไปหน่อยเหรอ?

ซุงกูกลืนน้ำลาย




สารบัญ                                                  บทที่ 126

รุ่นพี่ไซโคว่าที่รุ่นน้อง :3


วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 124

บทที่ 124 – ลิช เจนิส (2)


สองคนนั่งคนละฝั่งของโต๊ะเป็นนานโดยไม่มีการพูดกัน

กาแฟที่เลขานำมาเสิร์ฟถูกทิ้งไว้นานจนไม่มีไอร้อน สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนพูดขึ้นก่อน

“คุณรู้เรื่องสภาพร่างกายของคุณคังโซอาหรือเปล่าคะ?”

“ฉันพอเดาได้”

“...”

เกิดความเงียบอีกครั้งเมื่อเมโลดี้หาคำที่จะพูด

โซอา เป็นคนในครอบครัวของเขา...

“คิดจะทำอย่างไรหรือคะ?”

“ฉันจะทำอะไรได้?”

“...”

เธอเป็นน้องสาว

ถ้าทำได้เขาก็ช่วยเธอไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะรักษาได้ สิ่งเดียวที่วูจินทำให้โซอาได้คือภาวนา

“ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นใครลงมา... เดาไม่ออกเลยค่ะ”

“ฉันไม่เป็นไร”

“...”

“โซอาต่างหากที่กำลังทรมานอยู่”

“...”

วูจินแค่รู้สึกขม เขาบอกไม่ได้ว่าเจ็บปวดหัวใจหรือไม่ เขาแค่รู้สึกเสียดาย...

แม่คงกำลังลำบาก

โซอาก็กำลังลำบาก

“ขอโทษนะคะที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก”

เมโลดี้รู้ดีกว่าใครถึงความเจ็บปวดของโซอา และเธอก็รู้ว่าต่อไปโซอาจะเจอกับทางเลือกใด สมัยยังเด็กเธอก็ผ่านมาเช่นกัน

โซอาเป็นเมล็ดพันธุ์ของเทพเจ้า

เธอไม่รู้ว่าเป็นเทพองค์ใด แต่เมื่อโซอาได้ยินเสียงของเทพเธอจะตื่นขึ้นในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์

ในใจวูจินมีอารมณ์หลายๆอย่างปนกัน แต่เขารู้สึกสงบ นี่ทำให้เขาประหลาดใจ หรือว่าเขากำลังถอยห่างจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว...

“คุณจะคุยเรื่องอะไรคะ?”

สีหน้าวูจินเครียดจนเมโลดี้ต้องถามอย่างระวัง

“อ้อ ฉันอยากให้เธอโทรหาคนที่อเมริกาให้กดดันรัฐบาลเกาหลีสักหน่อย”

“คะ?”

“ฉันตั้งอลันดาลขึ้นมา แต่พวกนี้ไม่ยอมรับ เธอว่าฉันจะรู้สึกยังไง?”

เมโลดี้มีดวงตาหวาดกลัวเหมือนกระต่าย เธอคุกเข่าลง

“ท่านผู้ไม่ตาย ได้โปรดข่มกลั้นอารมณ์...”

“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเอะอะก็คุกเข่า?”

“ขออภัยค่ะ”

วูจินขมวดคิ้ว เขากำลังสับสนว่าตัวเองอยู่ในฐานะไหนกันแน่ และสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำกับเขาเหมือนเป็นเทพเจ้าก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย...

“ฉันไม่ได้หมายความว่าประเทศเราต้องไม่เกี่ยวกัน ฉันแค่อยากได้อิสระ แต่เกาหลีเอาแต่จะผูกมัดฉัน”

เมโลดี้เข้าใจที่วูจินพูด

“เหมือนจักรวรรดิอุรุฮาสินะคะ”

“อืม คล้ายกัน”

จักรวรรดิอุรุฮาพยายามจะยกบรรดาศักดิ์ดยุคให้ผู้ไม่ตาย กระทั่งจะยกเจ้าหญิงให้ จักรวรรดิ์ที่โชคร้ายนั้นถูกทำลายในที่สุด

“ฉันจะทำให้พวกเขาไม่รบกวนคุณอีกต่อไปค่ะ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เม้มปาก

“ดี ฉันจะมาหาเธอในอีก 3 วัน”

เขามีช่วงคุ้มครอง 12 วัน เขาต้องกลับอาณาเขตมิติในอีก 3 วันตามเวลาโลก กิลด์อลันดาลก็ยุ่งพอแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็มีงานยุ่งเช่นกัน วูจินคิดจะเคลียร์ดันเจี้ยนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“สามวัน...”

เมโลดี้ทวนคำเบาๆ

เธอมีเวลาสามวันสำหรับทำให้โลกยอมรับอลันดาลในฐานะประเทศหนึ่ง ถ้าทำไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าผู้ไม่ตายจะทำอะไร

ทั้งเมโลดี้และวูจินรู้สึกเวลานับถอยหลัง 3 วันได้เริ่มขึ้น และสำหรับทั้งสอง น้ำหนักของ 3 วันนี้ไม่เท่ากัน

***

วูจินมาพบกับคนที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นที่สนามบินอีกครั้ง

“น้องชายคัง!”

“พี่เบค!”

เบคจองโดยิ้มกว้างเมื่อเห็นคังวูจินยกมือทักทายเขา รู้สึกเหมือนดาราดังจำเขาได้

“ฮ่าๆ ได้เจอกันอีกครั้งแบบนี้ ยอดๆ”

“ผมขอติดหนี้พี่สักหน่อยนะ”

“หา? ไม่ถือเป็นหนี้อะไรหรอก ฉันต้องช่วยนายอยู่แล้ว!”

พอเบคจองโดได้ยินว่าอลันดาลขอใช้เครื่องบินส่วนตัว เขาก็มาที่นี่ทันที ดวงตาเขาเป็นประกายเมื่อมองฮงซุงกูที่ยืนข้างวูจิน

“งั้นคนนี้ก็คือคุณชายไฟซุงกู?”

“...ชื่อสุดเลี่ยนนี่มันอะไร?”

“ดังไม่เบาเลยนะในเน็ต ฮ่าๆ มาถ่ายรูปกันก่อนขึ้นเครื่องเถอะ”

เบคจองโดคล้องแขนรอบคอฮงซุงกูแล้วถ่ายรูปเซลฟี่ โดยมีสีหน้าท้อใจของคังวูจินเป็นฉากหลัง

“โฮ่ๆ แจ็คพ็อต ได้ล้านวิวแน่ๆไม่มีปัญหา”

“เฮะๆ ผมจะช่วยเต็มที่ครับ ประธานเบค”

“ฮ่าๆ ได้คุณชายไฟช่วย 10 ล้านวิวก็ยังไหวนะ?”

“เฮะๆ ผมก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง”

พวกเขาสนิทกันทันที เหมือนได้เจอคนคอเดียวกัน วูจินมองแล้วส่ายหน้าจากนั้นก็ขึ้นเครื่องบิน

เบคจองโดกับเลขาส่วนตัวของเขา กรรมการจุงชานซุงขึ้นเครื่องบิน ด้านอลันดาลมีคังวูจิน ฮงซุงกูกับหัวหน้าเลขานุการวูซุงฮุน

“เราจะไปที่ไหนก่อน?”

“ญี่ปุ่นครับ”

ซุงฮุนวางแท็บเล็ตตรงหน้าวูจิน หน้าจอฉายรูปแผนที่โลก มีจุดสีแดงกระจายไปทั่ว

“มีทั้งหมดกี่ที่?”

“32 ที่ครับ เราได้คำขอร้องให้เคลียร์มา 12 ที่”

วูจินขมวดคิ้ว

“ทำไมน้อยนัก?”

“ยังมีเวลาเหลือ พวกเขาเลยอยากจัดการด้วยตัวเอง”

คำขอ 12 คำขอมาจากที่ๆดันเจี้ยนใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว ตารางเวลาเรียงตามดันเจี้ยนที่ใกล้จะระเบิดที่สุด

“งั้นจุดสีน้ำเงินหมายถึงยังไม่มีคำขอเหรอ?”

วูจินขยายแผนที่ญี่ปุ่น มีจุดแดง 2 จุดและจุดน้ำเงิน 4 จุด

เพราะที่นั่นมีสถานีรถไฟใต้ดินจำนวนมากจึงมีดันเจี้ยนที่ยังพิชิตไม่ได้ 6 แห่ง หนึ่งในนั้น 2 แห่งกำลังจะระเบิด

ที่หนึ่งอยู่ในโอซาก้า อีกที่อยู่ในโตเกียว

“พวกเขาเห็นแล้วว่าโซลโกลาหลกันแค่ไหน ยังอยากจะจัดการเองอีก? ต่อให้เราส์ระดับท็อปจากทั่วโลกมารวมกันยังไม่พอเลยมั้ง”

“...”

วูซุงฮุนไม่รู้จะตอบอย่างไร เบคจองโดกับฮงซุงกูที่กำลังคุยกันลั่นเงียบลงแล้วมองวูจิน เบคจองโดถาม

“แฮ่ม มีอะไรเหรอน้องคัง?”

“เปล่า ผมแค่เห็นว่ามันตลกดี”

“ตรงไหนเหรอ?”

“ดาบที่พวกเขาถืออยู่มันจะบาดตัวเองแล้วยังจะโลภ ผมว่ามันตลกดี”

“อืม เกิดดันเจี้ยนเบรกมาบ้างแล้ว พวกเขาก็ยังรับมือได้ พวกเขาลงทุนไว้เยอะเพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด”

“ผมก็เดาไว้แล้วว่าคงเป็นแบบนี้ แต่ก็ว่ามันบ้าบออยู่ดี”

เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

สุดท้ายวูจินจะรับมือกับทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ลอร์ดมิติที่เชื่อมต่อกับโลกได้สำเร็จจะปรากฏตัวขึ้น

ความไม่รู้คือโชคอย่างหนึ่ง คำนี้ไม่ได้มีไว้เฉยๆ

เขาหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ โลกกำลังตกนรก แต่ประเทศต่างๆยังทะเลาะกัน

วูจินอาจเป็นคนเดียวในที่นี้ที่เคยเห็นนรกมาแล้ว

เพราะอย่างนี้เขาถึงอยากเตือนทุกคนถึงจุดจบที่กำลังใกล้เข้ามา เขาจึงขอให้กิลด์แฮมเมอร์เตรียมงานประชุมเราส์ ทำไมเขายังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ?

“พี่ฮุง งานประชุมเราส์จะจัดเมื่อไหร่นะ?”

“หา? อีก 10 วันไม่ใช่เหรอ? อีกอย่าง ทำไมนายถึงให้กิลด์แฮมเมอร์เป็นคนจัดการล่ะ?”

“ก็พวกเขาบอกจะดูแลเอง”

“เอ๋ นายน่าจะให้ฉันทำ กิลด์แฮมเมอร์เป็น 1 ใน 3 กิลด์ใหญ่ แต่เทียบกับพวกเรากิลด์ KH ได้ที่ไหน อ้อ ฉันพูดแบบนี้เพราะกิลด์อลันดาลของน้องชายไม่ใช่ของเกาหลีนะ ฮ่าๆๆ”

วูจินหัวเราะไปด้วย มาคิดดูเขาไม่ได้ฆ่านักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกิลด์ KH เลย อย่างน้อย กิลด์ของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดันเจี้ยนเบรกหรือสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

“พี่อยากลงดันเจี้ยนกับผมไหม?”

เบคจองโดตาโตอย่างไม่สมเป็นเขาเอง

“ให้ฉันไปด้วยได้จริงๆเหรอ?”

คังวูจินขึ้นชื่อเรื่องไม่ร่วมทีมกับเราส์คนอื่น มีเพียงฮงซุงกูกับเชฮีซอลที่เขาพาเข้าดันเจี้ยนด้วย

เพราะอย่างนี้ฮงซุงกูจึงถูกมองเป็นคนของคังวูจิน เขาได้รับความสนใจมากมาย รูปที่เขาเอาลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมีคนดูไป 20,000 ครั้งแล้ว

“อืม ผมจะทัวร์รอบโลก 3 วัน ไปด้วยกันเถอะ”

“ฮ่าๆๆ ต้องสนุกแน่”

วูจินยิ้มกับเสียงหัวเราะสบายๆของอีกฝ่าย

เขาเป็นคนที่น่านับถือ

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้ยืมเครื่องบินส่วนตัวโดยไม่เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทน

“โฮ่ๆ แบบนี้ต้องประกาศให้เพื่อนทุกคนรู้ มาๆน้องชาย ถ่ายรูปกัน”

“...”

เบคจองโดเหยียดแขนที่ถือกล้องออก วูจินถอนหายใจ

“ทำไมต้องถ่ายรูปด้วย?”

“ทำไมอะไร? นี่มันยุคของข่าวสาร ทุกอย่างต้องประกาศ”

“หา นี่ไม่สำคัญขนาดนั้นสักหน่อย ทำไมรายงานทุกอย่าง? หรือเวลาพี่ขี้พี่จะบอกคนอื่นด้วย?”

“เอ๊ะ? นายรู้ได้ไง?”

“...”

วูจินตกใจ แต่เบคจองโดทำหน้าจริงจัง ดูเหมือนเขาจะเป็นคนแบบที่จะทำจริงๆ

“เฮ้อ”

วูจินยิ้มแล้วยกนิ้วเป็นเครื่องหมาย V ให้กล้อง

แม้โลกจะมีดันเจี้ยนมากกว่าโลกอื่นหลายเท่า พวกเขาสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างเป็นระเบียบเหตุผลหลักคือความสามารถในการสื่อสารอย่างรวดเร็ว

มีโลกไม่กี่โลกที่สามารถรับรู้การเกิดดันเจี้ยนเบรกจากอีกฝั่งของโลกได้ภายใน 10 นาที

เครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ KH เตรียมจอดลงสนามบินคันไซ

***

จุดรอรับผู้โดยสารของสนามบินคันไซ

ทากุจิ เราส์แรงค์ A ของกิลด์เซ็นเซย์ขมวดคิ้วเมื่อมองสนามบินที่เนืองแน่นด้วยผู้คน เขามาที่นี่เพื่อต้อนรับบุคคลสำคัญ แต่ในนี้มีคนเยอะเกินไป เขากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

“ทำไมมีคนเยอะนัก?”

“ข่าวคุณคังวูจินมาโอซาก้าถูกโพสต์ลง SNS ครับ”

“หืม?”

ทากุจิรับสมาร์ทโฟนจากคนของแผนกสนับสนุน

มันเป็นรูปเซลฟี่ของคังวูจินกับเบคจองโด ประธานกิลด์ KH คังวูจินมีรอยยิ้มซุกซน และมีคำเขียนไว้ด้านล่างภาพ

-ผมอยู่ระหว่างทัวร์ปิดดันเจี้ยนกับน้องรักคังวูจิน ที่หมายแรกคือโอซาก้า...

-แหม คุณคังวูจินกำลังมาที่สนามบินคันไซ!

เขาไม่ต้องแปลคำเกาหลีที่ประดับไปด้วยอีโมติคอนเต็มไปหมด เจ้าของแอคเคาท์ที่เป็นคนแชร์รูปของประธานเบคจองโดเป็นคนช่วยแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เอง

“แอคเคาท์ของใครนี่?”

“ซากุระ ไอ ครับ”

ไอด้อลดังของญี่ปุ่นใช้เวลาไม่กี่นาทีในการกระจายข่าว ไม่นานคนเป็นร้อยก็มารวมกันที่นี่ คนไม่น้อยกำลังถือกล้องตัวใหญ่

“ยุ่งยากชะมัด...”

นี่เป็นคำขอเคลียร์ดันเจี้ยนแห่งแรกที่กิลด์เซ็นเซย์เป็นคนค้นพบ พวกเขามาต้อนรับคังวูจินแต่ข่าวรั่วไหลไปแล้ว...

ทากุจิเริ่มคิดหาวิธีพาคังวูจินออกจากสนามบิน

“เขากำลังออกมา เอ๊ะ?”

“...”

ทากุจิอึ้งเมื่อมองไปทางที่คนของเขาชี้ไป ต่อให้พวกเขาอยากต้อนรับคังวูจินเหมือนแขกคนสำคัญก็ทำไม่ได้

เคะๆๆ

มีทหารโครงกระดูก 30 ตน

พวกมันมาพร้อมชูดาบกระดูกขึ้น ทุกคนถอยห่างจากพวกมัน

คังวูจินเดินออกมาจากฝูงคนโดยมีมอนสเตอร์ของเขานำทาง เขาพูดกับวูซุงฮุน

“พวกเขาน่าจะมารับเราที่นี่ใช่ไหม?”

“ครับ เขาบอกว่าจะมา แต่ภาษาญี่ปุ่นผม...”

“เฮ้อ ไหนนายบอกอยากเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ”

“...”

ซุงฮุนไม่มีอะไรจะพูด เขายืนซึมไหล่ตก

“มานี่”

“ครับ?”

“ดื่มนี่”

“ครับ ส่งมาให้ผม”

“ฉันป้อนเอง”

“...”

ทำไมประธานต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ?

ซุงฮุนลังเล

วูจินบีบคางซุงฮุน บังคับให้เขาอ้าปากขึ้น

“ป...ประธาน? อึกๆๆ”

วูจินเทยาแปลภาษาลงไปในปากซุงฮุนแล้วเก็บขวดเปล่าใส่คลังส่วนตัว

“แค่ก!”

“ทีนี้ก็มองหาพวกเขา”

ซุงฮุนไออยู่นาน จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆด้วยดวงตาเบิกค้าง

“น...นี่มัน!”

มหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นแล้ว

ตัวอักษรต่อหน้าเขาเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เขาอ่านเข้าใจ

“อี๊ ทำไมอยู่กองทัพโครงกระดูกก็โผล่มาล่ะ?”

“หมายความว่าคุณคังวูจินไม่อยากคุยเหรอ?”

“เขาดูถูกญี่ปุ่นเหรอ?”

คำพูดลอยเข้าหูเขา

เขาเข้าใจทุกอย่าง

“สุดยอด”

ระหว่างซุงฮุนกำลังทึ่ง จุงชานซุงชี้ไปที่ทางหนึ่ง สมเป็นผู้บริหารของบริษัทใหญ่ เขาเข้าใจภาษาญี่ปุ่น

“คนพวกนั้นมาจากกิลด์เซ็นเซย์ครับ”

เขาชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังยกป้ายอยู่ ซุงฮุนยังทึ่งกับตัวเองไม่หยุด

“เฮ้อ กรรมการจุงมาอยู่กิลด์อลันดาลไหม?”

“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ แต่ผมต้องตามประธานเบค”

วูจินพูดเล่น เขาจึงยิ้มเฉยๆ จากนั้นเดินไปทางคนของกิลด์เซ็นเซย์




สารบัญ                                         บทที่ 125