บทที่ 129 – ลีอาห์
ผู้หญิงสวมแว่นและหน้ากากปิดจมูกออกมาจากประตูทางออกสนามบิน มีคนกลุ่มมากรวมกันอยู่ที่นั้น แต่ละคนมีกล้องในมือ มองผ่านๆเกิน 50 คน แต่ไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว
พวกเขาเหมือนตัวเมียร์แคท ยืดคอยาวจ้องประตูทางออก
‘อีกแล้วเหรอ?’
ผู้หญิงขมวดคิ้วขณะเดินผ่านกลุ่มนักข่าว เมื่อไปถึงรถตู้ที่จอดรอ เธอถอดหน้ากากออก
“เฮ้อ คังวูจินอีกแล้วเหรอ?”
“อา ซินดี้ ดูเหมือนจะใช่นะ”
ซินดี้ถอนหายใจกับคำตอบของผู้จัดการ
“ทำไมเขากลับจากต่างประเทศพร้อมๆกับฉันทุกทีเลยนะ?”
“ฮะๆ”
ผู้จัดการได้แต่หัวเราะ ที่ซินดี้พูดไม่จริงเสียทีเดียว วูจินไม่ได้จัดตารางเวลาไปต่างประเทศตรงกับเธอ
แค่ตารางเวลาของซินดี้ทำให้ต้องไปจีนบ่อยๆ เพราะอย่างนี้เธอจึงใช้สนามบินบ่อย และบางครั้งเวลาที่เธอกลับประเทศก็จะไปตรงกับการมาถึงของคังวูจิน
“เฮ้อ นักข่าวพวกนี้ไม่รู้จักจำกันเลยเหรอ?”
กี่ครั้งที่คังวูจินออกจากประตูสนามบิน ส่วนใหญ่เขาใช้เส้นทางอื่นในการออกจากสนามบิน เธอรู้สึกสงสารนักข่าวที่ต้องรอเขาตรงประตูทางออกอย่างดื้อรั้น
“เพราะอย่างนี้ถึงมีนักข่าวอยู่ทุกซอกทุกมุมเลยไง”
“...”
ซินดี้อ้าปากค้าง
ถ้ามีนักข่าวครอบคลุมอยู่ทุกทางออกของสนามบินแล้วจะมีกี่คนกันนั่น? อย่างน้อยคงมีมากกว่านักข่าวตรงประตูทางออก 5 เท่า แข่งขันกันเพื่อภาพถ่ายของคนๆเดียว...
“พวกเขาแค่มาถ่ายรูปเหรอ? ฉันได้ยินว่าเขาชื่อเสียงแย่เรื่องไม่ยอมให้สัมภาษณ์”
“แค่? เขาเป็นพระราชาของอลันดาลนะ”
“พระราชา...”
ซินดีกลืนเสียงครางกลับไป ตอนนี้มีอาณาจักรแห่งหนึ่งอยู่ในเกาหลี มันพิลึกเพราะนี่ไม่ใช่นิยายหรือการ์ตูน
“เฮ้อ จริงๆนะ”
ดาราอยู่คนละโลกกับคนธรรมดา แต่คังวูจินอยู่เหนือกว่าดารา เธอเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแต่คังวูจินเหมือนลงมาจากสวรรค์
“ไม่รู้เขาจะมางานชุมนุมศิษย์เก่าไหม”
“หือ? ชุมนุมศิษย์เก่าอะไร?”
ซินดี้พูดกับตัวเอง แต่ผู้จัดการถาม เธอส่ายศีรษะเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ แต่พวกเราเรียนโรงเรียนมัธยมที่เดียวกัน”
“ฮ้า จริงเหรอ? ไม่น่าจะมานะ”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน”
งานชุมนุมศิษย์เก่าครั้งก่อนถูกเลื่อนไปเพราะดันเจี้ยนเบรกหลายแห่งในโซล
หลังจากนั้น ประชากรจำนวนมากย้ายออกจากโซล เขตอาศัยบางแห่งกลายเป็นว่างเปล่าจนเหมือนเมือง
ร้าง
“เฮ้อ ไม่รู้สิ”
ถ้าโชคชะตากำหนดให้พวกเธอได้เจอกัน เธอก็จะได้เจอ... ซินดี้เอนหลังแล้วหลับตาลง
***
“เอ๊ะ? เขาออกมาแล้ว!”
พวกนักข่าวไม่ได้ตั้งความหวังไว้นัก แต่ใบหน้าคุ้นเคยที่ปรากฏที่ประตูสนามบินทำให้พวกเขาคลั่ง
แชะๆ!
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาท่ามกลางแสงแฟลชกล้อง
พวกเขาคือฮงซุงกูและวูซุงฮุนของอลันดาล ยังมีเบคจองโดและเลขานุการของเขาจุงชานซุง พวกเขามีรปภ.ตามส่ง
ในนั้น ซุงกูเป็นคนที่กำลังยิ้มกว้าง
“เฮะๆ ผมดังมากแล้วตอนนี้”
“ถ้าไม่รวมท่านประธาน กรรมการฮงคงเป็นเราส์ที่มีชื่อเสียงมาแรงที่สุดแล้ว”
ซุงกูหัวเราะคิกๆขณะที่วูซุงฮุนพยายามทำตัวเองให้ดูดี
ก่อนวูซุงฮุนจะออกจากเครื่องบิน เขาทาครีมที่หน้า เขาแต่งตัวอย่างดียิ่งกว่าแฟชั่นสนามบินอีก สภาพของซุงฮุนทำให้ซุงกูหัวเราะ
“หัวหน้าแผนกวู คุณดูดีมากครับ”
“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ใช่หัวหน้าแผนกเลขานุการแล้วนะ ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ”
“เฮะๆ จะว่าไปคุณก็มาไกลมากเลยนะครับ”
“ฮ่าๆ นี่เป็นผลมาจากที่ผมอุทิศกายใจให้ท่านประธานไงล่ะ”
ซุงกูหัวเราะในใจเมื่อได้ยินซุงฮุนพูด
อืม การพบกันครั้งแรกไม่สวยงามนักและซุงฮุนก็ทนทรมานมามาก
ซุงฮุนยิ้มกว้างพลางมองนักข่าว เขาโบกมือให้พวกเขา
‘นายประสบความสำเร็จแล้วนะวูซุงฮุน!”
ในใจเขากำลังเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง
เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอลันดาล
ความทรงจำแปดปีของการเป็นคนขายโทรศัพท์เข้ามาในหัวเขาเหมือนภาพในกล้องสลับลาย เขาไม่เคยคาดฝันว่าจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ เขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกใหม่ๆ
“ผมจุงชินยองจาก KB มีเดีย ขอคุยด้วยได้ไหมครับ”
“ลีโฮซานจากหนังสือพิมพ์ทูเดย์ครับ เรื่องที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในจีนจริงหรือไม่ครับ?”
นักข่าวพูดไม่หยุด วูซุงฮุนจึงขอตัวจากเบคจองโด เขาหยุดครู่หนึ่ง
มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำมานานแล้ว
“ผมจะตอบคำถาม 3 ข้อ”
นักข่าวรุมซุงฮุนเหมือนฝูงผึ้งเมื่อได้ยิน นักข่าวสาวน่ารักคนหนึ่งมองเขาด้วยสายตาจริงจัง ซุงฮุนชี้ไปที่เธอ
“ฉันลีเชยุนจากแจยองมีเดียค่ะ คุณคังวูจินอยู่ที่ไหน...”
“เขาเป็นพระราชาของอลันดาล เรียกเขาว่าคุณคังวูจินนี่...”
ซุงฮุนขมวดคิ้วแล้วพูดขัดจังหวะ นักข่าวสาวอึ้งไปครู่แต่แล้วก็พูดต่อ
“...ตอนนี้พระราชาของอลันดาลอยู่ที่ไหนคะ?”
เพราะว่าพวกเขาอยู่ในประเทศที่ราชาธิปไตยหายไปนานแล้ว? ไม่ใช่ วูจินคนนี้ไม่มีเชื้อสายกษัตริย์ เขาสร้างประเทศใหม่และตั้งตัวเองเป็นพระราชา ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่
แน่นอน พวกเขาทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องนี้ได้ยาก
“เขาอยู่ในดันเจี้ยน”
“ดันเจี้ยนในอเมริกาหรือคะ?”
“ไม่ใช่”
คำตอบของซุงฮุนทำให้นักข่าวตกใจ คังวูจินไปที่อื่นและให้คนในทีมของเขากลับมาก่อนเหรอ?
“แล้วเขามีกำหนดจะกลับมาเมื่อไหร่คะ?”
วูจินยิ้ม
“ผมไม่ทราบ เขาอาจกลับไปที่อลันดาลแล้วก็ได้ หรืออาจจะกลับวันอื่น”
“...?”
นักข่าวรู้สึกสับสนเมื่อได้ฟังคำตอบไร้เหตุผลของซุงฮุน ซุงฮุนมีความสุข
‘นี่ไงล่ะ’
กี่ครั้งแล้วที่เขาอยากเลียนแบบคังวูจิน?
ซุงฮุนพูดประโยคสุดท้ายอย่างเท่
“จบเท่านี้ 3 ข้อแล้ว”
“ข...ขอโทษค่ะ ขอถามอีกข้อ”
นักข่าวพุ่งมาทางซุงฮุน แต่รปภ.กั้นพวกเขาไว้ หลังจากบอกลาสมาชิกกิลด์ KH ซุงฮุนและซุงกูเดินไปทางรถที่อลันดาลส่งมา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
“พี่ซุงฮุน เมื่อกี๊เลียนแบบลูกพี่ใช่ไหมครับ? ที่บอกว่าจะตอบคำถามแค่ 3 ข้อ”
ซุงกูเลียนแบบวูจิน ซุงฮุนหัวเราะอายๆ
“ฮ่าๆ ผมอยากลองทำแบบนั้นสักครั้งมานานแล้ว”
“คิดว่าลูกพี่กลับไปถึงอลันดาลแล้วจริงๆเหรอครับ?”
“ไม่รู้สิ เขาบอกว่าเขาจะอยู่ที่นั่น ผมแค่คิดว่าคงจริง”
ซุงฮุนได้ความสามารถพูดถึง 10 ภาษาเพราะวูจิน เพราะอย่างนั้นคำพูดของวูจินคือกฎของซุงฮุน ต่อให้เขาบอกว่าถั่วแดงเอาไปใช้ทำถั่วหมักได้ซุงฮุนก็จะเชื่อ
“ไปดูกันเถอะ เขาอาจไปถึงที่นั่นก่อนพวกเราจริงๆก็ได้”
“ครับ”
รถที่ซุงกูกับซุงฮุนนั่งมุ่งหน้าไปทางอาณาเขตของอลันดาล หรือก็คือสถานีโซลทางออกที่ 1
***
ก่อนหน้านั้น
หลังจากวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนในลอสแอนเจลิสซึ่งเป็นที่สุดท้ายตามตารางเวลา
<เพิ่มระดับ!>
‘โฮ่ อีกแค่สองเลเวล’
เขาต้องเพิ่มเลเวลอีกแค่ 2 ครั้งก็จะถึง 80 ดันเจี้ยนบางแห่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นดันเจี้ยน 6 ดาวก็ลำบาก
มีดันเจี้ยน 5 แห่งที่มีมอนสเตอร์ระดับ 7 ดาวอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะวูจิน ดันเจี้ยน 7 ดาวคงระเบิดเป็นครั้งแรกบนโลก มันอาจเกิดขึ้น 5 ครั้ง กองทัพอาจควบคุมพวกมอนสเตอร์ได้ แต่ความเสียหายคงมหาศาล
‘สงครามแบบยืดเยื้อมันอันตรายเกินไป’
ถ้าโลกกลายเป็นสนามรบจะอันตราย ถ้าพวกเขาต้องการสู้ก็ต้องโจมตีดันเจี้ยนก่อนที่มันจะระเบิด พวกเขาต้องสู้ให้จบในดันเจี้ยน
ถ้าต้องการให้แผนนี้เป็นไปได้ ก็ต้องมีเราส์จำนวนมาก แต่คุณภาพของเราส์บนโลกนั้นอ่อนแอ
เราส์แรงค์ AA หรือเราส์ระดับวงแหวนที่ 7 เพิ่งจะเริ่มปรากฏตัว ทีละหนึ่งหรือสองคน
วูจินไม่สามารถเดินทางไปหยุดดันเจี้ยนเบรกรอบโลกได้เสมอ สุดท้ายแล้ว ทุกคนต้องช่วยกัน
‘อืม สุดท้ายแล้ว ฉันคงต้องปล่อยให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเอง’
เขาเคยบ่มเพาะหญ้าอย่างซุงกู เขาไม่ต้องการดอกไม้ที่โตได้แต่ในเรือนกระจก เขาจะลงมือฝึกสอนคนแบบบลังกาที่มีแววจะไปได้ไกล ที่เหลือคงต้องเติบโตด้วยตัวเอง
ตัวเองก็ต้องปกป้องตัวเอง การพึ่งพาคนอื่นเป็นเรื่องอันตรายเกินไป
‘ถ้าฉันรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กจะอันตราย’
ตอนนี้มีพวกปากมากที่เรียกวูจินเป็นผู้กอบกู้แล้ว นั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่สุด
ถ้าต้องการให้เราส์บนโลกแข็งแกร่งขึ้น วูจินก็ต้องให้พวกเขาสู้เอง แน่นอน เขาต้องหยุดยั้งทราห์เน็ตไม่ให้ครอบครองโลก ดังนั้นเขาต้องควบคุมกำลังพลของเราส์
พวกเราส์จะเป็นยาต้านดันเจี้ยนเบรกที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ วูจินแค่ต้องจัดการกับมอนสเตอร์ที่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ
“พวกนายกลับเกาหลีไปก่อน”
“ครับ? แล้วลูกพี่ล่ะ?”
“ฉันจะไปของฉันเอง พวกนายกลับไปก่อน”
วูจินต้องอยู่ตอนที่เกิดสงครามมิติในอาณาเขตมิติของเขา เขาเปิดประตูมิติไปที่อาณาเขต
ฐานของเขาคือสถานีโซลทางออกที่ 1 ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดบนโลก เขาสามารถกลับไปที่อาณาเขตของเขาทันที
หากนั่งเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคจะเสียเวลามาก หลังจากเดินทางไปรอบโลกเพื่อปิดดันเจี้ยน ระยะเวลาคุ้มครองของเขาใกล้หมดแล้ว
หลังแยกจากคนอื่นๆ วูจินเข้าไปในประตูมิติทันที
ตอนนี้เขาค่อนข้างชินกับความรู้สึกวิงเวียนแล้ว เขาเห็นห้องโถงที่ตั้งบัลลังก์ในอาณาเขตมิติของอลันดาล
“เจ้านาย!”
บิบิวิ่งมากระโดดกอดเขาทันที
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”
“ค่ะ ฮิๆ แล้วก็ เรามั่นใจในฝีมือต่อสู้ในสงครามมิติแล้วล่ะ”
“หา?”
“เราได้คอร์สฝึกสอนส่วนตัวน่ะ”
“ฝึกสอนส่วนตัว? จากใคร?”
“ฮิๆ ความลับ!”
มีผู้อพยพที่รอบรู้เรื่องสงครามมิติเข้ามาเหรอ?
วูจินดูสถานะของอาณาเขตอย่างไม่สนใจนัก
“พลเมืองเพิ่มขึ้นเยอะนะ”
“ค่ะ มีข่าวลือออกไปว่าเราไม่เก็บค่าตั้งถิ่นฐาน แต่เพราะเราไม่เปิดดันเจี้ยนให้ใช้ พวกอพยพที่ต่อสู้เก่งๆ
เลยจากไปแล้ว”
วูจินไม่ยอมเปิดดันเจี้ยนหนึ่งเดียวที่เขามี เขายังไม่ยกเลิกห้ามคนเข้าออกดันเจี้ยนสถานีโซลทางออกที่ 1 ผู้อาศัยในมิติไม่สามารถล่ามนุษย์หรือรวบรวมบลัดสโตนได้ สิ่งเหล่านี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาผ่านดันเจี้ยนไปยังโลกได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้อพยพที่ชอบทำสงครามจึงผ่านอลันดาลไป
ผู้อพยพที่ตัดสินใจตั้งถิ่นฐานคือนักเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยกับการเร่ร่อน พวกเขามีแนวโน้มไปทางรักสันติ
แม้จะไม่เปิดดันเจี้ยนก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเก็บบลัดสโตนไม่ได้ เพียงแต่จะไม่ได้จำนวนมากๆในทีเดียว พวกเขาสามารถทำฟาร์มบลัดสโตน ล่าหรือเลี้ยงมอนสเตอร์
“เหลืออีกแค่ 2 นาที”
“ฮิๆ คราวนี้เรามั่นใจมาก”
บิบิยิ้มกริ่มอย่างมั่นใจ ถ้าเธอชนะ เขาจะถูกปรับช่วงคุ้มครองเป็น 4 วัน
สงครามมิติเป็นสงครามกลยุทธ์ที่สู้กันโดยใช้พลังของอาณาเขตมิติ
ดวลคือการสู้โดยใช้ความสามารถด้านต่อสู้ของลอร์ดมิติ
ผลลัพธ์เหมือนกัน คนแพ้เท่านั้นจึงจะได้ช่วงคุ้มครอง 12 วัน
ถ้าชนะ คนชนะจะได้ช่วงคุ้มครองเพียง 4 วัน ช่วงนั้น ระหว่างนั้นถ้าไปท้ารบกับอาณาเขตอื่น บาเรียที่ปกป้องรอบอาณาเขตจะหายไป ยกเว้นว่าจะเป็นการชนะจากการท้าดวลเป็นการแก้แค้นหลังแพ้
สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือให้บิบิแพ้ เพื่อเขาจะได้ช่วงคุ้มครอง 12 วัน จากนั้นเขาแก้แค้นและได้แต้มกับไอเทมที่ถูกปล้นไปคืนมา
“ฮิๆ เริ่มเร็วๆหน่อยสิ”
บิบิคาดหวังกับตัวเองไว้สูงมาก วูจินนึกออกเลยว่าเธอจะเศร้าขนาดไหนถ้าแพ้ เขารู้สึกผิดแต่ไม่มีทางเลือก
วูจินไม่อยากเจอกับความหงุดหงิดในสงครามมิติอีก เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องทรมาทรกรรมอย่างนั้น
<ช่วงคุ้มครองหมดลงแล้ว>
<คุณสามารถรับคำท้ารบในสงครามมิติ คุณสามารถรับคำท้าดวล>
<คุณสามารถปฏิเสธได้ 3 ครั้ง หลังจากนั้นจะการต่อสู้จะถูกบังคับให้เกิดขึ้น>
วูจินนั่งบนบัลลังก์ครู่เดียวก็ได้รับคำท้ารบในสงครามมิติมากมาย เขาสุ่มเลือกมาหนึ่งอัน
<สงครามมิติกับลีอาห์เริ่มขึ้นแล้ว>
วูจินนั่งบนบัลลังก์ ภาพเบื้องหน้าของเขาขยายกว้างขึ้น
เขาสามารถสำรวจดินแดนกว้างใหญ่ได้เพียงมองผ่านๆ เขาสามารถรับรู้ความเป็นไปของสงครามระหว่างบิบิกับลอร์ดมิติคนอื่นได้พร้อมกัน วูจินอ่านข้อมูลของศัตรู
“เธอเป็นมนุษย์เหรอ?”
เผ่าพันธุ์ของศัตรูของเขามีเขียนไว้ แต่เขาไม่มีทางรู้ว่าเธอมีความสามารถหรือมีกองกำลังอะไรบ้าง ที่เขารู้มีเพียงประวัติการต่อสู้ของเธอ
<สงครามมิติ 102W 542L>
<ดวล 640W 230L>
“โฮ่! น่าสนุก”
ดูเหมือนคนๆนี้จะใช้วิธีการแบบเดียวกับวูจิน เธอมีประวัติชนะในการดวลมากกว่าในสงครามมิติ
แปลได้ว่าศัตรูของเขาเป็นลอร์ดมิติสายต่อสู้ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องกลัวแม้จะเห็นประวัติของศัตรู เขาไม่กลัวตาย ต่อให้บัลลังก์ทั้ง 72 มาเขาก็ไม่ลังเลที่จะแก้แค้น
“บิบิทนได้นานแฮะ”
เวลาผ่านไปนานแล้วแต่การรบยังไม่จบ วูจินจึงดูแผนที่
“หา”
วูจินไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หรือว่าเธอจะได้ครูดีจริงๆ? สถานการณ์ในการรบเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางแปลกๆ
ไม่ได้มานานตอนเพิ่มเยอะๆนี่มันดีจริมๆ ตาวูจินจะตบหัวลากเข้ากิลด์อีกแล้วเรอะ
ตอบลบรู้สึกว่าตัวหลักๆของกิลด์นี่มาแบบไม่เต็มใจกันทั้งนั้นเลย ^^"
ลบถ้าดวล 1-1 ตัวเอกอัญเชิญกองทัพได้ โกงขชัดๆ
ตอบลบหุหุ XD
ลบบัคของระบบเลยครับแบบนั้น555
ลบนางเอกอยู่ไหนฮัลโหล...
ตอบลบ