บทที่ 1 - หนีออกจากบ้าน (1)
สมัยผมยังเด็ก, พูดให้ถูกคือ, ตอนเด็กในชาติก่อน แม่เคยบอกกับผมว่า
“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะถ้ามันเป็นความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ”
ถึงตายผมก็จะไม่ลืมประโยคนั้น
โดยเฉพาะเมื่อผมตายไปครั้งหนึ่งแล้วและยังจำมันได้
เหตุผลที่ผมไม่ลืมก็เพราะมันเป็นหลักความเชื่อในชาติก่อนของผมและยังเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ด้วย
มันทั้งไร้สาระจนน่าขำและน่าโกรธด้วยที่คำพร่ำบ่นของแม่กลายเป็นคำสั่งเสีย
แต่ยิ่งกว่านั้นคือมันสะเทือนใจผมในวัยเด็กมาก อาจเป็นเพราะเหตุนี้
ผมจึงใช้ชีวิตโดยถือความปลอดภัยเป็นที่หนึ่งมาตลอดชาติที่แล้วของผม
ผมจบจากมหาวิทยาลัยและผ่านการสอบเป็นข้าราชการที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นอาชีพมั่นคง
ทำไมตอนนั้นไม่รู้ตัวนะว่าเราอาศัยอยู่ในโลกอันอันตราย
ระหว่างทางไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อเบียร์และของกินเล่นมาฉลองความสำเร็จในการสอบ
จูบอย่างแรงจากรถบรรทุกคันหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้หนึ่งครั้งและผมก็ตื่นขึ้นเป็นเด็กแรกเกิด
เอ่อ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกใช้ซ้ำซากก็ตาม มันยังทำให้ผมสงสัยว่าหรือเราจะกลายเป็นตัวละครหลักในเรื่องแต่งสักเรื่อง
ก็‘ประสบการณ์’เช่นนี้เป็นเรื่องยอดนิยมในนิยายและการ์ตูนใช่ไหมล่ะ
เมื่อผมได้สติก็อึ้งไปและกังวลขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
ส่วนใหญ่นิยายแบบนี้จะสร้างโลกให้ล้าหลังและใช้สังคมศักดินาของยุคกลางเป็นตัวอย่าง
ถ้าไม่ได้เกิดเป็นในราชวงศ์หรือตระกูลขุนนางย่อมเป็นชีวิตที่แร้นแค้น...
แต่สุดท้ายแล้ว ผมกลับกังวลเรื่องก้นอันบอบบางของผมมากกว่า เปล่านะ
ไม่ได้พูดเล่น ก้นผมบอบบางจริงๆ
ถ้าไม่ได้ใช้ชักโครกแบบมีที่ฉีดข้างล่างมันจะเจ็บมาก ผมเคยลองใช้กระดาษชำระที่ราคาแพงกว่าแบบทั่วไปเท่าครึ่งมันยังเจ็บเลย!
ถ้ามีทิชชู่เปียกก็ดีกว่าหน่อย... อย่าว่าแต่ทิชชู่เปียกเลย
ผมจะหากระดาษชำระในยุคกลางได้หรือเปล่าเถอะ มันอาจเป็นเรื่องกังวลไร้สาระ
แต่ผมนึกภาพตัวเองใช้ฟางเช็ดก้นเหมือนคนในสมัยราชวงศ์โชซ็อนไม่ได้ ใช้พลังมหัศจรรย์อย่างเวทมนตร์ประดิษฐ์ชักโครกไฟฟ้าขึ้นมายังเข้าเค้ากว่า
คิดเรื่องนี้ได้ทีไรผมก็โล่งอกทุกที
อา นอกเรื่องไปแล้ว ที่อยากบอกคือหลักความเชื่อเรื่องความปลอดภัยที่ผมยึดถือจากชาติที่แล้วยังคงต่อเนื่องมายังชาตินี้
ตอนแรก หลังเกิดใหม่ ผมคิดจะทิ้งชาติก่อนไว้และจินตนาการถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยการผจญภัยเหมือนพระเอกในนิยายแฟนตาซี
แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว
พรุ่งนี้ผมจะอายุ 16 เป็นวัยที่จักรวรรดิยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำใจมุ่งมั่นและมุ่งหน้าไปยังศาลากลางหมู่บ้าน
ที่พักของหัวหน้าหมู่บ้าน พ่อของผม
***
ผมสูดหายใจลึกแล้วเคาะประตูห้องทำงานของพ่อ ก๊อก ก๊อก!
ผมได้ยินเสียงน่ากลัวของพ่อบอกให้เข้ามาได้ ผมกลืนน้ำลายแล้วเปิดประตู
พ่อกำลังอ่านเอกสารและมีรูปลักษณ์ของยักษ์ในตำนาน
มองมัดกล้ามที่เหมือนจะระเบิดผ่านเสื้อเชิ้ตกลางเก่ากลางใหม่ มันเหมือนผมกำลังมองภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปจากเนินของหมู่บ้าน
ตรงอกเสื้อดูไม่น่าไว้ใจเหมือนกระดุมจะกระเด็นออกมาได้ทุกเมื่อ
“โอ้ เด็น มาทำอะไรที่นี่?”
พ่อยิ้มสดใสเรียกชื่อเล่นผม
เกิดเป็นลูกคนสุดท้องในลูกชายสามคนและลูกสาวสองคน
ผมเป็นคนที่พ่อรักเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมอ้อนเขาบ่อยกว่าที่พวกพี่สาวทำด้วย
ผมสูดลมหายใจอีกครั้งแล้วเอ่ยปาก
“พ่อ พรุ่งนี้ข้าจะอายุ 16 แล้ว”
“อ้อ เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ”
ราวกับว่าคำพูดองผมทำให้เขารำลึกถึงคืนวันเก่าๆ
พ่อพูดด้วยดวงตาอ่อนไหว
“ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นเด็กไปตลอด แต่เจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะว่าไป
พี่ๆของเจ้าก็มาหาข้าเมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน ฮ่าๆ”
มองหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะกำลังรำลึกความหลัง ผมอยากขอโทษ
ผมไม่แน่ใจว่าคราวนี้มันจะเป็นความทรงจำที่ดี
ถ้าผมเพียงแต่พูดว่า ‘ขอบคุณที่เลี้ยงข้ามา’ มันย่อมเป็นความทรงจำที่ดีต่อไปได้
แต่เมื่อคิดถึงพี่ใหญ่ที่เหวี่ยงดาบแร่อดามันไทต์ใส่พ่อหลังจากเขาถึงวัยเป็นผู้ใหญ่
หรือพี่รองที่ชักดาบมิธริลออกมาฟัน ผมคงทำตัวกตัญญูต่อไปไม่ได้
“ฮะๆ ไม่ใช่แบบพี่ๆหรอก ข้าไม่คิดจะทำตัวก้าวร้าวด้วยการลอบโจมตีท่าน”
“โฮ่ เหรอ?”
ได้ยินดังนั้นแล้วพ่อก็มองผมด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง
ประกายในดวงตาพ่อทำให้ผมขนลุก
มันคือตาของสัตว์ป่าที่กำลังมองเหยื่อชัดๆ
แย่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าผมจะท้าสู้กับเขา ผมสะกดความกลัวว่าอาจจะโดนตีตายลงไป
ฉันมาเกิดในเผ่าที่บ้าเรื่องการต่อสู้ขนาดนี้ได้ยังไงกันหนอ...
ตั้งแต่เด็ก ผมใช้ชีวิตด้วยความกังวลมาตลอด เมื่อผมอายุห้าขวบ
พวกเขาให้ผมไปจับมอนสเตอร์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนเด็กเริ่มหัดเดินก้าวแรก
แปดขวบ พวกเขาส่งผมไปล่าเผ่าปีศาจ, ส่วนหลงเหลือจากมอนสเตอร์ที่ราชาปีศาจทิ้งไว้ขณะเขาบุกโลก
เมื่ออายุสิบสองปีก็ไปล้มมังกรที่แม้แต่เผ่าปีศาจยังถูกบอกให้หลีกเลี่ยง
ยังดีที่ไม่เหมือนนิยายหรือการ์ตูน มอนสเตอร์พวกนี้ไม่มีสติปัญญา
แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การใช้ชีวิตโดยถือปฏิบัติเรื่องยึดความปลอดภัยเป็นที่หนึ่งคงเป็นไปไม่ได้
ผมตั้งใจมั่นแล้วพูด “พ่อ ข้ามีเรื่องจะขอ”
พ่อพูดพลางเบ่งกล้ามเบาๆ
“ได้สิ เรื่องอะไร?”
คงคิดว่าผมกำลังจะท้าสู้สินะ
“ข้าอยากไปเมืองหลวง”
“ได้สิ เรามาสู้... อะไรนะ?!”
นั่นไงล่ะ! คิดว่าฉันอยากสู้จริงๆด้วย น่ากลัวชะมัด!
“ฮ่าๆๆ พอแก่แล้วหูข้าคงเริ่มจะหนวก ข้าได้ยินเรื่องแปลกๆอย่างจะไปเมืองหลวง”
“พ่อฟังถูกแล้ว ข้าอยากไปเมืองหลวง”
พ่อมองผมด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ทำไม? ไปเที่ยวฉลองการเป็นผู้ใหญ่เหรอ?”
“ไม่ใช่”
“งั้น?”
“ข้าอยากไปลงหลักปักฐานที่นั่น”
ทันทีที่ผมพูดจบ พลังรุนแรงที่มีพ่อเป็นต้นกำเนิดก็ถูกปล่อยออกมา
“อั่ก!”
ผมฝืนต้านแรงกดดันจากพ่อด้วยการเอามือกุมศีรษะและย่อตัวลง
เตรียมรับความตาย
แต่ผิดจากที่คาด แรงกดดันลดลงกระทั่งหายไปเหมือนมันไม่เคยมีมาก่อน
“เอาล่ะ มาฟังเหตุผลของเจ้ากัน ทำไมถึงอยากทิ้งบ้านเราไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง?”
เขาถามด้วยสีหน้าบอกว่าไม่เข้าใจจริงๆ
ในมุมมองของผม
ผมอยากออกจากหมู่บ้านเพี้ยนๆที่ให้เด็กห้าขวบไปจับมอนสเตอร์
ไม่ว่ามันจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตาม แม้ผมจะหงุดหงิดที่ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของผม
ผมก็อยู่มาโดยไม่เปิดเผยความคิดนี้ออกมา
ในหมู่บ้านที่มีแต่คนตาเดียว คนมีสองตาย่อมถือเป็นตัวประหลาด
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยพวกบ้าการต่อสู้
คนแบบผมที่เกลียดการสู้ย่อมถือเป็นคนพิลึก
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรทำ”
ผมเอ่ยตรงๆถึงสิ่งที่ผมคิดในช่วงหลายวันมานี้
พ่อดูสับสน
“พูดอะไรของเจ้า? ก็ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำสิ เจ้ารู้จักการล่า
ฉลาดและแข็งแรง เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้”
“ข้าจะอธิบายยังไงดี? ท่านเข้าใจเรื่องความภูมิใจและพอใจไหม?
ข้าอยากทำงานที่ทำให้ข้ารู้สึกแบบนั้น”
ที่จริงผมแค่อยากได้งานปลอดภัย ได้เงินโดยไม่เหนื่อยมาก
“ถ้าอย่างนั้น ไปเป็นยามสิ ด้วยความสามารถของเจ้าอีกไม่นานก็กลายเป็นหัวหน้ายามได้แล้ว”
หน่วยเฝ้ายามเป็นที่ๆพวกบ้าการต่อสู้เป็นที่สุดไป มันเป็นที่ๆผมอยากเลี่ยงเป็นที่สุด
“พ่อ พี่ใหญ่เป็นหัวหน้ายามอยู่แล้ว
ถ้าผมจะเป็นหัวหน้ายามผมต้องสู้กับเขา ผมไม่อยากสู้กับคนในครอบครัว”
“พี่เจ้าต้องชอบแน่?”
“ผมไม่อยาก!”
พ่อจ้องผมด้วยสีหน้างุนงง คนบ้าการต่อสู้อย่างเขาไม่เข้าใจหรอก
ผมแอบถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเข้ากองรบ”
กองรบฟังน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือกลุ่มนายพราน
หมู่บ้านมีผืนดินประหลาดที่ทำให้ต้นไม้อันพิเศษจำเพาะงอกงามในป่า ต้นไม้นี้หากไม่ได้ใช้ขวานอาบด้วยรัศมีดาบแล้วก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนแก่มันได้
ดังนั้นการถางไร่ปลูกพืชผักจึงเป็นไปไม่ได้เลย
ผลคือเสบียงอาหารของหมู่บ้านจะได้มาด้วยวิธีล่าสัตว์หรือซื้อมาจากข้างนอก
เงินที่ใช้ซื้อนั้นมาจากการขายผลผลิตจากปีศาจ
กองรบเป็นตัวตนสำคัญที่หาเสบียงครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน
แต่สำหรับคนที่หวังอยากใช้ชีวิตสงบสุข นั่นเป็นสถานที่เลวร้ายที่สุดที่จะไป
“พี่รองเป็นแม่ทัพอยู่ที่นั่น”
พ่อดูยุ่งยากใจเมื่อผมพูดอย่างนั้น ถ้าเป็นผม ผมคงพูดว่า
“ไปช่วยพี่ของเจ้าสิ ไปเป็นรองแม่ทัพหรือผู้ช่วย”
แต่สำหรับนักสู้แต่เกิดอย่างพ่อผมคิดเช่นนั้นไม่ได้
เขามีความเชื่อว่าเราต้องหวังตำแหน่งที่เข้มแข็งที่สุด
ไม่สนว่าคนที่สู้ด้วยจะเป็นสมาชิกครอบครัวหรือศัตรู
“งั้นรัฐมนตรีต่างประเทศล่ะ?”
แม้มันจะฟังหรูหราแบบที่ใช้ในระดับประเทศ
ในความเป็นจริงมันคือที่ๆเอามอนสเตอร์และผลิตผลจากปีศาจไปขายเมืองอื่นและซื้ออาหารกลับมา
ฟังเหมือนจะเป็นงานสบาย แต่สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล
มันใช้เวลาเกินสิบวันจึงจะถึงหมู่บ้านอื่น
ถ้าบอกว่าม้าไม่สามารถวิ่งในป่าแบบนี้ได้คงคิดล่ะสิว่าระยะทางเดินเท้าสิบวันไม่ไกลเท่าไหร่
แต่ คนในกระทรวงต่างประเทศ ไม่สิ ผู้ใหญ่แข็งแรงทุกคนในหมู่บ้านนี้วิ่งได้เร็วมาก
ถ้าให้เทียบ เทียบพวกเขากับรถหรือรถไฟจะดีกว่าไปเทียบกับสิ่งมีชีวิต
รวมความอึดแบบต่างโลกของพวกเขาเข้าไปด้วย
ก็ตระหนักได้ว่าระยะทางไปหมู่บ้านอื่นนั้นไกลโพ้น ยิ่งกว่านั้น
ถ้านึกถึงมอนสเตอร์และปีศาจที่จะได้พบระหว่างทาง การเข้ากองรบยังจะนำไปสู่ชีวิตสงบสุขได้มากกว่า
“รัฐมนตรีต่างประเทศมันไม่ใช่-”
“ทำไมล่ะ?
กระทรวงต่างประเทศเป็นที่ๆจะให้การสนับสนุนเจ้าได้มากที่สุดนะ”
ในเมื่อมีแต่คนของหมู่บ้านเท่านั้นที่จะเข้าที่นี่ได้
รัฐมนตรีต่างประเทศจึงมีฐานะสำคัญในหมู่บ้านของเรา นั่นคือหมู่บ้านจะทุ่มทรัพยากรส่วนใหญ่ให้พวกเขาและมันเป็นที่ๆผมควรเข้าที่สุดถ้าฟังจากเหตุผลที่ผมบอกพ่อไป
แต่ผมปฏิเสธเพราะเหตุผลที่อยากไปเมืองหลวงจริงแล้วๆไม่ใช่เพราะอยากทำงานมีเกียรติมีค่าน่ะสิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น