บทที่ 164 – ปราสาทของบิบิ (3)
เกินครึ่งของผู้เข้าประชุมเป็นตัวแทนจากต่างประเทศ หนึ่งในนั้นมาจากญี่ปุ่น เขาตะโกนขึ้นมา
“ที่สุดแล้วก็หมายความว่าคุณจะยึดของที่ได้จากสงครามไปหมดใช่ไหม?”
“งั้นนายก็เป็นคนนำ”
“...พูดอะไรของ...”
“ถ้าใครอยากไปก่อนฉัน ฉันไม่ห้าม ไว้รอคนข้างหน้าตายหมดแล้วฉันค่อยไปก็ได้”
“...”
ชายคนนั้นไม่มีอะไรจะพูดอีก
คังวูจินมีพลังมหาศาล
นั่นเป็นปัญหา ถ้าขาดคังวูจินพวกเขาจะแพ้สงคราม แต่ถ้าตามหลังคังวูจิน เขาจะไม่ได้อะไรนัก...
“ทำไมนายโลภนัก?”
“...”
“นี่ไม่มีใครจริงจังกับเรื่องนี้เหมือนฉันเลยสินะ? ฉันคาดว่าประชากรโลก 90% จะหายไปภายใน 1 เดือน”
“...”
คำพูดของคังวูจินทำให้คนสะดุ้ง ในกลุ่มเกิดความเงียบหนักอึ้ง
“หยุดโลภมากแล้วมารวมพลังกันดีกว่า”
หลายคนรู้สึกไม่สบายใจกับคำพูดของวูจิน บางคนประหลาดใจ เมโลดี้ที่มองอยู่ด้านข้างประหลาดใจเป็นที่สุด
‘ผู้ไม่ตายพยายามใช้เหตุผลกับคนอื่น...’
ถ้าเธอบอกเรื่องนี้กับคนบนอัลเฟน คนนั้นจะบอกให้เธอเลิกล้อเล่นได้แล้ว
“กรุณาอย่าพูดให้สวยหรูไปเลย ต่อให้พวกเราทำสงครามไร้ความหมายนั่นจริงๆ พวกเราก็มีแต่ถูกทำลายไม่ใช่เหรอ?”
คนถามหน้าแดงสลับซีด วูจินยิ้ม
“สุดท้ายแล้วโลกอาจจะถูกทำลาย แต่มีความหวังอยู่ เราต้องหาวิธีทำลายดันเจี้ยนอย่างถาวร เราต้องอดทนไปให้ถึงตอนนั้น มีทางเลือกอื่นไหมล่ะ?”
วูจินมองฝูงชนแล้วหัวเราะอย่างรู้ดี
“ฉันแน่ใจว่าพวกนายบางคนอยากเลือกทางง่าย คนแบบลีซังโฮจะมีอีก พวกนายคงอยากไปเป็นลูกน้องของลอร์ดมิติ ฉันแน่ใจว่าต้องมีพวกทรยศที่จะขายโลกเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง”
“...”
“ฉันรู้ว่ามันต้องมีแน่ พวกเวรนั่นจะเป็นพวกแรกที่ฉันฆ่า”
วูจินหยุดพูด แต่ไม่มีใครเอ่ยปาก บางคนกำลังคำนวณผลได้ผลเสีย บางคนตัดสินใจได้ บางคนกำลังสับสนจนคิดอะไรไม่ออก
“ข้อมูลที่เปิดเผยมีเท่านี้ นี่คือคำแนะนำสุดท้ายที่ฉันยินดีจะบอกก่อนที่เราเคลื่อนไหวเพื่อช่วยโลก”
เนื้อหาหนักหน่วงและน่ากลัว แต่วูจินพูดอย่างร่าเริงทำให้ทุกคนเริ่มมีความหวัง
“เราส์ทุกคนบนโลกควรแบ่งหน้าที่กันเมื่อดันเจี้ยนรีเซ็ท พวกนายทุกคนต้องทำอย่างดีที่สุดเพื่อเคลียร์มัน”
พวกเขาต้องลดเส้นทางที่ศัตรูใช้บุกโลกลง
“เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรก ใช้ทรัพยากรที่มีให้เต็มที่ในการกำจัดมอนสเตอร์ อย่าขี้เหนียว”
พวกเขาต้องคิดเหมือนกันเพื่อกำจัดศัตรู
“การป้องกันที่ดีที่สุดคือโจมตี เพราะฉะนั้น ฉันจะพยายามหาทางทำลายดันเจี้ยนให้หมดในทีเดียว เพราะอย่างนี้ฉันจึงจะไปอัลเฟน โลกที่เพิ่งถูกทราห์เน็ตบุกรุกไป”
วูจินทวนประโยคเดิม
“ฉันจะรับหน้าที่เป็นแนวหน้าไปอัลเฟนพรุ่งนี้เช้า พวกนายทุกคนต้องปกป้องโลกจนกว่าฉันจะกลับมา”
“...”
ดูเหมือนวูจินจะจากที่นี่ไปนาน...
“ถ้ามีคำถาม ไปถามนายกรัฐมนตรีจุง”
วูจินออกจากเวที
มินชานขึ้นเวทีแทนด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“ผมมีคำถาม!”
“ให้ผมก่อน สมาชิกที่ไปเป็นแนวหน้ามีกี่คน?”
“สิทธิความเป็นเจ้าของของไอเทมที่ได้จากการไปอัลเฟน...”
มินชานรู้สึกมึนเล็กน้อยเมื่อถูกระดมถาม
‘อา...’
อยากหนีไปจัง แต่หน้าที่ของเขาคือสะสางต่อจากคังวูจิน
เขาเริ่มตอบคำถามทีละข้อ
***
หลังออกจากโรงแรม KH วูจินไปอลันดาลทันที เขาไปหาแม่กับน้อง
โซอากำลังเล่นกับสุนัขบอคฮวีที่โตขึ้นอีกแล้ว แม่ของเขามองโซอาอย่างไม่ละสายตา
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“ครับ เฮ้ โซฮา”
“คะพี่?”
โซอาวิ่งมาหาวูจิน แม้แต่บอคฮวีก็ส่ายหางครางหงิงๆ
“ช่วงนี้ฝันแปลกๆบ้างไหม?”
“หนูไม่ฝันเลย”
“ความสามารถของน้องเป็นไงบ้าง?”
“ฮิๆ หนูเหมือนผีเลยล่ะ”
โซอามองมือทั้งสองข้างที่ถูกย้อมเป็นสีฟ้า เมื่อวูจินเห็นพลังพรจากเทพ เขาผงะไป
“เวลาหนูทำแบบนี้คนอื่นชอบ ไม่เหมือนพี่”
“พี่ต่างจากคนอื่นนิดหน่อย เอาเถอะ พวกเราจะย้ายบ้านกันพรุ่งนี้”
“เอ๊ะ? ทำไมจู่พวกเราก็จะย้าย?”
คนที่แปลกใจกับคำพูดของวูจินคือแม่ของเขา
“ผมซื้อเรือมาลำหนึ่ง เราจะอยู่ที่นั่น”
“เราจะอยู่บนเรือได้ยังไง?”
“เอ่อ มันเป็นเรือใหญ่น่ะแม่”
“แบบเรือยอชท์เหรอ? มีครัวด้วยหรือเปล่า?”
“ประมาณนั้น”
“...ก็ได้”
“แม่ไม่มีอะไรจะถามผมต่อเหรอ?”
ลีซูกยุงส่ายศีรษะ
“แม่รู้ว่าลูกทำงานหนักแค่ไหน รู้ว่าลูกคิดเพื่อพวกเราแค่ไหน แม่รู้ว่าลูกทำอย่างนี้ต้องมีเหตุผล”
“...”
วูจินเพียงยิ้ม ความสามารถของโซอาเพิ่งตื่นขึ้น ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถพาโซอาเข้าไปในอาณาเขตมิติ แต่แม่ของเขาไม่ใช่ นางเลเวล 2
คนที่จะพัฒนาความสามารถเป็นขั้น 1 ได้ต้องถึงเลเวล 10 ดูจากความไวในการเพิ่มระดับของนางแล้วคงแทบไม่มีทางกลายเป็นเราส์ได้
เพราะเหตุนี้เขาจึงซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ถ้าจำเป็น เขาสร้างเมืองอาณานิคมมาเพื่อลีซูกยุงเท่านั้นเอง
เขาสะสมแต้มมิติไว้จำนวนมาก แม้เขาจะไม่อยู่ที่โลก อาณานิคมสามารถใช้แต้มปกป้องตัวเอง
“ผมแค่อยากบอกแม่ไว้ก่อน”
“อืม ไปทำงานเถอะถ้าลูกไม่ว่าง”
สายตาลีซูกยุงเหมือนจะสื่อว่าอยากใช้เวลากับเขาให้มากกว่านี้ แต่นางไม่ควรเอาเวลาไปจากเขา ดังนั้นนางจึงไม่สบตาวูจิน
วูจินรู้ว่าแม่รู้สึกอย่างไร เขาได้แต่ขอโทษ เขาไม่มีเวลาจริงๆ
ศัตรูมีจำนวนมหาศาล มีเส้นทางนับร้อยสำหรับบุกโลก
การพิชิตดันเจี้ยนภายในเวลาที่กำหนดทุกครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ การรบจะค่อยๆเปลี่ยนจากในดันเจี้ยนมาเป็นบนโลก
อย่างน้อยเขาต้องเรียกรงรงออกมาให้ได้ก่อน
เขาสงสัยเกี่ยวกับเทพีที่ทำให้โซอาเป็นร่างเนื้อของนาง แต่เขาไม่มีทางรู้จนกว่านางจะปรากฏตัวอีกครั้ง เขาไม่รู้กระทั่งชื่อแต่นางดูไม่เหมือนสิ่งชั่วร้าย
ในการเดินทางไปอัลเฟน เขาจะช่วยกองกำลังพันธมิตรที่ยังรอดอยู่ จากนั้นก็ให้โซอาเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์จากเมโลดี้
วูจินไปยังห้องจีวอนต่อ
เขาเคาะประตูแล้วเข้าไป เมื่อจีวอนเห็นวูจินเธอรีบมาหาเขา วูจินเหลือบมองซินดี้
“หือ? ยังอยู่อีกเหรอ?”
“เธอยังกลัวเรื่องตอนนั้นอยู่เลย และเธอรู้ว่าที่นี่เป็นที่ปลอดภัยที่สุด”
ปลอดภัย...
“เราจะย้ายบ้าน”
“เอ๊ะ?”
“ที่ไหน? พวกนายจะไปไหนกัน?”
ซินดี้ถามวูจินอย่างแปลกใจ เขาตอบเรียบๆ
“ฉันซื้อเรือ เราจะย้ายไปอยู่ที่นั่น”
“อ๊ะ! หรือว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน?”
ข่าวใดก็ตามถ้าเกี่ยวกับวูจินจะเผยแพร่ภายในเวลาไม่กี่นาที เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นหัวข้อให้คุยกันในช่วงหลายวันนี้
“ใช่”
ซินดี้หน้ามุ่ย
“มีอะไร? ถ้าอยากพูดก็พูดมา อย่าทำหน้าเป็นลูกหมาท้องผูก”
“ฉันไปด้วยได้ไหม?”
“เธอออกจากวงการแล้วเหรอ?”
“เปล่า...แต่...”
“นี่สำหรับพนักงานของอลันดาล”
พูดให้ชัดเจนคือ มันสำหรับพนักงานที่มีสัญชาติอลันดาลตอนถูกจ้างเข้ามา มันสำหรับครอบครัวของพวกเขา วูจินไม่อยากให้พนักงานห่วงหน้าพะวงหลังตอนสู้ จึงจัดให้สมาชิกครอบครัวของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่
“แปลว่าฉันไปด้วยไม่ได้?”
“เธอทำอะไรได้บ้างล่ะ?”
“เอ๊ะ?”
“เธอไม่มีประโยชน์ ทำไมฉันต้องให้เธอขึ้นเรือด้วย?”
“...”
ซินดี้มองวูจินด้วยสีหน้าว่างเปล่าเหมือนช็อกกับคำพูดของเขา
เธอเคยถูกทำเหมือนเป็นคนไร้ประโยชน์แบบนี้มาก่อนไหม?
โดจีวอนช่วยพูดแทน
“ฉันดูแลซินดี้อยู่... ให้เธออยู่จนกว่าจะดีขึ้นไม่ได้เหรอ?”
“ดีขึ้นจากอะไร?”
วูจินมองซินดี้ขึ้นลง
“ไม่เห็นเธอบาดเจ็บตรงไหน”
“มันเป็นบาดแผลทางใจ...”
วูจินยิ้มเยาะเมื่อจีวอนพูดแก้ต่างให้ซินดี้
“เด็กยังรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าอีก เธอไม่ขี้แยไปหน่อยเหรอ?”
ซินดี้กัดริมฝีปาก เธอนึกไปถึงโซอา
เธอรู้ตัว เธอรู้ว่าคนอีกมากแม้จะมีบาดแผลทางใจก็ยังใช้ชีวิตยากลำบากต่อไป เธอรู้ว่ากำลังคร่ำครวญทั้งๆที่ตัวเองมีชีวิตดีกว่าคนอื่น
ซินดี้ตาแดง
“นั่นสินะ ฉันทำตัวเป็นเด็ก”
“รู้ตัวก็ดี”
ว้าว...คำพูดของเขา...
“ฉันจะไปแล้ว”
“อืม ไว้เจอกันใหม่”
ซินดี้ข่มน้ำตาเดินออกจากห้อง
“ซินดี้!”
จีวอนจะตามแต่วูจินคว้าแขนเธอไว้
“อ๊ะ ปล่อยสิ”
“พอตามทันแล้วเธอคิดจะทำอะไร?”
ตอนนี้ซินดี้ต้องการให้คนปลอบหรือเปล่า?
“นายใจร้ายเกินไป น่าจะพูดกับเธอให้นุ่มนวลกว่าหน่อย”
คังวูจินพูดตรงเกินไปแล้ว
จีวอนมองวูจินอย่างตำหนิ วูจินยักไหล่
“เพื่ออะไรล่ะ?”
“...ช่างมันเถอะ ปล่อยฉัน”
“หืม”
จีวอนเงยหน้ามองวูจิน
“เวลานายทำตัวแบบนี้ ฉันกลัวนะ นายจะทิ้งฉันด้วยไหมถ้าฉันไร้ประโยชน์?”
“ไม่ น้ำหนักวิญญาณของเธอต่างจากคนนั้น”
“...?”
จีวอนมีน้ำตาคลอตา เธอหันไปทางอื่นแล้วเดินไปทางที่ซินดี้หายไป วูจินถูกทิ้งไว้คนเดียว เขายักไหล่
“พี่ทำรุนแรงไปหน่อยนะ”
โดเจมินปรากฏตัวจากความมืดอย่างกะทันหัน วูจินทำหน้าบูดมองเขา
“...นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผมเห็นทุกอย่าง”
“โตขึ้นหน่อยแล้วนี่?”
ความสามารถพรางตัวของเจมินเทียบได้กับกาเกบิแล้วตอนนี้
“แหะ ว่าแต่ เมื่อไหร่พี่ซุงกูจะกลับมาครับ?”
“ไม่รู้สิ ถึงเวลาเขาก็กลับมาเอง”
ซุงกูจะกลับมาเมื่อฝึกเสร็จ วูจินไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนแต่ต้องเป็นภายในวันนี้ การไปอัลเฟนต้องมีทั้งซุงกูและเจนิส
***
“ฮือ”
เมื่อซินดี้ผ่านประตูออกไป น้ำตาที่เธอกลั้นไว้ก็ไหล
เธอรู้ การคร่ำครวญของเธอไม่เหมาะกับโลกบ้าๆตอนนี้
“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนคุณ”
เธอร้องไห้วิ่งออกไปข้างนอก พนักงานที่เห็นเธอพยายามเรียกแต่เธอไม่หันกลับไปมอง
“ไอ้คนทุเรศ ฮือ”
เธอหยุดน้ำตาไม่ได้ เรื่องที่เธอสนใจคนเย็นชาแบบนั้นแม้ไม่นานก็ทำให้เธอโกรธตัวเองมาก
“ถ้าออกไปตอนนี้...”
พนักงานพยายามเรียกเธอ แต่ซินดี้เดินต่อด้วยความอาย
‘อ๊า น่าอายจริงๆ!’
เธอตั้งใจจะโทรหาผู้จัดการทันทีที่ออกจากที่นี่ เธอเดินไปทางประตูหน้า แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปหลายสิบกล้องสว่างขึ้นพร้อมกัน นักข่าวมาเฝ้าที่นี่และสนใจทุกคนที่ออกมา
ซินดี้ติดอยู่ในความวุ่นวายนี้
“ว้าว อะไรกัน? นั่นซินดี้ใช่ไหม?”
“โชคดีวุ้ย! ทำไมเธอร้องไห้?”
“หรือจะเป็นเรื่องอื้อฉาวกับราชาของอลันดาล?”
น้ำตาซินดี้หยุดไหลเมื่อได้ยินเสียงกดชัตเตอร์กล้องไม่หยุด เธอคาดไม่ถึงว่าจะวิ่งมาเจอฝูงนักข่าว สีหน้าเธอมึนงง
‘อ๊ะ แย่แล้ว’
ซินดี้ตั้งสติได้ช้าไป
เธออับอายและตกใจ เธอต้องพาตัวไปให้พ้นจากสถานการณ์นี้ แต่นึกวิธีแก้ไม่ออก
สภาพไม่น่าดูของเธอตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับภาพลักษณ์ของเธอถ้ามีข่าวซุบซิบขึ้นมา?
เธออยู่ในสถานการณ์ที่ชวนให้เกิดเรื่องซุบซิบจริงๆ อลันดาลเป็นข่าวดังที่สุดตอนนี้ แล้วนักแสดงคนหนึ่งเพิ่งร้องไห้เดินออกจากที่นี่...
ซินดี้ไม่รู้จะรับมือเรื่องนี้อย่างไร เธอจึงเริ่มมีน้ำตาคลอตาอีกครั้ง ซินดี้หันหลังหลบแต่เสียงถ่ายรูปไม่หยุด
โลกของซินดี้เริ่มหมุน เธอใกล้จะเป็นลม
ตอนนั้นเอง ไฟอบอุ่นหล่นมาจากท้องฟ้าหุ้มตัวเธอเอาไว้
“...”
เมื่อหันมาอีกที ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งพร้อมเปลวไฟหุ้มร่างเขาไว้
“เอ๋? ทำไมคุณร้องไห้ล่ะ?”
“ฮึก คัง คนทุเรศ... ฮือ นักข่าว กล้อง... แง”
“เอ่อ อย่าร้องเลย”
ไฟรอบตัวซุงกูหายไป มันไปลุกไหม้ที่อื่น
“เอ๋?”
“อ๊ะ! อะไรวะ!”
เลนส์จากกล้องทุกกล้องระเบิด เมโมรี่การ์ดติดไฟไหม้ ซินดี้เงยหน้ามองซุงกูอย่างประหลาดใจ
“เฮะๆ คุณมาจากยูริเกิลส์ใช่ไหม? ช่วยเข้าไปเซ็นลายเซ็นให้ผมข้างในได้ไหม?”
“...”
รอยยิ้มสว่างสดใสของฮงซุงกูสะท้อนบนน้ำตาของซินดี้
สะท้อนบนน้ำตา? คนแปลเง็ง เห็นได้ด้วยเหรอ?
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 163
บทที่ 163 – ปราสาทของบิบิ (2)
โรงแรม KH
มีเพียงบุคคลได้รับเชิญที่สามารถเข้ามาในห้องโถงประชุมได้ แต่เนื้อหาในงานประชุมไม่ได้เป็นความลับ
บุคคลสำคัญที่จัดงานประชุมนี้ขึ้นมายังไม่มาถึง
โถงประชุมจัดเหมือนงานเลี้ยง ทุกคนจับกลุ่มสนทนากัน ไม่มีใครสนใจอาหารที่จัดวางแบบบุฟเฟต์
คนที่ได้รับเชิญเป็นเราส์ระดับโลก และคนตำแหน่งสำคัญในกิลด์ล้วนอยู่ที่นี่
นี่เป็นงานชุมนุมที่คังวูจินจัดขึ้น แค่เรื่องนี้ก็ทำให้บางคนอยากเข้าร่วมแล้ว กิลด์ระดับกลางไม่แม้แต่จะได้ที่นั่งในงานนี้
พวกเขาไม่พอใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้
จุงมินชานบังเอิญไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนไหล่ตก มินชานยิ้มแล้วเดินไปหาเขา
“ไอ้หยา ประธานปาร์คใช่ไหมนี่?”
ประธานกิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คซังโอกำลังดื่มเครื่องดื่มแต่แล้วก็ต้องสำลัก
“แฮ่ม ตอนนี้ผมควรจะเรียกคุณว่านายกฯจุงแล้วสิ?”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาล”
“...”
ครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นประธานกิลด์ของอดีตหัวหน้าทีมที่รับผิดชอบทีมสนับสนุนระดับล่างคนนี้ ตอนนี้ระหว่างพวกเขามีความเข้าใจกันแบบชวนกระอักกระอ่วน
“ได้ยินว่าคุณลำบากพอดูกับการจัดงานนี้”
“แย่เลยคุณ หลายกิลด์ขู่ผมจะเอาบัตรเชิญ มีพวกก่อการร้ายขู่โจมตีล่วงหน้าด้วยนะ แล้วยังมีคำสั่ง...”
ดูเหมือนปาร์คซังโอจะลำบากมามาก ใต้ตาเขาเป็นสีดำ ผิวดูหยาบด้าน เขาดูแก่ขึ้นมาก
“พวกเราคงเรียกร้องเกินความจำเป็นมากไป”
“ไม่หรอก ผมเข้าใจว่าทำไมต้องตั้งข้อเรียกร้องพวกนั้น”
ไม่ใช่ว่ามินชานไม่เห็นใจความลำบากของปาร์คซังโอ
นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิด ที่แค่เลือกสถานที่แล้วส่งคำเชิญ
งานประชุมนี้มีคังวูจินเป็นคนนำ...
งานประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัลเฟนและดันเจี้ยนให้มากขึ้น
แน่นอน ทั้งโลกย่อมพุ่งความสนใจมาที่งานนี้อย่างช่วยไม่ได้ คนนับไม่ถ้วนส่งคำขอหรือคำขู่เอาคำเชิญร่วมงาน ปาร์คซังโอต้องวางแผนปกป้องทุกคนอย่างระมัดระวัง อย่างแรก เขาต้องหาสถานที่ ต้องหาคนมารักษาความปลอดภัย...
เวลาผ่านไป ความสนใจในงานนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีหลายๆด้านที่ต้องคอยกังวล ทำให้ความคืบหน้าของการจัดงานยิ่งช้าลง
ปาร์คซังโอต้องทนทรมานกับสภาพการณ์แบบนั้น
เมื่อกิลด์ KH ยืนยันจะจัดการงานประชุม ปาร์คซังโอก็โยนหน้าที่ไปให้กิลด์ KH ทันทีเหมือนโยนความเครียดที่สั่งสมมาทั้งหมดทิ้งไป
สถานที่จัดงานตัดสินให้จัดที่โรงแรม KH คำเชิญถูกส่งใหม่ ที่ตลกคือ คำเชิญที่ส่งไปใหม่นั้นส่งทางอีเมล์
การเตรียมการทั้งหมดที่ปาร์คซังโอทำมากลายเป็นสูญเปล่า
กิลด์ KH เตรียมงานด้วยท่าทีผ่อนคลาย
คำบ่นและคำขู่มีมากกว่าเดิม แต่กิลด์ KH และอลันดาลเพิกเฉยมันทั้งหมด
“แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“หมายถึงอะไร?”
“บางกิลด์ไม่ได้รับคำเชิญอย่างเจาะจง พวกเขาเลยถือว่าอลันดาลไม่สนใจ...”
“คำเชิญของเราส่งถึงทุกกิลด์ในโลกนะ”
“ไม่นะ พวกคุณแค่โพสท์บน SNS...”
“ก็น่าจะพอแล้ว”
“...”
พวกเขากำลังติดต่อกับเราส์ระดับ VIP ของโลก
ไม่ต้องมองไปไกล กิลด์ขนาดใหญ่หลายแห่งในจีนรู้สึกเสียศักดิ์ศรีเมื่อไม่ได้รับคำเชิญเป็นทางการ พวกเขาจึงไม่มางานนี้
ปาร์คซังโอนึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา กิลด์ที่ไม่สบอารมณ์เหล่านี้สร้างความขัดแย้งไม่น้อย
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกเอง”
“อา...”
นี่ใช่จุงมินชานที่เขารู้จักเหรอ?
ว่ากันว่าที่ทำงานเป็นสถานที่สร้างคน จุงมินชานใจกล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตอนนั้นเอง ชายร่างล่ำคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา
“โอ้ นายกฯจุง”
“ประธานเบค...”
ประธานกิลด์ KH เบคจองโดนวดไหล่เดินเข้ามา
“ผมนอนกลางดินกินกลางทรายนานซะจนนอนพักเท่าไหร่ก็ไม่หายเหนื่อยแล้ว”
“ฮ่าๆ คุณก็พูดเกินไป ได้ยินว่าคุณไปวัดระดับใหม่ กลายเป็นเราส์แรงค์ AA แล้ว ยินดีด้วย”
“หา? ข่าวมาไกลถึงนี่แล้วเหรอ?”
“ตอนนี้มีบทความออกมาตั้งเยอะ ผมไม่รู้ได้เหรอ?”
“ฮ่าๆ ก็จริง”
เมื่อเบคจองโดกลับกิลด์ เขาวัดระดับใหม่เพราะอยากรู้ผลที่ได้จากการฝึก ที่ผิดคาดคือกลายเป็นว่าแรงค์ของเขาเลื่อนขึ้นเป็นแรงค์ AA
ถ้าไม่นับคังวูจิน เบคจองโดเป็นเราส์แรงค์ AA คนแรกของเกาหลีอย่างเป็นทางการ
“เออ เจมินน่าจะเป็นแรงค์ AA สตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยต้องแรงค์ S อยู่แล้ว คุณว่าบลังกากับฮีซอลก็คงแรงค์ AA ด้วยไหม”
“เรายังไม่ได้วัดระดับพวกเขาเลย ตอนนี้ก็ได้แต่คาดเดากันไป”
“ฮ่าๆ อลันดาลถ่อมตัวเกินไป ไม่ต้องวัดน้องซุงกูยังได้ ผมแน่ใจว่าเขาอย่างน้อยแรงค์ AA”
“...”
จุงมินชานยิ้มนิ่ง ความเร็วในการพัฒนาตัวเองของซุงกูเหนือกว่าใครในโลก
“แน่นอน ถ้าเขารอดตายกลับมาได้นะ ฮ่าๆ”
“...”
จุงมินชานไม่ขำด้วย
ปาร์คซังโอฟังบทสนทนาแล้วลืมตาโตอย่างแปลกใจ
“เราส์ของอลันดาลเก่งขนาดนั้นทุกคนเลยเหรอ?”
“หา? ประธานปาร์คไม่รู้สินะ ขนาดเด็กใหม่ที่พวกเขารับมายังดูใช้ได้เลย”
“ฮ้า...”
อลันดาลเป็นโรงงานผลิตสัตว์ประหลาดเหรอ? พวกเขาทำอย่างไรถึงหาอัจฉริยะเหล่านี้มาได้?
ปาร์คซังโอมองจุงมินชาน สมัยอยู่กิลด์แฮมเมอร์ หัวหน้าทีมจุงมินชานเก่งเรื่องค้นพบคนมีความสามารถ
ตอนนี้เขาเปลี่ยนกิลด์ เริ่มจากเป็นรองประธานกิลด์ จากนั้นก็ช่วยก็ตั้งประเทศ ตอนนี้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้นแล้ว
‘ฉันไม่น่าปล่อยเขาไปเลย’
เขาควรรับฟังและสนับสนุนมินชานเต็มที่ แต่ถึงแม้จะเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว
“อา ดูท่าท่านประธานจะมาแล้ว”
ทางเข้ามีคนเต็ม มองเห็นแสงแฟลชจากกล้อง จุงมินชานเดินไปทางนั้น ทุกคนในห้องโถงพุ่งความสนใจไปที่ทางเข้า
มินชานเจอวูซุงฮุนตรงบริเวณทางเข้า จึงถาม
“ท่านประธานไปไหนแล้ว?”
“ผมพาท่านไปที่ห้องเตรียมตัว ท่านบอกให้คุณเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเร็วๆ”
“อืม คุณเตรียมข้อมูลแล้วยัง?”
“พวกเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีล่ะ รีบไปกันเถอะ”
ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมาย ทำไมถึงรีบนัก... ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางห้องเตรียมตัว ไม่นานก็มีประกาศถึงทุกคนเรื่องเริ่มการประชุม
***
ห้องทำให้นึกไปถึงห้องบรรยายขนาดใหญ่ในวิทยาลัย คนนั่งเบียดกันบนที่นั่ง แม้มันจะนั่งไม่สบายก็ไม่มีใครบ่น
บางกิลด์ในที่นี้รู้บ้างแล้วว่าจะคุยเรื่องอะไร
คนที่รู้เก็บมันไว้เป็นความลับ แต่คังวูจินจะเปิดเผยทุกสิ่งให้โลกรู้ คาดเดาไม่ได้เลยว่ามันจะส่งผลกระทบแบบไหน
กล้องบันทึกภาพต่อไป งานเป็นถ่ายทอดสดไปทั่วโลก จุงมินชานขึ้นเวที
“ผมชื่อจุงมินชาน นายกรัฐมนตรีของอลันดาล”
เขายิ้มเรื่อยๆ แต่ภายในกำลังสั่นสะท้าน
แม่ของเขาคงนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ที่ทุกคนให้ความสนใจเขา
จุงมินชานเคยอยากประสบความสำเร็จ แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ถึงขั้นนี้ แต่หลังจากได้พบกับคังวูจินเขาก็มาถึงจุดนี้
“ก่อนพระราชาจะขึ้นมาตรงนี้ ผมจะอธิบายคร่าวๆถึงข้อมูลที่เราพบเกี่ยวกับดันเจี้ยนต่างๆ”
มินชานเปิดเพาเวอร์พ้อยท์
“ทราห์เน็ต พวกเราได้ยินชื่อนี้มาไม่นาน คนแรกที่กล่าวถึงมันคือราชาของอลันดาล คุณคังวูจิน”
คำว่า ‘ทราห์เน็ต’ ปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นดาวต่างๆก็ก่อตัวรอบๆมัน
“เรามองมันเป็นเครือข่ายระหว่างดาวต่างๆ เส้นทางถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป
มันเป็นรูปฝูงมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนระเบิดทั่วโลกครั้งล่าสุด เน้นไปที่มังกรที่ห่อตัวรอบต้นไม้ขนาดยักษ์เหมือนกำลังปกป้องต้นไม้นั้น
“ลอร์ดมิติใช้เส้นทางเหล่านี้ในการบุกรุก พวกมันมีอีกชื่อว่ามอนสเตอร์ลอร์ด พวกมอนสเตอร์คือทหารของมัน”
จากนั้นก็เป็นรูปสถานีรถไฟใต้ดิน
“ลอร์ดมิติต่างมีอาณาเขตมิติของตัวเองแยกต่างหาก พวกเราเรียกว่าดันเจี้ยนระดับสูง ดันเจี้ยนพวกนี้เป็นเหมือนประตู แต่ทว่า ประตูทุกบานไม่ได้เปิดมาที่โลก”
ภาพเปลี่ยนอีก เป็นรูปพลอยสีเขียว
“ถ้าดันเจี้ยนคือประตู หินรีเทิร์นสโตนก็เทียบได้กับกุญแจ”
“ในตอนนี้ การประสานต้องใช้เวลา 30 วัน ถ้าไม่มีใครชิงกุญแจไปได้ พวกมันจะเปิดประตูได้ เรียกว่าดันเจี้ยนระเบิด ถ้ากุญแจถูกชิงไปได้ มอนสเตอร์จะติดอยู่ในดันเจี้ยนจนกว่าพลังงานถูกใช้ไปหมด นั่นคือกลายเป็นเหมือง”
มีคนยกมือถาม
“คุณจะอธิบายดันเจี้ยนที่เบรกก่อนเวลา 30 วันว่ายังไง?”
“เรื่องนั้นผมจะอธิบายถัดจากนี้”
จุงมินชานไปต่อที่สไลด์ถัดไป
“สรุปง่ายๆ เจ้าของบ้านเป็นคนเปิดประตู คนจากโลกนี่เอง พระราชาสอบสวนอดีตประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮแล้ว เขาเป็นต้นเหตุ”
หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพวิดีโอตอนคังวูจินไปอเมริกา มันแสดงการยิงจรวดก่อการร้ายและโกเลมเหล็ก โดลเซ กำลังสู้กับเหล่ามอนสเตอร์
“สถานที่นี้เคยเป็นพื้นที่ใช้ในการทดลอง นี่เป็นครั้งแรกที่ดันเจี้ยนก่อตัวนอกสถานีใต้ดิน การทดลองนี้ทำโดยองค์กรริเวอร์และศาสตราจารย์ริโอลา ตามที่พวกคุณเห็น พวกเขาทำสำเร็จ”
นี่ไม่ใช่แค่ป้องกันสถานีใต้ดินแล้ว
ทำอย่างไรดี? ความรู้สึกถึงอันตรายทำให้บรรยากาศในห้องโถงหนักอึ้ง
“จากนี้ไปพระราชาของอลันดาลจะออกมาพูด”
ไม่มีใครบอก แต่ทุกคนยืนขึ้นเมื่อวูจินมาถึง วูจินเดินขึ้นเวทีเหมือนกำลังขึ้นไปบรรยายบทเรียน เขามีทีท่าไม่แยแสเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้
“นั่งเถอะ ทุกคนคงรู้ว่าฉันเป็นใครดังนั้นจะไม่แนะนำตัวอีก พูดเลยแล้วกัน”
วูจินหยิบพลอยม่วงเม็ดหนึ่งออกมา มันส่องแสงจ้าพร้อมทั้งปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา
“ในเหตุวุ่นวายครั้งก่อน บางประเทศเก็บสิ่งนี้ได้ใช่ไหม? อังกฤษซื้อจากฉันไปหนึ่งอัน”
ระหว่างนี้มีการวิจัยพลอยแบบนี้ในหลายๆแห่งบนโลก วูจินเปิดเผยความลับออกมา เขากำลังพูดถึงการวิจัยและไอเทมที่อาจมีมูลค่าเป็นพันล้าน
“ถ้ารวมหินได้ 3 อัน นายจะได้สิทธิ์เป็นลอร์ดมิติ ถ้าใช้หิน 1 อันก็จะได้ดันเจี้ยน”
คนหนึ่งทนนิ่งต่อไปไม่ไหว เขายกมือขึ้นถาม
“ถ้าอย่างนั้นคุณคังวูจินก็เป็นลอร์ดมิติด้วยเหรอ?”
“แน่นอน”
“...”
คนในห้องส่งเสียงฮือฮา
ยิ่งกว่านั้น คนส่วนใหญ่ในห้องยังเกิดความเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมา พวกเขาเชื่อว่าพลังมหาศาลอันอธิบายไม่ได้ที่วูจินมีนั้นไม่ได้เป็นของเขาเอง
“คุณไม่ละอายใจเลยเหรอ? เก็บของที่ให้ผลประโยชน์ขนาดนั้นไว้คนเดียว?”
วูจินหันไปมองคนที่ถาม
“ผลประโยชน์?”
วูจินยิ้ม
ถ้าการไขว่คว้าพลังคือผลประโยชน์ เขาก็กำลังใช้ผลประโยชน์ที่ได้นั้นอย่างเต็มที่อยู่จริงๆ แต่มันก็นำมาซึ่งความรับผิดชอบมากกว่าเช่นกัน
“งั้นทำไมนายไม่ไปหามาใช้เองบ้างล่ะ”
“...”
ที่วูจินพูดไปออกจะหน้าด้านเล็กน้อย แต่มันทำให้คนถามนั่งลง จุงมินชานหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ มันเป็นคำตอบที่สมเป็นคังวูจินมาก
“จุดสำคัญคือเส้นทางเชื่อมต่อกับโลกมันเปิดแล้ว การบุกรุกโลกจะเกิดขึ้นต่อไป สำหรับฉันนี่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกทั้งหมดนี่กับทุกคนทำไม”
เกิดเสียงดังจ้อกแจ้กในกลุ่มคน วูจินพูดต่อ
“ฉันต้องการปกป้องครอบครัว ไหนๆแล้วก็ปกป้องโลกไปด้วย ปกป้องโลกเป็นเรื่องรอง เป้าหมายหลักของฉันคือความปลอดภัยของคนในครอบครัว”
อา ไม่ใช่ว่ามันควรจะกลับกันเหรอ?
“มีวิธีเหรอ?”
“มี”
คังวูจินพูดอย่างมั่นใจ
“ฉันซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน ฉันจะให้ครอบครัวอยู่ที่นั่น และฉันจะปกป้องมัน”
ได้ยินแล้วบางคนพึมพำคำว่า ‘เรือโนอาห์’ ขึ้นมาเบาๆ
บรรยากาศในห้องโถงมาคุ จุงมินชานหน้าเครียด
คนมีอำนาจควรจะรู้จักตีสองหน้าบ้าง คังวูจินเถรตรงเกินไป...
“คุณกำลังจะบอกว่าจะช่วยแต่ตัวเอง?”
“ไม่ใช่ นี่คือการเตือน ศัตรูของฉันไม่ได้มีอยู่แต่ในโลกอื่น”
คังวูจิน เราส์ที่เก่งที่สุดในโลก บอกว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา... เขาบอกว่าครอบครัวของเขาอยู่เหนือทุกสิ่ง นี่คือคำเตือนไม่ให้ใครมายุ่งกับพวกเขา
“ฉันไม่อยากพล่ามต่อหลังจากเรียกพวกนายมาที่นี่ นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก”
คังวูจินมองคนฟังที่กำลังกระสับกระส่ายแล้วพูด
“เมื่อศัตรูมารวมกันที่นี่เราจะทำยังไงได้บ้าง?”
วิธีแก้? วิธีแก้มันมีอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้มารวมกันที่นี่เพื่อหาวิธีแก้
“เราสามารถลดจำนวนเส้นทางที่เชื่อมต่อมายังที่ของเรา จากนั้นก็ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู”
วูจินกำลังตอบคำตอบที่มันชัดเจนอยู่แล้ว
ตอนนี้พวกเขากำลังทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในการลดการเชื่อมต่อกับดันเจี้ยน ดันเจี้ยนไหนที่ต้องระเบิดอย่างช่วยไม่ได้นั้นพวกเขาก็ร่วมมือกันจัดการกับมัน
ข้อเสนอนี้มีต่างไปอย่างเดียวคือคังวูจินวางแผนจะให้โลกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“คุณเตรียมทางรอดไว้ให้ตัวเองแล้วนี่ คุณอยากให้พวกเราเป็นโล่บังกระสุนให้เหรอ?”
ใครคนหนึ่งตะโกนด้วยความโกรธ วูจินยิ้ม
“ไม่มีทาง”
วูจินตะโกนอย่างห้าวหาญ
“ฉันจะเป็นคนนำอยู่ข้างหน้าเอง”
เกี่ยวกับเวลาอัพตอน เรื่องนี้อัพอาทิตย์ละตอนค่ะ อัพช่วงเสาร์อาทิตย์ ส่วนใหญ่ก็วันอาทิตย์แหละ
นิยายเรื่องนี้ 208 ตอนจบ ก็เหลืออีก 45 ตอน สรุปคือกว่าเราจะแปลจบ ถ้าไม่เลิกไปก่อน ก็ราวปี 2564
ใครอยากอ่านจบเร็วๆ แนะนำวิธีที่เราชอบใช้ MTL โลดค่ะ เปิด Google Chrome หาเรื่องนี้ในเว็บอ่านนิยาย (ลิงค์ในสารบัญมันเสียแล้วแต่เราขี้เกียจแก้) กดตรงปุ่มแปลหน้านี้ มันจะแปลเป็นภาษาไทยให้เลย มันอ่านเข้าใจแหละแค่จะรู้สึกติดขัดหน่อยๆ ช่วยแก้อาการค้างไปได้มากค่ะ ^^
โรงแรม KH
มีเพียงบุคคลได้รับเชิญที่สามารถเข้ามาในห้องโถงประชุมได้ แต่เนื้อหาในงานประชุมไม่ได้เป็นความลับ
บุคคลสำคัญที่จัดงานประชุมนี้ขึ้นมายังไม่มาถึง
โถงประชุมจัดเหมือนงานเลี้ยง ทุกคนจับกลุ่มสนทนากัน ไม่มีใครสนใจอาหารที่จัดวางแบบบุฟเฟต์
คนที่ได้รับเชิญเป็นเราส์ระดับโลก และคนตำแหน่งสำคัญในกิลด์ล้วนอยู่ที่นี่
นี่เป็นงานชุมนุมที่คังวูจินจัดขึ้น แค่เรื่องนี้ก็ทำให้บางคนอยากเข้าร่วมแล้ว กิลด์ระดับกลางไม่แม้แต่จะได้ที่นั่งในงานนี้
พวกเขาไม่พอใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้
จุงมินชานบังเอิญไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนไหล่ตก มินชานยิ้มแล้วเดินไปหาเขา
“ไอ้หยา ประธานปาร์คใช่ไหมนี่?”
ประธานกิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คซังโอกำลังดื่มเครื่องดื่มแต่แล้วก็ต้องสำลัก
“แฮ่ม ตอนนี้ผมควรจะเรียกคุณว่านายกฯจุงแล้วสิ?”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาล”
“...”
ครั้งหนึ่ง เขาเคยเป็นประธานกิลด์ของอดีตหัวหน้าทีมที่รับผิดชอบทีมสนับสนุนระดับล่างคนนี้ ตอนนี้ระหว่างพวกเขามีความเข้าใจกันแบบชวนกระอักกระอ่วน
“ได้ยินว่าคุณลำบากพอดูกับการจัดงานนี้”
“แย่เลยคุณ หลายกิลด์ขู่ผมจะเอาบัตรเชิญ มีพวกก่อการร้ายขู่โจมตีล่วงหน้าด้วยนะ แล้วยังมีคำสั่ง...”
ดูเหมือนปาร์คซังโอจะลำบากมามาก ใต้ตาเขาเป็นสีดำ ผิวดูหยาบด้าน เขาดูแก่ขึ้นมาก
“พวกเราคงเรียกร้องเกินความจำเป็นมากไป”
“ไม่หรอก ผมเข้าใจว่าทำไมต้องตั้งข้อเรียกร้องพวกนั้น”
ไม่ใช่ว่ามินชานไม่เห็นใจความลำบากของปาร์คซังโอ
นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิด ที่แค่เลือกสถานที่แล้วส่งคำเชิญ
งานประชุมนี้มีคังวูจินเป็นคนนำ...
งานประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอัลเฟนและดันเจี้ยนให้มากขึ้น
แน่นอน ทั้งโลกย่อมพุ่งความสนใจมาที่งานนี้อย่างช่วยไม่ได้ คนนับไม่ถ้วนส่งคำขอหรือคำขู่เอาคำเชิญร่วมงาน ปาร์คซังโอต้องวางแผนปกป้องทุกคนอย่างระมัดระวัง อย่างแรก เขาต้องหาสถานที่ ต้องหาคนมารักษาความปลอดภัย...
เวลาผ่านไป ความสนใจในงานนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีหลายๆด้านที่ต้องคอยกังวล ทำให้ความคืบหน้าของการจัดงานยิ่งช้าลง
ปาร์คซังโอต้องทนทรมานกับสภาพการณ์แบบนั้น
เมื่อกิลด์ KH ยืนยันจะจัดการงานประชุม ปาร์คซังโอก็โยนหน้าที่ไปให้กิลด์ KH ทันทีเหมือนโยนความเครียดที่สั่งสมมาทั้งหมดทิ้งไป
สถานที่จัดงานตัดสินให้จัดที่โรงแรม KH คำเชิญถูกส่งใหม่ ที่ตลกคือ คำเชิญที่ส่งไปใหม่นั้นส่งทางอีเมล์
การเตรียมการทั้งหมดที่ปาร์คซังโอทำมากลายเป็นสูญเปล่า
กิลด์ KH เตรียมงานด้วยท่าทีผ่อนคลาย
คำบ่นและคำขู่มีมากกว่าเดิม แต่กิลด์ KH และอลันดาลเพิกเฉยมันทั้งหมด
“แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“หมายถึงอะไร?”
“บางกิลด์ไม่ได้รับคำเชิญอย่างเจาะจง พวกเขาเลยถือว่าอลันดาลไม่สนใจ...”
“คำเชิญของเราส่งถึงทุกกิลด์ในโลกนะ”
“ไม่นะ พวกคุณแค่โพสท์บน SNS...”
“ก็น่าจะพอแล้ว”
“...”
พวกเขากำลังติดต่อกับเราส์ระดับ VIP ของโลก
ไม่ต้องมองไปไกล กิลด์ขนาดใหญ่หลายแห่งในจีนรู้สึกเสียศักดิ์ศรีเมื่อไม่ได้รับคำเชิญเป็นทางการ พวกเขาจึงไม่มางานนี้
ปาร์คซังโอนึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา กิลด์ที่ไม่สบอารมณ์เหล่านี้สร้างความขัดแย้งไม่น้อย
“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกเอง”
“อา...”
นี่ใช่จุงมินชานที่เขารู้จักเหรอ?
ว่ากันว่าที่ทำงานเป็นสถานที่สร้างคน จุงมินชานใจกล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตอนนั้นเอง ชายร่างล่ำคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา
“โอ้ นายกฯจุง”
“ประธานเบค...”
ประธานกิลด์ KH เบคจองโดนวดไหล่เดินเข้ามา
“ผมนอนกลางดินกินกลางทรายนานซะจนนอนพักเท่าไหร่ก็ไม่หายเหนื่อยแล้ว”
“ฮ่าๆ คุณก็พูดเกินไป ได้ยินว่าคุณไปวัดระดับใหม่ กลายเป็นเราส์แรงค์ AA แล้ว ยินดีด้วย”
“หา? ข่าวมาไกลถึงนี่แล้วเหรอ?”
“ตอนนี้มีบทความออกมาตั้งเยอะ ผมไม่รู้ได้เหรอ?”
“ฮ่าๆ ก็จริง”
เมื่อเบคจองโดกลับกิลด์ เขาวัดระดับใหม่เพราะอยากรู้ผลที่ได้จากการฝึก ที่ผิดคาดคือกลายเป็นว่าแรงค์ของเขาเลื่อนขึ้นเป็นแรงค์ AA
ถ้าไม่นับคังวูจิน เบคจองโดเป็นเราส์แรงค์ AA คนแรกของเกาหลีอย่างเป็นทางการ
“เออ เจมินน่าจะเป็นแรงค์ AA สตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยต้องแรงค์ S อยู่แล้ว คุณว่าบลังกากับฮีซอลก็คงแรงค์ AA ด้วยไหม”
“เรายังไม่ได้วัดระดับพวกเขาเลย ตอนนี้ก็ได้แต่คาดเดากันไป”
“ฮ่าๆ อลันดาลถ่อมตัวเกินไป ไม่ต้องวัดน้องซุงกูยังได้ ผมแน่ใจว่าเขาอย่างน้อยแรงค์ AA”
“...”
จุงมินชานยิ้มนิ่ง ความเร็วในการพัฒนาตัวเองของซุงกูเหนือกว่าใครในโลก
“แน่นอน ถ้าเขารอดตายกลับมาได้นะ ฮ่าๆ”
“...”
จุงมินชานไม่ขำด้วย
ปาร์คซังโอฟังบทสนทนาแล้วลืมตาโตอย่างแปลกใจ
“เราส์ของอลันดาลเก่งขนาดนั้นทุกคนเลยเหรอ?”
“หา? ประธานปาร์คไม่รู้สินะ ขนาดเด็กใหม่ที่พวกเขารับมายังดูใช้ได้เลย”
“ฮ้า...”
อลันดาลเป็นโรงงานผลิตสัตว์ประหลาดเหรอ? พวกเขาทำอย่างไรถึงหาอัจฉริยะเหล่านี้มาได้?
ปาร์คซังโอมองจุงมินชาน สมัยอยู่กิลด์แฮมเมอร์ หัวหน้าทีมจุงมินชานเก่งเรื่องค้นพบคนมีความสามารถ
ตอนนี้เขาเปลี่ยนกิลด์ เริ่มจากเป็นรองประธานกิลด์ จากนั้นก็ช่วยก็ตั้งประเทศ ตอนนี้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้นแล้ว
‘ฉันไม่น่าปล่อยเขาไปเลย’
เขาควรรับฟังและสนับสนุนมินชานเต็มที่ แต่ถึงแม้จะเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว
“อา ดูท่าท่านประธานจะมาแล้ว”
ทางเข้ามีคนเต็ม มองเห็นแสงแฟลชจากกล้อง จุงมินชานเดินไปทางนั้น ทุกคนในห้องโถงพุ่งความสนใจไปที่ทางเข้า
มินชานเจอวูซุงฮุนตรงบริเวณทางเข้า จึงถาม
“ท่านประธานไปไหนแล้ว?”
“ผมพาท่านไปที่ห้องเตรียมตัว ท่านบอกให้คุณเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเร็วๆ”
“อืม คุณเตรียมข้อมูลแล้วยัง?”
“พวกเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดีล่ะ รีบไปกันเถอะ”
ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมาย ทำไมถึงรีบนัก... ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางห้องเตรียมตัว ไม่นานก็มีประกาศถึงทุกคนเรื่องเริ่มการประชุม
***
ห้องทำให้นึกไปถึงห้องบรรยายขนาดใหญ่ในวิทยาลัย คนนั่งเบียดกันบนที่นั่ง แม้มันจะนั่งไม่สบายก็ไม่มีใครบ่น
บางกิลด์ในที่นี้รู้บ้างแล้วว่าจะคุยเรื่องอะไร
คนที่รู้เก็บมันไว้เป็นความลับ แต่คังวูจินจะเปิดเผยทุกสิ่งให้โลกรู้ คาดเดาไม่ได้เลยว่ามันจะส่งผลกระทบแบบไหน
กล้องบันทึกภาพต่อไป งานเป็นถ่ายทอดสดไปทั่วโลก จุงมินชานขึ้นเวที
“ผมชื่อจุงมินชาน นายกรัฐมนตรีของอลันดาล”
เขายิ้มเรื่อยๆ แต่ภายในกำลังสั่นสะท้าน
แม่ของเขาคงนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ที่ทุกคนให้ความสนใจเขา
จุงมินชานเคยอยากประสบความสำเร็จ แต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่ถึงขั้นนี้ แต่หลังจากได้พบกับคังวูจินเขาก็มาถึงจุดนี้
“ก่อนพระราชาจะขึ้นมาตรงนี้ ผมจะอธิบายคร่าวๆถึงข้อมูลที่เราพบเกี่ยวกับดันเจี้ยนต่างๆ”
มินชานเปิดเพาเวอร์พ้อยท์
“ทราห์เน็ต พวกเราได้ยินชื่อนี้มาไม่นาน คนแรกที่กล่าวถึงมันคือราชาของอลันดาล คุณคังวูจิน”
คำว่า ‘ทราห์เน็ต’ ปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นดาวต่างๆก็ก่อตัวรอบๆมัน
“เรามองมันเป็นเครือข่ายระหว่างดาวต่างๆ เส้นทางถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป
มันเป็นรูปฝูงมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนระเบิดทั่วโลกครั้งล่าสุด เน้นไปที่มังกรที่ห่อตัวรอบต้นไม้ขนาดยักษ์เหมือนกำลังปกป้องต้นไม้นั้น
“ลอร์ดมิติใช้เส้นทางเหล่านี้ในการบุกรุก พวกมันมีอีกชื่อว่ามอนสเตอร์ลอร์ด พวกมอนสเตอร์คือทหารของมัน”
จากนั้นก็เป็นรูปสถานีรถไฟใต้ดิน
“ลอร์ดมิติต่างมีอาณาเขตมิติของตัวเองแยกต่างหาก พวกเราเรียกว่าดันเจี้ยนระดับสูง ดันเจี้ยนพวกนี้เป็นเหมือนประตู แต่ทว่า ประตูทุกบานไม่ได้เปิดมาที่โลก”
ภาพเปลี่ยนอีก เป็นรูปพลอยสีเขียว
“ถ้าดันเจี้ยนคือประตู หินรีเทิร์นสโตนก็เทียบได้กับกุญแจ”
“ในตอนนี้ การประสานต้องใช้เวลา 30 วัน ถ้าไม่มีใครชิงกุญแจไปได้ พวกมันจะเปิดประตูได้ เรียกว่าดันเจี้ยนระเบิด ถ้ากุญแจถูกชิงไปได้ มอนสเตอร์จะติดอยู่ในดันเจี้ยนจนกว่าพลังงานถูกใช้ไปหมด นั่นคือกลายเป็นเหมือง”
มีคนยกมือถาม
“คุณจะอธิบายดันเจี้ยนที่เบรกก่อนเวลา 30 วันว่ายังไง?”
“เรื่องนั้นผมจะอธิบายถัดจากนี้”
จุงมินชานไปต่อที่สไลด์ถัดไป
“สรุปง่ายๆ เจ้าของบ้านเป็นคนเปิดประตู คนจากโลกนี่เอง พระราชาสอบสวนอดีตประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮแล้ว เขาเป็นต้นเหตุ”
หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพวิดีโอตอนคังวูจินไปอเมริกา มันแสดงการยิงจรวดก่อการร้ายและโกเลมเหล็ก โดลเซ กำลังสู้กับเหล่ามอนสเตอร์
“สถานที่นี้เคยเป็นพื้นที่ใช้ในการทดลอง นี่เป็นครั้งแรกที่ดันเจี้ยนก่อตัวนอกสถานีใต้ดิน การทดลองนี้ทำโดยองค์กรริเวอร์และศาสตราจารย์ริโอลา ตามที่พวกคุณเห็น พวกเขาทำสำเร็จ”
นี่ไม่ใช่แค่ป้องกันสถานีใต้ดินแล้ว
ทำอย่างไรดี? ความรู้สึกถึงอันตรายทำให้บรรยากาศในห้องโถงหนักอึ้ง
“จากนี้ไปพระราชาของอลันดาลจะออกมาพูด”
ไม่มีใครบอก แต่ทุกคนยืนขึ้นเมื่อวูจินมาถึง วูจินเดินขึ้นเวทีเหมือนกำลังขึ้นไปบรรยายบทเรียน เขามีทีท่าไม่แยแสเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้
“นั่งเถอะ ทุกคนคงรู้ว่าฉันเป็นใครดังนั้นจะไม่แนะนำตัวอีก พูดเลยแล้วกัน”
วูจินหยิบพลอยม่วงเม็ดหนึ่งออกมา มันส่องแสงจ้าพร้อมทั้งปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา
“ในเหตุวุ่นวายครั้งก่อน บางประเทศเก็บสิ่งนี้ได้ใช่ไหม? อังกฤษซื้อจากฉันไปหนึ่งอัน”
ระหว่างนี้มีการวิจัยพลอยแบบนี้ในหลายๆแห่งบนโลก วูจินเปิดเผยความลับออกมา เขากำลังพูดถึงการวิจัยและไอเทมที่อาจมีมูลค่าเป็นพันล้าน
“ถ้ารวมหินได้ 3 อัน นายจะได้สิทธิ์เป็นลอร์ดมิติ ถ้าใช้หิน 1 อันก็จะได้ดันเจี้ยน”
คนหนึ่งทนนิ่งต่อไปไม่ไหว เขายกมือขึ้นถาม
“ถ้าอย่างนั้นคุณคังวูจินก็เป็นลอร์ดมิติด้วยเหรอ?”
“แน่นอน”
“...”
คนในห้องส่งเสียงฮือฮา
ยิ่งกว่านั้น คนส่วนใหญ่ในห้องยังเกิดความเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมา พวกเขาเชื่อว่าพลังมหาศาลอันอธิบายไม่ได้ที่วูจินมีนั้นไม่ได้เป็นของเขาเอง
“คุณไม่ละอายใจเลยเหรอ? เก็บของที่ให้ผลประโยชน์ขนาดนั้นไว้คนเดียว?”
วูจินหันไปมองคนที่ถาม
“ผลประโยชน์?”
วูจินยิ้ม
ถ้าการไขว่คว้าพลังคือผลประโยชน์ เขาก็กำลังใช้ผลประโยชน์ที่ได้นั้นอย่างเต็มที่อยู่จริงๆ แต่มันก็นำมาซึ่งความรับผิดชอบมากกว่าเช่นกัน
“งั้นทำไมนายไม่ไปหามาใช้เองบ้างล่ะ”
“...”
ที่วูจินพูดไปออกจะหน้าด้านเล็กน้อย แต่มันทำให้คนถามนั่งลง จุงมินชานหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ มันเป็นคำตอบที่สมเป็นคังวูจินมาก
“จุดสำคัญคือเส้นทางเชื่อมต่อกับโลกมันเปิดแล้ว การบุกรุกโลกจะเกิดขึ้นต่อไป สำหรับฉันนี่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกทั้งหมดนี่กับทุกคนทำไม”
เกิดเสียงดังจ้อกแจ้กในกลุ่มคน วูจินพูดต่อ
“ฉันต้องการปกป้องครอบครัว ไหนๆแล้วก็ปกป้องโลกไปด้วย ปกป้องโลกเป็นเรื่องรอง เป้าหมายหลักของฉันคือความปลอดภัยของคนในครอบครัว”
อา ไม่ใช่ว่ามันควรจะกลับกันเหรอ?
“มีวิธีเหรอ?”
“มี”
คังวูจินพูดอย่างมั่นใจ
“ฉันซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน ฉันจะให้ครอบครัวอยู่ที่นั่น และฉันจะปกป้องมัน”
ได้ยินแล้วบางคนพึมพำคำว่า ‘เรือโนอาห์’ ขึ้นมาเบาๆ
บรรยากาศในห้องโถงมาคุ จุงมินชานหน้าเครียด
คนมีอำนาจควรจะรู้จักตีสองหน้าบ้าง คังวูจินเถรตรงเกินไป...
“คุณกำลังจะบอกว่าจะช่วยแต่ตัวเอง?”
“ไม่ใช่ นี่คือการเตือน ศัตรูของฉันไม่ได้มีอยู่แต่ในโลกอื่น”
คังวูจิน เราส์ที่เก่งที่สุดในโลก บอกว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา... เขาบอกว่าครอบครัวของเขาอยู่เหนือทุกสิ่ง นี่คือคำเตือนไม่ให้ใครมายุ่งกับพวกเขา
“ฉันไม่อยากพล่ามต่อหลังจากเรียกพวกนายมาที่นี่ นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก”
คังวูจินมองคนฟังที่กำลังกระสับกระส่ายแล้วพูด
“เมื่อศัตรูมารวมกันที่นี่เราจะทำยังไงได้บ้าง?”
วิธีแก้? วิธีแก้มันมีอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้มารวมกันที่นี่เพื่อหาวิธีแก้
“เราสามารถลดจำนวนเส้นทางที่เชื่อมต่อมายังที่ของเรา จากนั้นก็ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู”
วูจินกำลังตอบคำตอบที่มันชัดเจนอยู่แล้ว
ตอนนี้พวกเขากำลังทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในการลดการเชื่อมต่อกับดันเจี้ยน ดันเจี้ยนไหนที่ต้องระเบิดอย่างช่วยไม่ได้นั้นพวกเขาก็ร่วมมือกันจัดการกับมัน
ข้อเสนอนี้มีต่างไปอย่างเดียวคือคังวูจินวางแผนจะให้โลกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“คุณเตรียมทางรอดไว้ให้ตัวเองแล้วนี่ คุณอยากให้พวกเราเป็นโล่บังกระสุนให้เหรอ?”
ใครคนหนึ่งตะโกนด้วยความโกรธ วูจินยิ้ม
“ไม่มีทาง”
วูจินตะโกนอย่างห้าวหาญ
“ฉันจะเป็นคนนำอยู่ข้างหน้าเอง”
เกี่ยวกับเวลาอัพตอน เรื่องนี้อัพอาทิตย์ละตอนค่ะ อัพช่วงเสาร์อาทิตย์ ส่วนใหญ่ก็วันอาทิตย์แหละ
นิยายเรื่องนี้ 208 ตอนจบ ก็เหลืออีก 45 ตอน สรุปคือกว่าเราจะแปลจบ ถ้าไม่เลิกไปก่อน ก็ราวปี 2564
ใครอยากอ่านจบเร็วๆ แนะนำวิธีที่เราชอบใช้ MTL โลดค่ะ เปิด Google Chrome หาเรื่องนี้ในเว็บอ่านนิยาย (ลิงค์ในสารบัญมันเสียแล้วแต่เราขี้เกียจแก้) กดตรงปุ่มแปลหน้านี้ มันจะแปลเป็นภาษาไทยให้เลย มันอ่านเข้าใจแหละแค่จะรู้สึกติดขัดหน่อยๆ ช่วยแก้อาการค้างไปได้มากค่ะ ^^
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 162
บทที่ 162 – ปราสาทของบิบิ
“ใช่ ทุกคนจะปลอดภัย”
วูจินจริงจังกับเรื่องนี้
ระหว่างที่เขาไปรบ เขาต้องเชื่อว่าครอบครัวเขาปลอดภัย ไม่แค่คนงานของเขา แม่และโซอาก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เรื่องคิมคังชุลเป็นไง?”
“ไม่มีร่องรอยเลย”
“จึ๊”
มันจะพยายามติดต่อเขาอีกแน่ วูจินไม่จำเป็นต้องพยายามจับเขานัก เขายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำให้เสร็จ
“ประชุมกิลด์เมื่อไหร่?”
“หนึ่งทุ่มครับ”
“เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
ตอนนี้เพิ่ง 9 โมงเช้ากว่าๆ
“อ้อ เรือบรรทุกเครื่องบินมาเทียบท่าที่ท่าเรือปูซานแล้วครับ”
วูจินกำลังเดินไปทางอลันดาล เขาหยุดเดิน
“ถึงแล้วเหรอ?”
“ใช่ แต่ว่า...”
“แต่ว่า? มีปัญหาอะไร?”
“พวกเราส่งพนักงานไปรับมันที่ปูซาน แต่ดูเหมือนสภาพเรือจะไม่ดี”
“พวกนั้นส่งของเก่ามาให้งั้นสิ”
เรือกำลังจะปลดระวางไปเมื่อ 5 ปีก่อน แต่อังกฤษให้อินเดียยืมไปใช้ เรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวกันนี้ถูกส่งมายังเกาหลี
จุงมินชานมีสีหน้าเคร่งเครียดและถามวูจินอย่างระวัง
“ถ้าท่านไม่ชอบ ผมจะทำการเจรจาใหม่”
“ไม่เป็นไร มันขยับได้ไหม?”
“อะไรนะครับ?”
“ฉันถามว่ามันแล่นได้ไหม”
“ได้ แต่...”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เขาไม่สนใจเรื่องอาวุธที่บรรทุกมากับมันหรือได้อะไรมาพร้อมกับข้อตกลง
“ดาดฟ้าเรือสภาพไม่ดี และเราต้องเสียค่าใช้จ่ายมากหากจะเพิ่มอาวุธลงไป ยิ่งกว่านั้นเราต้องจ้างคนมาทำงาน ในข้อตกลงก็ไม่รวมถึงเรือคุ้มกันด้วย ถ้าเราคิดจะสร้างกองเรือดีๆก็ต้องใช้เงินเพิ่มอีกสองสามเท่า...”
“ฉันไม่ต้องการของพวกนั้น”
เรือบรรทุกเครื่องบินแต่ไม่มีเครื่องบินกับกองเรือคุ้มกันจะเป็นอะไร?
“ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นแค่เรือลำใหญ่มากที่แล่นได้...”
“นั่นคือส่วนสำคัญที่สุด”
“...?”
“ฉันอยากได้พื้นที่มันขยับได้”
“หา?”
“ฉันจะกลับมาก่อน 6 โมง”
วูจินเดินไปทางรังไวเวิร์นในสวนสัตว์เปิดของอลันดาล
“ท่าน...ท่านจะไปไหน?”
“ฉันจะไปทำความสะอาดบ้านใหม่ของเรา”
“...?”
เขาหูฝาดไปหรือเปล่า?
“ช้าๆนะ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมย้ายบ้าน”
“หรือ...หรือว่าท่านจะ...”
วูจินยิ้มพลางขึ้นหลังไวเวิร์น ไวเวิร์นดันตัวขึ้นไปกลางอากาศ เมื่อวูจินจากไปไกลแล้ว เบคจองโดก็มาหาจุงมินชานอย่างแปลกใจ
“นายกจุง น้องคังไปไหนน่ะ?”
“...ท่านบอกว่าจะไปรับเรือบรรทุกเครื่องบิน”
“อะไรนะ?”
จุงมินชานเปิดมือถือและโทรหาคิมเฮมินที่ถึงปูซานก่อนแล้ว
“เฮมินอา ประธานเพิ่งไปทางนาย”
[อ๊ะ เหรอครับ? เขาจะมาถึงเมื่อไหร่? มายังไง?]
“เขาขี่ไวเวิร์นไป”
[อะไรนะ? งั้นผมจะไปรอรับเขาที่ไหน...]
“อ่า นายจัดการทุกอย่างได้เลย”
[ท่าน...ท่านนายก?]
จุงมินชานวางสายจากนั้นมองคนรอบๆตัวเขา
เราส์ใหม่กำลังคุยกับครอบครัว นักข่าวอีกด้านของประตูหน้ากำลังถ่ายรูป และมีเบคจองโดกับโดเจมินที่มาหาเขาอย่างแปลกใจ
“คุณซุงกูอยู่ไหนล่ะ? ผมยังไม่เห็นเขาเลย”
“อา พี่ซุงกูยังมีฝึกอีกครับ”
มินชานพยักหน้ารับรู้ ซุงกูสามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ด้วยตัวเอง มินชานไม่ต้องเป็นห่วงเขานัก
“พี่ซุงกูอาจจะตายก็ได้”
“...โลกจาคุอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่าครับ คุณเจนิสกับพี่ซุงกูเล่นไล่จับกันที่นั่น”
ทำไมต้องเล่นไล่จับล่ะหวา...
โดเจมินบอกลาจุงมินชานที่กำลังมึนงง
“ผมไปหาพี่สาวนะ”
“โอ๊ะผมนี่ก็ พวกคุณเพิ่งกลับมาแต่ผมกลับรั้งพวกคุณไว้”
ปกติเวลาเราส์กลับจากการสำรวจดันเจี้ยนพวกเขาจะมีความเครียดสูง เพราะช่วงหลังนี้จุงมินชานเป็นผู้ช่วยให้คังวูจินและฮงซุงกูจึงลืมเรื่องนี้ไป
“ไปพักเถอะ ว่าแต่คุณไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้แล้วเหรอ?”
เจมินยิ้ม
“เอ่อ ก็จะมีอาการแพ้นิดหน่อยครับ แต่มันฆ่าผมไม่ได้แล้ว ฮะๆ”
เจมินเป็นแวมไพร์ลอร์ด เป็นขุนนางในหมู่แวมไพร์ ตัวตนของเขามีเกียรติเกินกว่าจะตายใต้คำสาปของดวงอาทิตย์
“ผมก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน ผมอยากร่วมงานประชุมกิลด์คืนนี้ด้วย”
“ครับ ผมติดต่อ KH แล้ว เดี๋ยวพวกเขาก็มา”
หลังจากส่งเบคจองโด มินชานขมวดคิ้ว
“เฮ้อ ย้ายบ้านเหรอ?”
มินชานรู้จักนิสัยวูจิน เขาทำทุกอย่างตามที่พูด เพราะฉะนั้นการย้ายบ้านเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ที่นี่มี 1,000 ครอบครัวอาศัยอยู่ แค่คิดเรื่องย้ายพวกเขาทั้งหมดมินชานก็ปวดศีรษะแล้ว
***
พวกเขาอยู่ในหอบังคับการของเรือบรรทุกเครื่องบิน อินวินซิเบิล ที่ทอดสมออยู่ที่ปูซาน
คิมเฮมินมองลงไปยังดาดฟ้าเรือ
“หืม นี่น่าจะใหญ่กว่า ROKS Dokdo ไหมนะ?” (TN – เป็นเรือสำหรับยกพลขึ้นบกของเกาหลีใต้)
“ครับ ใหญ่กว่าเล็กน้อย”
เขาพยักหน้าฟังคำพูดของผู้ชำนาญการพิเศษที่เพิ่งเข้ากับอลันดาลไม่นาน
“ถ้าสั้นแบบนี้ เราจะส่งเครื่องบินขึ้นได้ไหมนะ...”
“ไม่เป็นไรมั้ง ผมว่าประเทศเราไม่มีคนขับเครื่องบิน?”
“จ้างเอาก็ได้”
“ถ้าเป็นเครื่องบินประเภทขึ้นลงแนวดิ่งก็น่าจะเป็นไปได้... เราแค่ใช้เฮลิคอปเตอร์ดีไหม?”
ตอนนี้มีเฮลิคอปเตอร์ 15 ลำจอดบนดาดฟ้า
“ไม่รู้สิ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเอายังไง... เฮ้อ เราซื้อมันมาแต่ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้มันทำอะไร”
“เราต้องรีบจ้างคนนะครับ”
คิมเฮมินถอนหายใจ พวกลูกเรือจากไปก่อนที่พวกเขาจะอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเรือบรรทุกเครื่องบิน มันเป็นสมบัติของประเทศอังกฤษ แต่มันถูกใช้โดยประเทศอินเดียมา 5 ปี
ในเมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้ว พวกลูกเรือก็กลับอินเดีย ถ้ามีปัญหา พวกลูกเรือบอกเฮมินให้ไปคุยกับรัฐบาลของประเทศอังกฤษ
“นี่มันอะไร? พวกมันหาเรื่องผมหรือเปล่าวะ?”
เฮมินมาที่ปูซานอย่างรวดเร็วพร้อมกับสมาชิกอลันดาล 30 คน
กว่าพวกเขาจะหาคนมาจนพอขยับเรือบรรทุกเครื่องบินได้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่?
พวกเขาต้องเปลี่ยนอาวุธที่เก่าแก่ออก ต้องซื้อกองเรือ ดาดฟ้าก็ต้องซ่อมแซม...
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมประเทศเล็กๆอย่างอลันดาลต้องใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน
กี๊ซ
เสียงมอนสเตอร์คำราม เฮมินตกใจและเหลียวมองรอบๆ
“พระราชามาแล้ว พวกเราออกไปกันเถอะ”
“ครับ”
เมื่อพวกเขาลงจากหอบัญชาการ พวกเขาเห็นไวเวิร์นตัวหนึ่งกำลังร่อนลงเกาะบนดาดฟ้า วูจินกระโดดลงมา เฮมินวิ่งไปทางเขาพร้อมโบกมือ
“รู้ได้ยังไงครับว่าเป็นลำนี้?”
“นายบอกไม่ใช่เหรอว่าเป็นลำใหญ่สุด?”
“...”
วูจินมองชายที่มากับเฮมิน ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้
“นี่คือปาร์กกิลซูครับ เขาเคยเป็นนาวาตรี เคยปฏิบัติหน้าที่บนเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ 6 เดือน”
“โอ้ ผู้มีประสบการณ์”
วูจินเขย่ามือกับปาร์กกิลซู
พนักงานที่เหลือวิ่งมาทางพวกเขา เฮมินแนะนำตัวพวกเขาทั้งหมด
“3 คนนี้มีใบอนุญาตขับเฮลิคอปเตอร์”
“เฮลิคอปเตอร์?”
วูจินเหลือบมองเฮลิคอปเตอร์
“เราจะได้ใช้มันเหรอ?”
วูจินคิดว่าคงจะเอามันให้โดลเซได้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อื่นนอกจากนั้น
เฮมินตาโต
“อ๋า? ถ้าท่านไม่ต้องการเฮลิคอปเตอร์ หรือว่าจะซื้อเครื่องบินแบบขึ้นลงและลงจอดแนวดิ่งครับ?”
“เครื่องบิน?”
วูจินเบี่ยงหน้าไปมองไวเวิร์นที่หมอบบนดาดฟ้าอย่างสงบ มันใหญ่พอๆกับเครื่องบินต่อสู้หรือเฮลิคอปเตอร์ ยังมีตัวที่ใหญ่กว่าตัวนี้และสามารถให้คนหลายๆคนขี่ได้ไม่มีปัญหา
“ฉันมีเจ้านั่นอยู่นะ”
“...”
ไวเวิร์นบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ไม่เคยคิดเลยแฮะ...
ฟังแล้วเป็นไอเดียไม่เลว
“ตรงนั้นน่าจะเหมาะ”
วูจินเดินไปทางหอบัญชาการ เฮมินและกิลซูเดินตามเขา
“ผมจะนำทางให้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก”
วูจินไม่ได้เข้าไปในข้างในหอบัญชาการ เขาแค่ยืนข้างหน้า
“หวังว่าจะได้ผลนะ”
วูจินหยิบชิ้นส่วนมิติออกมา เขาไม่รู้ว่าจะสร้างอาณานิคมต้องทำยังไง แต่เขารู้ว่าลอร์ดมิติคนอื่นทำได้ ดังนั้นเขาก็น่าจะทำได้
“ไม่ได้ผลเหรอ?”
วูจินจ้องชิ้นส่วนมิติเป็นนานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยิบชิ้นส่วนมิติออกมาอีก 1 อัน ถ้าไม่ได้ผล เขาตั้งใจจะรวมชิ้นส่วนมิติ 3 ชิ้นเป็นหลักฐานมิติ
เมื่อเขาถือชิ้นส่วนมิติ 2 ชิ้นไว้ด้วยกัน เขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคย
<คุณต้องการรวมชิ้นส่วนมิติ 2 อันเป็นเศษส่วนมิติหรือไม่?>
วูจินรวมชิ้นส่วนมิติเป็นเศษส่วนมิติ มันมองเหมือนเจดีย์คริสตัลอันยาว ขนาดประมาณคทาเล็กๆ
วูจินฝังมันเข้าไปในหอบัญชาการ
<คุณต้องการสร้างอาณานิคมหรือไม่?>
“แน่นอน”
แสงส่องออกมาจากเศษส่วนมิติและทำหน้าที่เหมือนโปรเจ็คเตอร์ รูปไอคอนหลายรูปปรากฏเป็นโฮโลแกรม รูปพลิกไปเรื่อยๆจนหยุดที่สัญลักษณ์รูปต้นไม้
<รูปสัญลักษณ์ที่สามารถสร้างได้บนโลกมีจำกัดเพียงเท่านี้>
ใครจะสนเรื่องแบบนั้น? ที่สำคัญคือเขาสามารถสร้างอาณานิคมบนเรือบรรทุกเครื่องบินที่เคลื่อนที่ได้
<เมืองอาณานิคมของลอร์ดมิติคังวูจินจะถูกสร้าง เหลือเวลา 24 ชั่วโมง...>
เศษส่วนมิติส่องแสงออกมาและต้นไม้ก็เริ่มเติบโต เศษส่วนมิติทำหน้าที่เป็นเมล็ด พริบตาเดียว เถาวัลย์ก็พันรอบหอบัญชาการ
“เอ๊ะ?”
เฮมินและลูกจ้างที่มองอยู่ต่างแปลกใจกับภาพที่เห็น
“1 วันนี้อย่าให้ใครมาแตะมัน”
“...ครับ แล้วมันคืออะไรครับ?”
“คิดว่าอะไรล่ะ? มันคือบ้านใหม่ของเรา”
รากที่เหมือนเถาวัลย์คลุมหอบัญชาการจนมิด ต้นไม้เริ่มโตขึ้นช้าๆ วูจินยิ้มอย่างพอใจ
ดันเจี้ยนและอาณานิคมทำให้เขาสามารถใช้พลังของลอร์ดมิติได้เต็มที่ ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้ามีแต้ม แน่นอน มันต้องอยู่ภายในเขตอิทธิพลของรูปสัญลักษณ์
ในนั้น วูจินก็คือพระเจ้าดีๆนี่เอง
มีแต่เราส์ที่ผ่านอุโมงค์เข้าไปยังอาณาเขตมิติของเขาได้ แต่อาณานิคมที่สร้างบนโลกนั้นแทบทุกคนสามารถเข้าออกได้
ที่นี่คือที่อยู่ของสมาชิกครอบครัวของอลันดาล พวกเขาจะอยู่ในอาณานิคมอันทรงพลังที่มีพลังของลอร์ดมิติคอยปกป้อง
อีก 1 วัน ฐานทัพแห่งนี้จะสร้างเสร็จและสามารถเคลื่อนที่ได้
“เริ่มทำความสะอาดเลยดีไหม?”
ดาดฟ้าใหญ่ แต่ถ้าคิดจะสร้างเมืองในนี้ก็รู้สึกว่ามันเล็ก
วิ้ง
วูจินเรียกโดลเซออกมาแล้วมองเฮมิน
“นายบอกว่าเรามีคนขับเฮลิคอปเตอร์กี่คนนะ?”
“3 ครับ”
“งั้นที่เหลือก็ไม่ต้องใช้”
“อะไรนะครับ?”
โดลเซทำตามความคิดของวูจิน มันพุ่งไปทางเฮลิคอปเตอร์
แผ่นโลหะบนตัวเฮลิคอปเตอร์ยับย่นแล้วถูกรวมไปสร้างเป็นโกเล็มเหล็ก เศษเหล็กเก่าๆเริ่มมากองกันที่มุมดาดฟ้า
“...”
นั่นแพงมากนะ... ถ้าท่านประธานอยากเอามันไปข้างๆ ให้เฮมินขายมันก็ได้
ปากเฮมินแห้งผากเมื่อมองโดลเซเก็บกวาดเฮลิคอปเตอร์ไปทีละลำๆ
***
ถ้ำมานจังกุลบนเกาะเชจู
มีวงเวทถูกวาดบนพื้นราบ กำลังส่องแสงจ้า บลัดสโตนที่วางบนที่ต่างๆรอบถ้ำกำลังส่งพลังเวทให้มัน เป็นเช่นนี้มาสองสามวันแล้ว
เมื่อแสงจากวงเวทหายไป อุโมงค์แห่งหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น
‘ในที่สุด’
ลีซังโฮคุกเข่าตรงหน้าอุโมงค์
สมาชิกกิลด์ฮวารางเห็นเช่นนั้นก็คุกเข่าตาม พวกเขาก้มศีรษะลง
วิ้ง
อุโมงค์สั่นพลิ้ว อิเอลโลปรากฎตัว
[อืม]
ถ้ำมืดและเปียกชื้น มันชอบใจ
[เจ้ามีประโยชน์ดีนี่]
“ขอบคุณครับ”
อิเอลโลรู้สึกได้ว่าแสงจากวงเวทกระจายไปทั่วถ้ำ และตอนนี้มันมีอำนาจควบคุมที่แห่งนี้ได้ ลีซังโฮได้สร้างฐานให้มันสร้างร่างเนื้อบนโลกอย่างปลอดภัย
มันได้ดันเจี้ยนที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตมิติของมันกับโลกมา
อิเอลโลไม่เริ่มยึดโลกทันที
[เอาข้อมูลของผู้ไม่ตายมาให้ข้า]
“ผมจะทำตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้”
ลีซังโฮและลูกน้องออกไปจากถ้ำ
อิเอลโลรอบคอบ และมันมีคนจากโลกที่ทำตามคำสั่งของมัน
[โลก]
อิเอลโลยังไม่ประสานกับโลก น่าเสียดายมันไม่อาจใช้พลังได้ 100% แต่เมื่อเวลาผ่านไป พลังเวทบนโลกจะเพิ่มพูนมากขึ้น
มันไม่ได้ผิดหวัง มันดีใจยิ่งนัก
[มันกลับมาแล้วหรือ?]
มันคือดาวที่ถูกผนึกไปเป็นเวลานาน
อิเอลโลกลับมายังจุดเริ่มต้น
“ใช่ ทุกคนจะปลอดภัย”
วูจินจริงจังกับเรื่องนี้
ระหว่างที่เขาไปรบ เขาต้องเชื่อว่าครอบครัวเขาปลอดภัย ไม่แค่คนงานของเขา แม่และโซอาก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เรื่องคิมคังชุลเป็นไง?”
“ไม่มีร่องรอยเลย”
“จึ๊”
มันจะพยายามติดต่อเขาอีกแน่ วูจินไม่จำเป็นต้องพยายามจับเขานัก เขายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำให้เสร็จ
“ประชุมกิลด์เมื่อไหร่?”
“หนึ่งทุ่มครับ”
“เรายังมีเวลาอีกเยอะ”
ตอนนี้เพิ่ง 9 โมงเช้ากว่าๆ
“อ้อ เรือบรรทุกเครื่องบินมาเทียบท่าที่ท่าเรือปูซานแล้วครับ”
วูจินกำลังเดินไปทางอลันดาล เขาหยุดเดิน
“ถึงแล้วเหรอ?”
“ใช่ แต่ว่า...”
“แต่ว่า? มีปัญหาอะไร?”
“พวกเราส่งพนักงานไปรับมันที่ปูซาน แต่ดูเหมือนสภาพเรือจะไม่ดี”
“พวกนั้นส่งของเก่ามาให้งั้นสิ”
เรือกำลังจะปลดระวางไปเมื่อ 5 ปีก่อน แต่อังกฤษให้อินเดียยืมไปใช้ เรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวกันนี้ถูกส่งมายังเกาหลี
จุงมินชานมีสีหน้าเคร่งเครียดและถามวูจินอย่างระวัง
“ถ้าท่านไม่ชอบ ผมจะทำการเจรจาใหม่”
“ไม่เป็นไร มันขยับได้ไหม?”
“อะไรนะครับ?”
“ฉันถามว่ามันแล่นได้ไหม”
“ได้ แต่...”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เขาไม่สนใจเรื่องอาวุธที่บรรทุกมากับมันหรือได้อะไรมาพร้อมกับข้อตกลง
“ดาดฟ้าเรือสภาพไม่ดี และเราต้องเสียค่าใช้จ่ายมากหากจะเพิ่มอาวุธลงไป ยิ่งกว่านั้นเราต้องจ้างคนมาทำงาน ในข้อตกลงก็ไม่รวมถึงเรือคุ้มกันด้วย ถ้าเราคิดจะสร้างกองเรือดีๆก็ต้องใช้เงินเพิ่มอีกสองสามเท่า...”
“ฉันไม่ต้องการของพวกนั้น”
เรือบรรทุกเครื่องบินแต่ไม่มีเครื่องบินกับกองเรือคุ้มกันจะเป็นอะไร?
“ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นแค่เรือลำใหญ่มากที่แล่นได้...”
“นั่นคือส่วนสำคัญที่สุด”
“...?”
“ฉันอยากได้พื้นที่มันขยับได้”
“หา?”
“ฉันจะกลับมาก่อน 6 โมง”
วูจินเดินไปทางรังไวเวิร์นในสวนสัตว์เปิดของอลันดาล
“ท่าน...ท่านจะไปไหน?”
“ฉันจะไปทำความสะอาดบ้านใหม่ของเรา”
“...?”
เขาหูฝาดไปหรือเปล่า?
“ช้าๆนะ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมย้ายบ้าน”
“หรือ...หรือว่าท่านจะ...”
วูจินยิ้มพลางขึ้นหลังไวเวิร์น ไวเวิร์นดันตัวขึ้นไปกลางอากาศ เมื่อวูจินจากไปไกลแล้ว เบคจองโดก็มาหาจุงมินชานอย่างแปลกใจ
“นายกจุง น้องคังไปไหนน่ะ?”
“...ท่านบอกว่าจะไปรับเรือบรรทุกเครื่องบิน”
“อะไรนะ?”
จุงมินชานเปิดมือถือและโทรหาคิมเฮมินที่ถึงปูซานก่อนแล้ว
“เฮมินอา ประธานเพิ่งไปทางนาย”
[อ๊ะ เหรอครับ? เขาจะมาถึงเมื่อไหร่? มายังไง?]
“เขาขี่ไวเวิร์นไป”
[อะไรนะ? งั้นผมจะไปรอรับเขาที่ไหน...]
“อ่า นายจัดการทุกอย่างได้เลย”
[ท่าน...ท่านนายก?]
จุงมินชานวางสายจากนั้นมองคนรอบๆตัวเขา
เราส์ใหม่กำลังคุยกับครอบครัว นักข่าวอีกด้านของประตูหน้ากำลังถ่ายรูป และมีเบคจองโดกับโดเจมินที่มาหาเขาอย่างแปลกใจ
“คุณซุงกูอยู่ไหนล่ะ? ผมยังไม่เห็นเขาเลย”
“อา พี่ซุงกูยังมีฝึกอีกครับ”
มินชานพยักหน้ารับรู้ ซุงกูสามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ด้วยตัวเอง มินชานไม่ต้องเป็นห่วงเขานัก
“พี่ซุงกูอาจจะตายก็ได้”
“...โลกจาคุอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่าครับ คุณเจนิสกับพี่ซุงกูเล่นไล่จับกันที่นั่น”
ทำไมต้องเล่นไล่จับล่ะหวา...
โดเจมินบอกลาจุงมินชานที่กำลังมึนงง
“ผมไปหาพี่สาวนะ”
“โอ๊ะผมนี่ก็ พวกคุณเพิ่งกลับมาแต่ผมกลับรั้งพวกคุณไว้”
ปกติเวลาเราส์กลับจากการสำรวจดันเจี้ยนพวกเขาจะมีความเครียดสูง เพราะช่วงหลังนี้จุงมินชานเป็นผู้ช่วยให้คังวูจินและฮงซุงกูจึงลืมเรื่องนี้ไป
“ไปพักเถอะ ว่าแต่คุณไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้แล้วเหรอ?”
เจมินยิ้ม
“เอ่อ ก็จะมีอาการแพ้นิดหน่อยครับ แต่มันฆ่าผมไม่ได้แล้ว ฮะๆ”
เจมินเป็นแวมไพร์ลอร์ด เป็นขุนนางในหมู่แวมไพร์ ตัวตนของเขามีเกียรติเกินกว่าจะตายใต้คำสาปของดวงอาทิตย์
“ผมก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน ผมอยากร่วมงานประชุมกิลด์คืนนี้ด้วย”
“ครับ ผมติดต่อ KH แล้ว เดี๋ยวพวกเขาก็มา”
หลังจากส่งเบคจองโด มินชานขมวดคิ้ว
“เฮ้อ ย้ายบ้านเหรอ?”
มินชานรู้จักนิสัยวูจิน เขาทำทุกอย่างตามที่พูด เพราะฉะนั้นการย้ายบ้านเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว ที่นี่มี 1,000 ครอบครัวอาศัยอยู่ แค่คิดเรื่องย้ายพวกเขาทั้งหมดมินชานก็ปวดศีรษะแล้ว
***
พวกเขาอยู่ในหอบังคับการของเรือบรรทุกเครื่องบิน อินวินซิเบิล ที่ทอดสมออยู่ที่ปูซาน
คิมเฮมินมองลงไปยังดาดฟ้าเรือ
“หืม นี่น่าจะใหญ่กว่า ROKS Dokdo ไหมนะ?” (TN – เป็นเรือสำหรับยกพลขึ้นบกของเกาหลีใต้)
“ครับ ใหญ่กว่าเล็กน้อย”
เขาพยักหน้าฟังคำพูดของผู้ชำนาญการพิเศษที่เพิ่งเข้ากับอลันดาลไม่นาน
“ถ้าสั้นแบบนี้ เราจะส่งเครื่องบินขึ้นได้ไหมนะ...”
“ไม่เป็นไรมั้ง ผมว่าประเทศเราไม่มีคนขับเครื่องบิน?”
“จ้างเอาก็ได้”
“ถ้าเป็นเครื่องบินประเภทขึ้นลงแนวดิ่งก็น่าจะเป็นไปได้... เราแค่ใช้เฮลิคอปเตอร์ดีไหม?”
ตอนนี้มีเฮลิคอปเตอร์ 15 ลำจอดบนดาดฟ้า
“ไม่รู้สิ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเอายังไง... เฮ้อ เราซื้อมันมาแต่ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้มันทำอะไร”
“เราต้องรีบจ้างคนนะครับ”
คิมเฮมินถอนหายใจ พวกลูกเรือจากไปก่อนที่พวกเขาจะอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเรือบรรทุกเครื่องบิน มันเป็นสมบัติของประเทศอังกฤษ แต่มันถูกใช้โดยประเทศอินเดียมา 5 ปี
ในเมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้ว พวกลูกเรือก็กลับอินเดีย ถ้ามีปัญหา พวกลูกเรือบอกเฮมินให้ไปคุยกับรัฐบาลของประเทศอังกฤษ
“นี่มันอะไร? พวกมันหาเรื่องผมหรือเปล่าวะ?”
เฮมินมาที่ปูซานอย่างรวดเร็วพร้อมกับสมาชิกอลันดาล 30 คน
กว่าพวกเขาจะหาคนมาจนพอขยับเรือบรรทุกเครื่องบินได้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่?
พวกเขาต้องเปลี่ยนอาวุธที่เก่าแก่ออก ต้องซื้อกองเรือ ดาดฟ้าก็ต้องซ่อมแซม...
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมประเทศเล็กๆอย่างอลันดาลต้องใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน
กี๊ซ
เสียงมอนสเตอร์คำราม เฮมินตกใจและเหลียวมองรอบๆ
“พระราชามาแล้ว พวกเราออกไปกันเถอะ”
“ครับ”
เมื่อพวกเขาลงจากหอบัญชาการ พวกเขาเห็นไวเวิร์นตัวหนึ่งกำลังร่อนลงเกาะบนดาดฟ้า วูจินกระโดดลงมา เฮมินวิ่งไปทางเขาพร้อมโบกมือ
“รู้ได้ยังไงครับว่าเป็นลำนี้?”
“นายบอกไม่ใช่เหรอว่าเป็นลำใหญ่สุด?”
“...”
วูจินมองชายที่มากับเฮมิน ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้
“นี่คือปาร์กกิลซูครับ เขาเคยเป็นนาวาตรี เคยปฏิบัติหน้าที่บนเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ 6 เดือน”
“โอ้ ผู้มีประสบการณ์”
วูจินเขย่ามือกับปาร์กกิลซู
พนักงานที่เหลือวิ่งมาทางพวกเขา เฮมินแนะนำตัวพวกเขาทั้งหมด
“3 คนนี้มีใบอนุญาตขับเฮลิคอปเตอร์”
“เฮลิคอปเตอร์?”
วูจินเหลือบมองเฮลิคอปเตอร์
“เราจะได้ใช้มันเหรอ?”
วูจินคิดว่าคงจะเอามันให้โดลเซได้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อื่นนอกจากนั้น
เฮมินตาโต
“อ๋า? ถ้าท่านไม่ต้องการเฮลิคอปเตอร์ หรือว่าจะซื้อเครื่องบินแบบขึ้นลงและลงจอดแนวดิ่งครับ?”
“เครื่องบิน?”
วูจินเบี่ยงหน้าไปมองไวเวิร์นที่หมอบบนดาดฟ้าอย่างสงบ มันใหญ่พอๆกับเครื่องบินต่อสู้หรือเฮลิคอปเตอร์ ยังมีตัวที่ใหญ่กว่าตัวนี้และสามารถให้คนหลายๆคนขี่ได้ไม่มีปัญหา
“ฉันมีเจ้านั่นอยู่นะ”
“...”
ไวเวิร์นบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ไม่เคยคิดเลยแฮะ...
ฟังแล้วเป็นไอเดียไม่เลว
“ตรงนั้นน่าจะเหมาะ”
วูจินเดินไปทางหอบัญชาการ เฮมินและกิลซูเดินตามเขา
“ผมจะนำทางให้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก”
วูจินไม่ได้เข้าไปในข้างในหอบัญชาการ เขาแค่ยืนข้างหน้า
“หวังว่าจะได้ผลนะ”
วูจินหยิบชิ้นส่วนมิติออกมา เขาไม่รู้ว่าจะสร้างอาณานิคมต้องทำยังไง แต่เขารู้ว่าลอร์ดมิติคนอื่นทำได้ ดังนั้นเขาก็น่าจะทำได้
“ไม่ได้ผลเหรอ?”
วูจินจ้องชิ้นส่วนมิติเป็นนานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยิบชิ้นส่วนมิติออกมาอีก 1 อัน ถ้าไม่ได้ผล เขาตั้งใจจะรวมชิ้นส่วนมิติ 3 ชิ้นเป็นหลักฐานมิติ
เมื่อเขาถือชิ้นส่วนมิติ 2 ชิ้นไว้ด้วยกัน เขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคย
<คุณต้องการรวมชิ้นส่วนมิติ 2 อันเป็นเศษส่วนมิติหรือไม่?>
วูจินรวมชิ้นส่วนมิติเป็นเศษส่วนมิติ มันมองเหมือนเจดีย์คริสตัลอันยาว ขนาดประมาณคทาเล็กๆ
วูจินฝังมันเข้าไปในหอบัญชาการ
<คุณต้องการสร้างอาณานิคมหรือไม่?>
“แน่นอน”
แสงส่องออกมาจากเศษส่วนมิติและทำหน้าที่เหมือนโปรเจ็คเตอร์ รูปไอคอนหลายรูปปรากฏเป็นโฮโลแกรม รูปพลิกไปเรื่อยๆจนหยุดที่สัญลักษณ์รูปต้นไม้
<รูปสัญลักษณ์ที่สามารถสร้างได้บนโลกมีจำกัดเพียงเท่านี้>
ใครจะสนเรื่องแบบนั้น? ที่สำคัญคือเขาสามารถสร้างอาณานิคมบนเรือบรรทุกเครื่องบินที่เคลื่อนที่ได้
<เมืองอาณานิคมของลอร์ดมิติคังวูจินจะถูกสร้าง เหลือเวลา 24 ชั่วโมง...>
เศษส่วนมิติส่องแสงออกมาและต้นไม้ก็เริ่มเติบโต เศษส่วนมิติทำหน้าที่เป็นเมล็ด พริบตาเดียว เถาวัลย์ก็พันรอบหอบัญชาการ
“เอ๊ะ?”
เฮมินและลูกจ้างที่มองอยู่ต่างแปลกใจกับภาพที่เห็น
“1 วันนี้อย่าให้ใครมาแตะมัน”
“...ครับ แล้วมันคืออะไรครับ?”
“คิดว่าอะไรล่ะ? มันคือบ้านใหม่ของเรา”
รากที่เหมือนเถาวัลย์คลุมหอบัญชาการจนมิด ต้นไม้เริ่มโตขึ้นช้าๆ วูจินยิ้มอย่างพอใจ
ดันเจี้ยนและอาณานิคมทำให้เขาสามารถใช้พลังของลอร์ดมิติได้เต็มที่ ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้ามีแต้ม แน่นอน มันต้องอยู่ภายในเขตอิทธิพลของรูปสัญลักษณ์
ในนั้น วูจินก็คือพระเจ้าดีๆนี่เอง
มีแต่เราส์ที่ผ่านอุโมงค์เข้าไปยังอาณาเขตมิติของเขาได้ แต่อาณานิคมที่สร้างบนโลกนั้นแทบทุกคนสามารถเข้าออกได้
ที่นี่คือที่อยู่ของสมาชิกครอบครัวของอลันดาล พวกเขาจะอยู่ในอาณานิคมอันทรงพลังที่มีพลังของลอร์ดมิติคอยปกป้อง
อีก 1 วัน ฐานทัพแห่งนี้จะสร้างเสร็จและสามารถเคลื่อนที่ได้
“เริ่มทำความสะอาดเลยดีไหม?”
ดาดฟ้าใหญ่ แต่ถ้าคิดจะสร้างเมืองในนี้ก็รู้สึกว่ามันเล็ก
วิ้ง
วูจินเรียกโดลเซออกมาแล้วมองเฮมิน
“นายบอกว่าเรามีคนขับเฮลิคอปเตอร์กี่คนนะ?”
“3 ครับ”
“งั้นที่เหลือก็ไม่ต้องใช้”
“อะไรนะครับ?”
โดลเซทำตามความคิดของวูจิน มันพุ่งไปทางเฮลิคอปเตอร์
แผ่นโลหะบนตัวเฮลิคอปเตอร์ยับย่นแล้วถูกรวมไปสร้างเป็นโกเล็มเหล็ก เศษเหล็กเก่าๆเริ่มมากองกันที่มุมดาดฟ้า
“...”
นั่นแพงมากนะ... ถ้าท่านประธานอยากเอามันไปข้างๆ ให้เฮมินขายมันก็ได้
ปากเฮมินแห้งผากเมื่อมองโดลเซเก็บกวาดเฮลิคอปเตอร์ไปทีละลำๆ
***
ถ้ำมานจังกุลบนเกาะเชจู
มีวงเวทถูกวาดบนพื้นราบ กำลังส่องแสงจ้า บลัดสโตนที่วางบนที่ต่างๆรอบถ้ำกำลังส่งพลังเวทให้มัน เป็นเช่นนี้มาสองสามวันแล้ว
เมื่อแสงจากวงเวทหายไป อุโมงค์แห่งหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น
‘ในที่สุด’
ลีซังโฮคุกเข่าตรงหน้าอุโมงค์
สมาชิกกิลด์ฮวารางเห็นเช่นนั้นก็คุกเข่าตาม พวกเขาก้มศีรษะลง
วิ้ง
อุโมงค์สั่นพลิ้ว อิเอลโลปรากฎตัว
[อืม]
ถ้ำมืดและเปียกชื้น มันชอบใจ
[เจ้ามีประโยชน์ดีนี่]
“ขอบคุณครับ”
อิเอลโลรู้สึกได้ว่าแสงจากวงเวทกระจายไปทั่วถ้ำ และตอนนี้มันมีอำนาจควบคุมที่แห่งนี้ได้ ลีซังโฮได้สร้างฐานให้มันสร้างร่างเนื้อบนโลกอย่างปลอดภัย
มันได้ดันเจี้ยนที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตมิติของมันกับโลกมา
อิเอลโลไม่เริ่มยึดโลกทันที
[เอาข้อมูลของผู้ไม่ตายมาให้ข้า]
“ผมจะทำตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้”
ลีซังโฮและลูกน้องออกไปจากถ้ำ
อิเอลโลรอบคอบ และมันมีคนจากโลกที่ทำตามคำสั่งของมัน
[โลก]
อิเอลโลยังไม่ประสานกับโลก น่าเสียดายมันไม่อาจใช้พลังได้ 100% แต่เมื่อเวลาผ่านไป พลังเวทบนโลกจะเพิ่มพูนมากขึ้น
มันไม่ได้ผิดหวัง มันดีใจยิ่งนัก
[มันกลับมาแล้วหรือ?]
มันคือดาวที่ถูกผนึกไปเป็นเวลานาน
อิเอลโลกลับมายังจุดเริ่มต้น
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 161
บทที่ 161 – เราคือทหารใหม่ (2)
‘ตายแน่ฉัน’
คิมจุนยองคิดเช่นนี้มานับไม่ถ้วนครั้งแล้ว
พื้นดินเหนียวเหนอะ ป่ารกกีดขวางวิสัยทัศน์ของเขา มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
กี๊ซ!
“เชี่ย”
ถึงตอนนี้เขาคุ้นเคยกับเสียงร้องของมนุษย์กิ้งก่าแล้ว มันกำลังเรียกพวกเพราะหาเหยื่อไม่เจอ โชคร้ายที่เหยื่อที่ว่าคือมนุษย์
เหยื่อคือคนในอลันดาลเช่นเดียวกับเขา รวมตัวเขาด้วย
[ทิศ 9 นาฬิกามีเป้าหมาย 2 เป้าหมาย วางกับดักแล้วถอยไปทาง 3 นาฬิกา]
‘เวร’
เมื่อคำสั่งของฮีซอลดังขึ้นในหัว จุนยองรีบวางกับดักเวทแล้วถอย ปากบ่นแต่เท้าไม่มีเสียงแม้กำลังเดินผ่านพุ่มไม้ ความเคลื่อนไหวของเขาเงียบกริบ
กึง!
เสียงกับดักทำงาน ฮีซอลออกคำสั่งเพิ่มในหัวเขา
[ไปรวมทีมที่ทิศ 7 นาฬิกา นายจะเข้าร่วมการต่อสู้ในระยะใกล้]
จุนยองรีบไปยังทางที่บอก การต่อสู้ไม่ห่างจากจุดที่เขาวางกับดักไว้นัก
สหายร่วมรบของเขาจะอยู่ที่นั่น
“ย้าก!”
เขาตะโกนปลุกสมาธิแล้วออกวิ่งพร้อมกับดาบเกรดต่ำในมือ มันเป็นของที่เขาขโมยมาจากมนุษย์กิ่งก่า มันมีสมดุลดีจึงใช้ได้ดีทีเดียว
กี๊ซ!
“ตาย...ทีเถอะ”
เขาพยายามดึงดาบออกจากหนังหนาของมัน จุนยองถีบมนุษย์กิ่งก่าและรวบรวมพลังเวทสร้างกระแสไฟฟ้า
ก่อนมาที่นี่ เขาเป็นเราส์แรงค์ E ที่ใช้พลังเคลื่อนย้ายวัตถุและกระแสไฟฟ้า ตำแหน่งในทีมของเขามักจะเป็นด้านหลัง แต่ที่นี่การยึดตำแหน่งแน่นอนเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
เขามีหน้าที่ แต่สิ่งที่เขาต้องทำแตกต่างไปตามสถานการณ์ ใช้ดาบ,ร่วมมือกับคนอื่น,ใช้เวทและวางกับดัก แต่นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาโดยเฉพาะ ทุกคนในกลุ่มต้องเรียนทักษะหลายๆอย่าง และตอนนี้พวกเขาก็ใช้ทักษะเหล่านั้นได้ค่อนข้างคล่องดีแล้ว
มีแต่คนที่ปรับตัวได้เร็วเท่านั้นที่รอด
เขาเหลือสหายร่วมรบเพียง 7 คน
“เฮ้อ”
คิมจุนยองมองสนามรบด้วยสายตาเหี้ยมโหด มนุษย์กิ้งก่า 12 ตัวถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี
“ทำได้ดี”
จุนยองหันขวับเมื่อได้ยินเสียงจริงๆของเชฮีซอล เธอกำลังยิ้มมองเขา เขามองตอบด้วยสายตาอยากฆ่าคน
“มองข้างล่าง ถ้าไม่พอใจก็มาสู้กับดิฉัน”
“...”
จุนยองมองพื้นอย่างไม่เต็มใจ เขาขัดขืนเธอได้แต่มันเปล่าประโยชน์ เขาเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วเท้าของเธอ เธอเป็นนักฝึกสัตว์แต่สู้เก่งมาก...
“เอาล่ะ จบการล่าเท่านี้ เราจะกลับแคมป์ รวบรวมไอเทมได้”
“...”
ทุกคนชำแหละมนุษย์กิ้งก่าเพื่อเอาบลัดสโตนออกมาเงียบๆ จากนั้นก็เก็บอาวุธและเครื่องป้องกัน พวกเขาทำจนชินแล้ว
พวกเขาถึงจุดที่เริ่มรู้สึกแปลกๆมากกว่ากับการพูดคุยกันด้วยเสียง
ทักษะเทเลพาธีของฮีซอลมีประโยชน์มากเมื่อออกคำสั่งกองกำลังของเธอ แต่คนที่ถูกสั่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นเชิด พวกเขารู้สึกสกปรก
“เราจะกลับแล้ว”
ฮีซอลขึ้นขี่หลังเสือดำตัวหนึ่งที่ถูกจับจากป่าแห่งหนึ่ง ฮีซอลนำพวกเขาไปยังแคมป์ที่ซ่อนในซอกเขา ยิ่งกว่านั้นยังมีคนอื่นอยู่แล้ว
“จุนยองอา!”
“ลีซูจิน!”
คนที่ตะโกนด้วยความดีใจคือเพื่อนร่วมทีมของจุนยอง ฮีซอนพาเขาจากไปตอนรบคราวก่อน
“เอ๊ะ? ทำไม...”
แขนขาเขาถูกตัดและมีแผลที่ทำให้ถึงตายได้ในไม่นาน แต่เขา...
“สตรีศักดิ์สิทธิ์รักษาฉัน”
“อา นายไม่ตาย นายยังไม่ตาย”
พวกเขาสู้ด้วยกันไม่นาน เพียง 6 วัน แต่ได้สร้างมิตรภาพที่เหนียวแน่นจากประสบการณ์ที่พวกเขามีร่วมกัน
พวกเขาทำงานท่ามกลางความกดดันในสนามรบ ปีศาจเชฮีซอลเฝ้ากระตุ้นพวกเขา แน่นอนว่าสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นย่อมเกิด
สหายร่วมรบที่เขาคิดว่าตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ พวกเขายังดูดีกว่าเมื่อก่อน
เชฮีซอลสาดน้ำเย็นลงบนการพบกันอีกครั้งของพวกเขา
“ตั้งแถวเป็น 4 แถว”
“...”
พวกเขาเรียงแถวอย่างรวดเร็วตามคำสั่งฮีซอล
“นี่เป็นเสบียงที่พระราชาส่งมา หยิบไปแต่อันที่มีชื่อของตัวเอง ไป”
กล่องเสบียงจำนวนมากกองอยู่ตรงมุมหนึ่งของแคมป์ แปลว่าของในแต่ละกล่องไม่เหมือนกัน
พวกเขาไปหยิบกล่องขนาดค่อนข้างใหญ่แล้วกลับมายังที่เดิม
“หลังจากใช้หินเพิ่มพลังและตำราทักษะแล้วให้สวมอาวุธเครื่องป้องกัน เริ่มได้”
จุนยองเปิดกล่องแล้วลืมตาโต
เขาหยิบหินเพิ่มพลังขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมา เมื่อก่อนเขาเดาว่าหินเพิ่มพลังที่ให้เขากินนั้นราคาแพง แต่ตอนนี้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังเวทมหาศาลข้างใน ความสามารถควบคุมเวทและการตรวจสอบของเขาเพิ่มขึ้นหลังจากเจอกับประสบการณ์เฉียดตาย
‘สมกับที่เป็นราชาของพวกเรา’
เขามอบไอเทมล้ำค่าให้พวกเขาโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
จุนยองกินหินเพิ่มพลังทั้งหมด จากนั้นเรียนทักษะเพิ่มอีก 3 ทักษะ
‘พวกนี้มัน!’
เมื่อส่งพลังเวทเข้าไปในตำราทักษะ ความรู้จากในหนังสือจะถูกซึมซับเข้ามา เขารู้ในหัวว่าจะใช้ทักษะพวกนี้อย่างไร คิมจุนยองตัวสั่น
ทั้งหมดนี้เป็นทักษะที่เขาเคยอยากเรียน มันเป็นทักษะที่เขาต้องการ
‘แน่ใจแล้ว! เขามองฉันอยู่!’
สื่อมวลชนพูดถึงความสามารถด้านการต่อสู้อันท่วมท้นของคังวูจิน แต่ไม่ยกย่องการปกครองด้วยกำลังของเขานัก แต่จุนยองรู้ความจริงแล้ว
ที่จริงแล้วคังวูจินเป็นชายที่ช่างเอาใจใส่ แม้แต่เราส์แรงค์ต่ำเขายังให้ความสนใจ
“โอ ไม่น่าเชื่อ”
“นี่เป็นของที่ฉันต้องมีทั้งนั้นเลย”
เช่นเดียวกับสหายร่วมรบของเขา พวกเขาดีใจเมื่อพบว่าเสบียงพวกนี้ทำขึ้นเพื่อแต่ละคนโดยเฉพาะ ไม่แค่ตำราทักษะ เครื่องสวมใส่ก็ต่างกัน
“ว้าว ดูชุดนี่สิ”
“นี่มันดาบ เหมาะกับฉันเลย”
ดาบด้ามนี้เทียบไม่ได้กับอันที่จุนยองขโมยจากมนุษย์กิ้งก่า เขาไม่รู้ว่าความชอบส่วนตัวของเขาถูกวิเคราะห์ออกมาได้อย่างไร
ทุกคนถืออาวุธที่เหมาะกับพวกเขา
จากนั้นก็มีชุดที่เหมือนชุดของนักแข่งมอเตอร์ไซค์ มันแนบกับตัว ส่วนสำคัญของร่างกายถูกปกป้องด้วยโลหะแข็งแกร่ง ชุดนี้จะทำให้พวกเขารอดจากการโจมตีรุนแรง
ชุดเป็นสีดำแดง ตรงไหล่และหน้าอกมีรูปแมวกำลังหาว
มันคือตราสัญลักษณ์แสดงอาณาเขตมิติอลันดาล
นอกจากเครื่องสวมใส่แล้วยังมีไอเทมพวกใช้แล้วหมดไปด้วย โพชั่นราคาแพงและยาแก้พิษสำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน และอาร์ติแฟคที่สามารถใช้โจมตี
‘พระราชาช่างใจดี...’
จุนยองตัวสั่นไม่หยุด กิลด์ที่ไหนจะส่งเสริมสมาชิกถึงขั้นนี้ เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน
“รีบใส่สิ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะครูฝึกเชฮีซอลทำลายฝันหวานของเขา เขาคงดีใจนานกว่านี้ แต่ยังเหลือเวลาอีก 6 วันก่อนพวกเขาจะได้กลับโลก
เชฮีซอลมีสีหน้าเข้มงวด แต่เธอยิ้มในใจ
‘ทุกคนกำลังดีใจ’
ฮีซอลเป็นคนเฝ้าดูทหารใหม่ทั้ง 23 คน เธอรู้ถึงอาวุธที่เหมาะสำหรับพวกเขาและทักษะที่จะช่วยส่งเสริมการต่อสู้ของพวกเขา เธอยังประเมินความสามารถของพวกเขาก่อนจะส่งรายงาน
คังวูจินซื้ออาวุธและไอเทมจากร้านค้ามิติอย่างไม่ลังเลแล้วส่งมาให้เธอ
ถ้าพูดถึงเงิน ไอเทมพวกนี้ราคาหลายล้าน แต่ถ้าคิดถึงหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำในภายภาคหน้า การลงทุนเหล่านี้ถือว่าคุ้ม
“เราจะเริ่มการฝึกอีกครั้ง”
“...”
หน่วยรบพิเศษของฮีซอลเริ่มทำการฝึกต่อ
***
ผ่านไป 12 วัน
อุโมงค์ไปยังอาณาเขตมิติอลันดาลเปิดออก เราส์ 23 คนภายใต้การดูแลของฮีซอลมาถึง สายตาและบรรยากาศของพวกเขาต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“พวกเราฝึกเสร็จแล้วค่ะ”
วูจินนั่งบนบัลลังก์ฟังฮีซอลรายงาน เขาซื้อหินเพิ่มพลังจากร้านค้าของมิติอีกครั้ง มันจะดีที่สุดถ้ากินหินเพิ่มพลังทันเวลาหลังจากช่วงพักดูดซับหินหมด
การพัฒนาทักษะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การพัฒนาค่าสถานะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสามารถต่อสู้
“ทุกคนทำได้ดี”
เขาดูเฉยเมยแต่สง่างาม เมื่อวูจินเอาหินเพิ่มพลังออกมาเป็นรางวัลสำหรับการฝึก พวกทหารใหม่ก็อึ้งไป โดยเฉพาะคิมจุนยอง ดูเหมือนเขาใกล้จะร้องไห้แล้ว
‘ใจดีอะไรขนาดนี้! เขาคือพระราชาของพวกเราจริงๆ...’
ไม่เหมือนเชฮีซอล เธอเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอต่อให้อยู่ในนรก ฮีซอลทำทุกอย่างเพื่อการฝึก แต่คิมจุนยองเป็นคนที่ต่อต้านเธอที่สุด ดังนั้นจึงเป็นคนที่ถูกเธออัดมากที่สุด
เขาไม่ได้แค้น แต่ไม่สามารถคิดดีๆกับเธอได้
เขาโตพอจะรู้ถึงตำแหน่งสูงต่ำของพวกเขา เพราะอย่างนี้เขาจึงเงียบ
“กินซะ”
“คุณแน่ใจเหรอที่มอบไอเทมพวกนี้ให้เราใช้ฟรีๆ?”
“ลงทุนไง มันคือการลงทุน”
“อา”
ใจกว้างสมเป็นพระราชา ราชาในหมู่ราชา
จุนยองประทับใจ
วูจินยิ้ม
ถ้าฆ่าพวกนี้ตอนนี้ก็จะได้แค่ศพ อย่างน้อยถ้าฝึกพวกนี้จนถึงขั้น 7 หรือแรงค์ AA จะได้รีไซเคิลพวกมันเป็นอัศวินมรณะ...
“ฮีซอล”
“ค่ะท่าน”
“อืม เธอมีชื่อเรียกชื่อทีมของเธอหรือเปล่า?”
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
วูจินมองเราส์ที่เข้ามาใหม่
“พวกนายมีความคิดดีๆไหม?”
จุนยองเป็นคนแรกที่ถาม
“พวกเราจะทำงานเป็นทีมเดียวตลอดเลยหรือครับ?”
“แน่นอน และทีมนี้จะอยู่ใต้คำสั่งของฮีซอล...”
พอได้ยินคำตอบจากวูจิน ทุกคนรวมทั้งจุนยองขมวดคิ้ว
‘เชี่ย ไม่อยากเลย แต่นี่เป็นคำสั่งจากพระราชา’
วูจินเคาะนิ้วบนที่วางแขนพลางใช้ความคิด
คิมจุนยองยกมือขึ้น
“อะไร?”
“แฟนธ่อมเป็นไงครับ?”
“แฟนธ่อม”
“เราต้องการปกป้องพระราชาแม้แต่ในยามตายเป็นผี”
วูจินแสยะยิ้ม
เขากำลังอนุญาตให้เอาวิญญาณพวกเขาตอนตายใช่ไหม? วิญญาณของพวกเขาจะหายไป...
“อืม ก็ได้ ชื่อเลี่ยนไปหน่อยแต่ก็เหมาะดี”
วูจินมองฮีซอลที่ยืนหน้าหน่วยของเธอ
“เรียกว่าหน่วยแฟนธ่อมแล้วกัน เธอในฐานะผู้บัญชาการมีหน้าที่แบ่งพวกเขาเป็นทีม”
ดวงตาฮีซอลเป็นประกาย
“ดิฉันยินดีมอบชีวิตเพื่ออลันดาล”
“ทำไมวันนี้ทุกคนพูดว่าจะรับใช้ฉันหลังตาย?”
“...”
ถ้าพวกเขาตาย เขาต้องใช้ค่าบงการกับพวกเขา ทำงานให้เขาตอนยังมีชีวิตดีกว่า
ตอนนั้นเอง เบคจองโด โดเจมิน บลังกาและเมโลดี้ก็ผ่านอุโมงค์ออกมา
“โฮ่ จบจนได้”
“ทุกคนทำได้ดีมาก”
เมื่อถึงอลันดาล ความเครียดที่พวกเขามีก็หายไป พวกเขาตบหลังให้กันเมื่อเห็นเราส์ใหม่ที่เรียงแถวตรงหน้าวูจิน เราส์ใหม่ส่วนมากรู้จักกับอีกกลุ่มอยู่บ้าง
ตอนพวกเขากำลังใกล้ตาย ไวเวิร์นพาพวกเขาไปให้สตรีศักดิ์สิทธิ์รักษา เราส์บางคนส่งสายตาแสดงความขอบคุณไปทางเธอ
“ไว้ทักทายกันทีหลังเถอะ กลับโลกกัน”
“เอ๊ะ? พี่ซุงกูยังไม่มานี่ครับ”
โดเจมินมองไปรอบๆ
“ซุงกูตาย”
“ฮ้า?”
โดเจมินและแน่นอน คนอื่นๆทำหน้าตกใจ
วูจินกระตุกยิ้มพลางเปิดอุโมงค์สู่สถานีโซลทางออกที่ 1
“ล้อเล่น ซุงกูจะไปเจอกับพวกเราที่อัลเฟน กลับโลกเถอะ”
“เฮ้อ ผมคิดจริงๆนะว่าเขาถูกลิชฆ่าตาย”
เจนิสไล่ล่าซุงกูไม่หยุด พลังของลิชมีมหาศาล เจมินจึงเชื่อจริงๆว่าซุงกูตายแล้ว เขาถอนหายใจแล้วตามหลังวูจิน
คิมจุนยองผ่านอุโมงค์มายังสถานีโซลทางออกที่ 1 พวกเขากำลังยืนบนแผ่นดินโซล
‘โครงสร้างในนี้เหมือนดันเจี้ยนแรงค์สูงเลย’
เขาเป็นเราส์แรงค์ E จึงไม่เคยเข้าดันเจี้ยนแรงค์สูง แต่เขารู้จักมัน อาณาเขตมิติของอลันดาลสร้างคล้ายดันเจี้ยนแรงค์สูง ไม่ใช่ มันคือดันเจี้ยนแรงค์สูงจริงๆ
จุนยองมองด้านหลังคังวูจิน
‘พระราชาของเราเป็นใครนะ...’
ทุกสิ่งที่เขาทำส่งผลกระทบไปทั่วโลก คิมจุนยองสงสัยว่าตัวจริงของคังวูจินเป็นอย่างไร
ด้านหน้าพวกเขาเป็นกลุ่มนักข่าวที่มากกว่าปกติหลายเท่ากำลังถ่ายรูปไม่หยุด
พวกเขาเดินผ่านกลุ่มคนที่หลีกทางให้ เขารู้สึกเหมือนกำลังกลับจากชนะสงคราม คิมจุนยองรู้สึกแปลก
เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E เองนะ
เขาเคยถูกใช้ขุดเหมือง แต่ตอนนี้คนมากมายกำลังให้ความสนใจในฐานะเราส์ของอลันดาล
“อ๊ะ?”
เมื่อพวกเขามาถึงอลันดาล คนกลุ่มหนึ่งรอตรงหน้าประตูหน้า จุนยองตาโต
“ไอ้หยา จุนยองอา!”
“แม่?”
ไม่ใช่แค่ครอบครัวจุนยอง คนในครอบครัวของเราส์ใหม่ต่างมารวมกันที่นี่ ครอบครัวของเขากำลังรอพวกเขากลับมา
เราส์ใหม่ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องอะไร แต่นายกจุนมินชานหัวเราะ
“พวกคุณคือพนักงานของอลันดาล สมาชิกครอบครัวของพวกคุณก็ย่อมต้องมีสิทธิเป็นพลเมืองของอลันดาล”
“อา...”
จุงมินชานเชิญครอบครัวของเราส์ใหม่มาและดูแลการกินอยู่ของพวกเขาทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้น เราส์ใหม่ยังได้รับบัตรเครดิต รถส่วนตัวแถมคนขับ
พวกเขาใช้เวลา 12 วันบนโลกจาคุ แต่ที่นี่เพิ่งผ่านไปแค่ 3 วัน การเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลา 3 วัน
“เหนื่อยหน่อยนะครับท่าน”
วูจินยิ้ม เขากระซิบกับมินชาน
“ตัวประกันเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ ผมก็แค่อยากปกป้องสมาชิกครอบครัวในที่ๆปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
จุงมินชานขยิบตา วูจินยิ้มอย่างพอใจ
สมแล้ว มินชานทำงานของเขาได้ดี เขาคิดถูกที่ให้มินชานเป็นนายกรัฐมนตรี
‘ตายแน่ฉัน’
คิมจุนยองคิดเช่นนี้มานับไม่ถ้วนครั้งแล้ว
พื้นดินเหนียวเหนอะ ป่ารกกีดขวางวิสัยทัศน์ของเขา มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
กี๊ซ!
“เชี่ย”
ถึงตอนนี้เขาคุ้นเคยกับเสียงร้องของมนุษย์กิ้งก่าแล้ว มันกำลังเรียกพวกเพราะหาเหยื่อไม่เจอ โชคร้ายที่เหยื่อที่ว่าคือมนุษย์
เหยื่อคือคนในอลันดาลเช่นเดียวกับเขา รวมตัวเขาด้วย
[ทิศ 9 นาฬิกามีเป้าหมาย 2 เป้าหมาย วางกับดักแล้วถอยไปทาง 3 นาฬิกา]
‘เวร’
เมื่อคำสั่งของฮีซอลดังขึ้นในหัว จุนยองรีบวางกับดักเวทแล้วถอย ปากบ่นแต่เท้าไม่มีเสียงแม้กำลังเดินผ่านพุ่มไม้ ความเคลื่อนไหวของเขาเงียบกริบ
กึง!
เสียงกับดักทำงาน ฮีซอลออกคำสั่งเพิ่มในหัวเขา
[ไปรวมทีมที่ทิศ 7 นาฬิกา นายจะเข้าร่วมการต่อสู้ในระยะใกล้]
จุนยองรีบไปยังทางที่บอก การต่อสู้ไม่ห่างจากจุดที่เขาวางกับดักไว้นัก
สหายร่วมรบของเขาจะอยู่ที่นั่น
“ย้าก!”
เขาตะโกนปลุกสมาธิแล้วออกวิ่งพร้อมกับดาบเกรดต่ำในมือ มันเป็นของที่เขาขโมยมาจากมนุษย์กิ่งก่า มันมีสมดุลดีจึงใช้ได้ดีทีเดียว
กี๊ซ!
“ตาย...ทีเถอะ”
เขาพยายามดึงดาบออกจากหนังหนาของมัน จุนยองถีบมนุษย์กิ่งก่าและรวบรวมพลังเวทสร้างกระแสไฟฟ้า
ก่อนมาที่นี่ เขาเป็นเราส์แรงค์ E ที่ใช้พลังเคลื่อนย้ายวัตถุและกระแสไฟฟ้า ตำแหน่งในทีมของเขามักจะเป็นด้านหลัง แต่ที่นี่การยึดตำแหน่งแน่นอนเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
เขามีหน้าที่ แต่สิ่งที่เขาต้องทำแตกต่างไปตามสถานการณ์ ใช้ดาบ,ร่วมมือกับคนอื่น,ใช้เวทและวางกับดัก แต่นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาโดยเฉพาะ ทุกคนในกลุ่มต้องเรียนทักษะหลายๆอย่าง และตอนนี้พวกเขาก็ใช้ทักษะเหล่านั้นได้ค่อนข้างคล่องดีแล้ว
มีแต่คนที่ปรับตัวได้เร็วเท่านั้นที่รอด
เขาเหลือสหายร่วมรบเพียง 7 คน
“เฮ้อ”
คิมจุนยองมองสนามรบด้วยสายตาเหี้ยมโหด มนุษย์กิ้งก่า 12 ตัวถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี
“ทำได้ดี”
จุนยองหันขวับเมื่อได้ยินเสียงจริงๆของเชฮีซอล เธอกำลังยิ้มมองเขา เขามองตอบด้วยสายตาอยากฆ่าคน
“มองข้างล่าง ถ้าไม่พอใจก็มาสู้กับดิฉัน”
“...”
จุนยองมองพื้นอย่างไม่เต็มใจ เขาขัดขืนเธอได้แต่มันเปล่าประโยชน์ เขาเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วเท้าของเธอ เธอเป็นนักฝึกสัตว์แต่สู้เก่งมาก...
“เอาล่ะ จบการล่าเท่านี้ เราจะกลับแคมป์ รวบรวมไอเทมได้”
“...”
ทุกคนชำแหละมนุษย์กิ้งก่าเพื่อเอาบลัดสโตนออกมาเงียบๆ จากนั้นก็เก็บอาวุธและเครื่องป้องกัน พวกเขาทำจนชินแล้ว
พวกเขาถึงจุดที่เริ่มรู้สึกแปลกๆมากกว่ากับการพูดคุยกันด้วยเสียง
ทักษะเทเลพาธีของฮีซอลมีประโยชน์มากเมื่อออกคำสั่งกองกำลังของเธอ แต่คนที่ถูกสั่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นเชิด พวกเขารู้สึกสกปรก
“เราจะกลับแล้ว”
ฮีซอลขึ้นขี่หลังเสือดำตัวหนึ่งที่ถูกจับจากป่าแห่งหนึ่ง ฮีซอลนำพวกเขาไปยังแคมป์ที่ซ่อนในซอกเขา ยิ่งกว่านั้นยังมีคนอื่นอยู่แล้ว
“จุนยองอา!”
“ลีซูจิน!”
คนที่ตะโกนด้วยความดีใจคือเพื่อนร่วมทีมของจุนยอง ฮีซอนพาเขาจากไปตอนรบคราวก่อน
“เอ๊ะ? ทำไม...”
แขนขาเขาถูกตัดและมีแผลที่ทำให้ถึงตายได้ในไม่นาน แต่เขา...
“สตรีศักดิ์สิทธิ์รักษาฉัน”
“อา นายไม่ตาย นายยังไม่ตาย”
พวกเขาสู้ด้วยกันไม่นาน เพียง 6 วัน แต่ได้สร้างมิตรภาพที่เหนียวแน่นจากประสบการณ์ที่พวกเขามีร่วมกัน
พวกเขาทำงานท่ามกลางความกดดันในสนามรบ ปีศาจเชฮีซอลเฝ้ากระตุ้นพวกเขา แน่นอนว่าสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นย่อมเกิด
สหายร่วมรบที่เขาคิดว่าตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ พวกเขายังดูดีกว่าเมื่อก่อน
เชฮีซอลสาดน้ำเย็นลงบนการพบกันอีกครั้งของพวกเขา
“ตั้งแถวเป็น 4 แถว”
“...”
พวกเขาเรียงแถวอย่างรวดเร็วตามคำสั่งฮีซอล
“นี่เป็นเสบียงที่พระราชาส่งมา หยิบไปแต่อันที่มีชื่อของตัวเอง ไป”
กล่องเสบียงจำนวนมากกองอยู่ตรงมุมหนึ่งของแคมป์ แปลว่าของในแต่ละกล่องไม่เหมือนกัน
พวกเขาไปหยิบกล่องขนาดค่อนข้างใหญ่แล้วกลับมายังที่เดิม
“หลังจากใช้หินเพิ่มพลังและตำราทักษะแล้วให้สวมอาวุธเครื่องป้องกัน เริ่มได้”
จุนยองเปิดกล่องแล้วลืมตาโต
เขาหยิบหินเพิ่มพลังขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมา เมื่อก่อนเขาเดาว่าหินเพิ่มพลังที่ให้เขากินนั้นราคาแพง แต่ตอนนี้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังเวทมหาศาลข้างใน ความสามารถควบคุมเวทและการตรวจสอบของเขาเพิ่มขึ้นหลังจากเจอกับประสบการณ์เฉียดตาย
‘สมกับที่เป็นราชาของพวกเรา’
เขามอบไอเทมล้ำค่าให้พวกเขาโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
จุนยองกินหินเพิ่มพลังทั้งหมด จากนั้นเรียนทักษะเพิ่มอีก 3 ทักษะ
‘พวกนี้มัน!’
เมื่อส่งพลังเวทเข้าไปในตำราทักษะ ความรู้จากในหนังสือจะถูกซึมซับเข้ามา เขารู้ในหัวว่าจะใช้ทักษะพวกนี้อย่างไร คิมจุนยองตัวสั่น
ทั้งหมดนี้เป็นทักษะที่เขาเคยอยากเรียน มันเป็นทักษะที่เขาต้องการ
‘แน่ใจแล้ว! เขามองฉันอยู่!’
สื่อมวลชนพูดถึงความสามารถด้านการต่อสู้อันท่วมท้นของคังวูจิน แต่ไม่ยกย่องการปกครองด้วยกำลังของเขานัก แต่จุนยองรู้ความจริงแล้ว
ที่จริงแล้วคังวูจินเป็นชายที่ช่างเอาใจใส่ แม้แต่เราส์แรงค์ต่ำเขายังให้ความสนใจ
“โอ ไม่น่าเชื่อ”
“นี่เป็นของที่ฉันต้องมีทั้งนั้นเลย”
เช่นเดียวกับสหายร่วมรบของเขา พวกเขาดีใจเมื่อพบว่าเสบียงพวกนี้ทำขึ้นเพื่อแต่ละคนโดยเฉพาะ ไม่แค่ตำราทักษะ เครื่องสวมใส่ก็ต่างกัน
“ว้าว ดูชุดนี่สิ”
“นี่มันดาบ เหมาะกับฉันเลย”
ดาบด้ามนี้เทียบไม่ได้กับอันที่จุนยองขโมยจากมนุษย์กิ้งก่า เขาไม่รู้ว่าความชอบส่วนตัวของเขาถูกวิเคราะห์ออกมาได้อย่างไร
ทุกคนถืออาวุธที่เหมาะกับพวกเขา
จากนั้นก็มีชุดที่เหมือนชุดของนักแข่งมอเตอร์ไซค์ มันแนบกับตัว ส่วนสำคัญของร่างกายถูกปกป้องด้วยโลหะแข็งแกร่ง ชุดนี้จะทำให้พวกเขารอดจากการโจมตีรุนแรง
ชุดเป็นสีดำแดง ตรงไหล่และหน้าอกมีรูปแมวกำลังหาว
มันคือตราสัญลักษณ์แสดงอาณาเขตมิติอลันดาล
นอกจากเครื่องสวมใส่แล้วยังมีไอเทมพวกใช้แล้วหมดไปด้วย โพชั่นราคาแพงและยาแก้พิษสำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน และอาร์ติแฟคที่สามารถใช้โจมตี
‘พระราชาช่างใจดี...’
จุนยองตัวสั่นไม่หยุด กิลด์ที่ไหนจะส่งเสริมสมาชิกถึงขั้นนี้ เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน
“รีบใส่สิ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะครูฝึกเชฮีซอลทำลายฝันหวานของเขา เขาคงดีใจนานกว่านี้ แต่ยังเหลือเวลาอีก 6 วันก่อนพวกเขาจะได้กลับโลก
เชฮีซอลมีสีหน้าเข้มงวด แต่เธอยิ้มในใจ
‘ทุกคนกำลังดีใจ’
ฮีซอลเป็นคนเฝ้าดูทหารใหม่ทั้ง 23 คน เธอรู้ถึงอาวุธที่เหมาะสำหรับพวกเขาและทักษะที่จะช่วยส่งเสริมการต่อสู้ของพวกเขา เธอยังประเมินความสามารถของพวกเขาก่อนจะส่งรายงาน
คังวูจินซื้ออาวุธและไอเทมจากร้านค้ามิติอย่างไม่ลังเลแล้วส่งมาให้เธอ
ถ้าพูดถึงเงิน ไอเทมพวกนี้ราคาหลายล้าน แต่ถ้าคิดถึงหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำในภายภาคหน้า การลงทุนเหล่านี้ถือว่าคุ้ม
“เราจะเริ่มการฝึกอีกครั้ง”
“...”
หน่วยรบพิเศษของฮีซอลเริ่มทำการฝึกต่อ
***
ผ่านไป 12 วัน
อุโมงค์ไปยังอาณาเขตมิติอลันดาลเปิดออก เราส์ 23 คนภายใต้การดูแลของฮีซอลมาถึง สายตาและบรรยากาศของพวกเขาต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“พวกเราฝึกเสร็จแล้วค่ะ”
วูจินนั่งบนบัลลังก์ฟังฮีซอลรายงาน เขาซื้อหินเพิ่มพลังจากร้านค้าของมิติอีกครั้ง มันจะดีที่สุดถ้ากินหินเพิ่มพลังทันเวลาหลังจากช่วงพักดูดซับหินหมด
การพัฒนาทักษะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การพัฒนาค่าสถานะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสามารถต่อสู้
“ทุกคนทำได้ดี”
เขาดูเฉยเมยแต่สง่างาม เมื่อวูจินเอาหินเพิ่มพลังออกมาเป็นรางวัลสำหรับการฝึก พวกทหารใหม่ก็อึ้งไป โดยเฉพาะคิมจุนยอง ดูเหมือนเขาใกล้จะร้องไห้แล้ว
‘ใจดีอะไรขนาดนี้! เขาคือพระราชาของพวกเราจริงๆ...’
ไม่เหมือนเชฮีซอล เธอเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอต่อให้อยู่ในนรก ฮีซอลทำทุกอย่างเพื่อการฝึก แต่คิมจุนยองเป็นคนที่ต่อต้านเธอที่สุด ดังนั้นจึงเป็นคนที่ถูกเธออัดมากที่สุด
เขาไม่ได้แค้น แต่ไม่สามารถคิดดีๆกับเธอได้
เขาโตพอจะรู้ถึงตำแหน่งสูงต่ำของพวกเขา เพราะอย่างนี้เขาจึงเงียบ
“กินซะ”
“คุณแน่ใจเหรอที่มอบไอเทมพวกนี้ให้เราใช้ฟรีๆ?”
“ลงทุนไง มันคือการลงทุน”
“อา”
ใจกว้างสมเป็นพระราชา ราชาในหมู่ราชา
จุนยองประทับใจ
วูจินยิ้ม
ถ้าฆ่าพวกนี้ตอนนี้ก็จะได้แค่ศพ อย่างน้อยถ้าฝึกพวกนี้จนถึงขั้น 7 หรือแรงค์ AA จะได้รีไซเคิลพวกมันเป็นอัศวินมรณะ...
“ฮีซอล”
“ค่ะท่าน”
“อืม เธอมีชื่อเรียกชื่อทีมของเธอหรือเปล่า?”
“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
วูจินมองเราส์ที่เข้ามาใหม่
“พวกนายมีความคิดดีๆไหม?”
จุนยองเป็นคนแรกที่ถาม
“พวกเราจะทำงานเป็นทีมเดียวตลอดเลยหรือครับ?”
“แน่นอน และทีมนี้จะอยู่ใต้คำสั่งของฮีซอล...”
พอได้ยินคำตอบจากวูจิน ทุกคนรวมทั้งจุนยองขมวดคิ้ว
‘เชี่ย ไม่อยากเลย แต่นี่เป็นคำสั่งจากพระราชา’
วูจินเคาะนิ้วบนที่วางแขนพลางใช้ความคิด
คิมจุนยองยกมือขึ้น
“อะไร?”
“แฟนธ่อมเป็นไงครับ?”
“แฟนธ่อม”
“เราต้องการปกป้องพระราชาแม้แต่ในยามตายเป็นผี”
วูจินแสยะยิ้ม
เขากำลังอนุญาตให้เอาวิญญาณพวกเขาตอนตายใช่ไหม? วิญญาณของพวกเขาจะหายไป...
“อืม ก็ได้ ชื่อเลี่ยนไปหน่อยแต่ก็เหมาะดี”
วูจินมองฮีซอลที่ยืนหน้าหน่วยของเธอ
“เรียกว่าหน่วยแฟนธ่อมแล้วกัน เธอในฐานะผู้บัญชาการมีหน้าที่แบ่งพวกเขาเป็นทีม”
ดวงตาฮีซอลเป็นประกาย
“ดิฉันยินดีมอบชีวิตเพื่ออลันดาล”
“ทำไมวันนี้ทุกคนพูดว่าจะรับใช้ฉันหลังตาย?”
“...”
ถ้าพวกเขาตาย เขาต้องใช้ค่าบงการกับพวกเขา ทำงานให้เขาตอนยังมีชีวิตดีกว่า
ตอนนั้นเอง เบคจองโด โดเจมิน บลังกาและเมโลดี้ก็ผ่านอุโมงค์ออกมา
“โฮ่ จบจนได้”
“ทุกคนทำได้ดีมาก”
เมื่อถึงอลันดาล ความเครียดที่พวกเขามีก็หายไป พวกเขาตบหลังให้กันเมื่อเห็นเราส์ใหม่ที่เรียงแถวตรงหน้าวูจิน เราส์ใหม่ส่วนมากรู้จักกับอีกกลุ่มอยู่บ้าง
ตอนพวกเขากำลังใกล้ตาย ไวเวิร์นพาพวกเขาไปให้สตรีศักดิ์สิทธิ์รักษา เราส์บางคนส่งสายตาแสดงความขอบคุณไปทางเธอ
“ไว้ทักทายกันทีหลังเถอะ กลับโลกกัน”
“เอ๊ะ? พี่ซุงกูยังไม่มานี่ครับ”
โดเจมินมองไปรอบๆ
“ซุงกูตาย”
“ฮ้า?”
โดเจมินและแน่นอน คนอื่นๆทำหน้าตกใจ
วูจินกระตุกยิ้มพลางเปิดอุโมงค์สู่สถานีโซลทางออกที่ 1
“ล้อเล่น ซุงกูจะไปเจอกับพวกเราที่อัลเฟน กลับโลกเถอะ”
“เฮ้อ ผมคิดจริงๆนะว่าเขาถูกลิชฆ่าตาย”
เจนิสไล่ล่าซุงกูไม่หยุด พลังของลิชมีมหาศาล เจมินจึงเชื่อจริงๆว่าซุงกูตายแล้ว เขาถอนหายใจแล้วตามหลังวูจิน
คิมจุนยองผ่านอุโมงค์มายังสถานีโซลทางออกที่ 1 พวกเขากำลังยืนบนแผ่นดินโซล
‘โครงสร้างในนี้เหมือนดันเจี้ยนแรงค์สูงเลย’
เขาเป็นเราส์แรงค์ E จึงไม่เคยเข้าดันเจี้ยนแรงค์สูง แต่เขารู้จักมัน อาณาเขตมิติของอลันดาลสร้างคล้ายดันเจี้ยนแรงค์สูง ไม่ใช่ มันคือดันเจี้ยนแรงค์สูงจริงๆ
จุนยองมองด้านหลังคังวูจิน
‘พระราชาของเราเป็นใครนะ...’
ทุกสิ่งที่เขาทำส่งผลกระทบไปทั่วโลก คิมจุนยองสงสัยว่าตัวจริงของคังวูจินเป็นอย่างไร
ด้านหน้าพวกเขาเป็นกลุ่มนักข่าวที่มากกว่าปกติหลายเท่ากำลังถ่ายรูปไม่หยุด
พวกเขาเดินผ่านกลุ่มคนที่หลีกทางให้ เขารู้สึกเหมือนกำลังกลับจากชนะสงคราม คิมจุนยองรู้สึกแปลก
เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E เองนะ
เขาเคยถูกใช้ขุดเหมือง แต่ตอนนี้คนมากมายกำลังให้ความสนใจในฐานะเราส์ของอลันดาล
“อ๊ะ?”
เมื่อพวกเขามาถึงอลันดาล คนกลุ่มหนึ่งรอตรงหน้าประตูหน้า จุนยองตาโต
“ไอ้หยา จุนยองอา!”
“แม่?”
ไม่ใช่แค่ครอบครัวจุนยอง คนในครอบครัวของเราส์ใหม่ต่างมารวมกันที่นี่ ครอบครัวของเขากำลังรอพวกเขากลับมา
เราส์ใหม่ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องอะไร แต่นายกจุนมินชานหัวเราะ
“พวกคุณคือพนักงานของอลันดาล สมาชิกครอบครัวของพวกคุณก็ย่อมต้องมีสิทธิเป็นพลเมืองของอลันดาล”
“อา...”
จุงมินชานเชิญครอบครัวของเราส์ใหม่มาและดูแลการกินอยู่ของพวกเขาทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้น เราส์ใหม่ยังได้รับบัตรเครดิต รถส่วนตัวแถมคนขับ
พวกเขาใช้เวลา 12 วันบนโลกจาคุ แต่ที่นี่เพิ่งผ่านไปแค่ 3 วัน การเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลา 3 วัน
“เหนื่อยหน่อยนะครับท่าน”
วูจินยิ้ม เขากระซิบกับมินชาน
“ตัวประกันเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ ผมก็แค่อยากปกป้องสมาชิกครอบครัวในที่ๆปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
จุงมินชานขยิบตา วูจินยิ้มอย่างพอใจ
สมแล้ว มินชานทำงานของเขาได้ดี เขาคิดถูกที่ให้มินชานเป็นนายกรัฐมนตรี
ลังเลว่าจะเรียกหน่วยแฟนธ่อมดีหรือหน่วยภูติพรายดี อันไหนฟังจูนิเบียวกว่ากันนะ XD
วูจินตั้งตัวเองเป็นพระราชา แต่ไม่ใช้ราชาศัพท์นะคะ เพราะ หนึ่งเราใช้ไม่เป็น สองที่แปลอังกฤษก็ไม่ได้ใช้ด้วย ^^"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)