Chapter 172 – Air Strike(1)
เมื่อวูจินมาถึงอาณาเขตมิติ มันดูเป็นปกติดี แต่เมื่อเขาออกจากปราสาท เมืองดูต่างไปมาก
บ้านกำลังถูกไฟเผา มีศพอยู่ทุกที่ มันเหมือนพวกเขาสู้กับพวกนักผจญภัย
มีศพที่ยังไม่ถูกเก็บ และมีทหารกำลังลาดตระเวน เมื่อมองดูบ้านเรือนที่ถูกทำลายก็บอกได้ว่าการต่อสู้เกิดขึ้นได้ไม่นาน
“คิบะ”
[ราชาของข้า]
ควันดำรวมตัวกันเป็นคิบะ เขาคุกเข่าลง
“มีนักผจญภัยฝีมือดีมาเหรอ?”
[มันเป็นกบฏ]
“กบฏ?”
[การลุกฮือเกิดในหมู่ประชากรของอาณาเขตเป็นบางครั้ง]
“หืม”
วูจินลูบคาง
ปัจจัยบางอย่างเป็นภัยคุกคามของอาณาเขตมิติ สงคราม,การท้าดวลและนักผจญภัยที่บุกมาทางดันเจี้ยน
นอกจากนั้นยังมีโอกาสเกิดกบฏในหมู่ประชากรที่อพยพเข้ามา แล้วยังมีโจรที่จงใจเข้ามาขโมย
ประชากรมิติกับลอร์ดมิติต่างกันแค่มีหรือไม่มีอาณาเขตในครอบครอง มีคนเร่ร่อนอยู่มากที่แข็งแกร่ง ถ้าวูจินเสียอาณาเขตมิติไป เขาก็จะเร่ร่อนไปเรื่อยเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้เร่ร่อนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง กลุ่มแบบนี้จะย้ายไปเรื่อยๆและสร้างปัญหาตามที่ต่างๆ
แต่เหตุผลเดียวที่เกิดการกบฏคือ...
“พวกมันคิดว่าจะทำอะไรกับฉันก็ได้เหรอ?”
[ไม่มีทาง! ไม่มีใครบังอาจคิดว่าท่านจ้าวของเราอ่อนแอ]
คิบะตะโกน เขามองซากศพพลางพูดต่อ
[พวกมันถูกส่งมาอย่างจงใจ มันดูเหมือนเครื่องแบบทหารทหารรับจ้างที่รับงานจากลีอาห์]
วูจินถอนหายใจ
“ทำไมยัยนั่นจงใจหาเรื่องฉันเรื่อย?”
ลีอาห์แพ้เขาทั้งในสงครามมิติและการดวล คราวนี้เธอใช้อุบายมาทำลายอาณาเขตมิติของเขา
เธอเคยพูดว่าเขาไม่มีทางปกป้องโลกได้ คำพูดของเธอยังดังในหูเขา
ที่ลีอาห์คอยก่อกวนเขาอาจเพื่อยืนยันคำพูดของเธอ
ถ้าเขาไม่มีอัศวินมรณะเช่นคิบะ ถ้าไม่เพราะอสูรรับใช้ที่พึ่งพาของเขา การโจมตีไม่เลิกของเธออาจได้ผล
“ยับยั้งพวกมันยากมากเหรอ?”
[ไม่ยากนัก ข้าแทบไม่ต้องฟื้นฟูกำลังรบ]
วูจินเอียงคองง
“งั้นแต้มฉันไปไหนหมด?”
ถ้าวูจินไปนั่งบนบัลลังก์และเปิดหน้าต่างจัดการอาณาเขตก็จะได้เห็นรายละเอียดการจ่ายแต้ม
วูจินจะจากไปแต่คิบะพูดขึ้นก่อน
[ข้าอยากวิ่งไปในสนามรบกับท่านจ้าว]
“...”
วูจินมองคิบะ
เขารู้สึกได้ถึงความกระหายอยากจากอัศวินมรณะ อาณาเขตมิติอลันดาลถูกนักผจญภัยโจมตีน้อยครั้ง เกิดความไม่สงบในอาณาเขตบ้างแต่คิบะสามารถนับครั้งได้ด้วยมือข้างเดียว
คิบะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องอาณาเขตและหน้าที่ของเขาน่าเบื่อจนแทบหลั่งน้ำตา วูจินคิดว่าเขาละเลยคิบะนานเกินไปแล้ว
“ได้ ฉันจะให้คนอื่นเปลี่ยนหน้าที่กับนาย”
[ข้าจะกางพรมแห่งเลือดบนสนามรบของท่านจ้าว!]
“เดี๋ยวฉันจะหาคนมาแทน รออีกหน่อยแล้วกัน สงครามคราวหน้าฉันจะสู้ร่วมกับนาย”
[ข้าจะรอรับบัญชา!]
วูจินกลับไปที่บัลลังก์ในปราสาท
“ไหน”
ไม่นานวูจินก็รู้สาเหตุ
“บิบิ”
บิบิรับหน้าที่จัดการเมืองอาณานิคมบนโลก เธอตั้งชื่อมันว่า ‘ปราสาทของบิบิ’ และใช้แต้มจำนวนมากไปกับเมืองนี้
ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต้มจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ต่อไปวูจินจะสามารถเก็บบลัดสโตนผ่านทางอาณานิคม ดังนั้นแต้มที่ใช้ไปเทียบแล้วไม่มากมาย
ยิ่งกว่านั้นวูจินยังเพิ่งใช้แต้มไปสองเท่าของที่บิบิใช้ตอนสร้างอาณานิคมเขาเซารุส
“ไปดูว่ามันเป็นยังไงบ้างดีกว่า”
แต้มจำนวนมากถูกใช้ไปในทีเดียว เป็นไปได้ว่าบิบิต้องฟื้นฟูกองกำลังเพราะศัตรูโจมตี วูจินเป็นห่วงเล็กน้อย
เขาวางแผนจะกลับอัลเฟนทันทีแต่เกิดสงสัยขึ้นมาว่าอาณานิคมบนโลกเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว วูจินผ่านอุโมงค์ไปยังปราสาทของบิบิ
***
ธงรูปแมวหาวสะบัดไปกับลม เมื่อวูจินออกมาจากอุโมงค์เขาเอียงคออย่างสงสัย
“เปลี่ยนไปเยอะเลย”
ดาดฟ้าที่เคยโล่งกว้างตอนนี้มีสิ่งก่อสร้างบดบังสายตา เป็นเมืองก็ว่าได้
สิ่งก่อสร้างบางอย่างดูทันสมัย บางอย่างเหมือนที่อัลเฟน วูจินรู้สึกเหมือนกำลังเดินในเมืองที่ไม่รู้จัก
“บิบิ”
“เจ้านาย!”
ควันดำกลายเป็นบิบิตามคำเรียกของวูจิน
“ฮิๆ ทุกอย่างเป็นยังไงบ้างคะ?”
“อืม เป็นไปตามแผน”
“ฮิๆ”
วูจินเคยเห็นที่บิบิสร้างอลันดาลเลยพอเดาได้ว่าเมืองอาณานิคมจะเป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ให้สิทธิ์บิบิใช้แต้มเพื่อมาซื้อคาเฟ่หรือร้านขายของ
“การป้องกันของเราเป็นไง?”
ข้อสำคัญที่สุดที่วูจินสร้างที่นี่เป็นเมืองอาณานิคมก็เพื่อให้มันเป็นฐานบัญชาการเคลื่อนที่ได้
สิ่งสำคัญคือความสามารถในการป้องกันตัวของมันเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย เรื่องนี้ทำอย่างขอไปทีไม่ได้ และบิบิก็รู้ดี
“ผลาญแต้มไปเยอะเลยล่ะ”
“...”
ถ้าบิบิอวดก็แปลว่าเธอต้องทุ่มสุดตัวไปกับการป้องกัน
แน่นอน เรือบรรทุกเครื่องบินเล็กกว่าภูเขาเซารุสมาก
มันเล็กกว่าแต่บิบิใช้แต้มไปครึ่งหนึ่งของแต้มที่ใช้สร้างอาณานิคมเซารุส เพราะอย่างนี้วูจินจึงคาดหวังมาก
“เจ้านายตามเรามา เราจะพาไปดู”
บิบิดูเหมือนเด็กกำลังอวดของเล่น
วูจินตามเธอขึ้นไปยังหอบังคับการ ระหว่างทางเขาเจอจุงมินชาน
“ร...ราชา!”
“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ?”
วูจินถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นมินชานหน้าซีด
“ผม...ผมเมา...”
“หา เมาเรือเหรอ?”
วูจินรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนใต้เท้าจึงคิดว่าเรือกำลังเคลื่อนที่อยู่
“ถ้าเมาเรือก็ดีสิ... แต่ อุบ...”
มินชานปิดปากแล้วหายลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว วูจินยักไหล่แล้วถามบิบิ
“เรากำลังไปไหน?”
“พวกเราอยากจะย้ายบ้านทีเดียวเลย เลยตั้งใจจะไปโซล ตอนนี้กำลังผ่านเดจุน”
“อืม ถ้าย้ายทุกอย่างเสร็จทีเดียวก็ดี... เดจุน?”
“อื้ม ฮิๆ เราซ่อมที่มันพังไปให้บินได้ใหม่”
“...พัง?”
เรือนี่เก่าจริงแต่ไม่ได้เสีย... วูจินมาถึงชั้นบนสุดของหอบังคับการ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
เคี้ย!
เสียงร้องของเหล่าไวเวิร์นดังผ่านเข้ามา เขาเห็นไวเวิร์นสิบสองตัวกำลังบินรอบเรือเหมือนกำลังคุ้มกัน
มีเผ่าพันธุ์อื่นกำลังขี่ไวเวิร์นเหล่านั้น
“เผ่าราทิคมีความสามารถด้านขี่สัตว์ พวกเราเลยให้พวกเขาเป็นองครักษ์ แล้วก็ทำหน้าที่ลาดตระเวนด้วย”
บิบิเริ่มอวดความสำเร็จของเธอ
“เราสร้างปืนใหญ่ด้วย มันยิงได้ทุกทิศทาง วิศวกรโนซามเอาเทคโนโลยีของโลกมาปรับใช้ อาวุธพวกนี้เลยยังไม่มีชื่อ เจ้านายตั้งชื่อให้มันไหม?”
“...”
บิบิพูดพลางเปิดภาพโฮโลแกรม เธอแสดงภาพแผนผังของเรือบรรทุกเครื่องบินที่ถูกดัดแปลงแล้ว
มีช่องเปิด 120 ช่องตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือ ทุกช่องมีปืนใหญ่
ปืนใหญ่พวกนี้ไม่ได้ติดข้างเรือ แต่สร้างไปกับกระดูกงูและตัวเรือ
มันเหมือนตัวเม่นหงายท้อง
“เราเก็บลานบินให้ไวเวิร์นด้วย พวกมันจะได้ออกบินได้ทันที”
วูจินมองผ่านหน้าต่างไปตามบิบิชี้ บนดาดฟ้ามีที่ว่างที่หนึ่ง และมีของเหมือนเนินเขาแปลกๆข้างมัน วูจินเห็นไวเวิร์นหมอบพักบนเนินนั้น มองผ่านๆเขานับได้มากกว่า 40 ตัว
“มีกี่ตัว?”
“ถ้ารวมไวเวิร์นที่กำลังบินลาดตระเวนด้วยก็ 107 ตัว”
บิบิมองวูจินตาเป็นประกายเหมือนจะถามว่า ‘เราทำได้ดีใช่ไหม?’
“...”
วูจินให้บิบิหาวิธีป้องกันฐานทัพดังนั้นการป้องกันระดับนี้สมกับที่เขาคาดหวัง แต่ว่า...
“แปลว่าเรากำลังบินอยู่เหรอ?”
“ใช่แล้ว”
วูจินสีหน้าไม่เปลี่ยน บิบิจึงพูดถึงสิ่งที่เธอกำลังทำอย่างลับๆ
“อืม เราว่าพวกเรามีอาวุธโจมตีไม่พอ พวกเราเลยกำลังพัฒนาอาวุธอยู่ แล้วก็มันอาจจะใช้แต้มเยอะไปหน่อยแต่พวกเรากำลังสร้างบาเรียที่จะทำงานเมื่อศัตรูโจมตี...”
“อ๊ะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
วูจินแตะศีรษะบิบิ
มันอาจทุ่มทุนเกินไป แต่นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของครอบครัวเขา วูจินจึงยินดี
“เธอทำได้ดีมาก”
“ฮิๆ”
วูจินลูบหัวบิบิพลางมองไปข้างนอก เขามองผ่านไวเวิร์นและเห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านเมฆ
ไม่รู้ว่าทำไมบิบิถึงคิดเรื่องฐานทัพกลางอากาศขึ้นมาได้...
วูจินยิ้ม
“ฉันถูกใจมาก”
ถึงตอนคับขันก็บินหนีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? พวกเขาไม่ติดอยู่แต่ในทะเลอีกต่อไปแล้ว
บิบิหัวเราะเมื่อได้ยินคำชมจากวูจิน
***
อาณานิคมเซารุส
มอนสเตอร์ในแถบใกล้ๆถูกกำจัดเกือบหมด ผู้เหลือรอดมารวมกันช่วยกันสร้างอาณานิคม เมื่อคนเข้ามามากขึ้น ซุงกูกับเจมินก็มีงานทำน้อยลง
สองคนไม่จำเป็นต้องช่วยล่ามอนสเตอร์อ่อนแอ มันเป็นงานของหน่วยแฟนธ่อมที่ไม่มีประสบการณ์กับคนของอัลเฟน
ระหว่างการต่อสู้อันตราย พวกซุงกูอยากมีเวลาว่าง พอได้เวลาว่างแล้วพวกเขาก็เบื่อ
“อา ลูกพี่จะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”
“ไม่ทราบครับ ผมว่าพี่ซุงกูชินกับทั้งหมดนี่แล้วล่ะ”
“ไม่มีทาง”
ซุงกูลูบจมูก
เจมินพูดต่อ
“ผมเคยอ่านเจอว่า ถ้าจู่ๆทาสได้รับอิสระ เขาจะปรับตัวกับโลกภายนอกไม่ได้ และจะกลับไปเป็นทาสตามเดิม”
“ฉันเป็นทาสเหรอ?”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่...”
“ไอ้หนุ่ม ถ้านายพูดแบบนั้นกับฉันได้แปลว่าเก่งแล้วนี่”
เจมินทำหน้าขอโทษ
“ผมไม่ได้จะให้พี่รู้สึกแย่”
“ฮ้า จะว่าไปก็อยากเจอคุณเจนิสจริงๆน่ะแหละ”
“...”
...เขาเป็นทาสในเรื่องนั้นจริงๆด้วย
เจมินจ้องหน้าด้านข้างของซุงกูอย่างพูดไม่ออก เขาถูกฝึกจนเกือบตายแต่ยังอยากเจอเจนิส...
พี่เป็นมาโซคิสต์เหรอ?
“อา ฉันอยากกินราเม็งกับคิมบับ”
“จริงด้วย”
เจมินเห็นด้วยกับคำพูดของซุงกู ไม่ใช่ว่าอาหารของอัลเฟนไม่ดี และพวกเขายังซื้ออาหารผ่านทางอาณานิคมได้ ซึ่งมันอร่อยดี
แต่ซุงกูกับเจมินเป็นคนเกาหลี บางครั้งพวกเขาก็อยากกินข้าว เมื่อนึกถึงก๋วยเตี๋ยวพวกเขาก็น้ำลายไหล มันเป็นอาหารที่พวกเขากินบ่อย
“เราไปโลกสักหน่อยไหม?”
“พี่วูจินจะสั่งสอนพี่เอานะ”
“...อดทนกันดีกว่า”
ถ้าคังวูจินกลับมาเมื่อไหร่ ซุงกูจะขออนุญาตให้ไปที่โลกได้บ่อยๆ เขาถูกสั่งให้จัดการมอนสเตอร์รอบๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเด็กที่ทำการบ้านเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่างเปล่า
ตอนนั้นเอง ลอร์ดเอลฟ์ ลาตาชามาหาทั้งสอง
“ผู้กล้าของโลกกำลังคุยกันเรื่องอะไร?”
ลาตาชาระแวงวูจิน แต่แสดงท่าทีกับซุงกูและเจมินดีกว่าบ้าง
“อ๊ะ ลาตาชา พวกเรากำลังพูดถึงราเม็ง”
“ราเม็ง?”
“ใช่ มันเป็นอาหารจำพวกเส้นและอร่อยมาก มันเป็นอาหารของโลก เราเลยหาจากที่นี่ไม่ได้”
“หืม ได้ยินว่าการประสานจากที่นี่กับโลกยังไม่เสร็จดี”
“ใช่”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะซื้อไอเทมจากโลกได้ถ้าการประสานเสร็จแล้ว”
“เอ๋? ถ้าการประสานเสร็จ เราจะเอาไอเทมจากโลกผ่านทางอุโมงค์ได้”
“น่าจะใช่นะ?”
ซุงกูเอียงคอเมื่อเจมินพูด
“ว้าว พี่จะเอาอะไรมาเหรอ?”
“ฉันอยากได้รถ”
“ผมอยากได้คอม”
ลาตาชาฟังพวกเขาแล้วถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ดูเหมือนว่าบนโลกจะมีของน่าสนใจหลายอย่างนะ”
“แน่นอน”
“ถึงตอนนั้น ข้าอยากลองชิมอาหารจากโลก”
“ผมจะเลี้ยงราเม็งคุณเอง”
“โอ้ ข้าจะรอ”
ซุงกูหัวเราะเจ้าเล่ห์พลางมองสีหน้าตื่นเต้นของลาตาชา
“มันมีราเม็งอร่อยมากชื่อก๋วยเตี๋ยวผัดไก่เผ็ด ผมจะให้คุณลอง”
“...”
เจมินฟังแล้วผงะ เขาเหลือบมองลาตาชาที่ยังมีสีหน้าตื่นเต้นไม่หาย
เจมินมองลาตาชาที่หัวเราะอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วมองซุงกูที่หัวเราะเสแสร้งต่างกันมาก
“ข้าอยากลองกินดู”
“โฮ่ๆ ผมจะให้คุณกินแน่ๆ”
ปีศาจ
พี่ซุงกูกลายเป็นปีศาจไปแล้ว
เจมินส่ายหน้า
Hot Chicken Flavor Ramen / Buldak Bokkeum Myun มาม่าเกาหลี เห็นทำในยูทูปคือเทซอสพริกลงไปทั้งชามเลย...
ระหว่างหาเรื่องมาม่าในยูทูป เจอนี่ด้วย ตลกดี วิธีลดโลกร้อนที่ฮาที่สุดปี 2020
รีบแปลรีบอัพ พรุ่งนี้ย้ายบ้าน คงไม่มีเน็ตใช้ไปสักพักค่ะ >.< ซ่อมบ้านซื้อของเข้าบ้าน เงินเก็บหมดเกลี้ยง (มันก็ติดลบไปตั้งแต่ที่กู้ซื้อบ้านแล้ว) T.T
สู้ๆครับ XD
ตอบลบสุดท้ายกูก็กดเข้าไปดู แย่ชมัด
ตอบลบ