วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 76

บทที่ 76 – กวาดเรียบ


เงียบ

ถ้าเข็มตกตอนนี้ต้องได้ยินชัดเจนแน่ ความเงียบขนาดกดดันคนในห้องไม่กล้าหายใจ

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 75

บทที่ 75 พบหน้า (2)


เมื่อได้ฟังข่าว เมโลดี้ประหลาดใจมากจนต้องไปพบองค์เทพี

เธอคุกเข่าตรงหน้ารูปปั้นอาเรีย

“ท่านเทพี... ชายคนนั้นช่วยคนอื่น”

ที่ไม่น่าเชื่อคือวิธีที่เขาใช้

“เขา...ใช้ตัวเอง...เขาใช้ร่างตัวเองปกป้องคนอื่น...”

แม้แต่เธอเองยังไม่เชื่อสิ่งที่พูดไป

“ใช่แล้ว คงเป็นคนอื่น... ไม่มีทางเป็นเขาไปได้...”

เมโลดี้สับสนจนมึนงง เขาเหมือนผู้ไม่ตายที่อยู่ในความทรงจำของเธอไม่ผิดเพี้ยน แต่เขาทำเรื่องที่เธอนึกภาพไม่ออกว่าเขาจะทำ นี่เป็นคนเดียวกันกับที่เธอรู้จักจริงๆหรือเปล่า

ยิ่งคิดยิ่งไม่แน่ใจ เมโลดี้เครียดหนัก

“เขาเป็นคนอื่น เป็นคนอื่น...”

เธออยากให้เป็นแบบนั้นมากกว่า

เมโลดี้ภาวนาต่อเทพี แต่ไม่มีคำตอบใดๆ

***

มินชานใส่ชุดสูทสะอาดเรียบแต่ท่าทางอมทุกข์ เขาออกมารอรถของกิลด์ไททันก่อนเวลานัด

“กรรมการจุง”

“อ๊ะ รองประธานจุง”

จุงชานซุงออกมาจากโรงแรมฝั่งตรงข้าม จากนั้นเบคจุงโดก็ออกมา เขาทักมินชาน

“ยังไม่ได้ข่าววูจินเหรอ?”

“ฮะๆ คงจะติดต่อมาเร็วๆนี้แหละครับ”

“ไม่มีปัญหาหรอกน่า เขาเป็นเราส์ที่เก่งที่สุดของเกาหลีเลยไม่ใช่หรือไง? ฮ่าๆๆ”

“ฮะๆ...”

มินชานหัวเราะอ่อยๆ คนพวกนี้ไม่รู้จักตัวจริงของวูจิน ท่านประธานรอดกลับมาหลังถูกเรียกตัวไปที่อัลเฟน เขาเป็นคนที่พุ่งใส่จรวด มินชานจะห่วงวูจินไปทำไม ที่เขาห่วงคือท่านประธานอาจเข้าใจผิด

‘เขาอาจนึกว่าอเมริกาเป็นฝ่ายโจมตีเขาก็ได้’

จรวดปล่อยที่นี่ นิวยอร์ค วูจินถูกยิงด้วยจรวดขนาดเล็กที่ถล่มตึกได้ทั้งหลัง มินชานแน่ใจว่านี่จะทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้น

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐไม่ใช่เสือกระดาษที่ปล่อยให้มีจรวดเข้ามาถึงในนิวยอร์ค

“ขอร้องล่ะ อย่าเข้าใจผิดกันเลย”

มินชานภาวนาอย่าให้อเมริกามุ่งเป้ามาที่วูจิน ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ต่างจากอยู่ในถิ่นของศัตรู

‘ฉันอาจจะผิด’

เมื่อโลกสับสนวุ่นวาย การก่อการร้ายมีบ่อยขึ้น และความพลังของเราส์ก็ยอดเยี่ยมเกินเหตุ หลายครั้งที่พวกเขาเป็นผู้ก่อการร้าย เราส์มีพลังครอบครองมิติพิเศษอาจเอาจรวดมาถึงที่นี่ก็ได้

‘หวังว่าท่านประธานจะคิดแบบนี้นะ’

ดูจากการกระทำที่ผ่านมาของวูจิน ถ้าเกิดไปโจมตีเพนตากอนแบบไม่บอกไม่กล่าวก็ไม่แปลก

“ไปไหนของเขานะ...”

มินชานกังวลมากจนแทบจะบ้าตาย ปล่อยเด็กเล่นใกล้แม่น้ำโดยไม่มีคนดูแลเขายังไม่กังวลขนาดนี้ เหมือนเขาเอาปุ่มยิงระเบิดนิวเคลียร์มาทำให้เหมือนของเล่นแล้วยกให้คนอื่นไป

“งานประชุมคงน่าเบื่อ งั้นไปด้วยกันเถอะ”

เบคจุงโด มินชานและชานซุงขึ้นรถคันเดียวกัน มุ่งหน้าไปทางสำนักงานใหญ่กิลด์ไททันที่เป็นที่ประชุม

จดหมายเชิญถูกส่งไปทุกกิลด์ในโลก และมีแต่คนที่มีจดหมายเชิญถึงจะมาร่วมงานได้ บรรดาสื่อมวลชนมารวมกันที่หน้าทางเข้าแล้ว มินชานรู้สึกเหมือนเป็นดารากำลังมาร่วมงานรับรางวัล

เมื่อเห็นว่าเป็นกลุ่มชาวเกาหลี พวกนักข่าวไล่ตามกลุ่มมินชาน

“ขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับ”

“ครับ?”

“คุณคังวูจินหยุดการก่อการร้ายที่อาจจะสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ผมรู้มาว่าคุณอยู่กิลด์เดียวกับเขา...”

“อ้อ ครับ”

นักข่าวพูดเร็วมากแต่มินชานพอจะตามทันด้วยการจับคำที่เขาเข้าใจเป็นคำๆ

“และเขายังมีชีวิตอยู่อย่างน่าแปลกใจ รู้ไหมครับว่าเขาอยู่ที่ไหน ตามความคิดของผมเขาอาจจะถูกพวกก่อการร้ายลักพาตัวไป ในฐานะเป็นสมาชิกกิลด์เดียวกัน คุณคิดอย่างไรครับ?”

“นั่น...”

ลักพาตัว เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้

“เขาอาจจะกำลังดูข่าวนี้อยู่ คุณมีคำพูดที่อยากบอกคุณคังวูจินไหมครับ?”

มินชานมองกล้องแล้วพูดอย่างจริงใจ

“ท่านประธาน ผมเชื่อใจท่านตั้งแต่แรก! ท่านอยู่ไหน กลับมาเถอะ”

“ผมผิดไปที่นึกว่าท่านประธานก่อเรื่องอีกแล้ว ผมเข้าใจผิดไปเอง ขอให้ปลอดภัยกลับมานะ”

“รัฐบาลที่นี่จะจับพวกผู้ก่อการร้าย ท่านประธานกลับมาเถอะ ขอร้องล่ะ ก่อนเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้”

“ถ้าท่านประธานจะตามจับพวกผู้ก่อการร้ายเองมันอาจจะกลายเป็นสงครามไปก็ได้ กลับมาเถอะ”

มินชานขอร้องจากใจจริง

นักข่าวไม่เข้าใจที่มินชานพูดเป็นภาษาเกาหลี เพื่อนร่วมงานของเขายื่นกระดาษจดคำแปลให้

“น่าแปลกใจทีเดียวครับ ดูเหมือนสมาชิกกิลด์ท่านนี้เชื่อว่าคุณคังวูจินกำลังตามจับผู้ก่อการร้าย...”

มินชานเลิกคิดมาก เขาเดินผ่านทางเข้าที่มียามรักษาการณ์เฝ้าอยู่เข้าไป

ห้องประชุมใหญ่โตเหมือนที่ประชุมรัฐสภา เหมือนโรงละครโอเปร่า

มินชานทึ่ง กิลด์ไททันมีห้องใหญ่ขนาดนี้ในตึกยิ่งเป็นการย้ำว่ากิลด์นี้คืออันดับหนึ่งของอเมริกา คิดอีกทีก็ไม่น่าแปลกใจ

ที่นั่งถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว ที่นั่งของมินชานอยู่ห่างไปจากของเบคจองโดกับจุงชานซุงจากกิลด์ KH ที่ว่างข้างเขามีป้ายชื่อคังวูจินติดอยู่ พอเห็นเข้ามินชานก็รู้สึกหนักใจขึ้น

ไม่นาน หัวหน้ากิลด์ไททัน เดคอนก็มายืนบนเวที

“ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงที่มาร่วมสหพันธ์นี้”

เดคอนทักทายสั้นๆ จากนั้นมองคนที่มาร่วมงาน

มีคนจากกิลด์ของจีน ยุโรปและญี่ปุ่น กิลด์เหล่านี้แข่งกันเสมอว่าใครเป็นอันดับหนึ่งของโลก ครั้งนี้แม้แต่รัสเซียก็ส่งตัวแทนกิลด์มาสองแห่ง

กิลด์ไททันส่งคำเชิญไปให้กิลด์ 4 แห่งในเกาหลี สามกิลด์ใหญ่กับอลันดาล

กิลด์แฮมเมอร์ KH และอลันดาลเข้าร่วม ฮวารางไม่มา และหัวหน้ากิลด์อลันดาลก็หายตัวไป

เดคอนสนใจกิลด์อลันดาลเป็นพิเศษเพราะเมโลดี้พูดถึงพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก

“สหพันธ์นี้มีเพื่อจัดการเรื่องที่ลำพังกิลด์เดียวรับมือไม่ไหว งานประชุมนี้จะถูกนำไปฉายทางโทรทัศน์เพื่อขอความร่วมมือจากเราส์ทุกคน”

งานประชุมจะเผยแพร่ไปในอีกไม่นาน นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดสด แต่ในห้องประชุมมีกล้องจำนวนมากคอยบันทึกภาพไว้

เดคอนกล่าวทักทายขอบคุณกิลด์ต่างๆสั้นๆ จากนั้นหันไปคุยเรื่องภัยคุกคามจากดันเจี้ยนและมอนสเตอร์ คำพูดของเขาทำให้ภายในห้องตึงเครียดขึ้น

“ผมมีข่าวเกี่ยวกับต้นกำเนิดของดันเจี้ยนที่เป็นปริศนาของมนุษย์มาตลอด”

ทุกคนสนใจเขาทันที

“เราพบว่าดันเจี้ยนทำหน้าที่เป็นประตูมิติ สถานที่เหล่านั้นกำลังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกกับดาวที่เรียกว่าอัลเฟน ความแตกต่างด้านเวลาระหว่างโลกกับที่นั่นต่างกัน 4 เท่า”

เดคอนสูดลมหายใจสั้นๆมองไปรอบห้อง คนมากกว่าร้อยกำลังจดจ่อที่เขา และการเผยแพร่ทางโทรทัศน์จะทำให้คนมากกว่านี้เห็นเขา

“มอนสเตอร์ของโลกอัลเฟนกำลังใช้สะพานหรือดันเจี้ยนมารุกรานโลกแห่งนี้ มนุษย์ต้องป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”

ใครคนหนึ่งตะโกนอย่างไม่พอใจ

“หมายความว่าคุณอยากปิดดันเจี้ยนเหรอ?”

เขาเป็นคนจากกิลด์ดาเคนที่ร่ำรวยจากธุรกิจดันเจี้ยน

“ถึงเราจะทำลายสะพานไป พวกเขาก็จะสร้างสะพานใหม่ขึ้นมา มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ผมเชิญทุกคนมาที่นี่เพื่อขออย่างเดียว”

เดคอนหยุดแล้วพูดต่อ

“มนุษย์ต้องข้ามสะพานนั้นก่อน ทำลายมอนสเตอร์ให้หมด”

ชิงจู่โจมก่อน

“แทนที่จะสู้ที่นี่ เราไปหาพวกนั้นเลยดีกว่า”

ถ้าสงครามเกิดที่อัลเฟนก็สามารถป้องกันความเสียหายจากดันเจี้ยนเบรกบนโลกได้

“คุณเอาแต่พูดว่ามอนสเตอร์ออกมาจากโลกชื่ออัลเฟน มีหลักฐานไหม?”

“แน่นอน เรามีพยานยืนยัน”

ประตูห้องประชุมเปิดออก อัศวินศักดิ์สิทธิ์เข้ามา ทุกคนหันหลังไปมองประตู

“ผมขอแนะนำสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรีย เธอมาจากโลกอัลเฟนเพื่อขอความช่วยเหลือ”

เราส์ทุกคนรู้จักเธอ แต่เห็นในโทรทัศน์กับมาเห็นตัวจริงต่างกันมาก

อัศวินอีกหลายคนเดินตามหลังเมโลดี้

เธอใส่ชุดคล้ายชุดแม่ชี แต่ชุดเรียบๆไม่อาจปิดบังความงามสง่าของเธอได้

เมโลดี้เดินบันไดลงมาช้าๆไปที่เวที ฮามิลตันตามหลัง

“ฉันเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรีย ชื่อเมโลดี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงไพเราะของเธอ คนในห้องประชุมตื่นตัวขึ้นอีก

เมโลดี้นอนไม่หลับทั้งคืน แต่ยังงดงามเปี่ยมชีวิตชีวา ถ้าพวกเขายอมรับฟัง เธอจะสามารถช่วยมิตรในอัลเฟนที่กำลังลำบาก

เธอเสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่อเรื่องนี้

“ฉันขอความร่วมมือจากทุกคนเพื่อปกป้องความปลอดภัยและสันติภาพของโลก กรุณาช่วยฉันปลดปล่อยอัลเฟนด้วยค่ะ”

ต่างจากคำพูด ท่าทางของเมโลดี้สง่าและเย่อหยิ่ง เธอได้รับพรจากเทพีดังนั้นบรรยากาศสูงส่งจึงถ่ายทอดออกมาจากตัวเธอ

“ขอหลักฐานได้ไหม คุณบอกว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์มาจากโลกอัลเฟน แต่อาจเป็นแค่เราส์คนหนึ่งของโลกนี้ก็ได้”

ยังเป็นคนของกิลด์ดาเคนจากญี่ปุ่น ดูเหมือนเขาจะไม่ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งเข้าใจได้ ญี่ปุ่นมีสถานีรถไฟใต้ดินนับไม่ถ้วน

ถึงจะเกิดความเสียหายมากมาย แต่ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจ ธุรกิจดันเจี้ยนรุ่งโรจน์ที่สุดในญี่ปุ่น นครศักดิ์สิทธิ์แห่งธุรกิจดันเจี้ยน

เมโลดี้ขยับขึ้นมา

แค่เราส์คนหนึ่ง?

เธออยู่ระดับวงแหวนที่ 9 ถ้าเปรียบกับแรงค์ เธอเป็นนักบวชแรงค์ SS

เมโลดี้อ้าแขน แสงศักดิ์สิทธิ์อบอุ่นเปล่งจากร่างส่องไปทั่วห้อง เพิ่มพลังให้ทุกคน

เราส์รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงชัดเจน แม้แต่คนธรรมดายังรู้สึกร่างกายมีพลังเต็มเปี่ยม

“หลักฐานเท่านี้พอไหมคะ?”

เมโลดี้เป็นคนถือศักดิ์ศรี คำพูดนี้แสดงนิสัยของเธอชัดเจน คนจากกิลด์ดาเคนคราง แต่ยังหาข้อติต่อไป

“คุณต้องทำให้ผมหายสงสัย มอนสเตอร์ออกมาจากดันเจี้ยน แต่สำหรับมนุษย์เข้าไปแล้วก็ได้แต่ออกมา”

ชิ้นส่วนมิติหรือหินรีเทิร์นสโตนเป็นกุญแจเข้าสู่โลก แต่กุญแจไม่ได้มีแต่หินรีเทิร์นสโตน ยังมีกุญแจที่เปิดสู่โลกอัลเฟนด้วย

เมโลดี้ตั้งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อตามหามัน

“ฉันกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้เปิดทาง เพื่อความปลอดภัยของโลก พวกคุณจะต้องมุ่งเข้าสู่อัลเฟน ถ้าลังเล โลกจะกลายเป็นดินแดนแห่งความทุกข์ยากเหมือนอัลเฟน มันจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน นี่คือสงครามเพื่อหยุดยั้งไม่ให้โลกถูกทำลาย”

ได้ยินคำพูดของเมโลดี้ บางคนจิตใจลุกโชน บางคนคิดคำนวณ ไม่ใช่ทุกคนร่วมสงครามเพราะถือเป็นหน้าที่ต้องปกป้องโลก บางคนทำเพราะเงิน

เธอไม่สนว่าพวกเขามีเหตุผลอะไร

เมโลดี้โล่งใจเมื่อเห็นคนพวกนี้ เทพีพูดถูก

ที่โลกมีผู้ช่วย คนพวกนี้จะปลดปล่อยอัลเฟนเป็นอิสระ

ประตูห้องประชุมเปิดออก เสียงห้าวดังเข้ามาจากข้างนอก ที่ประตูมีชายชาวเอเชียในชุดออกกำลังกายสีดำยืนอยู่ เหยียดยิ้มอย่างเกเร

“หยุดพูดไร้สาระน่า”

เขาเดินเข้ามาช้าๆ ลงบันไดไปทางเวทีอย่างเอื่อยเฉื่อย

ทุกคนจ้องไปทางชายคนนั้น

บางคนดีใจที่เห็นเขา บางคนทำหน้าสงสัย บางคนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นคังวูจิน

เมโลดี้ยืนบนเวที

เธอตัวสั่นเหมือนลูกนก

ยิ่งวูจินเดินเข้ามาเธอยิ่งตัวสั่นขึ้น

เหมือนหัวใจของเธอกำลังร่วงลงพื้น

‘เป็นเขา’

เมโลดี้รู้สึกจะเป็นบ้า

เขาอยู่บนโลกนี้จริงๆ...

วูจินหยุดตรงหน้าเวที เขาเงยมองหน้าเมโลดี้ ท่าทางเธอจะกำลังช็อก

“แปลกดีนะ?”

“...”

เมโลดี้ไม่ตอบเพราะกลัวมาก กี่คนแล้วที่ถูกฆ่าไปต่อหน้าใบหน้ายิ้มแย้มนี้?

เขาเป็นพันธมิตรที่ทำให้กังวล และเป็นศัตรูที่นำหายนะมาให้

“ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันที่ฉันต้องเงยหน้ามองเธอ”

“...!”

เมโลดี้ลนลานลงจากเวทีมายืนตรงหน้าวูจิน ท่าทางสง่างามหายไปหมด

จากนั้น

“!”

เมโลดี้ลดตัวลงช้าๆ

“ราชาแห่งทัพผีดิบ...”

ภาษาอัลเฟนหลุดจากปากของเมโลดี้ เข่าข้างหนึ่งของเธอแตะพื้น

“นักสู้ผู้ทรงเกียรติของเทพทำลาย ทราช...”

จากนั้นเข่าอีกข้างแตะพื้น เธอคุกเข่าลง

“จ้าวแห่งอลันดาล...”

เธอโน้มตัวลง มือสั่นริกแตะรองเท้าวูจิน

“ผู้ไม่ตาย...”

ริมฝีปากของเมโลดี้แตะรองเท้าวูจินครู่หนึ่งแล้วผละออก

“ทาสผู้ต่ำต้อยของเทพีอาเรีย...”

เมโลดี้เดินเข่าถอยไปด้านหลัง แล้วหมอบลง

“...คารวะท่าน”

วูจินยิ้มเจิดจ้าพลางก้มมองเมโลดี้

“ไม่เจอกันนานนะ”

นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเขากับเพื่อนที่ดั้นด้นจากอัลเฟนมาถึงโลก



สารบัญ                      บทที่ 76

...เพื่อน?


วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 74

บทที่ 74 – การประชุม


วูจินตามชายคนนั้นเป็นเวลานาน

เขาห่างจากโรงแรมไปมากแล้ว วูจินกำลังเดินช้าๆไปตามซอยเล็กๆในเมือง

เจ้านั่นเริ่มใช้เส้นทางวกวน ต้องรู้แล้วแน่ๆว่ากำลังถูกตาม

“รู้ตัวแล้วแฮะ”

แบบนี้ตามไปก็ไม่มีประโยชน์ มันคงไม่โง่ขนาดกลับรังเดิม

วูจินลังเล

เขาให้กาเกบิตามสิงเจ้านั่นแล้ว

จะปล่อยมันไป เพื่อให้กาเกบิเอาข้อมูลมาดีไหม?

กาเกบิเมื่อซ่อนอยู่ในเงาใช่ว่าจะไม่มีใครตรวจพบได้ เราส์ที่ประสาทสัมผัสดีจะรู้สึกผิดปกติ

ที่จริงแล้ววูจินไม่ถนัดเรื่องสะกดรอย ดักฟัง เรื่องลักพาตัว ทรมาน ข่มขู่เขาก็ไม่อยากทำ...

“ไว้จับมันได้แล้วค่อยคิดอีกทีแล้วกัน”

วูจินเร่งฝีเท้า เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุม เขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังถือเคสกีตาร์อันใหญ่

‘เป็นมัน’

วูจินเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ มันหันมามองเขา

ทั้งคู่หยุดเดิน สบตากัน

[เลเวล 71 อัล อัสสาด]

เจ้านั่นออกวิ่ง วูจินตามไป

‘วงแหวนที่ 7 เชียว?’

นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินเจอเราส์เลเวลเกิน 70

นี่หมายความว่าศัตรูเป็นเราส์แรงค์ AA มีเราส์หลายคนที่มีเลเวลเกิน 60 หากไม่เจอเราส์เลเวล 70 บ้างคงแปลก

ต่อไปคงมีอีกหลายคนที่ทะลุกำแพงวงแหวนที่ 6 เข้าสู่วงแหวนที่ 7

นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้วูจินกำลังไล่ตามเราส์ที่เป็นหนึ่งในเราส์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก

“ไอ้เวรพรรค์นี้ตั้งใจเล่นงานฉันเหรอ?”

วูจินยิ่งสงสัย เขาอยากรู้ว่าใครเป็นคนสั่งการชายคนนี้ หรือว่าเขาจะกลายเป็นศัตรูของกลุ่มอำนาจใหญ่

วูจินเร่งความเร็ว แต่เจ้านั่นก็เร็วพอดู การเข้าไปใกล้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“เหมือนมันจะจงใจให้ฉันตามแฮะ?”

ความเร็วของมันแค่พอไม่ให้ถูกวูจินจับได้ ระยะห่างระหว่างทั้งสองคงที่ ที่จริงแล้วเจ้านั่นไม่ร้อนรนเลย

วูจินเดาว่าเจ้านั่นเป็นเราส์สายกายภาพ และดูท่าจะฝึกฝนมาอย่างดี ลียุนฮีเทียบไม่ติด

“สนุกแฮะ”

วูจินเป็นเนโครแมนเซอร์ แต่เขาก็เป็นวอริเออร์ด้วย เขาใช้ทักษะพุ่งตัวเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายเท่า

“จับได้แล้ว...?”

วูจินเกือบจะคว้าเคสกีตาร์ไว้ได้แล้ว แต่ดูเหมือนเจ้านั่นจะมีทักษะที่คล้ายกัน มันเพิ่มความเร็วขึ้น
พรวดพราด ทิ้งระยะห่างจากวูจินอีก

‘ดูมันทำ’

มีใครบนโลกนี้ไหมที่ทำให้วูจินสนใจขนาดนี้? วูจินเองก็อาจเป็นศัตรูแข็งแกร่งคนแรกที่ชายคนนั้นเจอก็ได้

หลังจากวิ่งหนีสักพัก เจ้านั่นหยุดตรงหน้าสถานีรถไฟใต้ดิน มันกระดิกนิ้วพลางมองมาทางวูจิน

“หา”

มีเพียงถนนสองเลนกั้นระหว่างพวกเขา แต่มันยังกล้าท้าทาย วูจินเห็นแล้วคิด สมัยนี้... ไม่ใช่สิ ช่วง 10 ปีมานี้ เขาไม่เคยเห็นใครหาญกล้าท้าทายเขาต่อหน้า

มันยิ้ม

นี่มันนึกว่าตัวเองเป็น บรูซ ลี หรือไง?

ยิ้มเสร็จ ชายคนนั้นเข้าดันเจี้ยน วูจินเดาะลิ้นอย่างทึ่ง

“ถ่ายหนังอยู่เหรอวะ? น่ารักแฮะ”

ไม่สนแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังเจ้านั่น วูจินตัดสินใจฆ่าไอ้เปรตนี่

บาเรียก่อตัวขึ้นหลังชายคนนั้นเข้าดันเจี้ยน

วูจินเข้าดันเจี้ยนไป

***

อัล อัสสาด

เกิดในอัฟกานิสถาน เมื่ออายุ 10 ปี พ่อขายเขาให้กองกำลังติดอาวุธแห่งหนึ่ง

ได้เห็นพ่อจับเงินจำนวนน้อยนิดนั้นอย่างดีใจ อัสสาดตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด

เขาใช้มีดและปืนเก่งทีเดียว เด็กรุ่นเดียวกับเขาถูกใช้เป็นตัวล่อกระสุน แต่อัสสาดโตขึ้นเป็นนักรบที่เก่งกาจ

โลกที่เขาอยู่มีสงครามไม่จบสิ้น

ดันเจี้ยนเบรกเกิดตอนเขาอายุ 20 และเปลี่ยนโลกให้ยิ่งโกหาหลยิ่งขึ้น สงครามมีก่อนเกิดดันเจี้ยนเบรก และยังคงมีต่อไป

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนคือเขากลายเป็นเราส์

หัวหน้ากองกำลังเห็นเขาเข้า จากนั้นแทนที่จะถูกส่งไปรบกับกองทหารของรัฐบาลในสงครามกลางเมือง อัสสาดถูกมอบหมายให้ทำงานที่ซับซ้อนกว่านั้น

ลอบสังหาร ก่อการร้าย งานที่ได้รับมอบหมายเขาทำสำเร็จทั้งหมด เริ่มมีชื่อเสียงเรื่อยๆ เขากลายเป็นบุคคลสำคัญในกลุ่ม ถึงตอนนี้ อัสสาดนึกได้ว่าเขาไม่ได้ทำงานเพราะศรัทธาในพระเจ้าแต่เพื่อเงิน แต่ช่างปะไร

เขาได้ลงโทษคนอื่น ยิ่งกว่านั้นยังได้เงิน

เงินเปลี่ยนแปลงโลก

อัสสาดไม่เคยฆ่ามอนสเตอร์มาก่อน เขาล่าแต่มนุษย์

วันนี้ เขาได้เนโครแมนเซอร์คนหนึ่ง ในรายงานบอกว่าเป็นเราส์แรงค์ AA

แรงค์ไม่มีความหมายเลย

อัสสาดลอบสังหารเราส์มานับไม่ถ้วน เขารู้เรื่องแรงค์ดี แรงค์สูงไม่ได้หมายถึงมีพลังรบสูง ถ้าเป็นนักเวทย์ แค่ย่องเข้าไปเงียบๆแล้วปาดคอ ถึงเป็นแรงค์ A ก็ตายทันที

ง่ายมาก

เมื่อเข้าสู่ดันเจี้ยน อัสสาดปล่อยตัวกลืนหายไปในความมืด นี่เป็นความสามารถของเขา มันทำให้เขาสามารถเข้าไปใกล้ศัตรูแล้วฆ่าโดยเหยื่อไม่รู้ตัว

“เฮ้ ออกมานะ ชวนฉันเข้ามาเล่นกันในดันไม่ใช่เหรอไง?”

ภาษาเกาหลีเหรอ?

ตามข้อมูลที่ได้รับมา เป้าหมายเป็นชาวเกาหลี

“ไม่ออกมาสินะ”

เสียงฝีเท้าห่างไปเรื่อยๆ

หมอนี่โชคดีไม่เบา เสียงฝีเท้าบอกว่ามันห่างจากจุดที่อัสสาดซ่อนตัวข้างกำแพงไปเรื่อยๆ มันเดินลงบันไดสถานีรถไฟไป

‘ไอ้โง่’

 ดูเหมือนมันจะไม่มีเวทย์ด้านตรวจสอบ อัสสาดแน่ใจแล้วว่ามันเป็นเนโครแมนเซอร์ และโง่มากที่ตามเขาเข้าดันเจี้ยนมาโดยไม่ระวังตัวเลย

ล่อเป้าหมายเข้ามาได้สำเร็จ ต่อไปก็แค่ตามจากนั้นก็จัดการเสีย

อัลอัสสาดหลอมกลืนเข้ากับความมืด เดินลงลึกเข้าไปในดันเจี้ยน

‘มันไปถึงไหนแล้ว?’

แปลก เป้าหมายของเขาไล่ตามเขาเข้าดันเจี้ยนตามแผนของอัสสาด แต่แล้วก็ทำเหมือนลืมเขาไป หรือมันจะมั่นใจในตัวเองมาก

อัสสาดเดินลงดันเจี้ยนอย่างระมัดระวัง แต่แล้วก็หยุด

‘ไม่มีศพเลย’

มีรอยเลือดเต็มไปหมด แต่ไม่มีศพ อัสสาดรู้สึกถึงอันตราย

ฟู่ว

แสงส่องภายในดันเจี้ยนสว่าง

“อ้อ ขอบใจที่รอจนฉันตามเก็บวิญญาณจนเสร็จนะ”

เป้าหมายของอัสสาดปรากฏตัวต่อหน้า ไม่มีทีท่าตื่นเต้นกังวลเลย

“เอาล่ะ ขอดูพลังนายหน่อยว่ามันจะมีประโยชน์หรือเปล่า”

หลังจากพูดภาษาที่อัสสาดฟังไม่ออก ทหารโครงกระดูกเบื้องหลังเป้าหมายก็พุ่งเข้ามา

“หนึ่ง สอง...”

นับไปก็เหนื่อยเปล่า มันเกือบล้นดันเจี้ยน อัสสาดวิ่งขึ้นหน้าพลางชักดาบสองมือ อาวุธประจำตัวของเขาออกมา

“โฮ่ ไม่เบานี่”

อัสสาดเสียเปรียบเรื่องจำนวน แต่ความสามารถของทหารโครงกระดูกไม่มีมากมาย เขาฟันพวกมันล้มเรื่อยๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทักษะดาบสองมือที่เขามีถูกแสดงออกมาต่อหน้าศัตรูจนหมด

“นายเป็นสายลอบสังหาร แถมเก่งใช้ดาบสองมือทีเดียว เหมาะกับสู้ตัวต่อตัวมากกว่าสู้เป็นกลุ่ม”

เป้าหมายของเขาพูดภาษาเกาหลีรบกวนสมาธิเป็นพักๆ เหมือนเขากำลังถูกประเมิน... ไอ้เวรนั่นมองอยู่ห่างๆไม่ลงมือสู้ด้วยซ้ำ

อัลอัสสาดปล่อยทักษะลับ หายใจแรงขึ้น การเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปอย่างเทียบไม่ติด ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบสองมือ ทหารโครงกระดูกกลุ่มใหญ่ก็ล้มลง

“โฮ่ เป็นเบอร์เซอเกอร์ด้วยเหรอ? นายเป็นทั้งสายนักสู้แล้วยังเป็นแอสซาสซิน มีสองอาชีพเหรอ?”

อัลอัสสาดกระโจนใส่ศัตรูกวนประสาท

ท่าไม้ตายของเขาชื่อ เทพพิโรธ ความโกรธเกรี้ยวของเขาที่มีต่อโลกหลั่งไหลออกมาไม่มียั้ง มันช่วยเพิ่มพลังให้กับท่าไม้ตายนี้ ดาบสองมือของเขากำลังฟาดใส่คอของเนโครแมนเซอร์ แต่จู่ๆไม้เท้าเหล็กก็มากันดาบไว้

“นายจะเป็นประโยชน์มากเลยล่ะ”

เนโครแมนเซอร์เหวี่ยงไม้เท้าใส่เขา

อัสสาดงงวูบกับแรงกระแทกหนักหน่วงกว่าที่คิด ไหนรายงานบอกว่าเป็นเนโครแมนเซอร์?

เป้าหมายเหยียบอกอัสสาดด้วยเรี่ยวแรงที่มากจนต้านไม่ไหว อัสสาดจับเท้าของเป้าหมายพยายามผลักออกไป

“ไว้รอดูตอนฉันเลเวล 70 จะเป็นยังไง”

ทันใดนั้นไม้เท้าก็เปลี่ยนเป็นขวาน มันเหวี่ยงลงมาที่คอเขา

ฉับ

วูจินตัดหัวอีกฝ่ายเหมือนกำลังตัดไม้ ก่อนวิญญาณของมันจะหนีไป วูจินซื้อหินผนึกวิญญาณแล้วจับวิญญาณใส่เข้าไป

เจ้านี่แค่อยู่เหนือวงแหวนที่ 7 ขึ้นมาหน่อย แต่ก็เป็นวิญญาณนักรบวงแหวนที่ 7 ดวงแรกที่เขาได้ตั้งแต่กลับมาที่โลก

เหนื่อยเปล่าถ้าจะทรมานให้มันสารภาพว่าใครเป็นคนบงการ เมื่อวูจินเลเวล 70 เขาจะเปลี่ยนมันเป็นอสูรรับใช้ จากนั้นทุกอย่างที่มันรู้เขาก็จะรู้เอง

วูจินเก็บร่างกับศีรษะอัสสาดเข้าคลัง จากนั้นก็เรียกทหารโครงกระดูกที่เหลือมา

“แล้วทำไมต้องเข้ามาในดันดาวสูงแบบนี้ด้วยวะ?”

วูจินหาหินรีเทิร์นสโตนไม่เจอ ตามที่คาด เมื่อกลับไปที่ทางเข้าก็เห็นอุโมงค์สีแดงปรากฏอยู่

“จะทันไหมเนี่ย?”

การประชุมจะเริ่มตอนเที่ยงใช่ไหม?

วูจินออกล่าทันที

***

เมื่อออกมาจากดันเจี้ยน วูจินรู้สึกว่าถูกมอง ใครบางคนกำลังจับตามองเขาจากที่ไกล

‘กาเกบิ ตามฉัน’

[รับคำสั่ง]

หลังจากแน่ใจแล้วว่ากาเกบิสิงเข้าไปในเงา วูจินออกเดิน ดูเหมือนคนที่โจมตีเขาเป็นเจ้าของดันเจี้ยนนี้ ไม่มีใครดูทางเข้าดันเจี้ยนอยู่เลย วูจินจำชื่อดันเจี้ยนไว้

“เอ่อ แล้วที่นี่ที่ไหนหว่า?”

เมื่อคืนวูจินไล่ตามอัสสาดโดยไม่สนใจจำทาง ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าเอาโทรศัพท์มือถือมาด้วยก็ดีแต่เขาทิ้งมันไว้ที่โรงแรม

‘ในร้านอาจจะมีภาษาอังกฤษขายก็ได้นะ?’

วูจินลองเข้าร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ ดูยาแปลภาษาไปเรื่อยๆ ตอนอยู่อัลเฟนมียาที่ทำให้เขาเข้าใจภาษาต่างๆของโลกอัลเฟน ... มีด้วยแฮะ!

ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ ในร้านขายทุกภาษาที่ใช้ในโลก

มันมีราคา 200 แต้ม วูจินซื้อมาดื่มทันที เช่นเดียวกับการเรียนทักษะใหม่จากตำราทักษะ วูจินเข้าใจภาษาอังกฤษในทันที มันฝังรากลงในความทรงจำเขาอย่างมหัศจรรย์

“ฮ้า”

เขาเริ่มเข้าใจคำพูดของคนรอบๆ

วูจินถามทางจากคนบนถนน จากนั้นเดินไปทางสถานที่จัดประชุม สำนักงานใหญ่ของกิลด์ไททันที่แมนฮัตตัน

‘ถ้านั่งแท็กซี่ก็แป๊บเดียวถึง แต่ไม่มีเงินนี่สิ’

ถ้าเป็นที่อัลเฟน เขาก็แค่แย่งมา...

‘เอาเถอะ บอกไว้แล้วนี่นะว่าจะไม่ก่อเรื่อง’

...เดินก็ได้

การประชุมเริ่มตอนเที่ยง สายแน่ แต่ไม่เป็นไร

จุงมินชานก็ร่วมทางมาด้วย ให้มินชานจัดการ วูจินแค่มาเจอสตรีศักดิ์สิทธิ์

ขณะวูจินเดินบนถนน เขาเห็นข่าวในจอขนาดใหญ่ที่ติดบนอาคารแห่งหนึ่ง

“เรื่องเมื่อวาน”

ดูเหมือนจะมีคนใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพเหตุระเบิดไว้ ภาพจรวดระเบิดกับภาพหลุมกว้างบนถนนกำลังฉายในจอ

“ผู้ก่อการร้ายโจมตี หรือฝันร้าย 9/11 จะหวนกลับมาอีกครั้ง? ศัตรูของมวลมนุษย์ไม่ใช่มอนสเตอร์แต่เป็นผู้ก่อการร้าย?”

วูจินอ่านข้อความในข่าว ภาพในจอโทรทัศน์เปลี่ยนไปเป็นภาพของผู้ประกาศข่าวกับชายชาวเอเชีย

“หือ?มินชาน?”

คนเอเชียหน้าตาคุ้นๆคือจุงมินชาน กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อวูจินหันไปทางอื่น เขาเห็นโทรทัศน์ในร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามกำลังเปิดข่าวเดียวกัน

ติ๊งต่อง

วูจินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ พนักงานหลังเคาน์เตอร์มองเขา เมื่อเห็นเป็นชายเอเชียในชุดออกกำลังกายก็หันไปดูโทรทัศน์ต่อ

[มันกำลังจะระเบิดในโรงแรม เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายนั้น คุณคังวูจินชาวเกาหลีสละตัวเองเข้ารับการโจมตี ตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวของคุณคังวูจิน...]

จุงมินชานพูดแทรก

[ท่านประธาน ผมเชื่อใจท่านตั้งแต่แรกแล้ว! ท่านอยู่ไหน? กลับมาเถอะ]

“ฮะ เจ้าบ้านี่ ทำแบบนี้เหมือนกำลังตามหาเด็กหายเลย”

ถึงอย่างนั้นวูจินก็รู้สึกอุ่นใจที่มีคนเป็นห่วงเขาขนาดนี้

อย่าห่วงน่ามินชาน ฉันพูดภาษาของที่นี่ได้แล้ว

[รัฐบาลสหรัฐจะจับผู้ก่อการร้ายให้ได้ ท่านประธานกลับมาเถอะ ขอร้องล่ะ ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้...]

“ฉันจับมันได้แล้วเว้ย...”

วูจินยิ้มพลางดูประกาศคนหาย จากนั้นข่าวเปลี่ยนเป็นภาพเขาพุ่งใส่จรวด จรวดถูกปัดขึ้นไปแล้วระเบิดจากนั้นเขาเห็นภาพตัวเองร่วงลงพื้น ข่าวฉายภาพนั้นวนซ้ำกัน

พนักงานร้านเบิกตาโต เขามองวูจินแล้วมองโทรทัศน์สลับไปมา





สารบัญ                              บทที่ 75


วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 73

บทที่ 73 – การก่อการร้าย (2)

ทันทีที่เห็นจรวดพุ่งมา วูจินออกวิ่ง

“ฮึบ”

เขาวิ่งไปทางหน้าต่างแทนที่จะหนีไปทางประตู

เพล้ง!

ร่างวูจินกระแทกกระจกหน้าต่างหนาจนแตก เขากระโดดออกจากขอบหน้าต่าง พุ่งตัวไปกลางอากาศ

วูจินกระโดดไปทางจรวด เงาร่างของเขาฝ่าความมืดตามแสงเลเซอร์

จรวดพุ่งมาทางเขาด้วยความเร็วสูง ช่วงเวลาสั้นๆวูจินออกมาจากโรงแรมได้ไม่ไกล ระเบิดจะรุนแรงขนาดไหนกันนะ? เขารับมันในโรงแรมไม่ได้เพราะมีจุงมินชานอยู่ รวมทั้งคนจำนวนมากก็อยู่ในนั้น

ระหว่างวูจินลอยกลางอากาศ เขาต่อยหัวจรวด

ถ้าเปลี่ยนทิศทางของมันได้ก็ดี แต่ถึงไม่ได้ก็ช่าง

ตูม!

พลังงานระเบิดออก เกราะผีที่ห่อหุ้มวูจินไว้เสมอทำงานเร็วกว่าการระเบิด บริเวณที่เกราะหุ้มหนาที่สุดคือกำปั้นของวูจิน มันสร้างเกราะหุ้มหลายๆชั้นป้องกันมือเขาไว้

กึง!

แรงระเบิดถูกเกราะผีกันไว้ เปลวไฟจึงระเบิดขึ้นฟ้า

วูจินรับแรงสะท้อนที่เกิดจากการระเบิด ร่างเขาร่วงลงพื้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า เขาทะยานผ่านตึกอาคารโดยหลบพวกมันได้เฉียดฉิว จากนั้นปะทะเข้ากับถนนจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

คลื่นกระแทกส่งผลให้สัญญาณกันขโมยของรถที่จอดอยู่รอบๆดังระงม

ฝุ่นผงจากถนนที่ถูกทำลายลอยคลุ้ง ท่ามกลางทั้งหมดนั้น วูจินทรงตัวขึ้น

เกราะผีรับแรงระเบิดจากจรวดได้จริง แต่วิญญาณที่เขาเก็บไว้ในเกราะสลายไปกลางคัน แรงปะทะกับพื้นหลังจากนั้นเป็นวูจินรับไว้เอง

“อูย ทำแบบนี้ในอเมริกาก็ได้ด้วยเหรอ?”

วูจินปาดเลือดที่กระอักออกจากปากออก หน้าอกเขาปวด หายใจลำบาก ดูเหมือนซี่โครงจะหัก

“ฮู้ว”

วูจินใช้วิญญาณที่กักขังไว้ไปหมดจึงสกัดวิญญาณมารักษาตัวไม่ได้ เขาไม่อยากฆ่าเอาวิญญาณของคนที่มองออกมาจากหน้าต่างบ้านอย่างแปลกใจ

ถ้าเขาเป็นผู้ไม่ตายของอัลเฟน เขาคงฆ่าไปแล้ว แต่วูจินบนโลกมีทางเลือกอื่น

เขาซื้อโพชั่นจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จมาดื่ม

“อืม”

ร่างกายเริ่มฟื้นสภาพ ความเจ็บบรรเทาลงแต่วูจินเริ่มหงุดหงิด

จรวดในอเมริกา... ไอ้บ้าที่ไหนทำวะ?

ฝีมือกิลด์ไททันรวมหัวกับกระทรวงกลาโหม? หรือเป็นองค์กรอื่น?

ใครก็ช่าง นี่มันประกาศสงครามกับเขาชัดๆ ตอนเกาหลีเหนือ เขาโดนระเบิดในที่แคบอย่างสถานีรถไฟใต้ดิน และเขาเกือบไม่รอด ถ้าไม่มีเกราะผีเขาคงตายเปล่า

“ทำไมพวกมันถึงโจมตีฉัน?”

เขารู้ว่าพวกที่โจมตีเขาเป็นคนละพวกกัน แต่ส่วนสำคัญคือพวกมันต่างมุ่งเป้ามาที่เขา นี่เป็นการยืนยันให้เขาแน่ใจว่าคนบนโลกไม่อาจร่วมมือร่วมใจกันต่อต้านทราห์เน็ต

ไม่สิ มันเป็นไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

เขาไม่ได้พยายามขอความร่วมมือจากทุกคน เขาแค่อยู่ไปตามประสา เขาตัดสินใจแสดงให้คนบนโลกเห็นว่าเขาเป็นคนแบบไหนโดยไม่แยแสสายตาคนอื่น จะสร้างศัตรูบ้างก็ช่าง

ถ้าเขาสร้างศัตรูก็หมายถึงว่าเขาได้สร้างพวกเดียวกันด้วย

วูจินต้องปรับเปลี่ยนแผนอีก

ใครจะรับบทผู้นำปกป้องโลก?

กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว? เราส์ที่ครอบครองพลังไว้? หรือบรรดาประเทศที่มีกำลังทหารเข้มแข็งที่สุด?

ไม่ว่าไอ้เวรที่ไหน ถ้ามีพลังสักหน่อยก็ต้องพยายามฉวยตำแหน่งผู้นำทั้งนั้น

ทราห์เน็ตจะโจมตีเมื่อโลกแบ่งกำลังเป็นฝักฝ่าย

ทราห์เน็ตจะยกกองทัพนับไม่ถ้วนมา ส่วนโลก รอจนขุมพลังต่างๆเริ่มล้มหายถึงจะเริ่มหันมาร่วมกัน

นี่เป็นแบบฉบับที่เขาเจอมาแล้วตอนอยู่อัลเฟน

ตอนที่คังวูจินถูกเรียกตัวไป เป็นช่วงสงครามดุเดือดระหว่างกองทัพพันธมิตรกับกองทัพของทราห์เน็ต
หลายคนตาย ดินแดนกว้างใหญ่ถูกทิ้งร้าง ความเห็นของวูจินไม่มีความหมายในกองทัพพันธมิตร เขาจึงตัดสินใจออกมาสร้างกองทัพของตัวเองท่ามกลางดินแดนรกร้าง

เขาจะสร้างกองทัพบนโลกไปเงียบๆอีกไหม?

ถ้าอยากจะทำพลาดอีกรอบก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว

“ถ้าโผล่หน้ามาเจอกันตรงๆก็ดีสิ...”

ถ้าเป็นแบบนั้นวูจินจะได้เอาพวกมันมาเป็นตัวอย่างให้โลกรู้ซึ้งว่าเขาเป็นคนแบบไหน

เขาไม่สนว่าจะทำให้คนกลัวเขาหรือเปล่า

ศัตรูที่โหดร้ายกว่าเขาอยู่ตรงหน้า โลกต้องร่วมมือกัน วูจินจะเป็นคนนำโลกต่อต้านทราห์เน็ต อย่างน้อยเขาต้องมีตัวตนมากพอให้คนรับฟังเขา

เพื่อเป้าหมายนี้เขาไม่สนว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงเลวร้ายขนาดไหน

ปัญหาคือ...

“มันเร็วไป...”

เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเร็วกว่าที่วูจินคาดไว้

เขาไม่ได้ทำตัวเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการสร้างศัตรู ที่เขาทำคือเผยตัวตนแท้จริงของตัวเอง

แล้วไอ้ฉลาดน้อยที่ไหนถึงอยากรีบจัดการเขานัก?

ปับๆๆๆ

วูจินเงยหน้า เฮลิคอปเตอร์ลอยลำกลางอากาศห่างไปไกลกำลังบินจากไป

“บิบิ ตาม”

[ได้จ้า]

เกิดควันดำ บิบิลอยตามลมไปถึงใต้ฮ.แล้วเปลี่ยนกลับเป็นแมวเกาะไว้แน่น

“เฮ้อ ไปดูหน้าไอ้เวรพวกนั้นหน่อยดีไหม?”

วูจินวางกาเกบิไว้กับคนยิงเลเซอร์ เขาเดินไปทางที่ๆมีพลังของกาเกบิอยู่

***

“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ ประธานกิลด์อลันดาล คุณคังวูจินมาถึงสนามบินแล้วค่ะ”

คำพูดของมิสซิสฮามิลตันทำให้เมโลดี้สะดุ้ง

‘ทำไมพอได้ยินชื่อคนเกาหลีคังวูจินแล้วต้องตกใจขนาดนั้นนะ?’

ฮามิลตันสงสัยว่าคนจากอัลเฟนอย่างเมโลดี้มารู้จักคนเกาหลีได้อย่างไร และเธอก็สงสัยว่าทำไมเมโลดี้ต้องตกใจทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ แต่เธอถามไม่ได้

ฮามิลตันเป็นสาวกของอาเรีย เมโลดี้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์คนสำคัญ

“แน่ใจนะว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจ?”

“ไม่ค่ะ ดิฉันขอให้ทางกิลด์ไททันพาเขาไปโรงแรมโดยดูแลเป็นพิเศษ”

“...”

เมโลดี้เม้มปากไม่ให้สั่น

เมื่อนึกว่าพวกเขาจะต้องเจอกัน เมโลดี้อดตัวสั่นไม่ได้ วูจินคงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่เลยมาหาเธอ

เธอหลบไม่ได้ วิธีเดียวคือเจอกันตรงๆ แต่เธอก็อดกลัวไม่ได้

ไม่นะ เธอต้องเป็นคนไปหาเขาก่อนไม่ใช่เหรอ?

เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าเธอไม่ไปทักทายเขาก่อนเขาอาจจะโกรธก็ได้?

‘ถ้าเป็นเขาก็อาจเป็นไปได้’

สตรีศักดิ์สิทธิ์ลุกพรวดขึ้น

“เขาพักที่ไหน?”

“อะไรคะ?”

ฮามิลตันตกใจมาก เมโลดี้เป็นบุคคลสำคัญรองจากเทพีอาเรีย คังวูจินคู่ควรเหรอ?

“ฉันต้องไปหาเขา”

“...ฉันจะไปเตรียมอัศวินศักดิ์สิทธิ์ค่ะ”

ธุระของสตรีศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่จัดการเสร็จในโบสท์อาเรียในสำนักงานใหญ่ของกิลด์ไททัน แต่บางครั้งเธอต้องจัดงานข้างนอก จึงมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์คุ้มกัน

อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปมีความสามารถระดับเราส์แรงค์ B ขึ้นไป ผู้คุ้มกันของเธอเป็นกลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดในโลก

“ถือเป็นเกียรติของผมที่ได้ติดตามท่านครับ สตรีศักดิ์สิทธิ์”

“ผมขออาสารับใช้ท่านครับ”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์แย่งกันอาสา อัศวินสิบคนถูกเลือกออกมา

พวกเขาร่วมทางกับเมโลดี้มุ่งหน้าไปที่โรงแรมที่คังวูจินพัก

มีรถ 3 คัน สตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในรถคันที่สอง เจมส์นั่งข้างเธอ

สตรีศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาให้ลูกสาวของเขา หลังจากได้เจอปาฏิหาริย์เข้ากับตัว เจมส์กลายเป็นสาวกที่เคร่งครัดที่สุดคนหนึ่งของโบสถ์อาเรีย

เขาเคยเป็นเราส์แรงค์ A ตัวแทนของกิลด์ไททัน แต่ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าอัศวินศักดิ์สิทธิ์

“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์กังวลเรื่องอะไรอยู่หรือครับ?”

“ไม่มีอะไร”

ความกระวนกระวายใจฉายชัดในดวงตาสตรีศักดิ์สิทธิ์ เจมส์ไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยเห็นปลอดโปร่งเยือกเย็นอยู่เสมอ เหมือนนางฟ้าจากสวรรค์ งดงาม องอาจสมเป็นตัวแทนของเทพธิดา

“เฮ้อ ฉันไม่เป็นไร โปรดอย่ากังวลเรื่องฉันเลย”

“ครับ”

เมื่อเห็นเมโลดี้กระสับกระส่าย เจมส์ตัดสินใจจะตั้งใจคุ้มกันเธอให้ดี

ขณะพวกเขามุ่งหน้าไปทางโรงแรมรถก็หยุดวิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“รอสักครู่ครับ...”

เจมส์แตะเครื่องฟังที่หูแล้วพูด

“มีอะไร?”

[ซ่า มีระเบิดใกล้ๆ]

“อะไรนะ?”

เจมส์มองผ่านที่นั่งคนขับ เขาเห็นภาพเมืองข้างหน้า มีควันสีหนาลอยเหนือเมือง นี่เป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ
ที่หน้าต่างรถสั่นเมื่อกี๊เป็นผลสะท้อนจากการระเบิดเหรอ?

“ดูเหมือนจะมีการก่อการร้าย เพื่อความปลอดภัยของท่านเราต้องกลับแล้วครับ”

“...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ส่ายศีรษะ

เขากำลังอาละวาดเหรอ? เธอควรไปดูไหมนะว่าเกิดอะไรขึ้น?

“ฉันต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เราต้องกลับครับ ผมจะรายงานท่านหลังจากหาข้อมูลได้แล้ว”

“...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เงียบ เจมส์สั่งการคนในทีม

“เราจะกลับโบสถ์ นิค พาเด็กๆไปดูว่าเรื่องอะไร”

[ทราบแล้ว]

รถสองคันเลี้ยวกลับ คันสุดท้ายมุ่งหน้าไปยังที่เกิดระเบิด

***

นิคยืนเบื้องหน้าหลุมขนาดใหญ่

“อุกกาบาตตกตรงนี้เหรอไงเนี่ย?”

มองไปรอบๆ แรงกระแทกไม่ทำให้ตึกหลังไหนถล่ม แต่รอยแตกตามกำแพงและรถที่เสียหายมีไม่น้อย แล้วยังหลุมใหญ่นี่อีก

หนึ่งในสมาชิกทีมที่ถูกส่งดูลาดเลากลับมา

“นายคงไม่เชื่อ แต่มีคนหล่นมาตรงนั้น มีพยานเห็นเยอะ”

“ศพล่ะ?”

จิมมี่ยักไหล่

“ไม่ตาย พยานบอกว่าเขาเดินออกไปเฉยๆ”

“ล้อเล่นเหรอจิมมี่ ไม่พูดซะเลยล่ะว่ามีเทอร์มิเนเตอร์มา? เจอแรงปะทะที่ทำให้เกิดคลื่นกระแทกระดับนี้เข้าไปนายรอดเหรอ?”

“ใครจะรู้ ถ้าเป็นเราส์สายกายภาพก็อาจเป็นไปได้”

“ฮืม”

ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ถ้าเป็นเราส์สายเวทย์คงตายเพราะถูกยิง แต่กระสุนทะลุผิวของเราส์สายกายภาพไม่ได้ด้วยซ้ำ เราส์หลายคนมีผิวเหล็กกายเหล็ก

อย่างน้อยต้องเป็นเราส์สายกายภาพแรงค์ B ขึ้นไปถึงจะรอด เราส์สายป้องกันหล่นมาจากฟ้าเหรอ?

เพราะอะไรล่ะ?

เสียงใบพัดทำให้นิคเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเฮลิคอปเตอร์รายงานข่าวบนฟ้า เมื่อมองรอบๆก็เห็นนักข่าวกำลังถ่ายรูป

“กลับเถอะ”

“แบบนี้เหรอ? แล้วเรื่องตรวจสอบล่ะ?”

“เดี๋ยวข่าวก็บอกเอง”

จิมมี่หัวเราะลั่นเมื่อนิคตอบง่ายๆ

“ก็ได้ กลับกันเถอะ”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์มุ่งหน้ากลับโบสถ์

***

หน้าห้องพักของคังวูจิน

“โอย ขอร้องล่ะ”

จุงมินชานยืนหลังพนักงานที่กำลังใช้มาสเตอร์คีย์เปิดประตูห้องพัก เขาขยับเท้าไปมาอย่างร้อนใจ ตอนเขาอาบน้ำอยู่ตึกก็สั่นและเขาได้ยินเสียงระเบิด

มันสั่นเหมือนเกิดแผ่นดินไหว

สิ่งแรกที่มินชานนึกถึงคือคังวูจิน

เขารีบมาที่ห้องวูจินทันที แต่ประตูล็อกไว้ และยังไม่มีเสียงตอบจากในห้อง ด้วยเหตุนี้มินชานจึงรีบไปตามพนักงานทันที

“โอย ท่านประธาน ขอร้องล่ะ”

เมื่อประตูเปิดออก มินชานเห็นด้านในเป็นห้องมืด

เมื่อเปิดไฟ ลมที่พัดเข้ามาในห้องทำให้จุงมินชานตัวชาวาบ

“อา”

มินชานมองหน้าต่างพังด้วยท่าทีสิ้นหวัง

“ท่านประธาน”

เขารู้สึกคับแค้น ตอนได้ยินเสียงระเบิดเขาคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น

‘ท่านประธานเป็นคนทำ’

จุงมินชานมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นมองหาทั่วห้อง แต่ไม่เจอคังวูจิน

“เฮ้อ”

ท่านประธานมาก่อการร้ายในประเทศอเมริกาเหรอ? ถึงเป็นเขาก็ตามแก้ปัญหาไม่ไหวหรอกนะ

ไหนบอกว่าจะไม่ก่อเรื่องไง...

มินชานทรุดลงต่อหน้ากระเป๋าเดินทางที่ถูกรื้อของวูจิน





สารบัญ                                             บทที่ 74