วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 55

บทที่ 55 – หัวข้อ (3)


“ฮ้า เหนื่อยจริงๆ”

วูซุงฮุนขับรถกลับจากเดกูไปส่งโดจีวอนที่ซาดาง

เหนื่อยขับรถไม่พอ ผู้โดยสารที่มาด้วยยังทำให้เขากังวล

ผู้หญิงของคังวูจิน

ขนาดวูซุงฮุนที่เห็นคนสวยมาเยอะยังไม่เคยเห็นคนสวยขนาดนี้ ทำให้เขาไม่สบายใจตลอดเวลาที่อยู่ในรถคันเดียวกัน

วูซุงฮุนนวดไหล่ หลังอาบน้ำเขาเปิดเบียร์กระป๋องพลางนั่งที่โซฟา

“เฮ้อ ทีวีมีอะไรน่าดูมั่ง?”

ซุงฮุนเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ หยุดเมื่อเห็นงานแถลงข่าวที่กิลด์อลันดาลกับกิลด์ฮวารางจัดขึ้น

เขาให้ความสนใจเพราะมันเกี่ยวกับกิลด์ของเขา

“ฮะ รุมกัดอย่างกับหมา”

ซุงฮุนเห็นบรรดานักข่าวถามคำถามไม่ขาดสายและวูจินมองพวกเขานิ่ง ความขัดแย้งบางอย่างทำให้เขารู้สึกทะแม่งๆ

“อารมณ์เฮียโคตรร้าย...”

ขนาดพระราชายังถูกนินทาลับหลัง ซุงฮุนรู้ดีกว่าใครว่าวูจินไม่ใช่คนใจเย็น

เขาอุตส่าห์จัดฉากหาคู่ให้ ขอบใจสักคำก็ไม่มี กลับลงโทษเขาเสียนี่...

“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อจะไม่ฟิวส์ขาดเร้อ?”

ซุงฮุนกังวล แต่เขาไม่เชื่อว่าวูจินจะฟิวส์ขาดต่อหน้ากล้อง เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายแต่คงไม่โอหังขนาดนั้น...

ซุงฮุนดื่มเบียร์ได้หนึ่งอึก วูจินในจอก็ลุกขึ้น เห็นท่าไม่ดี

“มีเรื่องแน่ นิสัยเฮียบ้าเหมือนม้าป่า”

สีหน้าของวูจินแสดงว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ซุงฮุนเป็นคนขายของมา 8 ปี แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าใครคิดอะไร

แล้วก็จริง วูจินเตะประธานของกิลด์ฮวารางผู้กำลังทุกข์ทรมานจากการสูญเสียน้องสาว

“ว้าว เท่โคตร”

วูซุงฮุนตะโกนขึ้นโดยไม่ทันคิด

เขารู้ว่าประธานของเขามือไวใจร้อน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเผยนิสัยด้านนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน

“หวา เชี่ย คิดถึงตอนตูโดนอัดน่วมเลยว่ะ”

จนเดี๋ยวนี้เขายังหนาววูบๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่เคยขายกาแล็กซี่ห่วยๆให้คนนิสัยแบบนี้ นึกแล้วแก้มเขายังเจ็บตุบๆไม่หาย เหงื่อซึมหลังเมื่อเห็นวูจินเตะลีซังโฮที่พยายามจะลุกขึ้น ทำให้ซุงฮุนเห็นใจลีซังโฮขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“หวาๆ...หวา”

เขาประหลาดใจและช็อกมากจนพูดไม่ออก

หวา

คนๆหนึ่งทำตัวแบบนั้นได้ด้วย อยู่อย่างไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง

เขาเป็นคนที่อยู่อย่างตามใจตัวเอง

[ฉาด!]

กล้องบันทึกเสียงไว้ ร่างซุงฮุนสะท้านเมื่อได้ยินเสียงตบ เขาไม่อาจละสายตาจากจอโทรทัศน์ วูจินจะทำเรื่องใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่?

“หรือ...ว่านี่แหละเรื่องใหญ่แล้ว?”

หัวหน้ากิลด์ฮวาราง หนึ่งในสามกิลด์ใหญ่ของเกาหลี

บุคคลที่ว่าถูกคว้าคอ ถูกตบ ซุงฮุนรู้นิสัยวูจินดีว่าไม่มีทางตบทีเดียวแล้วจบแน่...

[กาเซลล์ตัวผู้เข้าหาตัวเมียเพื่อผสมพันธ์ กาเซลล์ตัวเมีย...]

หน้าจอเปลี่ยนเป็นกวางกาเซลล์สองตัวกำลังจีบกัน โดยมีเสียงสุขุมนุ่มลึกบรรยายประกอบ ซุงฮุนกระพริบตาปริบ

“อะไรวะ?”

ละครหลังข่าวถูกขัดด้วยข่าวด่วน ตอนนี้ข่าวด่วนก็เปลี่ยนเป็นสารคดีสัตว์โลก

อย่างที่คิดเลย ท่านประธาน...

“พนันได้เลยว่าทุกคนต้องตื่นเต้นกันใหญ่”

นี่ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ซุงฮุนหยิบมือถือแล้วเปิดหน้าเว็บไซต์ และอย่างที่คิด อันดับคำที่ค้นหามากที่สุดถูกคังวูจินเหมาไป

1. คังวูจินทำร้ายร่างกาย
2. งานแถลงข่าว
3. ตบหน้า
ใหม่ สตรีศักดิ์สิทธิ์
5. ผู้หญิงของคังวูจิน
ใหม่ ปาฏิหาริย์สตรีศักดิ์สิทธิ์
7. เรื่องใหญ่ระหว่างถ่ายทอดสด
8. ขจัดปัญหาผมร่วง
....

“หืม นี่อะไร?”

วูซุงฮุนคลิกลิงค์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ผลการค้นหาเพิ่มมากกว่าเดิม เขาคลิกที่วิดีโอแรก

ผู้ประกาศข่าวของสถานี BBS กำลังพูดอยู่แต่เป็นภาษาอังกฤษ วูซุงฮุนจึงฟังไม่เข้าใจว่ากำลังพูดอะไร ไม่นานวิดีโอก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งเดินออกมา

“ฮ้า เอลฟ์ เอลฟ์เว้ยเฮ้ย”

เขาว่าโดจีวอนสวยแล้วนะ แต่นี่... เป็นความสวยแบบที่ทำให้คนสงสัยว่าจริงหรือเปล่า เหมือนเขากำลังมองภาพ CG เขารู้สึกขัดๆ

ที่เหลือเชื่อกว่าคือคนที่อยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น

เอลฟ์สาวทำท่าเหมือนภาวนาไปทางคนบนรถเข็น แสงหมุนรอบตัวผู้ป่วย จากนั้นผู้ป่วยคนนั้นก็ยืนขึ้นทันที

“อะไรวะ?”

ไม่แค่นั้น ชายคนหนึ่งซึ่งมีแขนเพียงข้างเดียวยืนตรงหน้าเอลฟ์สาว เธอภาวนาอีก แสงหมุนรอบตัวเขาแล้วแขนก็งอกออกมา

“บ้าแล้ว ปลอมหรือเปล่า?”

โลกนี้มีเราส์หลายคนที่หาผลประโยชน์ด้วยการขายยามหัศจรรย์ ยาฟื้นฟูสภาพสามารถฟื้นฟูได้กระทั่งส่วนของร่างกายที่ขาดไป

แต่ไม่มียาตัวใดหรือทักษะแบบไหนที่สามารถรักษาความพิกลพิการที่เป็นมาแต่เกิด

หากว่ามีมันก็มีค่ามาก แม้มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อได้

ผู้หญิงคนนี้มีทักษะที่เหนือกว่ามหัศจรรย์อีก

“โฮ่”

ลำดับคำค้นหาที่เดิมมีแต่ชื่อคังวูจินถูกแทนที่ด้วยคำอย่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ BBS การรักษามหัศจรรย์ และ กิลด์ไททัน

ผู้สร้างปาฏิหาริย์ เมโลดี้สตรีศักดิ์สิทธิ์

การปรากฏตัวของเธอในอเมริกาช็อกคนทั้งโลก

***

การรักษาที่ก้าวล้ำกว่าศาสตร์การแพทย์

การรักษาที่สามารถรักษาได้แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายได้สร้างผลกระทบขนาดใหญ่ไปทั้งโลก

มิสซิสแฮมิลตันมีขาที่ไม่สามารถขยับได้มาตั้งแต่เกิด การรักษาผู้ป่วยที่มีชื่อเสียงคนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่ม

เธอรักษาชายผู้เสียแขนข้างหนึ่งไปในสงครามตั้งแต่ 20 ปีก่อน เธอทำให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินได้มาก่อนเลยให้ยืนขึ้นได้

ปาฏิหาริย์ที่น่าตื่นตะลึง และฝูงชนขนาดใหญ่รวมตัวกันหน้ากิลด์ไททันเพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์อีก คนนับไม่ถ้วนจากหลายๆประเทศมารวมกันที่นี่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับปาฏิหาริย์

มีแต่คนที่เชื่อเท่านั้นที่ได้รับ

ซึ่งก็คือคนที่ต้องการเป็นสาวกของเทพีอาเรีย

ขณะที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารอาเรีย เมโลดี้สร้างปาฏิหาริย์ เธอได้เผยการมีอยู่ของเทพีอาเรียให้โลกรู้
เมื่อมีคนเชื่อมากขึ้น การชวนคนเข้ามาเป็นสาวกก็เริ่มขึ้น

“หยุดเธอตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

เดคอน หัวหน้ากิลด์ไททันตามหาเมโลดี้ สำนักงานใหญ่ของกิลด์ไททันมอบพื้นที่ทั้งชั้นของตึกให้เมโลดี้กับสาวกของเธอใช้

“ท่านประธานจะตกลงตามคำขอของเธอจริงๆหรือครับ?”

“ดูนั่นสิ...”

เดคอนชี้ไปที่คนทั้งหลายที่กำลังบูชาเทพีอาเรีย ข้อแม้แรกของการรับการรักษาปาฏิหาริย์จากสตรีศักดิ์สิทธิ์คือต้องเปลี่ยนมาศรัทธาเทพีอาเรีย เมโลดี้รักษาได้แต่กับคนที่เชื่อในเทพีของเธอ คนจำนวนมากเปลี่ยนมาศรัทธาเทพีอาเรียแล้ว

“เธอมีสาวกไปแล้ว... เราจะชอบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ กิลด์ของเราต้องยอมรับคำขอนั้นถ้าอยากมีสัมพันธ์ที่ดีกับเธอต่อ”

เลขานุการของเดคอนเห็นด้วย เขาไม่ถามต่อ

“เราจำเป็นต้องใช้ทักษะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าของเธอ”

ทักษะมองเห็นอนาคตของเธอทำให้ไททันได้ครอบครองดันเจี้ยน 5 ดาว 5 แห่ง และดันเจี้ยน 6 ดาว 2 แห่งด้วยเวลาเพียงสัปดาห์เดียว

และที่เธอร้องขอก็มีเพียงสิ่งเดียว

กองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอาเรีย

“มีคนสมัครเยอะแล้วนี่ ใช่ไหม?”

“นั่นล่ะครับที่ผมกังวล”

เดคอนเข้าใจเรื่องที่เลขานุการของเขากังวล ในกิลด์ไททันมีเราส์หลายคนที่เข้าเป็นสาวกของเทพีอาเรีย พวกเขาและครอบครัวได้ประโยชน์จากการรักษาของเธอ

“เราไม่มีทางเลือก ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ต้องหาประโยชน์จากเธอให้ได้มากที่สุด”

“...”

เดคอนพูดเสียงบูด เขารู้สึกขมขื่นเหมือนตำแหน่งผู้นำของเขาถูกส่งไปที่เธอ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำให้เสียหายน้อยที่สุด เขาต้องหาทางได้ผลประโยชน์บ้าง

ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเราส์ที่เก่งที่สุดในขณะนี้

เธอมีความสามารถขั้น SS

***

“ลียุนฮีจะฆ่าฉัน อย่าถามฉันว่าทำไม ถามไอ้เวรนี่ที่พยายามจะลอบสังหารฉัน”

คังวูจินประกาศก้องต่อหน้านักข่าว จากนั้นออกไปจากงานแถลงข่าว พวกนักข่าวทำงานกันวุ่นวาย ส่วนลีซังโฮนอนนิ่งบนพื้น

ไม่มีใครถาม ไม่มีใครพูด มีแต่ความเงียบ

วูจินทิ้งระเบิดไว้แล้วก็ไป ลีซังโฮที่นอนนิ่งพลันลุกขึ้น ใบหน้าเขาบวมดูตลก

‘ห่า’

นึกไม่ถึงว่าวูจินจะบ้าขนาดนี้

“ท่านประธาน คิดอย่างไรกับเรื่องที่เขาพูดครับ?”

“คิดอะไร! เขาพูดไร้สาระน่ะสิ!”

ลีซังโฮตอบเสียงโกรธพลางเดินออกจากห้องแถลงข่าว ห่า เขาต้องมาเจอเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้

ลีซังโฮถุยน้ำลายผสมเลือดใส่พื้นโรงแรม ปากเขาชาไม่รู้สึกอะไร ตาพร่า ดูเหมือนเส้นเลือดในตาเขาจะแตก

“เหี้ย แม่งมันตบกูกี่รอบ?”

ลีซังโฮสลบไปกลางคัน บ้าชะมัด เขาเป็นเราส์ที่มีความสามารถด้านกายภาพ แรงค์ B แต่เขาสลบไปเพราะถูกตบ

“จะ...เจ็ดครั้งครับ...”

“ไอ้เหี้ย”

ลีซังโฮพ่นคำด่าติดๆกัน ต่อให้เอาคำด่าทั้งหมดมาด่าวูจินก็ยังไม่พอ

“เตรียมรถ เรียกทนายทั้งหมดมาที่กิลด์”

“ครับ”

ลีซังโฮออกจากโรงแรมไปเงียบๆทางประตูหลัง

***

“คุณทำเกินไป”

“...”

“นี่มันเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ คนอื่นๆจะกลายเป็นศัตรูของคุณ”

เมื่อฟังคำของจุงมินชาน วูจินหยุดเดินแล้วมองไปที่จุงมินชานตรงๆ

“เฮ้ มินชาน”

“ครับท่านประธาน”

จุงมินชานไม่ได้มองว่าวูจินอายุน้อยกว่าเขา สำหรับจุงมินชานแล้วคังวูจินดูผ่านโลกมามากกว่าเขา

“ไอ้เวรพวกนั้นพยายามต้อนฉัน ใส่ความฉันว่าเป็นฆาตกร”

“แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?”

“มันจริง”

“...!”

จุงมินชานประหลาดใจมากจนได้แต่กระพริบตา เฮมินกับซุงกูที่เดินตามหลังก็อึ้ง

“ยัยนั่นพยายามจะฆ่าฉัน ฉันเลยฆ่าซะ ฉันแข็งแกร่งกว่า มีปัญหาไหม?”

“...”

ปัญหาน่ะมีแน่ แต่มินชานไม่รู้จะตอบยังไง ถ้ากำลังจะถูกฆ่า การอยู่เฉยๆปล่อยให้ตัวเองถูกฆ่าจะไม่ยิ่งแปลกกว่าเหรอ?

“นายรู้ไหมว่าพวกที่ชอบวางแผนลับหลังกลัวอะไรที่สุด?”

“...”

“คือการทำให้เป็นเรื่องใหญ่ในที่สาธารณะไงล่ะ”

“...”

“มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ พวกนั้นจะวางแผนลับหลังไม่ได้ง่ายๆแล้ว”

จุงมินชานกำลังจะตอบโต้คำพูดของคังวูจินแต่แล้วก็เงียบไป

จากนี้ไปจะเป็นอย่างไรนะ?

คำถามจะเปลี่ยนจาก ‘ทำไมคังวูจินช่วยลียุนฮีไว้ไม่ได้?’ เป็น ‘กิลด์ฮวารางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารคังวูจินจริงหรือ?’

ไม่มีหลักฐานอะไรเลย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยน

เขานึกว่าวูจินทำอะไรไม่คิดเสียอีก แต่ดูเหมือนวูจินจะวางแผนบางอย่างไว้แล้ว จุงมินชานมองวูจินอย่างนับถือ

“สมแล้วที่เป็นท่านประธาน แล้วคิดจะจัดการเรื่องนี้ยังไงต่อ?”

“ทำไมฉันต้องคิด?”

คังวูจินยักไหล่

“นั่นงานนาย”

“...”

สุดท้ายก็ทำไม่คิดนี่หว่า! ไอ้ประธานบ้า

“ถ้าคิดว่าเงินเดือนน้อยไป ก็ขอเพิ่มได้นะ...”

อย่างน้อยวูจินก็มีมโนธรรมอยู่บ้าง

“เอ่อ ฉันจะลงดันแล้ว นายก็วางแผนไป ขอดูฝีมือกรรมการจุงหน่อย ไปกันเถอะซุงกู”

“ครับลูกพี่”

วูจินกำลังชนแล้วหนีชัดๆ

คิมเฮมินจับไหล่จุงมินชานที่กำลังท้อแท้ พวกเขาสบตากัน ความเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้งได้ก่อตัวขึ้น

คังวูจินกับซุงกูออกจากโรงแรมแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าดันเจี้ยนได้ทันที

“เฮ้ย นั่นคังวูจิน!"

ถนนตรงหน้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน

คนเยอะขนาดนี้คงเห็นได้แต่ในงานแจกลายเซ็นของดาราดังเท่านั้น

นักข่าวที่ไม่ได้รับเชิญเข้าไปในงานแถลงกำลังยุ่งกับการบันทึกภาพ

“อะไรเนี่ย”

ทำไมคนเยอะขนาดนี้มารวมกันกลางดึก? เมื่อคังวูจินเดินต่อ ฝูงชนก็หลีกทางให้ เขาเป็นเราส์ที่เก่งมากจนทุกคนได้แต่มองไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้

ดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดีใจและแปลกใหม่ผสมกัน

“ขอบคุณ ขอบคุณมากที่ปกป้องบ้านของพวกเรา จากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเป็นกำลังใจให้คุณ”

“พี่ชาย เท่มาก ขอบคุณนะ”

“ฉันอยู่ที่นี่มา 70 ปี ขอบคุณจริงๆ”

“ฮือๆ ขอบคุณมากๆค่ะ”

ผู้เฒ่าผู้แก่ คู่แต่งงานใหม่ นักเรียนใส่ชุดเครื่องแบบ แม้แต่หนุ่มใหญ่หน้าเคร่งขรึม

ดันเจี้ยน 6 ดาวจะระเบิด

ผู้ที่อาศัยที่นี่ต้องทิ้งบ้านเรือน ต้องอพยพออกไป มาตอนนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อขอบคุณคังวูจิน ไม่ได้มาดูดารา

พวกเขามาพบผู้มีพระคุณที่ปกป้องบ้านของพวกเขา

คังวูจินยิ้ม

เขาได้เพิ่มเลเวลและยังได้ปกป้องบ้านของคนเหล่านี้

ทุกก้าวที่คังวูจินเดิน ฝูงชนก็หลีกทางให้ ฮงซุงกูที่เดินตามวูจินยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ

“คุณลุง ขอบคุณมากๆค่ะ”

เด็กคนหนึ่งวิ่งออกมาแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้วูจิน คังวูจินหยุด เขาสบตาเด็กคนนั้น ดวงตาของเด็กคนนั้นกำลังหัวเราะ

เป็นรอยยิ้มที่ใสกระจ่าง

‘อืม นี่มัน...’

คังวูจินรับช่อดอกไม้มา เขาอุ้มเด็กคนนั้นขึ้น มืออีกข้างชูช่อดอกไม้ขึ้นเหนือศีรษะ

‘ไม่เลวแฮะ’

ท่าทางของคังวูจินเรียกเสียงเชียร์จากฝูงชน

“เฮ!”

“คังวูจิน!”

จุงมินชานออกมาเพราะได้ยินเสียงดัง เขาส่ายหน้า บางทีการจัดการเก็บกวาดเรื่องที่เกิดขึ้นอาจไม่ยากอย่างที่คิด

ประธานกิลด์อลันดาลนี่เป็นเทพเจนัสชัดๆ... (TN- เทพโรมัน มีสองหน้า)

มินชานกับเฮมินมองประธานกิลด์อลันดาลที่เข้าดันเจี้ยนไปพร้อมกับเสียงเชียร์

คังวูจินเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยเมืองนี้เอาไว้





สารบัญ                                        บทที่ 56

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 54

บทที่ 54 – หัวข้อ (2)


โรงเรียนมัธยมปลายมิโด

เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนจะถึงการสอบ CSAT ทางเดินหน้าห้องเรียนของปีสามจึงเงียบยิ่งกว่าเคย

ลีซุลกิเดินเข้ามาใกล้โดเจมิน เขาดูกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที

“เฮ้ ซุลกิ หวัดดี”

“อื้ม หวัดดีเจมิน”

ซุลกิหัวเราะสดใสเมื่อเจมินโบกมืออย่างขัดเขิน เมื่อผ่านไป เจมินรู้สึกเหมือนก้อนหินหนักๆตกทับอกเขา

ไม่ใช่ เหมือนหัวใจเขากำลังหล่นวูบ

‘อ๊าก โดเจมิน แกมันโง่’

ต่อให้เตะตัวเองก็สายไปแล้ว หลังจากวันนั้นเขารู้สึกว่าซุลกิห่างไปมาก เธอน่ารักกว่าเดิม หัวเราะบ่อยกว่าเดิม แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป

เขาคิดถึงแต่เรื่องนี้จนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ เขาผ่านแต่ละวันไปอย่างอ่อนล้า

ก่อนถึงเวลาเรียนพิเศษ เจมินเปิดมือถือ อ่านข่าวในเน็ตตามความเคยชิน จากนั้นส่ายหน้าเมื่ออ่านบทความที่ถูกโพสท์

“นึกไม่ถึงเลยว่าพี่เค้าจะเก่งขนาดนี้”

เมื่อก่อนพี่วูจินเหมือนคนจรจัด แต่ตอนนี้เหมือนเป็นทายาทเศรษฐีที่ไหน

[อุบัติการณ์ครั้งแรก ปาร์ตี้สองคนพิชิตดันเจี้ยน 6 ดาว]

[การตายปริศนาของรองหัวหน้ากิลด์ฮวาราง ลียุนฮี]

[คังวูจิน A? AA?]

“เอ๊ะ เกิดเรื่องเหรอ?”

เจมินเสิร์ชหาบทความอีก และดูเหมือนในเน็ตจะเกิดเรื่องใหญ่ตั้งแต่เช้าของเมื่อวาน ก่อนดันเจี้ยนระเบิด วูจินกับลียุนฮีเข้าไปในดันเจี้ยนและเคลียร์ได้ ยิ่งกว่านั้นลียุนฮีตายในระหว่างเคลียร์ดันเจี้ยน

“ฮ้า”

คนทั้งสองหยุดดันเจี้ยนไม่ให้ระเบิดได้นับเป็นข่าวใหญ่ แต่ข่าวสะเทือนขวัญกว่านั้นคือการเสียชีวิตของเราส์ชื่อดัง ลียุนฮี

[ผู้หญิงของคังวูจิน?]

“อะไรนะ?”

เจมินประหลาดใจเมื่อเปิดบทความขึ้นมา

“ฮ้า? พี่เขามีแฟนด้วย? ว้าว สวยชะมัด”

รูปของคังวูจินจูบผู้หญิงคนหนึ่งถูกโพสท์เอาไว้ หน้าของเขามีแผลจากดันเจี้ยน

หัวข้อค้นหาอันดับหนึ่งในตอนนี้คือแฟนสาวของคังวูจิน

โดเจมินดูรูปถ่ายรูปแล้วรูปเล่า เขาส่ายหน้า

“หวา สวยจริงๆ”

หน้าตาคุ้นๆ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่โดเจมินเคยเห็นมา ในรูป ดวงตาของเธอคลอน้ำตา ยิ่งทำให้ดูสวย

“เอาล่ะ เริ่มเรียนกันเลย”

ติวเตอร์มาถึง เจมินเก็บโทรศัพท์แล้วตั้งใจเรียน

โทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อหมดเวลาเรียน เจมินรับสายอย่างดีใจ

“พี่”

[กำลังจะกลับบ้านเหรอ]

“อื้ม”

[พี่ก็กำลังจะไปที่บ้านเหมือนกัน...]

“เอ๋?”

[พี่ลาออกแล้วนะ]

“เอ๊ะ?”

[เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง ใกล้จะถึงแล้วล่ะ เธอรอพี่ที่บ้านนะ]

“เอะ เอ๊ะ?”

ตื๊ดๆๆ

พี่สาวของเขาพูดจบก็ตัดสาย เจมินงง เมื่อถึงบ้านเขาโยนกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง

ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีสมาธิเรียนหนังสือ คิดถึงแต่ซุลกิ

เจมินนอนเหม่ออยู่นานจนได้ยินเสียงประตูเปิด

“พี่มาแล้วเหรอ? ทำไมจู่ๆก็ลาออกล่ะ...”

เจมินลุกขึ้นมองพี่สาวแล้วนิ่งไป จีวอนเห็นแล้วหัวเราะ

ขนาดเธอยังช็อก แล้วเจมินจะประหลาดใจขนาดไหน?

เจมินกระพริบตาปริบ

“ใคร?”

“คิดว่าใครล่ะ พี่เอง”

เจมินจำได้ว่าเคยเห็นคนตรงหน้าที่ไหน เมื่อนึกขึ้นได้เขาก็ประหลาดใจ

“ฟะ...แฟนพี่วูจิน?”

“อยากโดนตีเหรอ? จำหน้าพี่ตัวเองไม่ได้แล้วเหรอ?”

“ฮะ พะ...พี่?”

เจมินตกใจ หลังอุบัติเหตุนั้นพี่สาวก็ปิดหน้าตัวเองเสมอ... จริงๆด้วย นี่คือพี่สาวของเขา

เธอดูไม่ต่างจากตอนยังสวย

“พี่ พี่ ฮือ”

“ฮึก เจมิน”

พี่น้องกอดกัน ร้องไห้ด้วยกัน ทันใดนั้นเจมินก็ปาดน้ำตาแล้วมองพี่สาว

“พี่วูจินล่ะ?”

“เขายังอยู่ที่เดกู”

“พี่เค้าเป็นคนรักษาพี่เหรอ?”

จีวอนพยักหน้า

“ฮือ พี่เค้าให้พี่ตอบแทนด้วยการเป็นแฟนเหรอ?”

“เอ๊ะ? นั่นมัน...”

“ฮือ แง”

เขาซาบซึ้งที่ใบหน้าพี่สาวกลับเป็นเหมือนก่อน แต่รู้สึกว่าถูกแย่งชิงบางอย่างไป ทำให้เจมินร้องไห้ต่ออีกนาน

*****

โรงแรมใกล้สถานีจูกจุง

วูซุงฮุนขับรถไปส่งจีวอนที่โซล ส่วนจุงมินชานต้องเจรจาเรื่องแบ่งสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของดันเจี้ยนระหว่างกองทัพกับกิลด์ฮวารางจึงยังไม่ได้กลับโซล

การเจรจายืดเยื้อ วูจินจึงพักที่โรงแรม

“หือ หูฉันมันร้อนๆ?”

“มีใครนินทาลูกพี่อยู่หรือเปล่าครับ?”

วูจินยิ้มเหยียด

“หูฉันไม่ร้อนกับแค่โดนนินทาหรอก อาจมีใครสาปแช่งฉันอยู่”

“....”

“เข้าดันเจี้ยนกันเถอะ”

“ตอนนี้เหรอครับ? แต่การเจรจายังไม่เรียบร้อยเลย...”

“พอเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จค่อยให้บลัดสโตนพวกนั้นไม่ได้เหรอ?”

เขาไม่สนเรื่องสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของ เขาไม่จำเป็นต้องหาของจิ๊บจ๊อยอย่างบลัดสโตน ที่จำเป็นสำหรับเขาคือค่าความสำเร็จกับค่าประสบการณ์

วูจินเก็บเลเวลได้ช้าลง แต่ก็ใกล้จะถึงเลเวล 60 แล้ว การเพิ่มเลเวลให้อสูรของเขาก็สำคัญพอๆกัน

‘ถึงยังไงเลเวลก็เพิ่มเร็วกว่าที่อัลเฟน...’

การเก็บเลเวลใช้เวลาไม่มากเท่าตอนเขาอยู่ที่อัลเฟน ถึงอย่างนั้นวูจินก็ไม่สบายใจนักเพราะไม่รู้ว่ากองทัพหลักของทราห์เน็ตจะบุกมาเมื่อไหร่

ที่โลกยังไม่มีมอนสเตอร์ออกมาเพ่นพ่านนอกดันเจี้ยนเหมือนที่อัลเฟน แต่สุดท้ายมอนสเตอร์จะออกมาอยู่ดี ตอนนั้นความโกลาหลจะเริ่มขึ้น

วูจินไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ชะล่าใจ เขาเตรียมตัวเงียบๆ

“ฉันจะออกไปบอกเฮมิน เราจะเข้าดันเจี้ยน เตรียมตัวด้วย ฉันจะบอกให้กรรมการจุงเจรจาแบ่งผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม ฉันยินดีแบ่งเงิน”

เขายอมแบ่งเงิน แต่ไม่ยอมแบ่งค่าประสบการณ์

“ครับ”

วูจินออกมาข้างนอก ซุงกูเตรียมตัวเข้าดันเจี้ยน วูจินใช้ค่าความสำเร็จที่ได้มาเหลือเฟือซื้อกระเป๋าเพิ่มช่องเก็บของและซื้อหินเพิ่มพลังเพิ่มค่าสถานะให้ตัวเอง

ไม่นานเฮมินก็มาหา

“ท่านประธาน ท่านประธานต้องไปที่นั่นแล้วล่ะครับ”

“ฉันยกสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างให้มินชานแล้วนี่”

เขาไม่อยากคุยเรื่องน่าเบื่อกับพวกสกปรก นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเอามินชานกับเฮมินเข้ามา ให้สองคนจัดการงานจุกจิกไป

“อ้า การเจรจาใกล้เสร็จแล้วครับ กองทัพจะเอา 20% กิลด์ฮวาราง 30% ส่วนแบ่งของเราคือ 50%”

“ส่วนแบ่งของกองทัพไม่ใช่น้อยๆเลยนะ”

“ก็ คิดว่าเป็นค่าไม่ต้องเกณฑ์ทหารแล้วกันนะครับ”

ถึงอย่างไรที่พวกเขาเข้าร่วมแผนนี้ก็เพราะทางกองทัพขอมา

“อีกอย่าง กิลด์ฮวารางอยากเข้ามาเก็บอาร์ติแฟค ท่าทางอยากจะร่วมปาร์ตี้กับอลันดาล แต่ท่านประธานอยากเข้าดันเจี้ยนคนเดียว กรรมการจุงเลยต่อรองใหม่ สรุปว่า ทุกครั้งที่เราใช้ดันเจี้ยนสองครั้ง กิลด์ฮวารางจะใช้ดันเจี้ยนหนึ่งครั้งครับ”

“หืม”

วูจินลูบคาง

“ฉันอยากให้เปลี่ยนเป็นระยะเวลาแทนจำนวนครั้ง เราใช้ 2 วัน แล้วให้ไอ้พวกนั้นใช้ 1 วัน”

ดันเจี้ยน 6 ดาวถูกพิชิต ข้อมูลรายละเอียดเผยแพร่ออกมา เวลาในการเคลียร์ดันเจี้ยนคือ 12 ชั่วโมงของเวลาจริง หรือ 2 วันในดันเจี้ยน

อลันดาลจะได้เข้าดันเจี้ยน 4 ครั้ง และฮวารางจะได้เข้า 2 ครั้ง

เท่ากับเป็นสัดส่วน 2:1 เช่นกัน วูจินจะเก็บค่าประสบการณ์ในช่วงนั้นให้ได้มากที่สุด ถ้าเร่งมือหน่อยเขาจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้มากกว่า 4 ครั้ง อาจเพิ่มได้เป็นสองเท่า

วูจินไม่รู้ว่าจะได้เป็นเจ้าของดันเจี้ยน 6 ดาวอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาตัดสินใจจะเพิ่มเลเวลให้เต็มที่

“บอกมินชานตามนี้”

“เข้าใจแล้วครับ แต่ว่านี่ไม่เกี่ยวกับการเจรจานะครับ ท่านประธานต้องไปที่งานแถลงข่าว”

วูจินเลิกคิ้ว

“งานแถลงข่าว?”

***

ในงานมีกล้องโทรทัศน์จำนวนมาก นักข่าวยิ่งมากกว่า วูจินเข้าไปในห้องโถงของโรงแรมที่มีคนอยู่เต็ม จุงมินชานนั่งอยู่แล้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตัวแทนของกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ และคนอื่นๆก็นั่งประจำที่

วูจินนั่งถัดจากจุงมินชาน

“ขอโทษ ผมห้ามการสัมภาษณ์ไม่ได้ ถ้าใครถามอะไรที่ท่านประธานไม่ถูกใจก็ไม่จำเป็นต้องตอบนะ”

วูจินฟังคำมินชานผ่านๆมองไปรอบตัว เขาเห็นลีซังโฮยิ้มให้วูบหนึ่ง คงวางแผนอะไรบางอย่าง

‘คิดจะทำอะไรสิท่า’

วูจินนั่งเฉยๆพลางสังเกตการณ์

“กิลด์ฮวารางกับกิลด์อลันดาลปรึกษากันมาก่อนหรือเปล่า? ได้มีการตกลงอะไรกันหรือเปล่าเกี่ยวกับการเข้าดันเจี้ยนอย่างไม่มีเหตุผลในครั้งนี้? ประธานลีซังโฮสั่งการอะไรหรือเปล่า?”

“ผมไม่ได้สั่งอะไรเธอ รองประธานลียุนฮีเป็นผู้รับผิดชอบแผนนี้ ผมบอกให้เธอร่วมมือกับคุณคังวูจิน บุคคลสำคัญในเวลานี้ อย่างเต็มที่”

ลีซังโฮตอบคำถามนักข่าวรวดเร็วเหมือนซ้อมมาก่อน

“ถ้าอย่างนั้นก็คาดเดาได้ว่ารองประธานลียุนฮีเข้าดันเจี้ยนเพื่อช่วยประธานกิลด์อลันดาล คังวูจิน เป็นไปได้มากใช่ไหมคะ?”

“อืม เกี่ยวกับเรื่องนี้... ผมยังไม่เชื่อว่าน้องสาวของผมไม่อาจกลับมา...”

ลีซังโฮทำสีหน้าเจ็บปวดแล้วยกมือปิดหน้า สายตานักข่าวทุกคู่มองไปทางคังวูจิน

“ขอถามคุณคังวูจิน คุณได้ปรึกษาคุณลียุนฮีก่อนตัดสินใจเข้าดันเจี้ยนหรือไม่ครับ?”

“...”

นักข่าวถามต่อเมื่อเห็นวูจินนั่งนิ่งไม่ตอบ

“ขณะที่สู้ในดันเจี้ยน ทีมเวิร์คของคุณกับคุณลียุนฮีเป็นอย่างไร?”

“กรุณาบอกรายละเอียดว่าเธอเสียชีวิตอย่างไรด้วย”

“เธอเสียชีวิตได้อย่างไร ผู้เป็นอมตะคือศัตรูตัวสุดท้ายเหรอ? คุณคังวูจินพยายามเต็มที่เพื่อช่วยเธอหรือเปล่า?”

“...”

วูจินยังนิ่ง

คนที่ตอบเป็นจุงมินชาน

“พวกคุณเอาแต่ถามๆๆ ประธานของเราเพิ่งเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จแค่ไม่กี่ชั่วโมง”

นักข่าวคนหนึ่งโต้กลับ

“เท่าที่ผมรู้มา เขาขอเข้าดันเจี้ยนอีกไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่ๆ ถ้าเขาแข็งแรงดีพร้อมเข้าดันเจี้ยนอีกก็แสดงว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์นี้นัก”

“หรือคุณพยายามหลีกเลี่ยงคำถาม หรือว่าเกิดข้อขัดแย้งอะไรกับคุณลียุนฮีระหว่างอยู่ในดันเจี้ยน?”

ลีซังโฮแอบยิ้ม

นั่นแหละ ต้อนมันให้มากๆ เราส์เป็นบุคคลสาธารณะ

คังวูจินไม่ใช่แค่เราส์แรงค์ A อาจเป็นแรงค์ AA ข้อนี้กลายเป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อๆกันในเกาหลีและเริ่มขยายต่อไปยังต่างประเทศ

ทุกอย่างจะถูกสื่อมวลชนเผยแพร่ไป ทุกคนจะรู้ทุกการกระทำของเขา ทั้งโลกจะสนใจเขา ลีซังโฮอยากให้คังวูจินใช้ชีวิตอย่างระวังตัวทุกฝีก้าวแบบนี้แหละ วูจินอาจนึกภาพไม่ออกว่าชีวิตที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนมันยากลำบากขนาดไหน

‘เชื่อได้เลยว่าไอ้เวรนี่ไม่เคยเจอชีวิตแบบนี้มาก่อน’

ลีซังโฮอยากให้ความใจร้อนของวูจินพาตัวเองให้ตกต่ำ

ถ้าทั้งโลกสนใจวูจิน สื่อมวลชนจะตอกย้ำทุกครั้งที่วูจินทำผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย มันจะนำเขาไปสู่หายนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสามารถของเราส์ แต่เป็นปัญหาด้านความแข็งแกร่งของจิตใจ

“คุณคังวูจิน คนของประเทศนี้มีสิทธิ์จะรู้ กรุณาตอบคำถามด้วย”

“...”

วูจินนิ่ง จุงมินชานหน้าเคร่งเมื่อเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปในทางแปลกๆเหมือนถูกใครชักจูง

ถ้ารู้ว่างานแถลงข่าวจะกลายเป็นแบบนี้ จุงมินชานจะทำทุกอย่างไม่ให้มันถูกจัดขึ้น ลีซังโฮได้เปรียบเขาในการเจรจาทำให้เขายอมรับการจัดงานแถลงข่าว เขารู้อยู่แล้วว่าลีซังโฮต้องโกรธที่สูญเสียน้องสาว แต่...

แน่นอน ประธานของเขาไม่ผิด แต่คนที่เสียสมาชิกครอบครัวไปจะคิดแบบนั้นเหรอ? คงต้องโทษใครสักคน ต้องเอาความโกรธไปลงที่ใครสักคน

‘เขาโทษท่านประธานโดยไม่มีเหตุผล...’

แม้จุงมินชานจะเข้าใจความเสียใจของลีซังโฮ แต่ไม่ยุติธรรมเลย งานแถลงข่าวเป็นการถ่ายทอดสด ตอนนี้ท่านประธานไม่อาจตอบคำถามของลีซังโฮ

“คุณคังวูจิน กรุณาตอบ...”

ท่ามกลางเสียงโวยวายของนักข่าว วูจินยกมือขึ้นเหมือนบอกให้หยุด เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วมองบรรดานักข่าวอย่างเย่อหยิ่ง

“พวกนายอยากได้อะไร?”

“มวลชนมีสิทธิ์รู้ความจริง พวกเรา...”

“หยุดพูดไร้สาระ”

“...”

วูจินลุกขึ้นยืน

เขาเดินผ่านจุงมินชานไปทางลีซังโฮ ลีซังโฮเงยหน้าเศร้าสร้อยของตัวเองขึ้น คังวูจินเตะลีซังโฮ

‘หา?’

ลีซังโฮตกเก้าอี้ งงกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

“นายทำอะไร?”

“ไอ้ทุเรศ”

วูจินยิ้ม เมื่อลีซังโฮพยายามจะลุกขึ้น วูจินก็เตะที่หน้าอกเขาอีก

“เฮ้ย นายบ้าไปแล้วเหรอ? นี่มันถ่ายทอดสดนะ”

“แล้วไง?”

เมื่อลีซังโฮลุกขึ้นได้ก็ถูกวูจินคว้าคอไว้ วูจินลากลีซังโฮเข้ามาจ้องตาใกล้ๆ ดวงตานิ่งเฉยของคังวูจินเหมือนมองทะลุเขา ลีซังโฮหลบตา

“ถ้านายอยากทำเรื่องทุเรศแบบนี้ก็ทำตรงๆ อย่ามาวางแผนลับๆล่อๆเหมือนไอ้ขี้ขลาด”

“ฮะๆ นายพลาดไปแล้ว นี่เป็นถ่ายทอดสดไปทั้งประเทศนะ”

ลีซังโฮหัวเราะทั้งๆถูกบีบคอ เขารู้ว่าหมอนี่ต้องระงับอารมณ์ไม่อยู่แน่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วแบบนี้
มันจบแล้ว

“ก็แล้วไงเล่า?”

ถ่ายทอดสดทั่วประเทศ? ประชากรของเกาหลีมีสัก 50 ล้านคนได้ไหม?

ที่อัลเฟนมีคนเท่าไหร่? หนึ่งพันล้าน? สองพันล้าน? เขาฆ่าไปเยอะจนไม่แน่ใจแล้วว่ายังเหลืออีกเท่าไหร่แน่ ทั้งอัลเฟนจับตาดูเขาทุกฝีก้าว ต่อให้คนบนโลกทั้ง 6 พันล้านเฝ้ามองเขา คิดว่าวูจินจะเปลี่ยนท่าที?

“นายชอบโดนอัดต่อหน้ากล้องไหม?”

“หา?”

คังวูจินตบหน้าลีซังโฮ

ตากล้องบันทึกภาพต่อไปด้วยสีหน้าตะลึงงัน นักข่าวคนอื่นต่างพูดไม่ออกได้แต่กลืนน้ำลาย



สารบัญ                           บทที่ 55




วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 53

บทที่ 53 – หัวข้อ


สถานีจุกจุนทางออกที่ 3
“บาเรียหายไปแล้วแปลว่าปลอดภัยแล้วใช่ไหม? เราได้รับคำขออย่างเป็นทางการให้มาช่วยที่นี่ สมาชิกกิลด์อลันดาลมีสิทธิ์ผ่านไปได้ ขอผ่านไปล่ะ”

“แต่ว่า...”

จุงมินชานฝ่านายทหารที่ยืนลังเลมาได้ ซุงกูกับเฮมินฉวยโอกาสตามไป จากนั้นวูซุงฮุนก็ตามพวกเขาไปอีกที

“หลีกทาง”

ลีซังโฮสั่งพวกทหารอย่างโกรธเคือง พวกเขาถอยให้อย่างไม่ทันคิด จีวอนถือโอกาสนั้นเดินเข้าไปก่อน

“อา...”

น้ำตาไหลอาบหน้าจีวอน เธอมองร่างของวูจิน เขามีเลือดติดอยู่ตามร่างและที่หน้าก็มีรอยแผลลึกจากดาบ...

จีวอนออกวิ่งทั้งใบหน้านองน้ำตา

“ท่านประธาน!”

คังวูจินกระพริบตาเมื่อเห็นจุงมินชาน ฮงซุงกู คิมเฮมินและวูซูงฮุนวิ่งมาทางเขา

“เอ๊ะ? พวกนายมากันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“พอได้ข่าวเราก็รีบมาทันที”

“อ้าวเหรอ? ฉันทำมือถือหล่นแถวๆนี้ ช่วยหาหน่อย...”

อ้า ตอนนี้ทั้งประเทศกำลังวุ่นวายเพราะท่านประธาน แต่เขากลับ...

ก่อนคนทั้งกลุ่มจะหายอึ้ง จีวอนวิ่งไปกอดวูจิน วูจินผงะไปหนึ่งก้าวเมื่อถูกโผกอด

“ฮึกๆวูจิน”

“จีวอน?”

“ฮือ ฉันห่วงนายแทบแย่”

จีวอนเงยหน้านองน้ำมูกน้ำตามองเขา วูจินยิ้ม ยาได้ผลดีทีเดียว

“เธอสวยขึ้นนะ...”

“ฮือๆ”

น้ำตาเธอไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ใช่ เธอสวยขึ้น เธอรู้สึกขอบคุณวูจินมาก มากๆจนห้ามใจตัวเองไม่ได้

เธอช็อกเมื่อเขาเข้าดันเจี้ยน 6 ดาว... เธอวุ่นวายใจเมื่อคิดว่าถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด... เธอจะไม่มีโอกาสขอบคุณเขา ไม่มีโอกาสให้คำตอบเขา

“หน้านายเป็นอะไร? ฮึก บ้า ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเจ็บล่ะ?”

จีวอนลูบหน้าวูจิน

‘อ่า ถ้าเธอจับแบบนั้น ยาก็หลุดหมดสิ แผลแค่นี้พรุ่งนี้ก็หาย...’

“ฮึกๆ นายเป็นแผลแบบนี้แล้วจะทำยังไง?”

จีวอนร้องไห้ เธอได้ใบหน้าของเธอคืนมา แต่หน้าของวูจิน...

ไม่สิ เรื่องนี้ไม่สำคัญสำหรับเธอ

ต่อให้วูจินกลายเป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด เธอไม่สนใจ

แค่เขารอดกลับมาเธอก็ดีใจแล้ว

เมื่อจีวอนได้แหวนเป็นของขวัญ เธอก็เลือกคำตอบไว้แล้ว

เธอไม่เหมาะสมกับวูจิน แต่ว่า... ถ้าเขารับเธอได้...

จีวอนกอดคอวูจินแล้วขโมยจูบ

“อุ๊บ”

วูจินตาโตอย่างแปลกใจ ทำไมจีวอนทำแบบนี้?

“อะไร?”

“ฮึก นี่คือคำตอบของฉัน”

เอ๋? เขาไม่เคยถามนี่ ตอบอะไร?

วูจินสับสน จีวอนยกนิ้วให้ดู

“นายให้แหวนฉัน ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”

“...”

วูจินไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรเลยมองไปรอบๆ เขาเห็นวูซุงฮุนที่ยืนข้างจุงมินชานกำลังชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองมือ

‘อ้อ ไอ้หมอนี่ ไอ้หมอนี่อีกแล้ว’

“วี้ดวิ้ว ท่านประธานเท่ไม่หยอก”

วูซุงฮุนพูดเบาๆแต่ทุกคนได้ยิน...

‘หมอนี่ไม่รู้จักกาลเทศะเลย ผิวปากทำบ้าอะไร’

จีวอนกอดวูจินแน่น เขาใช้หัวแม่โป้งดันหน้าผากเธอออก

“ไม่รู้จักกลัวเลยนะ คิดว่าจูบใครอยู่?”

“เอ๋?”

“เดี๋ยวผีก็สิงหรอก ปล่อย”

“เอ๋ อะไรกัน...”

จีวอนกำลังจะเถียง แต่นึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอรีบผละจากตัวเขา วูจินเป็นคนที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ เขาเป็นคนดัง...

‘ทำอะไรไม่คิดเลยฉัน...’

 แม้แต่ตอนนี้ กล้องของนักข่าวก็ยังบันทึกภาพอยู่

เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ในสายตาเธอไม่เห็นใครนอกจากวูจิน ตอนนี้เมื่อได้สติเป็นรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป เธอทำให้เสียเรื่องหรือเปล่านะ...

จีวอนคิดในใจ ตอนนั้นเองลีซังโฮคว้าไหล่วูจิน

“เฮ้ย”

“...”

วูจินหันไปมองข้างหลังเงียบๆ

เขาเห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของลีซังโฮ

“ทำไมน้องผมไม่ออกมา?”

น้อง? เขาเป็นพี่ของผู้หญิงน่ารำคาญที่ตามเขาเข้าไปเหรอ?

“นิสัยเสียแตะตัวคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”

วูจินจ้องลีซังโฮ เขาผงะแล้วปล่อยมือจากวูจิน

‘ตาอะไรแบบนั้นวะ?’

เขาเกือบหลุดคำหยาบ แต่รอบๆมีคนหลายคนกำลังมองพวกเขาอยู่

“เกิดอะไรขึ้นกับน้องผม หรือว่า...”

“อา เธอตายแล้ว”

“เป็นไปได้ยังไง... ศพเธอล่ะ? ทำไมคุณไม่พาศพน้องผมออกมา? ปกติต้องให้เกียรติศพผู้ตายไม่ใช่เหรอ?”

คนที่เข้าดันเจี้ยนต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมทีมเดียวกัน นี่เป็นกฎที่ต้องรักษา ถ้าวูจินไม่พาศพลียุนฮีออกมาเพราะตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอดก็ยังให้อภัยได้ แต่วูจินออกมาหลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จแล้ว

“ศพ...”

วูจินมองรอบๆ พวกพ้องกิลด์เดียวกัน ทหาร นักข่าว ลีซังโฮและสมาชิกกิลด์ฮวารางต่างอยู่ที่นี่

‘อืม ที่นี่ไม่ใช่อัลเฟน’

เขาไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่

“เธอเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ”

“...?”

“เธอสู้กับศัตรูที่เธอไม่ควรทำให้โกรธ เธอตายอย่างองอาจ”

“อะ อะไร? มอนสเตอร์ตัวไหนที่มันฆ่าน้องผม?”

มอนสเตอร์เหรอ...

“ผู้เป็นอมตะ”

“ผู้เป็นอมตะ...”

วูจินตบไหล่ลีซังโฮที่กำลังทวนชื่อนั้นไปมา เขากลับไปที่สมาชิกกิลด์ของเขา

“เจอมือถือแล้วยัง?”

“...ทางกองทัพน่าจะเก็บไว้ให้แล้วครับ”

วูจินกับสมาชิกกิลด์อลันดาลเดินไปทางศูนย์บัญชาการในโรงแรม

มือที่กำแน่นของลีซังโฮลสั่นเทิ้ม

“ใจเย็นๆเถอะครับ มีหลายคนกำลังมองอยู่”

“รวบรวมนักข่าวมา”

“อะไรนะครับ?”

“แม่งเอ๊ย คิดว่าฉันจะยอมอยู่เฉยๆเหรอ?”

ดันเจี้ยนไม่ระเบิด ลียุนฮีตาย

เลวร้ายที่สุด นี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

ลีซังโฮคำนวณในใจ สายตามองไปที่วูจินที่กำลังเดินห่างไป

“ไอ้ห่า...”

มาคิดดู ตั้งแต่ไอ้ห่านั้นโผล่มา ดูเหมือนวูจินจะขวางทางเขาเสมอ ขโมยดันเจี้ยน 5 ดาวไปได้ไม่นาน คราวนี้ก็ขโมยดันเจี้ยน 6 ดาวอีก

ลีซังโฮสะกดความโกรธไว้แล้วเข้าไปในรถเพื่อหลบสายตาสื่อมวลชน

ตรู๊ดๆๆ

เสียงโทรศัพท์ดัง ลีซังโฮมองชื่อคนโทรมาแล้วก็ความเครียดก็พุ่งสูง เขาต้องรับสายนี้

“ฮ้า แม่งเอ๊ย”

เขากดรับสาย

“ครับท่านประธาน ครับ.... ครับ ผมจะดำเนินแผนขั้นต่อไป ครับ ผมจะควบคุมความเสียหายให้น้อยที่สุดครับ...”

คุยสักครู่ลีซังโฮก็ตัดสาย เขาพยายามสงบสติอารมณ์

“เฮ้อ ไอ้สัตว์คังวูจิน”

ไอ้เราส์บ้าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน แรงค์ A เรอะ ตอนนี้แรงค์นั่นคงเป็นของกระจอกไปแล้ว สื่อมวลชนเรียกเขาว่าเราส์แรงค์ AA ไปแล้ว

ถึงจะมียุนฮีช่วย แต่แค่สองคนเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้...

“คิดว่าตัวเองแน่มาก ไม่ต้องพึ่งใครแล้วสิ?”

ลีซังโฮกัดฟันกรอด ต่อให้วูจินเป็นเราส์เก่งแค่ไหนเขาก็ไม่สน สังคมคือองค์ประกอบที่ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน

คิมกังชุลเป็นเราส์อันดับหนึ่งของเกาหลี ลีซังโฮยังไม่กลัว แค่คนๆเดียวจะทำอะไรได้

ทุกคนต้องอยู่ในกฎระเบียบ เมื่อคนๆหนึ่งแหกกฎครั้งแล้วครั้งเล่าก็เท่ากับจบ

ในทางตรงกันข้าม ลีซังโฮเป็นคนมีอิทธิพล

ฮวารางเป็นหนึ่งในสามกิลด์ใหญ่ของเกาหลี เขารู้จักกับนักการเมืองและพวกคนมีเงิน

ยุนฮีไม่ชอบวิธีนี้ แต่ฮวารางเติบโตมาขนาดนี้เพราะเขาใช้เส้นสายของคนพวกนี้เอง

เขาไม่เคยพลาด

“ฉันทนโดนคนอื่นขโมยของๆฉันไปไม่ได้ว่ะ”

วูจินกล้ามาขวางทางเขา?

ลีซังโฮหรี่ตา

“ชีวิตคือการต่อสู้”

เขาจะสอนบทเรียนชีวิตให้วูจินสักบท

***

“ฉันเพิ่งจะเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ ทำไมต้องออกไปสัมภาษณ์อีก?”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะปฏิเสธไป ผมจะส่งข้อมูลที่ท่านประธานให้มาไปให้พวกสื่อมวลชนแทนแล้วกัน”

“เอาสิ”

“แล้วเรื่องเก็บอาร์ติแฟคล่ะครับ?”

“กะว่าพอเก็บได้ครบแล้วค่อยกลับบ้านน่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะจองโรงแรมนี่ให้ท่านประธานหนึ่งเดือน กรรมการฮงกับเฮมินจะอยู่ช่วยที่นี่ด้วย”

“ฝ่ายเก็บของหนึ่งคน ฝ่ายเบ็ดเตล็ดหนึ่งคนก็พอดีแล้ว”

ซุงกูกับเฮมินทำแก้มป่อง (TN-...น่ารัก?)

“อ้อ แม่ฉันว่าไง?”

วูจินกังวลเรื่องแม่ ทุกครั้งที่เขาเข้าดันเจี้ยนก็ต้องเป็นข่าว...

“เอ่อ... กรุณาฟังอย่างสงบนะท่านประธาน”

“ฮะ? เกิดอะไรขึ้น?”

นี่เป็นเรื่องของครอบครัวเขา วูจินย่อมกระวนกระวายใจ จุงมินชานพูดหน้าตาเฉย

“ท่านยังไม่ทราบเรื่อง”

“อ้าว?”

“ผมติดต่อท่านไป ท่านยังไม่ได้ดูข่าวจึงไม่ทราบเรื่อง”

“...”

วูจินเลิกคิ้ว แบบนี้คงดีกว่าให้แม่รู้ข่าวแล้วเป็นห่วงเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ

“ท่านบอกว่าท่านโทรหาท่านประธานไม่ได้ ผมเลยถือสิทธิ์บอกไปว่าท่านประธานลืมโทรศัพท์ไว้ที่ๆที่ทำงานส่วนท่านเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่อื่น...”

“...”

“เอ่อ แบบนี้ดีไหมครับ?”

“ฮะๆๆ แน่นอน แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าไหร่ใช่ไหม?”

“ตั้งแต่ข่าวด่วนออกมา รายการข่าวถ่ายทอดสดที่นี่ 24 ชั่วโมง”

“...”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ทีม 2 คนเข้าดันเจี้ยน 6 ดาว ขนาดสื่อต่างประเทศยังมาทำข่าวเลย”

“...”

แปลก...

“แม่ฉันทำอะไรอยู่”

“ใกล้กำหนดย้ายบ้านแล้ว ท่านเลยออกไปหาซื้อพวกเฟอร์นิเจอร์...”

“...”

แม่เขาต้องตื่นเต้นมากแน่ๆ ขนาดไม่มีเวลาดูข่าว...

แบบนี้อาจจะดีก็ได้?

เขาไม่อยากให้ครอบครัวของเขากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ถ้าฉันรอเก็บอาร์ติแฟคแล้วค่อยกลับไป มันจะเลยวันย้ายบ้านหรือเปล่า?”

“คุณซุงฮุนกับผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ท่านประธานควรตั้งสมาธิกับการเคลียร์ดันเจี้ยน”

“อืม โอเค ขอบใจ...”

“ไม่ต้องขอบใจครับ นี่เป็นงานของหน่วยสนับสนุนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกผมฝากทางนี้ด้วย”

จุงมินชานลุกขึ้น คิมเฮมินกับวูซุงฮุนก็ลุกตาม

“คุยกันต่อเลยครับ”

คิมเฮมินดึงผม จากนั้นคว้าแขนฮงซุงกูที่กำลังนั่งอยู่อย่างไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ

“กรรมการฮง เราไปคุยกันต่อเถอะครับ”

“ครับ? เรื่องอะไร?”

คิมเฮมินพยายามขยิบตาส่งสัญญาณให้ซุงกู แต่ซุงกูมองเขาเฉยๆพลางจิบกาแฟ

“ฮ่าๆๆ มาก่อนครับ ไปคุยกันตรงโน้น”

“หา?”

ซุงกูยังงง สุดท้ายเฮมินเลยลากซุงกูออกไป เหลือแต่วูจินกับจีวอน

จู่ๆจีวอนก็หน้าแดงขึ้นมา

“ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ แล้วงานล่ะ?”

“เอ๊ะ? เอ่อ...”

เธอมาที่นี่โดยไม่วางแผนอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขาดงานโดยไม่แจ้งล่วงหน้านับแต่ทำงานมา 4 ปี
ไม่สิ วันก่อนเธอหยุดงานไปเพราะวูจิน ดังนั้นนี่เป็นครั้งที่สอง เธอไม่เคยทำแบบนี้เลยก่อนได้มาเจอกับวูจิน

วูจินยิ้ม

“เธอนี่แย่กว่าที่คิดนะ”

และเขาอาจจะแย่กว่าเธอ

“เธอชอบฉันเหรอ”

“เอ๊ะ? แหวนที่นายให้... ฉันคิดอยู่นานแล้วในใจฉัน...”

นั่นเป็นเรื่องที่วูซุงฮุนทำเลยเถิด แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว

“ยัยนี่หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ”

“เอ๊ะ?”

“ชอบคนอย่างฉันมันอันตรายนะ”

“...”

จีวอนก้มหน้าลงเงียบๆ น้ำตาเอ่อขึ้นมาแล้วหยดลง

อย่างนี้นี่เอง วูจินมองเธอเป็นภาระ

วูจินสำคัญเกินไป สาวโรงงานไม่เหมาะสมกับเขา

วูจินมองจีวอนที่กำลังร้องไห้

วิญญาณของเธอบริสุทธิ์ไม่มีรอยแปดเปื้อน

พวกวิญญาณร้ายจะชอบเธอขนาดไหน? พวกนั้นจะตามทรมานและทำร้ายเธอขนาดไหน?

เขาควรให้เธออยู่ห่างๆเพื่อปกป้องเธอ แต่ใจของวูจิน...

วูจินจับแก้มจีวอนแล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น

“เธอชอบผีหรือเปล่า?”

“ถ้าเธอไม่กลัวผี งั้นก็ลองดู”

“...?”

จีวอนงงจนน้ำตาหยุดไหล วูจินหัวเราะ

“ฉันจะให้เธอใช้ชีวิตอย่างสนุกกับพวกผี”

“...”

ฉากนี้ถูกถ่ายจากที่ไกลๆโดยบุคคลท่าทางน่าสงสัยเกินกว่าจะเป็นนักข่าว







สารบัญ                           บทที่ 54

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 52

บทที่ 52 – ที่ราบสูงทาริวท์ (3)


“นี่คือวิหารยักษ์?”

วูจินเปรยขึ้น บิบิอ้าปากค้างมองภาพเบื้องหน้า

“ว้าว ถ้าบอกว่าเป็นสุสานก็เชื่อนะเนี่ย”

“เชี่ย ก็ว่างั้น”

วูจินกลืนน้ำลายมองรูปปั้นเรียงรายตั้งแต่หลายร้อยถึงพันตัว

“ไปที่นั่นก่อนดีกว่า”

วูจินเก็บชิงชิง จากนั้นออกเดินพร้อมกับบิบิ โดลเซที่ยังเป็นแสงกระพริบอยู่บนศีรษะของบิบิ

“พวกนี้ใช้ทำโกเลมได้หรือเปล่านะ?”

ถ้าอยากรู้ก็ต้องลอง วูจินชี้

โดลเซบินไปหารูปปั้นอันหนึ่งแล้วฝังตัวลงไป รูปปั้นสั่นนิดๆแล้วเริ่มขยับ

“โอ้ ได้ผล.. ไม่แฮะ”

โดลเซถูกกระแทกออกจากรูปปั้น วูจินขมวดคิ้ว

วิ้ง

บิบิกอดปลอบใจโดลเซ รูปปั้นถูกบางอย่างควบคุมไว้แล้ว ดังนั้นโดลเซจึงใช้พวกมันเป็นร่างของตัวเองไม่ได้

“งั้นก็ไปกินดินเถอะ”

วิ้ง

โดลเซฝังตัวลงพื้น จากนั้นก็ยกร่างขึ้นพร้อมกับฝุ่นดินหมุนรอบเขา

ถ้าโดลเซใช้ดินเป็นร่าง พละกำลังจะด้อยกว่าตอนเป็นหิน แต่ขนาดตัวจะใหญ่กว่าสองเท่า

“แบบนี้คงยากหน่อย”

กึง

โกเลมตื่นขึ้นทีละตัวๆ ไม่ได้ตื่นพร้อมกันหมด มีแต่โกเลมตัวที่ใกล้เขาที่สุดที่ตื่น ดูเหมือนเป็นกับดักที่จะทำงานทันทีเมื่อมีใครเข้าไปใกล้พอ

“แค่ 5 ตัวเหรอ?”

โกเลม 5 ตัวตื่นขึ้นเมื่อรับรู้ว่าวูจินบุกรุกเข้ามา รอบๆไม่มีศพหรือวิญญาณ ดังนั้นทักษะอาชีพเนโครแมนเซอร์ของเขาแทบทุกอันไร้ประโยชน์ แต่เขาไม่สนใจ

“ได้เวลาเพิ่มเลเวลให้สกิลอาชีพนักรบแล้วหรือนี่?”

วูจินเรียกอาวุธประจำอาชีพนักรบออกมา เปลี่ยนมันเป็นค้อน เดี๋ยวนี้เขาคุ้นกับน้ำหนักของอาวุธแบบนี้ดีทีเดียว

วูจินขยับค้อน แล้วพุ่งใส่พวกโกเลม

***

 ลียุนฮีกำลังซ่อนตัวในเงาๆหนึ่ง เธอประหลาดใจ

“พวกนี้คือโกเลมนี่เอง”

คิดถูกแล้วที่ถอยกลับมา เธอกับทีมจะสู้กับโกเลมมากขนาดนี้ได้หรือเปล่า? อาจจะได้ถ้าพุ่งตรงไปที่แท่นพลางรับมือกับโกเลมที่อยู่ใกล้ๆ

แต่ เมื่อเธอเอาหินรีเทิร์นมาได้  แล้วกลายเป็นว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นเล่า? ถ้าโกเลมทุกตัวโจมตีมาพร้อมกัน ยังมียักษ์ที่อารักขาแท่นบูชาอีกที่เธอกับทีมต้องรับมือ

เหมือนคังวูจินกังวลเรื่องนั้นเช่นกัน เขาไม่ได้พุ่งตรงไปที่แท่นบูชาแต่ตั้งใจสังหารโกเลมให้หมดก่อน วูจินสังหารโกเลมพลางขยับไปยังใจกลางหอคอยช้าๆเหมือนหอยทาก

“มันเป็นเนโครแมนเซอร์ไม่ใช่เหรอ?”

ดูท่าคังวูจินจะมีความลับมากมาย ข้อมูลเดียวที่รู้เกี่ยวกับเขาคือเป็นเนโครแมนเซอร์ แต่เมื่อลียุนฮีเห็นคังวูจินสู้เธอกลับไม่แน่ใจ

เธอเป็นนักล่าในเงา เป็นเราส์แรงค์ A มา 2 ปี แต่กลับแพ้ด้านพลัง ไม่สมเหตุสมผลเลย...

“เรียกโครงกระดูกอะไรนั่นต้องเป็นของบังหน้าแน่ มันต้องเป็นนักรบ แล้วก็ต้องเพิ่มพลังสูงมาก”

ท่าทางของวูจินเข้ากับความคิดนั้น เขาถือค้อนใหญ่เทอะทะตามทุบโกเลมยักษ์ระหว่างที่โกเลมดินของเขาจับมันไว้

อีกอย่าง เขาสู้อย่างเรียบง่ายมาก ทุบอย่างเดียว

“เอ๊ะ?อะไร?”

หลังจัดการโกเลมไปสองสามร้อย คังวูจินเปลี่ยนวิธีสู้ เขาใช้ค้อนทุบพื้นรัวๆ

“อะไรวะ? มันเป็นคนงานก่อสร้างเหรอ...”

เมื่อวูจินห่างไปไกล ลียุนฮีก็ขยับไปข้างหน้าทีละนิดแล้วพรางตัว

คังวูจินกำลังล่าอย่างเมามัน ส่วนลียุนฮีคืบคลานไปเรื่อยๆ

***

“ฮู่ว พวกเวรตรงนั้นเริ่มน่ารำคาญแฮะ”

แท่นบูชาที่มีหินรีเทิร์นลอยอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลนัก

เหลือโกเลมยักษ์ไม่ถึง 50 ตัว แต่ยักษ์ที่ยืนอารักขาแท่นบูชาไม่มีแม้แต่สัญญาณบอกว่าจะขยับ พวกมันยืนนิ่ง หันหลังให้หินรีเทิร์นสโตน

ตรงกลางหน้าผากของพวกมัน มีตาดวงหนึ่งขยับไปมา แสดงว่าพวกมันกำลังมองวูจินอยู่

ระหว่างจัดการกับโกเลมยักษ์วูจินไม่สนใจพวกประหลาดตาเดียว เหมือนเขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการสู้กับพวกนี้ ตอนนี้หินรีเทิร์นส่งแสงสีเขียวจ้าเหมือนจะระเบิด เป็นไปได้ว่าใกล้จะเกิดดันเจี้ยนเบรกเต็มทีแล้ว

เลเวลของทักษะอาชีพนักรบของวูจินเพิ่มพรวดพราด การใช้ท่าเดิมซ้ำๆเป็นเวลานานทำให้ค่าสถานะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นเลเวลของเขายังเพิ่มเป็น 49 วูจินสังหารโกเลมหมดทุกตัวแล้ว...

“ว้า น่าเสียดายอ่ะ ฆ่าโกเลมอีกตัวเดียวเจ้านายก็จะเลเวล 50 แล้ว แบบนั้นเจ้านายจะได้เล่นกับตุ๊กตาของเจ้านาย”

“งั้นก็แค่ต้องฆ่าพวกตรงโน้น”

วูจินมุ่งหน้าไปทางพวกไซคลอปที่ไม่ขยับห่างจากแท่นบูชา

กึงๆ

ข้างหลังวูจิน โดลเซสร้างร่างของตัวเองจากชิ้นส่วนของโกเลมยักษ์ บิบิก็นั่งบนหัวของโดลเซตามเคย

“บิบิ ลงมา ข้างหน้ามันอันตราย”

“รับทราบ”

พวกไซคลอปเป็นสิ่งอันตราย

พวกมันเป็นเผ่าที่สืบทอดจากเผ่ายักษ์เช่นกัน แต่หากใครคิดว่าพวกมันเท่าเทียมกับโอเกอร์ต้องเจอปัญหาแน่ โอเกอร์รับความป่าเถื่อนดุดันมาจากเผ่ายักษ์ ไซคลอปมีร่างกายใหญ่โตกว่าและรับสืบทอดปัญญามาจากเผ่ายักษ์ผู้สร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่

[ข้ารู้จักเจ้า]

วูจินหยุดตรงหน้าพวกไซคลอป

“รู้จักเหรอ?”

[ถูกต้อง ไททันแห่งการบุกทำลาย]

ไซคลอปจ้องนิ่งไปที่โดลเซ จากนั้นมองบิบิที่อยู่ข้างกัน

[แม่มดมายา]

ดวงตาดวงใหญ่ของไซคลอปหันมาทางวูจิน เขากำลังหัวเราะ

[ข้ายังรู้จักเหล่าอัศวินดำของเจ้า...]

“ฉันคงพอดังอยู่บ้างสินะ?”

พวกไซคลอปขยับตัวเมื่อได้ยินวูจินพูดเล่น

[ข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร? เนโครแมนเซอร์แห่งการสังหารหมู่]

พวกไซคลอปขยับมือ

[ความหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิต]

กระบองสีทองถูกเรียกมาที่มือของไซคลอป

[ราชาของผู้สิ้นชีพ]

ไซคลอปแต่ละตัวเรียกกระบองออกมาพร้อม เดินเข้าหาวูจินพลางจ้องเขา

[จ้าวแห่งอลันดาล]

ไซคลอปทั้งสามตัวยกกระบองขึ้น ขยับเข้ามาอีกก้าว

[ผู้ไม่ตาย!]

กระบองของไซคลอปฟาดใส่วูจิน แต่โดลเซพุ่งเข้ามาเร็วกว่า

กึงๆ

โดลเซยืดตัวออกรับการโจมตีจากไซคลอป

บางส่วนของโดลเซหลุดไป ฝุ่นหินกระจายคลุ้ง

วูจินขยับถอยออกมาไม่ห่างนัก ยิ้มมุมปาก

“ทราห์เน็ทก็ส่งพวกนายมาเหรอ?”

[เจ้าไม่มีทางหยุดยั้งกองทัพหลักของทราห์เน็ทได้]

“ไร้สาระ”

[ทันทีที่เจ้าหนีมาก็ถือว่าเจ้าแพ้แน่นอนแล้ว]

วูจินขมวดคิ้ว เขาไม่ได้หนี

“อยากตายเรอะ?”

[ความโกรธของเจ้าเป็นหลักฐานยืนยันว่าเจ้าแพ้...]

วูจินเปลี่ยนอาวุธเป็นหอก

“เลิกพล่ามได้แล้ว”

วูจินพุ่งใส่ดวงตาของไซคลอปเหมือนจรวด

หอกปักเข้าไปในดวงตาของไซคลอป แต่มันไม่หลบกลับคว้าตัววูจินไว้ วูจินพลิกตัวหนีจากเงื้อมมือของมัน เขาหลบหลีกการกระหน่ำโจมตีของไซคลอปแล้วสวนกลับ กระบองที่ฟาดใส่มีอันตรายถึงตาย ให้เลือกเขาอยากเจอกับโอเกอร์ 100 ตัวมากกว่าสู้กับไซคลอป 3 ตัวนี้

“ฮู่ว ฉันจะบ้า...”

เขาต้องหลบอย่างยากเย็น และการโจมตีประปรายของเขาไม่ทำความเสียหายให้พวกมันนัก ไซคลอปที่ถูกหอกปักตาได้รับการเยียวยาทันทีจากแสงที่แท่นบูชาส่องมา

ถ้าใช้ท่าจู่โจมในดาบเดียวของดาบใหญ่เขาคงตัดนิ้วเท้าพวกมันได้สักนิ้วสองนิ้ว เสียแรงเปล่ามาก

บิบิแทบช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่วูจินกับโดลเซที่สู้อยู่ เขามีพวกน้อยกว่า เวลาก็ใกล้จะหมด

พลังประหลาดจากแท่นบูชาคอยเติมพลังให้พวกไซคลอป แบบนี้วูจินคงไม่พ้นเป็นฝ่ายหมดแรงก่อน

ตอนนั้นเอง ลียุนฮีโผล่ออกมาจากเงาหินกองหนึ่งแล้วฉวยหินรีเทิร์นสโตนจากแท่นบูชา หินส่องแสงจ้าเหมือนจะระเบิดแต่เมื่อลียุนฮีถือมันแสงก็จางลง

ในเวลาเดียวกัน แสงจากแท่นบูชาที่คอยเติมพลังให้พวกไซคลอปก็ดับไป

“เฮ้ย นายน่ะ จะคิดว่าฉันเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อยก็เชิญ ฉันจะกลับบ้านแล้ว ส่วนนายตายไปซะได้ก็ดี”

วูจินยิ้มเมื่อเห็นลียุนฮี ขยะนี่ก็มีประโยชน์ถ้ารู้จักใช้นะ

“โดลเซ ถ่วงเวลาให้หน่อย”

“โก”

วูจินผละจากสนามรบพุ่งไปทางลียุนฮี

“คะ...คิดจะทำอะไรน่ะ?”

ลียุนฮีเพิ่งเห็นคังวูจินต้องสู้อย่างลำบากเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าดันเจี้ยน เขาอาจจะตัดสินใจเลิกและคิดจะแย่งหินรีเทิร์นสโตนไปจากเธอ

หรือเขาคิดจะหนีไปกับเธอ?

ดูไม่เหมือนอย่างนั้น หอกในมือคังวูจินทำให้ลียุนฮีกลัว

“อ...อย่าเข้ามานะ”

“ขอบใจนะ”

คังวูจินโจมตีด้วยหอก

ลียุนฮีกันไว้ได้หวุดหวิด ข้อมือเธอเจ็บแปลบ พลังอะไรขนาดนี้

“เธอจะเป็นค่าประสบการณ์ให้ฉัน”

“อะไร?”

วูจินเล็งหอกไปที่หัวใจลียุนฮี

เราส์แรงค์ A ลียุนฮี เอี้ยวตัวหลบด้วยร่างกายคล่องแคล่วเพื่อใช้ท่าโจมตีพิเศษ วูจินไม่หลบ เขาพุ่งเข้าไปเร็วขึ้นอีกและปักหอกเข้าไปในหัวใจของลียุนฮี

“อะ...ไอ้เวรเอ๊ย...”

ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงแล้วหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว ดาบของเธอกรีดใส่วูจินแต่ไม่ลึกพอตัดคอเขา

มนุษย์ที่มีแต่เลือดเนื้อกระดูกจัดการง่ายกว่าพวกโกเลมมาก

วูจินเรียนทักษะเลเวล 50 ทันที

[บงการศพ]
ศพที่ถูกบงการมีพลัง 50% จากเดิม สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆได้
ใช้เวทย์ 1

[ศพระเบิด]
สามารถระเบิดศพที่อยู่ในรัศมี 10 เมตรของผู้ใช้ทักษะหรือศพที่ผู้ใช้ทักษะบงการ ความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามเวทย์ที่ใช้

พลังเวทย์จากวูจินทำให้ลียุนฮียืนขึ้นทันที ดวงตาเธอเหลือกขาว ศพของลียุนฮีวิ่งไปทางพวกยักษ์อย่างบ้าคลั่ง

ระหว่างวูจินวิ่งตามไป เขาเพิ่มทักษะศพระเบิดเป็นเลเวล 10

ศพลียุนฮีกระโดดเกาะหัวของไซคลอปตัวหนึ่ง พลังเวทย์จำนวนมากไหลออกจากร่างวูจินแล้วศพก็ระเบิดตูม

แรงระเบิดเป่าหัวไซคลอปกระเด็น จากนั้นซากศพของไซคลอปก็ลุกขึ้นกอดไซคลอปอีกตัว

ตูม!

ใช้ทักษะเพียงสองครั้ง แต่วูจินใช้เวทย์ไปจนหมด

ไซคลอปตัวสุดท้ายพยายามหนี แต่โดลเซจับมันไว้

พริบตาเดียววูจินก็มาถึงไซคลอป เขาหัวเราะ

“นายบอกว่าฉันหนี?”

[…]

“ถ้าพวกนายมั่นใจมาก ก็เรียกพวกมาโจมตีฉันให้หมด”

[...]

วูจินปักหอกเข้าไปที่ดวงตาไซคลอป

“เจ้านาย ไม่เล่นกับตุ๊กตาเหรอ”

เมื่อวูจินเห็นรอยยิ้มสดใสของบิบิก็นึกได้ว่าที่จริงแล้วเธอเป็นปีศาจ เขาหัวเราะ

“ฉันก็เป็นเหมือนกัน”

วูจินปาดเลือดจากรอยแผลบนหน้า เขาใช้สกัดวิญญาณรักษาแผลให้ตัวเอง

“ซี้ด คงต้องทายาหน่อย”

ดาบของยุนฮีสร้างแผลบาดลึก เขาทายาฟื้นฟูสภาพบนแผลที่เจ็บตุบๆ รอยแผลจะหายสนิทเมื่อผ่านไปหนึ่งคืน

วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนจากพื้นแล้วเก็บอาร์ติแฟคอย่างว่องไว




สารบัญ                           บทที่ 53





วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 51

บทที่ 51 – ที่ราบสูงทาริวท์ (2)


บนยอดต้นไม้สูงต้นหนึ่งมีคนๆหนึ่งห้อยโหนอยู่

ป่ากำลังไหม้ เปลวไฟลุกโพลง ควันไฟลอยคละคลุ้ง

“เพิ่งจะได้เจอคนบ้ากว่าฉันเป็นครั้งแรก”

ลียุนฮียอมรับอย่างไม่ยากเย็น

เขามันบ้าแท้ ดันเจี้ยนเบรกกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน แต่วูจินออกล่าอย่างสบายใจ แล้วยังเผาป่าอีก

คังวูจินเป็นไอ้บ้า ลียุนฮีมั่นใจ

“ฉันต้องรีบหามันให้เจอ จะได้ออกไปซักที”

เคลียร์ดันเจี้ยนคงไม่ยากนัก อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่ลียุนฮีคิด

เธอแค่ต้องเอาหินรีเทิร์นสโตนกลับไปที่บาเรียน จากนั้นเมื่อบาเรียเปิดออกเธอก็ออกไปได้

ปัญหาอยู่ที่บอสตัวสุดท้าย แต่ลียุนฮีมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องสู้ได้ แต่มั่นใจว่าเธอจะขโมยรีเทิร์นสโตนแล้วหนีไปได้ เธอมั่นใจในความสามารถเคลื่อนไหวไร้ร่องรอยของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้ชื่อว่า นักล่าในเงา

ลียุนฮีหลบไฟเข้าไปใจกลางป่า เธอมองไปยังหุบเหวไกลๆพลางคาดคะเนทิศทาง

“น่าจะแถวๆนี้ล่ะ”

เมื่อสถานีจูกจุงทางออกที่ 3 เกิดรีเซ็ทและกลายเป็นดันเจี้ยน 6 ดาว ทีมแรกที่เข้าดันเจี้ยนแห่งนี้ก็คือทีมสีชาดของกิลด์ฮวาราง ทีมที่เธอเป็นผู้นำ

การลองพิชิตดันเจี้ยนครั้งที่สอง ทีมผสมระหว่างทีมของกิลด์ฮวารางกับ KH ก็มีเธอร่วมด้วย พวกเธอสำรวจดันเจี้ยนและประเมินว่าการเคลียร์ดันเจี้ยนนี้จะได้กำไรหรือไม่ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เคลียร์มัน

การประเมินตัดสินว่าผลได้ทางเศรษฐกิจของการเกิดดันเจี้ยนเบรกนั้นสูงกว่าการเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวสำเร็จ

แต่เธอไม่สนใจเรื่องเงินหรือเศรษฐกิจ ภารกิจแบบนี้ไม่ถูกใจเธอเลย

“สำหรับฉันแบบนี้อาจจะดีกว่า”

ลียุนฮีไม่เคยชอบวิธีการทำธุรกิจของพี่ชายเธอ เขานำกิลด์ฮวารางไปยังทางแปลกๆ

อย่างไรเสียคนก่อเรื่องก็ไม่ใช่เธอ คังวูจินต่างหากที่เข้าอุโมงค์มาก่อน

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าคังวูจินตายก็ไม่มีอะไรหยุดดันเจี้ยนเบรกได้ ถ้าคังวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้จริงๆล่ะเรื่องใหญ่

กิลด์ฮวารางเคลียร์ดันเจี้ยนไม่สำเร็จ กิลด์ KH ไม่สำเร็จ กิลด์เฮนเนสซี่จากญี่ปุ่นก็ไม่สำเร็จ ถ้าสิ่งที่พวกเธอทำไม่ได้ กิลด์หน้าใหม่อย่างอลันดาลกลับทำได้ พวกเธอคงตกที่นั่งลำบาก

ชื่อเสียงของทีมสีชาดจะตกต่ำ

ลียุนฮีต้องป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

‘ฮวารางต้องไม่เป็นรองใคร’

ฮวารางสำคัญสำหรับลียุนฮีและลีซังโฮ

ปัญหาคือพวกเธอคิดต่างกันว่าจะทำให้กิลด์ฮวารางเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร

เดินเลียบผาอยู่ครู่ ลียุนฮีก็เจอเชือกที่ถูกซ่อนไว้

ลียุนฮีดึงเชือกจนตึง

พวกเธอเตรียมมันไว้ระหว่างสำรวจดันเจี้ยนครั้งแรก

ข้ามหุบเขาไปมีมอนสเตอร์เพียง 3 ตัว เมื่อพวกเธอเห็นดังนั้นก็ตัดใจจากการเคลียร์ดันเจี้ยน เมื่อประมาณจำนวนอาร์ติแฟคและบลัดสโตนที่ได้จากมอนสเตอร์ 3 ตัวแล้วก็ตัดสินว่าไม่มาก

ทีมสีชาดถอยกลับตรงนี้

ลียุนฮีผูกเชือกเข้ากับต้นไม้

“ไอ้บ้าเอ๊ย ดันเจี้ยนจะระเบิดอยู่แล้วยังมานั่งล่ามอนสเตอร์...”

แค่ฉวยหินรีเทิร์นสโตนหนีไปยังอาจไม่ทัน ลียุนฮีวิ่งไต่ไปตามเชือกอย่างมั่นคง

***

บอลไฟพุ่งไปทุกทิศทางในป่าไหม้ไฟ มอนสเตอร์ตั้งแต่ใหญ่จนเล็กถูกล่าทันทีที่วิ่งออกมาจากป่า แม้แต่โอเกอร์ก็ถูกล้ม

กึง!

ร่างบึกบึนของโดลเซตอกใส่โอเกอร์เหมือนรถแทรกเตอร์

เมื่อโอเกอร์ล้มลง วูจินไม่พลาดโอกาส เขาพุ่งเข้าไป กู่ร้องแล้วปักหอกเข้าไปที่ปากของโอเกอร์จนทะลุ

[ท่านเปลี่ยนระดับเป็น 40]

วูจินเรียนทักษะที่ปลดล็อกเมื่อถึงเลเวล 40 ทั้งหมดโดยไม่ลังเล

[เรียกม้าผี]
ม้าศึกเลือดลมร้อนระอุยังคงควบตะบึงต่อไปแม้สิ้นชีพ
ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่ไว้ใจได้
ใช้เวทย์ 30 ใช้บงการ 1 (-99 จากค่าความซื่อสัตย์ -99 จากค่าความเชื่อใจ)
ทักษะ : ควบวิญญาณ, ? (เลเวล 10 ปลดล็อก)

“ดีมาก”

วูจินเรียกม้าผีออกมาทันที อากาศว่างเปล่าถูกฉีกออกเมื่อม้าผีรูปร่างเลือนรางกระโดดออกมา จากนั้นจึงก่อร่างขึ้น

จากร่างโปร่งใสจนถึงสีดำมืดมิดของเที่ยงคืน ระดับความโปร่งใสของมันเปลี่ยนไปตามจังหวะหายใจ

“ชิงชิง คิดถึงพี่สาวหรือเปล่า?”

“พรืด”

คนแรกที่วิ่งไปหามันคือบิบิ เธอกอดคอมันไว้แล้วเอาหน้าถูไถ

อสูรของวูจินทุกตัวถูกกักไว้ในห้องผนึก ถ้าพวกมันสามารถออกมาได้เมื่อได้ยินเสียงของวูจิน เขาต้องรีบเพิ่มเลเวลให้ไว

วูจินยังเรียนทักษะเลเวล 40 ของอาชีพของเนโครแมนเซอร์ด้วย

[เกราะผี]
รวบรวมวิญญาณเร่ร่อนมาล้อมเจ้าเหนือหัว พวกมันเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเจ้าของมัน
วิญญาณที่อยู่ใต้บังคับบัญชา : 0/10

[หอกปีศาจ]
เรียกหอกปีศาจออกมาโจมตีศัตรู หอกปีศาจจะไล่ตามศัตรูไม่พลาดจนสิ้นสุดการโจมตี
ใช้เวทย์ : 1

เกราะผี หอกปีศาจ เป็นทักษะขู่เข็ญวิญญาณระดับสูง

เกราะผีจะล้อมรอบวูจิน ใช้เป็นบาเรียได้ และยังใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ด้วย เมื่อฉุกเฉิน เขาสามารถรีดเร้นพลังจากวิญญาณมาฟื้นฟูพลังให้ตัวเอง และสามารถเอาวิญญาณที่อยู่ใต้บังคับบัญชามาเปลี่ยนเป็นหอกปีศาจเพื่อใช้โจมตีได้

วูจินเพิ่มทักษะเกราะผีขึ้นไปถึงระดับ 10 ทำให้จำนวนวิญญาณที่เขาเอามาเป็นทาสได้เพิ่มเป็น 100

“ออกมาพวกผีร้าย...”

วูจินมองเหล่าวิญญาณที่ลอยอยู่รอบๆ วิญญาณเหล่านั้นสั่นไหวแล้วแล้วมารวมตัวกันรอบตัววูจินเหมือนเป็นดาวบริวาร

วูจินเรียนทักษะเลเวล 40 ของอาชีพนักรบ

ตอนนี้อาวุธหลักของนักรบสามารถเปลี่ยนจากไม้เท้าเป็นหอก ค้อน และดาบใหญ่ เขาเรียนทักษะการใช้ดาบใหญ่และเรียนท่าโจมตีทรงพลังชื่อ จู่โจมในดาบเดียว

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ โดลเซมานี่”

โดลเซสลัดร่างหินของตัวเองออกเปลี่ยนกลับเป็นหัวใจโกเลมดวงเล็ก มันย้อนไปเกาะอยู่ข้างวูจิน

วูจินขึ้นขี่ชิงชิง บิบิกระโดดมานั่งข้างหน้าเขา

วูจินมองทหารโครงกระดูกรอบๆอย่างเสียดาย เขาไม่อาจพามันข้ามเหวได้

เคร้ง

วูจินดึงเวทย์กลับมา ทหารโครงกระดูกทั้งหมดกลายเป็นกองกระดูก มันน่าเสียดายแต่วูจินปลอบใจตัวเองว่าข้ามเหวนี้ไปยังมีมอนสเตอร์อีกมาก

“ไปเล้ย”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบิบิ เขาคว้าบังเหียนของชิงชิง

ชิงชิงร้อง ยกขาหน้าขึ้นแล้วทะยานไปทางหน้าผา

“ควบวิญญาณ”

วูจินพูดแล้วถนนวิญญาณก็เป็นรูปเป็นร่างตรงหน้าชิงชิง ถนนวิญญาณก่อตัวหน้าชิงชิง สลายไปเมื่อม้าควบผ่าน เป็นอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ

“ฮะๆๆ ไปเลยๆ”

ชิงชิงวิ่งไปทางวิหารยักษ์

***

“ฟู่ว”

ลียุนฮีสูดหายใจเฮือก ภาพตรงหน้าเพียงพอขู่ขวัญเธอในทันที

ภูมิประเทศมีรูปทรงเหมือนแอ่งน้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนปล่องภูเขาไฟ

ในแอ่งยักษ์นั่นมีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ทั่ว

มันถูกแกะอย่างประหลาดยิ่งกว่ารูปปั้นโมอาย มองคร่าวๆน่าจะมีประมาณหลายร้อยถึงพันตัว

ในนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น

ตรงกลางแอ่ง มีหอคอยใหญ่หลังหนึ่ง หินรีเทิร์นสโตนลอยอยู่เหนือมัน มันสูงเกินคนทั่วไปจะมองเห็น แต่สายตาของเราส์ดีกว่าคนทั่วไปนัก

มีมอนสเตอร์ 3 ตัวเดินรอบแท่นวางหินรีเทิร์นสโตน

มีเพียงสามตัวเท่านั้น

“แต่ถ้าต้องสู้คนเดียวจะลำบากไปหรือเปล่า?”

ลียุนฮีมาถึงวิหารยักษ์แล้วไม่อาจก้าวต่อไป

“เดี๋ยวไอ้เวรนั่นคงมา”

มันมั่นใจขนาดนั้นคงกระโดดเข้าไปแบบไม่คิด ลียุนฮีเร้นกายเข้าไปในเงาของหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

“อยากเห็นมันโดนยำชะมัด”

มันกล้าตบเธอ ถ้ามีโอกาสเธอจะแก้แค้น ถ้าไม่มีก็ช่าง เธอแค่รอดูไอ้เวรนั่นสู้กับมอนสเตอร์ จากนั้นก็ฉกหินรีเทิร์นสโตนหนีไป

ร่างของลียุนฮีกลืนไปกับสภาพแวดล้อม หายไปอย่างไร้ร่องรอย

***

บ่ายโมง

ประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ อยู่ในงานแถลงข่าว

“ในความเห็นของคุณมีโอกาสที่คุณลียุนฮีกับคุณคังวูจินรอดชีวิตไหม?”

“น้อยมากถึงไม่มีเลยครับ”

“เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนดันเจี้ยนเบรก เท่าที่รู้คือคุณลียุนฮีเป็นน้องสาวแท้ๆของคุณ ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร?”

ลีซังโฮจ้องไปที่นักข่าวที่ถามเขม็ง

“ถามอะไรของคุณ?”

คนในครอบครัวของเขากำลังจะตายอยู่แล้วแต่เขากลับถูกถามแบบนี้... แบบนี้ไงพวกนี้ถึงถูกเรียกว่านักข่าวหมาๆ แน่นอน ลีซังโฮรู้สึกโกรธและโล่งใจมากกว่าเสียใจ

เหลือเวลาแค่ 1 ชั่วโมง

หมายถึงทั้งสองไม่รอด ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นตามกำหนดการ ลีซังโฮพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้าตรงข้ามกับที่รู้สึกในใจ

“ผมขอตอบเท่านี้”

ตาแดงก่ำของเขาเหมือนกำลังกลั้นน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธ ลีซังโฮลุกจากที่พร้อมปาดน้ำตา

“รอก่อนครับ!”

“ประธานฮวาราง”

นักข่าวลุกตาม แต่ถูกสมาชิกกิลด์ฮวารางกันไว้ระหว่างประธานกิลด์ออกไป

หลังออกมาจากห้องจัดงานแถลงข่าว ลีซังโฮหันไปถามสมาชิกกิลด์

ใบหน้าของเขาปราศจากความเสียใจ กลายเป็นเย็นชาเหมือนหน้ากาก

“ดันเจี้ยนล่ะ?”

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนครับ”

“เฮ้อ โชคดีไป”

“...”

“ไปที่ศูนย์บัญชาการ”

ตั้งแต่เช้าเมื่อวานถึงตอนนี้ ลีซังโฮเต็มไปด้วยความกดดัน เขารอว่าลียุนฮีหรือคังวูจินอาจจะออกมาหลังเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ...

ลีซังโฮและสมาชิกกิลด์ขึ้นรถ พวกเขาผ่านเส้นป้องกันที่สามมุ่งไปยังเส้นป้องกันที่หนึ่งบนถนนว่างเปล่า

มีทหารจำนวนหนึ่งตรงหน้าศูนย์บัญชาการ และกลุ่มคนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก สีหน้าลีซังโฮกระด้างเมื่อเห็นคนเหล่านั้น

“ทำไมคนธรรมดาถึงมาอยู่ที่นี่”

“ผมจะไปถามดูครับ”

“ไม่ ไปดูด้วยกันเลย”

ลีซังโฮเข้าไปใกล้ เขาเห็นคน 5 คนถกเถียงกับทหาร

“ผมไม่ได้บอกว่าอยากเข้าไป เขาเป็นหัวหน้ากิลด์อลันดาล ผมแค่อยากรู้รายละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“รายละเอียดก็ตามที่แถลงการณ์ไป”

จุงมินชานถามทหารดีๆ แต่พวกทหารพูดตอบแต่คำเดิม

จุงมินชาน ฮงซุงกู วูซุงฮุน แม้แต่โดจีวอนก็อยู่ที่นั่น แต่ละคนมีสีหน้าดื้อดึง

“พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วคุณ ตอนนี้เป็นเวลา 13 นาฬิกา 6 นาที อีก 5 นาทีตรง เราจะบังคับย้ายคนที่เหลือออกไปจากที่นี่”

หนึ่งชั่วโมงก่อนดันเจี้ยนเบรก ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้ต้องอพยพออกไป

ปกติกองทัพจะจับพลเรือนที่เข้ามาในเขตปฏิบัติการ

แต่ในการปฏิบัติการครั้งนี้ กองทัพเป็นฝ่ายขอความร่วมมือจากกิลด์อลันดาล หัวหน้ากิลด์คังวูจินมาตามคำขอ สมาชิกของกิลด์อลันดาลมาที่นี่ทันทีที่ได้ยินว่าเกิดเรื่อง

พวกเขาเถียงจนผ่านเส้นป้องกันที่ 3 และ 2 มาได้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ พวกเขาไม่สามารถพบกับผู้บัญชาการ

“เกิดอะไรขึ้น?”

ตอนนั้นเอง ลีซังโฮถามอย่างอ่อนโยน เขาแอบมองโดจีวอน แม้แต่ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ รูปร่างหน้าตาของเธอยังโดดเด่นพอดึงดูดสายตาเขา

“เราเป็นสมาชิกกิลด์อลันดาล ได้ยินว่าประธานของเราเข้าดันเจี้ยนไป...”

“อ้อ อลันดาล ผมได้ยินเรื่องพวกคุณมา”

ใบหน้าลีซังโฮเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไอ้ห่านั่นทำแผนเขารวน แถมยังทำให้เขาเสียลียุนฮีไป

“ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง ไว้จัดการเรื่องนี้แล้วค่อยพูดเรื่องความรับผิดชอบหรือค่าเสียหายทีหลัง”

“หา?”

“น้องของผม ลียุนฮี ต้องโดนลูกหลงไปด้วยจากการกระทำของประธานกิลด์พวกคุณ เด็กอ่อนโยนคนนั้นเสียสละตัวเองเพื่อช่วยประธานกิลด์ของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”

จุงมินชานผงะ แต่ฮงซุงกูตะคอกด้วยความโกรธ

“เสียสละอะไร? ลูกพี่ของเราต้องออกมาหลังเปิดบาเรีย...”

ลีซังโฮจ้องฮงซุงกูด้วยสายตาแผดเผา ไอ้อ่อนนี่กล้าเถียง... ซุงฮูไม่ยอมแพ้จ้องกลับ

“เฮอะ ตลก... คังวูจินไม่มีทางเคลียร์ดันเจี้ยนได้ พวกคุณควรจะกลับไป! ผมจะส่งทนายไปทีหลัง”

สีหน้าทุกคนมืดคล้ำเมื่อได้ยินเสียงด่าของลีซังโฮ

ตอนนั้นเอง

บรรดาทหารที่อยู่อีกด้านของเส้นป้องกันที่ 1 เอะอะขึ้นมา

“เอ๊ะ? มีอะไรกัน?”

“ผมจะไปดูครับ”

ลีซังโฮตะคอกถาม สมาชิกกิลด์รีบไปที่ศูนย์บัญชาการทันที ไม่นานก็หน้าซีดกลับมา

“บะ...บาเรีย สลายไปแล้ว”

“...”

ลีซังโฮหน้าเคร่ง ซุงกูตะโกน

“นั่นล่ะลูกพี่เรา”

ลีซังโฮจ้องซุงกูระหว่างถามสมาชิกกิลด์ของเขา

“ใคร? ใครออกมา?”

“คือว่า...”

สมาชิกคนนั้นอึกอัก

โดจีวอนยืนกังวลอยู่อีกด้าน น้ำตาของเธอเริ่มไหลลงมา


สารบัญ                             บทที่ 52