วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 1

 

บทที่ 1 - หนีออกจากบ้าน (1)

 

สมัยผมยังเด็ก, พูดให้ถูกคือ, ตอนเด็กในชาติก่อน แม่เคยบอกกับผมว่า “ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะถ้ามันเป็นความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ”

ถึงตายผมก็จะไม่ลืมประโยคนั้น โดยเฉพาะเมื่อผมตายไปครั้งหนึ่งแล้วและยังจำมันได้

เหตุผลที่ผมไม่ลืมก็เพราะมันเป็นหลักความเชื่อในชาติก่อนของผมและยังเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ด้วย มันทั้งไร้สาระจนน่าขำและน่าโกรธด้วยที่คำพร่ำบ่นของแม่กลายเป็นคำสั่งเสีย แต่ยิ่งกว่านั้นคือมันสะเทือนใจผมในวัยเด็กมาก อาจเป็นเพราะเหตุนี้ ผมจึงใช้ชีวิตโดยถือความปลอดภัยเป็นที่หนึ่งมาตลอดชาติที่แล้วของผม

ผมจบจากมหาวิทยาลัยและผ่านการสอบเป็นข้าราชการที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นอาชีพมั่นคง ทำไมตอนนั้นไม่รู้ตัวนะว่าเราอาศัยอยู่ในโลกอันอันตราย

ระหว่างทางไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อเบียร์และของกินเล่นมาฉลองความสำเร็จในการสอบ จูบอย่างแรงจากรถบรรทุกคันหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้หนึ่งครั้งและผมก็ตื่นขึ้นเป็นเด็กแรกเกิด

เอ่อ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกใช้ซ้ำซากก็ตาม มันยังทำให้ผมสงสัยว่าหรือเราจะกลายเป็นตัวละครหลักในเรื่องแต่งสักเรื่อง ก็ประสบการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องยอดนิยมในนิยายและการ์ตูนใช่ไหมล่ะ เมื่อผมได้สติก็อึ้งไปและกังวลขึ้นมาเล็กน้อยด้วย ส่วนใหญ่นิยายแบบนี้จะสร้างโลกให้ล้าหลังและใช้สังคมศักดินาของยุคกลางเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ได้เกิดเป็นในราชวงศ์หรือตระกูลขุนนางย่อมเป็นชีวิตที่แร้นแค้น...

แต่สุดท้ายแล้ว ผมกลับกังวลเรื่องก้นอันบอบบางของผมมากกว่า เปล่านะ ไม่ได้พูดเล่น ก้นผมบอบบางจริงๆ ถ้าไม่ได้ใช้ชักโครกแบบมีที่ฉีดข้างล่างมันจะเจ็บมาก ผมเคยลองใช้กระดาษชำระที่ราคาแพงกว่าแบบทั่วไปเท่าครึ่งมันยังเจ็บเลย!

ถ้ามีทิชชู่เปียกก็ดีกว่าหน่อย... อย่าว่าแต่ทิชชู่เปียกเลย ผมจะหากระดาษชำระในยุคกลางได้หรือเปล่าเถอะ มันอาจเป็นเรื่องกังวลไร้สาระ แต่ผมนึกภาพตัวเองใช้ฟางเช็ดก้นเหมือนคนในสมัยราชวงศ์โชซ็อนไม่ได้ ใช้พลังมหัศจรรย์อย่างเวทมนตร์ประดิษฐ์ชักโครกไฟฟ้าขึ้นมายังเข้าเค้ากว่า

คิดเรื่องนี้ได้ทีไรผมก็โล่งอกทุกที

อา นอกเรื่องไปแล้ว ที่อยากบอกคือหลักความเชื่อเรื่องความปลอดภัยที่ผมยึดถือจากชาติที่แล้วยังคงต่อเนื่องมายังชาตินี้

ตอนแรก หลังเกิดใหม่ ผมคิดจะทิ้งชาติก่อนไว้และจินตนาการถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยการผจญภัยเหมือนพระเอกในนิยายแฟนตาซี แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว

พรุ่งนี้ผมจะอายุ 16 เป็นวัยที่จักรวรรดิยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำใจมุ่งมั่นและมุ่งหน้าไปยังศาลากลางหมู่บ้าน ที่พักของหัวหน้าหมู่บ้าน พ่อของผม

***

ผมสูดหายใจลึกแล้วเคาะประตูห้องทำงานของพ่อ ก๊อก ก๊อก!

ผมได้ยินเสียงน่ากลัวของพ่อบอกให้เข้ามาได้ ผมกลืนน้ำลายแล้วเปิดประตู

พ่อกำลังอ่านเอกสารและมีรูปลักษณ์ของยักษ์ในตำนาน มองมัดกล้ามที่เหมือนจะระเบิดผ่านเสื้อเชิ้ตกลางเก่ากลางใหม่ มันเหมือนผมกำลังมองภูเขาที่สูงที่สุดในทวีปจากเนินของหมู่บ้าน ตรงอกเสื้อดูไม่น่าไว้ใจเหมือนกระดุมจะกระเด็นออกมาได้ทุกเมื่อ

“โอ้ เด็น มาทำอะไรที่นี่?”

พ่อยิ้มสดใสเรียกชื่อเล่นผม

เกิดเป็นลูกคนสุดท้องในลูกชายสามคนและลูกสาวสองคน ผมเป็นคนที่พ่อรักเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมอ้อนเขาบ่อยกว่าที่พวกพี่สาวทำด้วย

ผมสูดลมหายใจอีกครั้งแล้วเอ่ยปาก

“พ่อ พรุ่งนี้ข้าจะอายุ 16 แล้ว”

“อ้อ เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ”

ราวกับว่าคำพูดองผมทำให้เขารำลึกถึงคืนวันเก่าๆ พ่อพูดด้วยดวงตาอ่อนไหว

“ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นเด็กไปตลอด แต่เจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะว่าไป พี่ๆของเจ้าก็มาหาข้าเมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน ฮ่าๆ”

มองหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะกำลังรำลึกความหลัง ผมอยากขอโทษ ผมไม่แน่ใจว่าคราวนี้มันจะเป็นความทรงจำที่ดี

ถ้าผมเพียงแต่พูดว่า ขอบคุณที่เลี้ยงข้ามามันย่อมเป็นความทรงจำที่ดีต่อไปได้

แต่เมื่อคิดถึงพี่ใหญ่ที่เหวี่ยงดาบแร่อดามันไทต์ใส่พ่อหลังจากเขาถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ หรือพี่รองที่ชักดาบมิธริลออกมาฟัน ผมคงทำตัวกตัญญูต่อไปไม่ได้

“ฮะๆ ไม่ใช่แบบพี่ๆหรอก ข้าไม่คิดจะทำตัวก้าวร้าวด้วยการลอบโจมตีท่าน”

“โฮ่ เหรอ?”

ได้ยินดังนั้นแล้วพ่อก็มองผมด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง

ประกายในดวงตาพ่อทำให้ผมขนลุก มันคือตาของสัตว์ป่าที่กำลังมองเหยื่อชัดๆ

แย่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าผมจะท้าสู้กับเขา ผมสะกดความกลัวว่าอาจจะโดนตีตายลงไป

ฉันมาเกิดในเผ่าที่บ้าเรื่องการต่อสู้ขนาดนี้ได้ยังไงกันหนอ...

ตั้งแต่เด็ก ผมใช้ชีวิตด้วยความกังวลมาตลอด เมื่อผมอายุห้าขวบ พวกเขาให้ผมไปจับมอนสเตอร์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนเด็กเริ่มหัดเดินก้าวแรก แปดขวบ พวกเขาส่งผมไปล่าเผ่าปีศาจ, ส่วนหลงเหลือจากมอนสเตอร์ที่ราชาปีศาจทิ้งไว้ขณะเขาบุกโลก เมื่ออายุสิบสองปีก็ไปล้มมังกรที่แม้แต่เผ่าปีศาจยังถูกบอกให้หลีกเลี่ยง

ยังดีที่ไม่เหมือนนิยายหรือการ์ตูน มอนสเตอร์พวกนี้ไม่มีสติปัญญา แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การใช้ชีวิตโดยถือปฏิบัติเรื่องยึดความปลอดภัยเป็นที่หนึ่งคงเป็นไปไม่ได้

ผมตั้งใจมั่นแล้วพูด “พ่อ ข้ามีเรื่องจะขอ”

พ่อพูดพลางเบ่งกล้ามเบาๆ

“ได้สิ เรื่องอะไร?”

คงคิดว่าผมกำลังจะท้าสู้สินะ

“ข้าอยากไปเมืองหลวง”

“ได้สิ เรามาสู้... อะไรนะ?!

นั่นไงล่ะ! คิดว่าฉันอยากสู้จริงๆด้วย น่ากลัวชะมัด!

“ฮ่าๆๆ พอแก่แล้วหูข้าคงเริ่มจะหนวก ข้าได้ยินเรื่องแปลกๆอย่างจะไปเมืองหลวง”

“พ่อฟังถูกแล้ว ข้าอยากไปเมืองหลวง”

พ่อมองผมด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ทำไม? ไปเที่ยวฉลองการเป็นผู้ใหญ่เหรอ?”

“ไม่ใช่”

“งั้น?”

“ข้าอยากไปลงหลักปักฐานที่นั่น”

ทันทีที่ผมพูดจบ พลังรุนแรงที่มีพ่อเป็นต้นกำเนิดก็ถูกปล่อยออกมา

“อั่ก!

ผมฝืนต้านแรงกดดันจากพ่อด้วยการเอามือกุมศีรษะและย่อตัวลง เตรียมรับความตาย

แต่ผิดจากที่คาด แรงกดดันลดลงกระทั่งหายไปเหมือนมันไม่เคยมีมาก่อน

“เอาล่ะ มาฟังเหตุผลของเจ้ากัน ทำไมถึงอยากทิ้งบ้านเราไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง?” เขาถามด้วยสีหน้าบอกว่าไม่เข้าใจจริงๆ

ในมุมมองของผม ผมอยากออกจากหมู่บ้านเพี้ยนๆที่ให้เด็กห้าขวบไปจับมอนสเตอร์ ไม่ว่ามันจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตาม แม้ผมจะหงุดหงิดที่ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของผม ผมก็อยู่มาโดยไม่เปิดเผยความคิดนี้ออกมา

ในหมู่บ้านที่มีแต่คนตาเดียว คนมีสองตาย่อมถือเป็นตัวประหลาด ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยพวกบ้าการต่อสู้ คนแบบผมที่เกลียดการสู้ย่อมถือเป็นคนพิลึก

“ข้าอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรทำ” ผมเอ่ยตรงๆถึงสิ่งที่ผมคิดในช่วงหลายวันมานี้

พ่อดูสับสน

“พูดอะไรของเจ้า? ก็ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำสิ เจ้ารู้จักการล่า ฉลาดและแข็งแรง เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้”

“ข้าจะอธิบายยังไงดี? ท่านเข้าใจเรื่องความภูมิใจและพอใจไหม? ข้าอยากทำงานที่ทำให้ข้ารู้สึกแบบนั้น”

ที่จริงผมแค่อยากได้งานปลอดภัย ได้เงินโดยไม่เหนื่อยมาก

“ถ้าอย่างนั้น ไปเป็นยามสิ ด้วยความสามารถของเจ้าอีกไม่นานก็กลายเป็นหัวหน้ายามได้แล้ว”

หน่วยเฝ้ายามเป็นที่ๆพวกบ้าการต่อสู้เป็นที่สุดไป  มันเป็นที่ๆผมอยากเลี่ยงเป็นที่สุด

“พ่อ พี่ใหญ่เป็นหัวหน้ายามอยู่แล้ว ถ้าผมจะเป็นหัวหน้ายามผมต้องสู้กับเขา ผมไม่อยากสู้กับคนในครอบครัว”

“พี่เจ้าต้องชอบแน่?”

“ผมไม่อยาก!

พ่อจ้องผมด้วยสีหน้างุนงง คนบ้าการต่อสู้อย่างเขาไม่เข้าใจหรอก ผมแอบถอนหายใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเข้ากองรบ”

กองรบฟังน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือกลุ่มนายพราน

หมู่บ้านมีผืนดินประหลาดที่ทำให้ต้นไม้อันพิเศษจำเพาะงอกงามในป่า  ต้นไม้นี้หากไม่ได้ใช้ขวานอาบด้วยรัศมีดาบแล้วก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนแก่มันได้ ดังนั้นการถางไร่ปลูกพืชผักจึงเป็นไปไม่ได้เลย ผลคือเสบียงอาหารของหมู่บ้านจะได้มาด้วยวิธีล่าสัตว์หรือซื้อมาจากข้างนอก เงินที่ใช้ซื้อนั้นมาจากการขายผลผลิตจากปีศาจ

กองรบเป็นตัวตนสำคัญที่หาเสบียงครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน แต่สำหรับคนที่หวังอยากใช้ชีวิตสงบสุข นั่นเป็นสถานที่เลวร้ายที่สุดที่จะไป

“พี่รองเป็นแม่ทัพอยู่ที่นั่น”

พ่อดูยุ่งยากใจเมื่อผมพูดอย่างนั้น ถ้าเป็นผม ผมคงพูดว่า “ไปช่วยพี่ของเจ้าสิ ไปเป็นรองแม่ทัพหรือผู้ช่วย”

แต่สำหรับนักสู้แต่เกิดอย่างพ่อผมคิดเช่นนั้นไม่ได้ เขามีความเชื่อว่าเราต้องหวังตำแหน่งที่เข้มแข็งที่สุด ไม่สนว่าคนที่สู้ด้วยจะเป็นสมาชิกครอบครัวหรือศัตรู

“งั้นรัฐมนตรีต่างประเทศล่ะ?”

แม้มันจะฟังหรูหราแบบที่ใช้ในระดับประเทศ ในความเป็นจริงมันคือที่ๆเอามอนสเตอร์และผลิตผลจากปีศาจไปขายเมืองอื่นและซื้ออาหารกลับมา

ฟังเหมือนจะเป็นงานสบาย แต่สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล มันใช้เวลาเกินสิบวันจึงจะถึงหมู่บ้านอื่น ถ้าบอกว่าม้าไม่สามารถวิ่งในป่าแบบนี้ได้คงคิดล่ะสิว่าระยะทางเดินเท้าสิบวันไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ คนในกระทรวงต่างประเทศ ไม่สิ ผู้ใหญ่แข็งแรงทุกคนในหมู่บ้านนี้วิ่งได้เร็วมาก

ถ้าให้เทียบ เทียบพวกเขากับรถหรือรถไฟจะดีกว่าไปเทียบกับสิ่งมีชีวิต รวมความอึดแบบต่างโลกของพวกเขาเข้าไปด้วย ก็ตระหนักได้ว่าระยะทางไปหมู่บ้านอื่นนั้นไกลโพ้น ยิ่งกว่านั้น ถ้านึกถึงมอนสเตอร์และปีศาจที่จะได้พบระหว่างทาง การเข้ากองรบยังจะนำไปสู่ชีวิตสงบสุขได้มากกว่า

“รัฐมนตรีต่างประเทศมันไม่ใช่-”

“ทำไมล่ะ? กระทรวงต่างประเทศเป็นที่ๆจะให้การสนับสนุนเจ้าได้มากที่สุดนะ”

ในเมื่อมีแต่คนของหมู่บ้านเท่านั้นที่จะเข้าที่นี่ได้ รัฐมนตรีต่างประเทศจึงมีฐานะสำคัญในหมู่บ้านของเรา นั่นคือหมู่บ้านจะทุ่มทรัพยากรส่วนใหญ่ให้พวกเขาและมันเป็นที่ๆผมควรเข้าที่สุดถ้าฟังจากเหตุผลที่ผมบอกพ่อไป

แต่ผมปฏิเสธเพราะเหตุผลที่อยากไปเมืองหลวงจริงแล้วๆไม่ใช่เพราะอยากทำงานมีเกียรติมีค่าน่ะสิ

 

สารบัญ                                                                            บทที่ 2

 

บทหนีออกจากบ้านมี 16 ตอนค่ะ 16 อาทิตย์กว่าพระเอกจะถึงเมืองหลวง

ตัวอักษรในตอนเล็กไปหรือเปล่านะ?

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น