บทที่
190 – ลอร์ดแห่งน้ำแข็ง (2)
อลันดาลเปลี่ยนแผนปฏิบัติ
พวกเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่งและเน้นความปลอดภัย
พวกเขาสนใจแต่การรวบรวมบลัดสโตน ทำให้แหล่งข่าวหลายแห่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์
ถึงอย่างนั้น
อลันดาลก็ยังนิ่ง
ตอนแรกมีแต่แหล่งข่าวที่กล้าหาญหน่อยออกมาพูด
แต่ตอนนี้แหล่งข่าวมาทับถมอลันดาลอลันดาล สร้างข่าวไม่ขาดสาย
เมื่อราชาหายไปก็ไม่ยอมทำอะไรเลย
สื่อมวลชนเล่นหัวข้อนี้ไม่เลิก
กระทั่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คังวูจิน
ทำไมเขาไปอัลเฟน?
เขาจากโลกไปเพื่อความปลอดภัยของโลกอื่น
ทำอย่างนี้มันถูกเหรอ?
โลกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน
ทุกคนต้องการการปฏิวัติที่สามารถแก้ปัญหาที่พวกเขาเจออยู่
พวกเขาไม่สนว่าจะเป็นวีรบุรุษที่ออกมาหยุดสงคราม
หรือแพะรับบาปที่จะแบกรับความผิดชอบทั้งหมด...
อลันดาลที่ไม่มีปฏิกิริยากับงานอื่นใด
สนใจแต่ภารกิจเดียว
คิมเฮมินเปิดประตูห้องนายกฯดังปัง
เขาตะโกน
“ได้เบาะแสของคิมคังชุลแล้ว”
“หา?
ที่ไหน?”
จุงมินชานที่กำลังจะออกปากตำหนิเปลี่ยนไปลุกขึ้นจากที่ด้วยสีหน้าแจ่มใส
“เขาอยู่ที่ลอนดอน”
“ลอนดอน?
อังกฤษ?”
“ใช่ครับผม”
“ไอ้เปรตเอ๊ย”
นี่เกี่ยวข้องกับคำสั่งเฉพาะจากคังวูจิน
พวกเขาต้องมุ่งหาศาสตราจารย์ท็อปเลอร์และคิมคังชุลที่หนีไป
พวกเขาได้เบาะแสเป็นครั้งแรก
“ว่าแล้ว
เขามีเอี่ยวกับศาสตราจารย์ท็อปเลอร์”
มินชานคิดว่าคังวูจินแนะนำไว้ถูกจริงๆ
ลอนดอนเป็นที่สุดท้ายที่เห็นศาสตราจารย์ท็อปเลอร์
คิมคังชุลไปโผล่ที่นั่นย่อมมีความหมาย
“แต่มีปัญหาอยู่อย่างครับ”
“อะไร?”
“ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอังกฤษจะยอมให้เราเข้าประเทศไหม...”
พวกเขาอยู่บนปราการลอยฟ้า
ลอยไปมาบนท้องฟ้า
เมื่ออลันดาลถูกมองแย่ไปแล้วความเห็นที่มีต่ออลันดาลก็ไม่ดีขึ้นเลย
มีประเทศน้อยมากที่ต้อนรับอลันดาลเพราะพวกเขาไม่ช่วยอะไร
โดยเฉพาะประเทศเช่นอังกฤษที่มีเราส์แข็งแกร่งจำนวนมาก
ประเทศได้รู้จักไอเทมใหม่คือชิ้นส่วนมิติ
มันทำให้พวกเขาอยากทำลายอาณานิคมของลอร์ดมิติด้วยตัวเอง
ไม่ยอมร่วมมือกับประเทศอื่น
“เราต้องเจรจา”
จุงมินชานเตรียมแผนต่อรองกับประเทศอื่นๆไว้แล้ว
อลันดาลถือความปลอดภัยของตัวเองเป็นอย่างแรก
แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้พลัง
แค่หน่วยไวเวิร์น
อลันดาลก็มีพลังโจมตีมากกว่าประเทศเล็กๆทั่วไปแล้ว
“เปลี่ยนเส้นทางกันเถอะ”
ปราการลอยฟ้าตอนนี้กำลังบินเหนืออินเดีย
มินชานไปหาบิบิทันที
เธอเป็นเหมือนเทพเจ้าเมื่ออยู่ในปราการที่เรียกว่าปราสาทของบิบิ
เธอมีอิทธิพลเหนือดินแดนภายใต้อาณานิคม
และสามารถสร้างอะไรก็ได้ถ้าอยู่ภายในพื้นที่อิทธิพล อีกอย่าง
อาณานิคมจะเคลื่อนไปทางไหนต้องได้รับการยินยอมจากบิบิก่อน
มินชานรู้ว่าบิบิอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ถ้ามองจากหอบังคับการ
ดาดฟ้าเรือมองเหมือนเมืองเล็กแห่งหนึ่ง
ถ้าเดินท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าทุกอย่างกำลังลอยบนฟ้า
มินชานไปถึงปลายดาดฟ้า
คาเฟ่ที่มีระเบียงกว้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงนี้
“นายกฯมาเหรอคะ?”
“อ๊ะ
ครับแม่”
จุงมินชานก้มหัวทักทายแม่ของคังวูจินอย่างสุภาพ
“อา
ฉันบอกแล้วนะคะว่าอย่าทำแบบนั้น”
“ไม่
ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง...”
มินชานไม่กล้าเรียกแม่ของคังวูจินด้วยชื่อ
ลีซุงยุนที่กระดากใจเมื่อถูกเรียกตามฐานะพยายามให้มินชานเรียกเธอว่าแม่แทนจนได้
ตอนนี้เธอยังลุกขึ้นเพื่อต้อนรับเขา
มินชานรู้สึกอึดอัดที่ได้รับการใส่ใจขนาดนี้
“ไม่ต้องต้อนรับแบบนั้นก็ได้ครับ”
“โฮ่ๆ
คนตำแหน่งสูงอย่างนายกฯมา ฉันจะไม่ต้อนรับได้ยังไงคะ?”
อา
แม่... ลูกแม่อยู่เหนือผมนะ
เขาพยายามบอกแบบนั้นหลายครั้ง
แต่นางไม่เปลี่ยน มินชานจึงกลืนคำที่จะพูดกลับไป
“เอาเหมือนเดิมหรือเปล่าคะ?”
“ครับ...
อีกอย่าง ผมมีธุระกับคุณบิบิ...”
“โอ้
ฉันนี่ไม่คิดเลย รีบไปหาเธอเถอะค่ะ ดูเหมือนฉันจะขวางคุณตอนกำลังยุ่งๆซะแล้ว”
“ไม่หรอก
ผมไปล่ะครับ”
ลีซุงยุนปล่อยมือมินชานแล้วกลับไปดูลูกจ้าง
ในความคิดของนาง จุงมินชานเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในอลันดาล
สำหรับนางแล้ว
คังวูจินเป็นเพียงลูกชายของนาง...
จุงมินชานบอกลาแล้วเดินไปที่ระเบียง
บิบิและโซอากำลังนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย เขายังเห็นโดเจมินยืนอยู่ใกล้ๆ
เจมินไม่กลัวแสงอาทิตย์อีกแล้ว
เขาจึงมีสีหน้านิ่งแม้จะกำลังตากแดด
“คุณบิบิ
เราต้องเคลื่อนป้อมปราการไปลอนดอน”
“ทำไมล่ะ?”
“เราได้ร่องรอยของคิมกังชุลที่นั่น”
“คนที่หนีไปครั้งนั้นใช่ไหม?
ได้สิ”
เจ้านายของเธอสั่งให้จับชายคนนี้กลับมา
บิบิพยักหน้าอย่างเต็มใจและเคลื่อนป้อมปราการทันที
ปราสาทบิบิสั่นเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนไปช้าๆ
“หือ
โซอา? ไม่สบายเหรอ?”
“ปละ...เปล่า”
โซอาตอบไม่แต่หน้าซีด
เธอสบายดีมาจนถึงเมื่อกี๊ เมื่อหน้าโซอาเปลี่ยนสี โดเจมินก็ตกใจ
“ป...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
โดเจมินถูกคังวูจินขอให้ปกป้องโซอา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ แน่นอนเขาย่อมตกใจ
อีกด้าน
จุงมินชานกับบิบิมีสีหน้ากังวล แต่พวกเขาไม่ได้ตกใจ
“เธอกำลังฟังเทพยากรณ์”
“อา...”
“เปลี่ยนที่กันเถอะ”
โซอาเหงื่อแตก
ลูกตาขยับลอกแลก บิบิอุ้มเธอเข้าไปในห้องมุมร้านกาแฟ
ขณะที่พวกเขาออกไป
ชายคนหนึ่งที่กำลังดื่มเครื่องดื่มก็ใช้โทรศัพท์มือถือ
เขาเพิ่งถ่ายรูปโซอาไป
และส่งรูปไปพร้อมกับข้อความ
[อาจใช่เป้าหมาย
รอคำยืนยัน]
เมื่อส่งข้อความเสร็จ
ชายคนนั้นดื่มเครื่องดื่มจนหมดก่อนผู้หญิงคนหนึ่งจะเข้ามาหาเขา
“คุณซุงโฮ
หมดเวลาพักเที่ยงแล้วค่ะ รีบไปเถอะ”
“ครับผู้จัดการ”
ซุงโฮเก็บโทรศัพท์แล้วลุกขึ้น
***
ห้องพักในร้านกาแฟ
พลังงานมหาศาลเปล่งออกมาจากร่างโซอา
เธอยังคงลืมตา
แต่ลักษณะอันน่ากลัวนั้นไม่ใช่โซอาอีกต่อไป
[เวลาแห่งโชคชะตาของพวกเรามาถึงแล้ว]
ปากของเธอไม่ขยับ
แต่เสียงดังขึ้นในหัวทุกคน
“เวลาอะไร?”
[…]
ไม่มีคำตอบให้คำถามของมินชาน
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
เธอพูดแต่สิ่งที่อยากพูด
[มันอาจเป็นเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง
หรือพวกเราจะถูกใส่บังเหียนอีกครั้ง...]
“...”
ทุกคนฟังเงียบๆเพราะถามอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
พวกเขาจดจำคำพูดของเธอไว้รายงานคังวูจิน
[...]
ร่างโซอาที่ลอยกลางอากาศค่อยๆหล่นลงบนพื้น
บิบิอุ้มเธอ ลูบแก้มโซอาเบาๆ
“น่าสงสาร”
เธอเป็นน้องสาวของเจ้านาย
ทำไมเทพของโลกเลือกโซอา?
เธอยังเด็กมาก
บิบิดูเหมือนอายุเท่าโซอา
แต่เธอเป็นอสูร เธอเป็นซัคคิวบัสที่อยู่มาเกิน 200 ปี
บิบิอดสงสารโซอาไม่ได้
ตอนนั้นเอง
ดวงตารื้นน้ำตาของบิบิโตขึ้นด้วยความแปลกใจ
“คุณบิบิ?
มีอะไรเหรอ?”
มินชานถามอย่างแปลกใจ
แต่บิบิยกมือห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามา
“อ๊ะ...”
บิบิร้อง
ร่างเธอเริ่มบิด
แขนขาของเธอระเบิด
ส่วนต่างๆบนร่างกายของเธอระเบิดกลายเป็นควันดำ
ควันดำรวมตัวกันอีกครั้ง
บิบิเปลี่ยนไปจากเดิมสิ้นเชิง เธอตัวสูงขึ้น ร่างกายโตขึ้น
“อา”
เหมือนบิบิถูกเรียกกลับไปแล้วถูกอัญเชิญออกมาใหม่
“เฮือก”
มินชานและเจมินส่งเสียงตกใจ
บิบิมีขาเรียวยาว
สูงขึ้นพร้อมกับหน้าอกและก้นใหญ่ขึ้น...
เธอยังมีใบหน้าน่ารักแต่รูปร่างภายนอกทำให้เธอเหมือนไม่ใช่คน
บิบิมีความงามแตกต่างไปจากสตรีศักดิ์สิทธิ์เมโลดี้
เธอมีเสน่ห์ทางเพศเปี่ยมล้น
และมีหางสีดำเรียวยาวออกมาจากด้านหลัง...
“ฮ้า”
บิบิส่งเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงร้องหรือเสียงครางพลางทำแก้มป่อง
“แบบนี้ก็แย่สิ”
แม้แต่เสียงเธอยังฟังยั่วยวน
แทบทำให้หูของผู้ชายรอบตัวละลาย มินชานและเจมินหน้าแดงจัด
พวกเขาไม่คิดแม้แต่จะหันหน้าหลบ
บิบิหันไปมองทั้งสองคน
‘อ๊าก
อย่ามองพวกเราแบบนั้น เราก็ลำบากเหมือนกันนะ’
“พวกเราเจอเรื่องยุ่งยากแล้วล่ะ”
บิบิพูด
ชายทั้งสองส่งเสียงงึมงำเหมือนถูกสะกดจิต
“ใหญ่ไปหมด...”
“ตราบเท่าคลื่นทะเลตะวันออกจะเหือดแห้ง
ขุนเขาแผ็กตูจะทลาย พระเจ้าจะทรงปกป้องแผ่นดินเกาหลีของเราชั่วกัลปาวสาน” (TN – ไม่รู้ใครร้องเพลงชาติเกาหลีออกมา
– ไปซะแล้ว XD)
บิบิขมวดคิ้ว
“มีสติกันหน่อย!”
“โอ๊ะ”
“เฮือก”
บิบิพูดอย่างจริงจัง
“ดูเหมือนโลกจะประสานเสร็จแล้ว”
“อะไรนะ?”
มินชานถาม
บิบิยังมีสีหน้าจริงจังขณะหันไปมองโซอาที่ยังไม่ได้สติ
เวลาแห่งชะตาที่เทพของโลกพูดถึงคืนนี่เหรอ?
“ประตูมิติต่างๆตอนนี้เปิดเต็มที่แล้ว”
“...”
มินชานและเจมินมีสีหน้าเครียดขึ้นมา
กระทั่งตอนนี้ลอร์ดมิติก็ปรากฏบ่อยแล้ว ถ้าประตูมิติเปิดกว้างเต็มที่...
ถ้าการโจมตีที่ผ่านมาเป็นการลองเชิง
ต่อไปนี้มันจะเป็น...
สงครามของจริงกำลังจะเริ่ม
***
“ป้องกันไว้”
“กรร”
ห่ากระสุนถูกยิงออกมาพร้อมกับเราส์ที่กล้าหาญพุ่งออกไป
พวกเขาตายอย่างไม่สมควร ศัตรูแข็งแกร่งและมาที่โลกพร้อมๆกัน
นี่คือดันเจี้ยนช็อกครั้งที่
2
มันเป็นชื่อที่สื่อมวลชนคิดขึ้น
หมายถึงเหตุการณ์ตอนนี้ที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ไม่มีใครพูดถึงมันอีกแล้ว
มีที่ๆคนนับหมื่นถูกสังหาร
และปรากฏการณ์ประหลาดที่ทั้งเมืองหายวับไป
ทั้งโลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
เจ้าของกิจการและคนส่วนบนของสังคมอพยพไปยังแถบอื่นที่ถือว่าปลอดภัยแล้ว
ตลกดีที่คนพวกนี้หนีไปยังประเทศโลกที่สามที่ไม่มีสถานีรถไฟใต้ดิน
การเคลียร์ดันเจี้ยนเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าหรือไม่?
ดันเจี้ยนรีเซ็ทวันละหลายครั้ง
เราส์เคลียร์ดันเจี้ยนติดต่อกันไม่ไหว ใช้เวลาเพียงวันเดียวลอร์ดมิติก็ออกมาจากดันเจี้ยนที่จัดการไม่ไหวเหล่านั้น
และไม่แค่ดันเจี้ยนลอร์ด
ยังมีเจ้าของดันเจี้ยนและผู้อพยพระหว่างมิติออกมา ปัญหาคือคนพวกนี้ไม่ใช่มอนสเตอร์ทั้งหมด
มีเผ่าที่ดูไม่ต่างจากมนุษย์
กระทั่งผู้อพยพระหว่างมิติที่จัดลำดับชั้นเป็นมนุษย์ยังปะปนอยู่กับประชากรโลก
ดันเจี้ยนช็อกครั้งก่อนยังเทียบไม่ได้กับความหายนะครั้งใหญ่นี้
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะช่วยใครดี
ปราสาทของบิบิก็มาถึงท้องฟ้าลอนดอน
“รัฐบาลอังกฤษยังไม่ตอบคำของของเราเหรอ?”
“พวกเขาอยากให้เรารอ
อีกไม่นานจะให้เราเข้าแล้ว”
เขาใช้กล้องซูมไปที่พื้นดินและเห็นสถานการณ์ด้านล่างแย่มาก
มันเป็นนรก
ไม่รู้ว่าดันเจี้ยนกี่แห่งระเบิด
แต่ดูเหมือนด้านล่างจะมีมอนสเตอร์มากกว่ามนุษย์ ลอนดอนกลายเป็นดินแดนไร้กฏหมายไปแล้ว
“เฮ้อ
เร็วหน่อยสิ...”
พวกเขามาเพื่อหาคิมคังชุล
แต่ปัญหานั้นไม่สำคัญแล้ว การไขปัญหาความลับของโลกพระจันทร์จะสำคัญอะไรถ้าทั้งโลกล่มสลาย
ไม่
โลกจะไม่ล่มสลาย คนบนโลกต่างหากที่ถูกกวาดล้าง...
สมาชิกหลักของอลันดาลรวมตัวกันที่ห้องบัญชาการ
พวกเขายังรอคำอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษ
“เอ๋?”
“เอ๊ะ?”
บิบิกับโดเจมินร้องอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้านายกลับมาแล้ว”
“พี่...”
วูจินส่งข้อความหาคนของเขาทันทีที่กลับมาถึงอาณาเขตมิติ
[โลกเป็นไง? ถ้าไม่ยุ่งมากฉันอยากจะเก็บแต้มในอลันดาลก่อน]
“ยุ่งครับ
โลกกำลังมีปัญหา”
“เจ้านาย
การประสานเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
วูจินเงียบ
[มันแย่ไหม?]
“ครับ! ดันเจี้ยนทั่วโลกระเบิดติดต่อกัน คนกำลังหนีไปอยู่แถบที่ไม่มีสถานีใต้ดิน”
[พวกนายอยู่ที่ไหน?]
“เราอยู่ที่ลอนดอน”
[ฉันกำลังไปที่นั่น]
“ครับ
รีบมานะ”
จุงมินชานไม่ได้ยินเสียงของวูจิน
เขาจึงมีปฏิกิริยาเมื่อได้ยินที่โดเจมินพูด เขาถามหน้าซีด
“ถ้าพระราชามาที่นี่
พนักงานที่ส่งไปที่สถานีโซลล่ะ?”
“อ๊ะ!”
โดเจมินรายงานสถานการณ์ทันที
วูจินถาม
[ใครอยู่ที่นั่น?]
“หัวหน้าเลขานุการวูไปที่นั่นครับ
เขาต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับเกาหลี...”
[อา หมอนั่นชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย]
วูจินคิดแล้วตอบ
[ฉันจะไปที่โซล
พวกนายฆ่ามอนสเตอร์แถวนั้นให้หมด]
“รัฐบาลอังกฤษยังไม่ให้พวกเราเข้า...”
กับคำพูดของเจมิน
วูจินตอบโดยไม่ต้องคิด
[ฉันอนุญาต ไป]
“ครับพี่”
เจมินไม่ได้ยินเสียงวูจินอีก
เขาหันไป ทุกคนกำลังมองมาที่เขา
“เขาอยากให้เราฆ่าพวกมันให้หมด”
จุงมินชานเปิดไมโครโฟนทันที
“หน่วยไวเวิร์น
เตรียมตัวให้พร้อม! เตรียมปืนใหญ่!”
กระบอกปืนใหญ่ยื่นออกจากปราการลอยฟ้าเล็งไปที่พื้นดิน
ของจริงมาแล้ววว ตื่นเต้นเลย เสียดายซุงกูกับฮีซอลยังไม่ฟื้นทั้งคู่
ตอบลบ//ขอบคุณคนแปลนะคะ//