บทที่ 205 – ฟื้นฟู (1)
“เขาอยู่ไหน?”
เมื่อประตูยานปิดลง ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ถอดหมวกออกและพูดขึ้นเป็นคนแรก
กัปตันลีโอนีมองศาสตราจารย์ที่กำลังกระวนกระวายแล้วตอบด้วยสีหน้าไม่ดี
“เขาอยู่ในห้องพักฟื้น”
ศาสตราจารย์มองหน้ากัปตันแล้วเข้าใจ จึงเปิดประตูห้องพักฟื้นด้วยใจหดหู่
“ศาสตราจารย์...”
ศาสตราจารย์ดูเหมือนเดิมเพียงแต่แก่กว่าเล็กน้อย
ดูเหมือนคิมคังชุลจะประทับใจกับเรื่องนี้
เขาตื่นขึ้นมาในโลกจริงอย่างแท้จริง
“รหัสโลกล่ะ?”
“...ผมทำไม่สำเร็จ”
“เฮ้อ”
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ถอนหายใจยาว
ถ้าอย่างนั้นจะปลุกคังวูจินที่มีแค่รหัสฟื้นฟูขึ้นมาทำไม?
ถ้าพวกเขาต้องการโรลแบ็ค พวกเขาต้องมีจุดอ้างอิงนั่นคือรหัสของดาวดวงนั้น
“ศาสตราจารย์ เราต้องโรลแบ็คจริงๆเหรอ?”
“อะไรนะ?”
“แค่ช่วยทุกคนแบบผมไม่ได้เหรอ?”
“เฮ้อ”
ท็อปเลอร์ส่ายหน้าถอนใจเป็นคำตอบ ทรัพยากรร่อยหรอไปแล้ว
ในบ้านพวกเขาไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ในสถานการณ์แบบนี้
ถ้าคนนับหมื่นถูกปลุกขึ้นมาพร้อมกันจะเป็นอย่างไร?
ต่อให้ไม่มีสาเหตุจากภายนอก คนยังทำลายตัวเอง
ในโลกเสมือนจริง คนยังทำสงครามนับไม่ถ้วนเพื่อพลังอำนาจ
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
สีหน้าของคิมคังชุลแสดงว่าเขายังไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการโรลแบ็ค
“เฮ้อ พอถึงฐานที่พระจันทร์ คุณจะไปเรียนที่ศูนย์เพื่อการปรับตัว...”
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์หยุดพูดขณะมองเวลาที่แสดงบนกำแพง
ทำไมทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด?
หรือเขาน่าจะทำตามคำแนะนำของสภา? หรือเขาควรเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ด้วยการทำการทดสอบให้มากกว่านี้?
การเจอกับคังวูจินเป็นเหตุการณ์เล็กๆ
แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนิดเดียวทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
ตอนนี้มันหลุดจากการควบคุมของเขาไปแล้ว
“กรุณาฟังให้ดี”
“ครับ ศาสตราจารย์”
คิมคังชุลฟังศาสตราจาย์ท็อปเลอร์เหมือนฟังคำของพระเจ้า
“เมื่อคนๆหนึ่งเชื่อมต่อกับโลกเสมือน ตัวอวาตาร์จะถูกสร้างขึ้น
เราเรียกมันว่าล็อกอิน”
คิมคังชุลพอจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
เขากระทั่งไม่คิดว่าโลกเสมือนเป็นของจริง มันง่ายกว่าถ้าจะมองมันเป็นเกม
“ในที่สุดผมก็ได้ล็อกเอาท์ออกมา”
“ใช่”
คิมคังชุลคิดว่านี่คือการหนีจากโลกเสมือน
แต่ไม่ใช่ว่าโลกจริงจะน่าอยู่
พวกเขาต้องกระเสือกกระสนเพื่อเอาตัวรอดในโลกนี้
มันคือโลกที่ต้องพึ่งความหวังที่หลุดลอยไปแล้ว
“ลองคิดถึงความเป็นไปได้นี้ดู
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนในโลกเสมือนล็อกเอาท์มาที่โลกนี้?”
“อะไรนะ?”
“อย่างที่ผมพูดไป ผมไม่ได้หมายถึงเอาคนที่ล็อกอินออกมา
ถ้าของในโลกเสมือนมาปรากฏในโลกจริงจะเป็นยังไง”
“นั่น...”
ทำไมโลกเสมือนถึงถูกเรียกว่าเสมือน?
เพราะมันจับต้องไม่ได้ โลกที่มีอยู่แต่ในพื้นที่เลียนแบบ
“เราสามารถล็อกอินเข้าไปในความจริงของพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาสามารถล็อกอินเข้ามายังความจริงของเราล่ะ?”
“...”
นี่เกินกว่าคิมคังชุลจะจินตนาการได้
ถ้าคนจากโลกเสมือนล็อกอินเข้ามาในโลกจริงได้ มันจะเรียกว่าอะไร?
สร้างจากความไม่มี? การจุติลงมา?
“มันจะเหมือนที่เราไปยังโลกเสมือน
เราจะสามารถนำสิ่งในโลกเสมือนมาที่นี่ได้”
“ถ้ามันทำได้...”
“เรากำลังพยายามเอาโลกเสมือนมาอยู่ในระบบสุริยะนี้
โลกเสมือนจะเป็นโลกใหม่”
โลกจริงถูกใช้ทรัพยากรไปจนหมดและพังทลายไปแล้ว
นี่คือความพยายามเฮือกสุดท้ายในการช่วยประชากรโลก
การปรับสภาพดวงดาวผ่านโลกเสมือน
แผนนี้ดำเนินมาเป็นเวลานานมากแล้ว
“แล้วโลกนี้จะเป็นยังไง?”
“ก็เหมือนเดิม”
โลกไม่ใช่เป้าหมายของการปรับสภาพดวงดาว
โลกเป็นเรือเก็บประชากรที่กำลังหลับอยู่จนกว่าจะสามารถย้ายไปยังโลกใหม่ได้
“ดาวอังคารจะถูกปรับสภาพ”
“ฮ้า...ถ้าเป็นอย่างนั้นได้...”
มนุษยชาติจะได้โลกใหม่ เมื่อพวกเขาออกจากโลกเสมือนพวกเขาจะได้ชีวิตใหม่ได้อยู่บนโลกใหม่
“เพราะอย่างนี้เราถึงต้องทำการรีเซ็ท”
“...?”
“โลกที่ใกล้ล่มสลายแล้วจะเอาออกมาทำไม?”
การระเบิดของดันเจี้ยน...
สงครามที่เลวร้ายลง โลกเสมือนที่หลายส่วนถูกทำลายไป
เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงต้องโรลแบ็ค
“...อย่างนี้นี่เอง”
คิมคังชุลพูดอย่างผิดหวัง
คราวนี้เขารู้แล้วว่าทำไมชีวิตของเขาถึงถูกวนซ้ำ
แทนที่จะโล่งใจเมื่อรู้ความจริง เขารู้สึกว่างเปล่า
เขาได้ทำตามเป้าหมายคือการตื่นในโลกจริง
แต่โลกจริงเป็นเพียงซากปรักพัง ยิ่งกว่านั้นแล้วทุกคนที่นี่ล้วนแต่ตั้งความหวังไว้กับโลกเสมือน
“ถ้าบัลลังก์ทั้ง 72 ยึดโลกแต่ละใบของทราห์เน็ตได้
เราจะล็อกอินเข้าไปไม่ได้อีกต่อไป ความหวังสุดท้ายของพวกเราคือการปรับสภาพดวงดาว
แต่ทุกอย่างอาจจบลงก่อนจะได้ทำอย่างนั้น”
“พวกเขาก็มนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
พวกเขาน่าจะเป็นมนุษย์ที่หลับและเชื่อมต่อในโลกเสมือน...
ถ้าทุกอย่างในนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์ที่เชื่อมต่อกับทราห์เน็ต
คิมคังชุลก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาทำอย่างนั้น
“ศาสตราจารย์ กัปตันลีโอนีส่งข่าวมา
เครื่องยับยั้งการทำงานพร้อมใช้อีกครั้งแล้ว”
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ฟังเสียงรายงานจากด้านนอกแล้วตบบ่าคิมคังชุล
“ทราห์เน็ตอาจไม่ใช่ของที่มนุษย์สร้างขึ้น”
มิติเสมือนถูกสร้างขึ้นเป็นผลพลอยได้จากการค้นคว้าหาวิธีเดินทางในฉับพลันระหว่างโลกกับดาวอังคาร
เป็นไปได้ว่ามนุษยชาติบังเอิญไปเจอทราห์เน็ต
นี่อาจไม่ใช่การต่อสู้ในหมู่มนุษย์
พวกเขาอาจสู้เพื่อความอยู่รอดกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว
ถึงเวลาที่เขาต้องไปเอากุญแจหนึ่งเดียวเพื่อล้มเกมนี้แล้ว
“คุณพักผ่อนเถอะ”
หน้าที่ของคิมคังชุลหมดแล้ว
เขาต้องหาคนใหม่ที่จะทำตามคำสั่งของเขาในการรีเซ็ทโลก
คนที่สามารถรับข้อความจากโลกพระจันทร์ได้
***
“เปิดเครื่องยับยั้งการทำงานแล้วครับ”
“ดี เข้าไปกันเถอะ”
สมาชิกทีมเข้าไปในสถานีใต้ดินตามคำสั่งของกัปตันลีโอนี ที่นี่ทำหน้าที่เป็นหลุมหลบภัยใหญ่
มันปกป้องคนจากสงครามครั้งแล้วครั้งเล่าและการร่อยหรอของทรัพยากร
พวกเขาผ่านเส้นทางมืดโดยพึ่งแสงจากไฟฉายและมาถึงแคปซูลของคังวูจินอย่างรวดเร็ว
“เตรียมเครื่องตัด!”
“ครับ”
แผนคือฉีกแคปซูลออก พวกเขาจึงเอาเครื่องตัดอันใหญ่มาด้วย
“เปิดฝา!”
“ครับ”
สมาชิกเปิดแคปซูลที่ถูกปิดไปอย่างลวกๆอีกครั้ง
“เฮ้ย”
สมาชิกทีมประหลาดใจเมื่อมองเข้าไปในแคปซูล
“เขาไม่อยู่ที่นี่”
“อะไรนะ?”
กัปตันลีโอนีเดินเข้ามาและเห็นภายในแคปซูลว่างเปล่า
“เขาไปไหน...”
ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน
“ทำยังไงดี กัปตัน?”
กัปตันลีโอนีขบกราม เขาก็สับสนเช่นกัน
“หาเขา ค้นรอบๆให้ทั่ว”
“ครับ!”
สมาชิกทีมเปิดไฟพกพาและค้นหาพื้นที่รอบๆ
“หรือว่า...”
ลีโอนีจ้องแคปซูลว่างเปล่าอย่างใจลอย ไม่เคยมีใครตื่นขึ้นมาได้เอง
ไม่เคยมีใครทำได้เพราะมนุษย์ถูกเชื่อมต่อกับทราห์เน็ต...
***
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์เปิดประตูที่ถูกพัง มองรอบๆ ดูเหมือนจะเคยเกิดการต่อสู้ในห้องขัง
มันดูเละเทะ
‘ฮู่ว’
ตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว ขณะกัปตันลีโอนีเอารหัสฟื้นฟู
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ต้องเอารหัสหลักของโลกมาให้ได้
เขานิ่งขึงเมื่อออกจากห้องขัง
สมาชิกหน่วยแฟนธ่อมยืนเฝ้าอยู่ สายตาของพวกเขามองมาที่ศาสตราจารย์
“นายเป็นใคร?”
ถ้าถูกปืนชี้มาทางเขาคงดีกว่า ขณะสมาชิกหน่วยแฟนธ่อมถาม
พวกเขาขยับมาสองข้างของท็อปเลอร์และจับเขาไว้
“อั่ก”
เขาถูกผลักลงพื้น มือและเท้าถูกใส่กุญแจ เท่านี้ยังไม่พอ
เราส์คนหนึ่งใช้ทักษะมัดตัวเขา
ความรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกดูดออกไป ศาสตราจารย์นอนบนพื้นขณะมองสมาชิกหน่วยแฟนธ่อม
“ตกลงเขาเป็นใครน่ะ?”
“ไม่รู้ ไปตามรองผู้บัญชาการมาที่นี่”
“รับทราบ”
ชายคนนี้โผล่มาที่ห้องขังว่างเปล่า มันน่าสงสัย
บลังกาตาโตเมื่อเห็นด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
“ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์”
“...”
เรี่ยวแรงด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ถูกดูดออกไป เขารู้สึกลิ้นหนักเหมือนตะกั่ว
เขาพยายามหัวเราะแต่ขยับหน้าไม่ได้
หน่วยแฟนธ่อมส่วนมากเป็นเราส์แรงค์ A บางคนเป็นแรงค์ S ไปแล้ว นี่ไม่ใช่ทักษะมัดธรรมดา
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”
บลังกาถาม สมาชิกหน่วยแฟนธ่อมปลดทักษะให้ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์พอขยับปากได้
“ผมมาช่วยโลก”
“หืม งั้นทำไมคุณมาหลบๆซ่อนๆอยู่ตรงนี้?”
“ผมไม่ได้หลบๆซ่อนๆ...”
“ผมรู้นะ คุณจะหายไปถ้ามีประตู”
“...”
“เราจะรอจนกว่าราชาจะกลับมา”
“คังวูจินไปไหน?”
“ราชาไปที่โลกพระจันทร์ คุณต้องอยู่ที่นี่จะกว่าเขาจะกลับมา”
ข้อมูลที่พวกเขามีไม่เพียงพอให้คาดเดาพฤติกรรมของด็อกเตอร์ท็อปเลอร์
แต่สิ่งหนึ่งที่รู้แน่คือ เขาสามารถสร้างดันเจี้ยนถ้ามีประตู
และสามารถหายตัวไปด้วยวิธีนี้
บลังกาชี้ไปที่สายอากาศอีกด้านของหอบังคับการ ถ้าเขาถูกล่ามกับมันคงยากจะหนีไปไหนได้
“พวกนายเฝ้าเขาไว้ให้ดี”
“ครับ รองผู้บัญชาการ”
สมาชิกหน่วยแฟนธ่อมด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ไปที่สายอากาศและมัดตัวเขา
“เราไม่มีเวลากับเรื่องแบบนี้นะ เราต้องช่วยโลกเดี๋ยวนี้”
“คุณไม่ต้องช่วยหรอก พวกเราจะปกป้องมัน”
“...”
บลังกาออกคำสั่งทางสายตา ลูกน้องของเขาก็ผนึกศาสตราจารย์ท็อปเลอร์ใหม่
‘โธ่เว้ย อะไรกันวะ?’
เขาไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
เขาสามารถบังคับล็อกเอาท์ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่ได้รหัสโลก...
ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ถูกมัดกับสายอากาศ เขาเห็นขอบฟ้าอยู่ไกลๆ
มันอยู่ไกลเกินไปมากจนเห็นเป็นจุดบนท้องฟ้า
แต่ท็อปเลอร์รู้สึกถึงมันได้
‘ตัวตนอันสมบูรณ์…’
ตัวตนที่ต้องการครอบงำทราห์เน็ต
มันฟื้นชีพขึ้นมาแล้ว
ถ้ามันได้รหัสโลกทุกอย่างจะจบลง
ด็อกเตอร์ต้องรีเซ็ททุกอย่างก่อนเรื่องนั้นจะเกิดขึ้น แต่เขาถูกมัดไว้ตรงนี้...
***
ลูกบอลไฟมาลงเหนือดาดฟ้าป้อมปราการลอยฟ้า
มันคือมนุษย์ เขาเปลี่ยนเป็นไฟ
ฮงซุงกูอ้าปาก
“นี่อาจอันตรายกว่าที่ผมคิด เขาได้รับความเสียหาย
แต่ทุกอย่างถูกดูดซับไป”
[อธิบายให้ละเอียดสิ]
อดีตลูกศิษย์ของมัน...
เจนิสมองซุงกูที่กลายเป็นเผ่าครึ่งมังกร
“เอ่อ มันได้รับความเสียหาย แต่การโจมตีไม่ผ่านขีดที่จะทำให้มันบาดเจ็บ
มันฟื้นฟูทันที”
มินชานที่ฟังอยู่ถามอย่างเคร่งขรึม
“เรามีโอกาสล้มมันไหม?”
“น่าเสียดาย การโจมตีของผมไปไม่ถึงขีดที่ว่านั่น”
“เราต้องสู้เพื่อหาขีดนั้น”
เชฮีซอลพูดอย่างมั่นใจ มินชานจึงมีความหวังขึ้นเล็กน้อย
[เราต้องทำตามคำสั่งของท่านจ้าว]
มินชานเห็นด้วยกับเจนิส
“หนีเถอะ ถ้าโอกาสชนะต่ำ เราควรรักษากำลังไว้”
พวกเขาต้องปกป้องโซอา นี่คือคำสั่งของวูจิน
ทุกคนมีความเห็นแตกต่างกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ได้
“เถียงกันไปก็ไม่ได้อะไร มาโหวตกันดีกว่า”
[ไร้สาระ!]
“เห็นด้วย”
ซุงกูและคนอื่นไม่เห็นด้วยกับเจนิส สุดท้ายพวกเขาเริ่มออกเสียง
“อืม เรามีสองทาง ใครอยากถอยให้ยกมือขึ้น”
เจนิส บิบิ มินชานและคนอื่นยกมือ
[คำสั่งของท่านจ้าวถือเป็นเด็ดขาด]
“ใช่แล้ว เราต้องทำตามคำของเจ้านาย”
บิบิหนีไม่ใช่เพราะกลัว เธอไม่สนใจว่าต้องเสียอะไรไปบ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดคือคำสั่งของคังวูจิน
“เอ่อ ใครอยากสู้ ยกมือขึ้น”
ซุงกูและฮีซอลที่ไปลาดตระเวน ยกมือขึ้น มินชานพูดอย่างยินดี
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราถอย...”
[เหลวไหล]
เสียงคำรามทำเอาเขาหูอื้อ มินชานสะดุ้ง เขามองไปที่เหล่าอัศวินมรณะ
ทั้งหมดเข้าแถวและล้วนแต่ยกมือขึ้น
ร้ายกว่านั้น มังกรกระดูกรงรงก็ยกปีกขึ้น
“อา...”
[เราสู้]
คิบะ หัวหน้าอัศวินมรณะ เดินออกมา
ดวงตาเจนิสลุกโพลงเป็นสีแดง
[คำสั่งท่านจ้าวถือเป็นเด็ดขาด]
[พวกเราไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่ง!]
เสียงของมันเด็ดเดี่ยว
[เราสู้ เราสู้เพื่อชนะ นี่คือวิธีที่เราใช้ปกป้อง]
[...]
ทุกคนเงียบไป
คิบะพูดต่อ
[ผู้ไม่ตายไม่มีวันตาย]
คิบะพูดคำที่ทุกคนหลีกเลี่ยง
สองฝ่ายปะทะกัน เกิดการระเบิด ฝ่ายหนึ่งรอดและตรงมาที่พวกเขา
มันคือลอร์ดมิติที่ปล่อยพลังมืดออกมา
ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของคังวูจินแต่สะกดกลั้นความรู้สึกนั้นไว้
แต่คิบะพูดออกมาตรงๆ
[ผู้ไม่ตายไม่หนี]
เจนิสส่ายศีรษะ
[ข้าลืมไป]
คิบะยกขวานขึ้น
[เราสู้เพื่อชัยชนะ! จากนั้นเราเตรียมต้อนรับราชาของเรา!]
[โอ!]
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของกองทัพผีดิบโหมไหม้รุนแรง
สารบัญ รอใส่บทที่ 206
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น