วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 147

บทที่ 147 – ออกสำรวจ


ตามที่มินชานคาดเอาไว้ วูจินกลับมาถึงอลันดาลแล้ว

เขาใช้เวลาเดินทางจากลอนดอนถึงโซลน้อยกว่า 5 นาที...

มันเป็นสถานที่ที่มีดันเจี้ยนซึ่งอาจเป็นปราการสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ตั้งอยู่

“ผมมาตามคำสัญญา”

บลังกายืดอกเมื่อมาเข้ามาในห้องประธาน ยืนตรงหน้าวูจิน

มินชานกับซุงฮุนก็เข้ามาด้วย วูจินจึงถามพวกเขา

“ทำไมพวกนายมาด้วยกันได้?”

“พวกผมเจอเขาที่ประตูหน้าน่ะ”

“อืม ทุกคนนั่ง”

ทุกคนนั่งลงที่โซฟาอีกด้านของวูจิน เลขานุการคนหนึ่งนำชาเข้ามา

ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมอลันดาลเพิ่มขึ้นมาก

ใต้ท้องฟ้าเมืองโซล พื้นที่ปลอดภัยที่สุดคือที่ใกล้สถานีโซล มันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของอลันดาล

แม้จะไม่มีการประกาศรับสมัคร คนยังเข้ามาของานทำในกิลด์ ดูเหมือนว่าบลังกาจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชาวต่างชาติมาหางานเขาจึงถูกห้ามเข้า

“ทำไมนายมาช้านัก?”

“ยามหน้าประตูไม่ยอมให้ผมเข้ามาเร็วกว่านี้ ช่างน่าเศร้า”

เขาถูกทำเหมือนเป็นแรงงานต่างชาติ บลังกาจึงรู้สึกผิดหวังมาก วูจินยิ้ม

“โกหกล่ะสิ นายไม่อยากมาที่นี่เอง”

“ม...ไม่ใช่นะ ผมอยากมาที่นี่”

ท่าทางลนลานของบลังกาเท่ากับยืนยันข้อสงสัยของวูจิน

ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือความรู้สึกติดค้างอะไร สุดท้ายเขาก็มาแล้ว

วูจินได้เราส์สายบัฟฝีมือดีมาหนึ่งคน

“หัวหน้ากิลด์วิษณุฝากบอกอะไรบ้างหรือเปล่า?”

“เขาฝากให้บอกคุณว่าเขารักษาสัญญาแล้ว”

วูจินยิ้ม

เขาได้เราส์ฝีมือดีแลกกับดันเจี้ยนในเดลี

หัวหน้ากิลด์วิษณุคงคิดหนักว่าจะยอมเสียดันเจี้ยนเพื่อเก็บบลังกาไว้ดีไหม แต่ระหว่างนั้นดันเจี้ยนก็ระเบิดอีกและเขาต้องช่วยกองทัพสู้กับมอนสเตอร์ลอร์ด

ถ้าเกิดหายนะในอินเดียอีกจะเป็นอย่างไร?

เพื่อเป็นหลักประกันหายนะภายภาคหน้า หัวหน้ากิลด์จึงรีบส่งบลังกาตามสัญญา

“ฉันบอกว่าจะช่วยสองครั้งใช่ไหม?”

“ครับ”

วูจินสัญญาว่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทที่กิลด์วิษณุเคลียร์ไม่ไหว เขายังสัญญาจะให้สิทธิ์จัดการดันเจี้ยนนั้น 100%

มองจากด้านพวกเขา สิทธิ์จัดการดันเจี้ยนเป็นแค่โบนัส ที่พวกเขาต้องการจริงๆคือการประกันว่าวูจินจะช่วยอินเดียจากหายนะ 2 ครั้ง

“อืม เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่อลันดาล”

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

เมื่อคุยจบ จุงมินชานเขย่ามือบลังกา

“ยินดีต้อนรับ ผมชื่อจุงมินชาน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“คุณพูดเกาหลีเก่งมาก”

บลังกาเป็นเราส์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอินเดีย จุงมินชานรู้จักเขาอยู่แล้ว และยังได้ยินเรื่องที่บลังกาได้รับการทาบทามจากที่นี่ เขาจึงรู้เรื่องดี

“ท่านประธาน เราจะปฏิบัติตัวกับคุณบลังกายังไงดี? เขาเป็นคนของอลันดาลหรือกิลด์เขาส่งมาประจำการที่นี่?”

“นายกำลังถามว่าเขาเป็นตัวประกันหรือทาสใช่ไหม...”

จุงมินชานกระแอมเมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน เขาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก

“จะถูกขายหรือให้ยืมก็ช่าง ทำกับเขาแบบที่นายเห็นควรเถอะ”

“...”

วูจินไม่สนว่าความจงรักภักดีของบลังกาอยู่ที่ใคร ที่สำคัญคือเขาได้ใช้พลังสนับสนุนของบลังกา

หลังจบงาน วูจินไม่สนใจว่าบลังกาจะยังอยู่อลันดาลหรือกลับอินเดีย

“ฮะๆ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”

“ดี”

วูจินตอบแล้วเอียงคออย่างสงสัยเมื่อเห็นมินชานกับซุงฮุนยังยิ้ม

“พวกนายทำไมเอาแต่ยิ้มใส่ฉัน?”

“วันนี้เราจบสนธิสัญญาได้แล้วครับ”

มินชานเปิดกระเป๋าเอกสารและดึงซองเอกสารหนาออกมา เขาพยายามส่งให้วูจินแต่วูจินผลักมันออก

“เล่ามาย่อๆพอ”

“มีจุดสำคัญ 2 จุดครับ”

“คืออะไร?”

“นครรัฐอลันดาลได้รับการยอมรับจากเกาหลี”

“แล้วอีกข้อ?”

“รัฐธรรมนูญถูกแก้ไข พวกเราสามารถมี 2 สัญชาติ พลเมืองอลันดาลไม่จำเป็นต้องทิ้งสัญญาติเกาหลี”

“ดี”

ในที่สุดอลันดาลก็ได้รับการยอมรับเหมือนอย่างวาติกัน

นี่หมายถึงพนักงานสามารถเดินทางมาทำงานในอลันดาลได้เหมือนที่ทำงานอื่นๆ

พวกเขาได้สิทธิ์เหมือนชาวเกาหลีทั่วไป ในขณะเดียวกันก็เป็นคนของอลันดาล นี่จะช่วยลดความวิตกกังวลของพนักงาน

“เพราะท่านประธานนั่นล่ะ ผมควรเรียกท่านว่าฝ่าบาทแล้วสิ?”

“เฮ้ สมควรเรียกอย่างยิ่ง”

“...”

มินชานแค่พูดเล่น เขามองสีหน้าเอาจริงของวูจินแล้วตะกุกตะกักออกมา

“ครับ ฝ่าบาท”

“เฮ้ย ฉันพูดเล่น”

“ฮะๆ”

ไม่เห็นเหมือนพูดเล่นเลย...

“เอาเถอะ ที่ฉันอยากได้เอกราชเพราะความสะดวก นายจะเรียกฉันยังไงก็ได้”

ตอนนั้นเอง เลขานุการคนหนึ่งเคาะประตูเข้ามา

“กรรมการฮงซุงกูมาถึงแล้วครับ”

วูจินลุกขึ้น

ที่เขานั่งเสียเวลาในห้องประธานเพราะรอซุงกูอยู่

“ท่านจะไปไหน?”

“ไปฝึก ตอนนี้พวกเรามากันเกือบครบแล้ว”

“เอ่อ ท่านจะปราศรัยเนื่องในโอกาสตั้งประเทศก่อนไปได้ไหม?”

“นายทำสิ ฉันยกตำแหน่งนายกให้นายเพราะอย่างนี้”

“...ในฐานะพระราชาพระองค์แรก ท่านควรเป็นคนกล่าว”

“ก็ได้ ไปรวบรวมคนมาตอนนี้เลย ฉันจะไปหลายวัน”

“ผมจะไปเตรียมการครับ”

จุงมินชานรู้จักนิสัยวูจินจึงรู้ว่าเขาต้องเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็ว เขาออกจากห้องประธาน ซุงฮุนก็ลุกขึ้นด้วย

“ถ้างั้นผมก็ไปก่อนนะครับ”

“อืม แล้วก็นายควรติดต่อกิลด์แฮมเมอร์ด้วย พวกนั้นต้องเป็นคนจัดงานประชุมกิลด์แต่ทำไมยังไม่ติดต่อฉัน?”

“อา! ผมจะไปถามเดี๋ยวนี้ครับ”

บลังกาหลังจากลาซุงฮุนแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาช้าๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมก็...”

“นายอยู่นี่”

“ครับ”

บลังกานั่งลงใหม่แล้วถามคำถามที่เขาสงสัย

“ตอนนี้ผมเป็นตัวประกันเหรอ?”

“นายอยากเป็นอะไรก็เป็นสิ”

“...”

ตอบอะไรแบบนี้?

“ผมมาที่นี่ด้วยความสมัครใจ”

“ฉันบอกอย่างอื่นเหรอ?”

“ผมอาสาเป็นคนของอลันดาล...”

“คนที่รู้ตัวว่าผิดไม่จำเป็นต้องมีคนกล่าวหา นายแค่อยู่ตรงนี้และทักทายกับสมาชิกคนอื่นที่จะมาถึงก็พอ”

“...ครับ”

หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ ซุงกูกับฮีซอลมาถึงห้องประธาน

“ลูกพี่เรียกผมเหรอ?”

“ใช่ มานั่งนี่”

“หือ บลังกา?”

“ไม่เจอกันนานนะครับ”

“เฮะๆ เพิ่งมาถึงเหรอครับ?”

“ครับ ผมอาสามาเป็นพลเมืองอลันดาลด้วยความสมัครใจ”

“...?”

ซุงกูงงเมื่อได้ยินคำประกาศแปลกๆของบลังกา

ฮีซอลที่อยู่ถัดจากซุงกู ยื่นมือมาทักทาย

“ยินดีต้อนรับค่ะ”

“อ้า ครับ”

“สหาย”

“...”

ทำไมตอนเขย่ามือกัน บลังกาถึงรู้สึกว่าฮีซอลยินดีเกินเหตุนะ?

ฮีซอลกับซุงกูเข้ามารุมล้อมบลังกาเพราะเขากำลังจะกลายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันกับพวกเขา

สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในระหว่างการสนทนา

วูจินหน้าเคร่งลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ

“โซอาเป็นไงบ้าง?”

“เธอกำลังจะตื่นค่ะ”

เธอจะกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพหรือเทพี?

เรื่องนั้นไม่สำคัญ เธอกำลังเป็นตัวแทนของเทพที่เพิ่งตื่น

ระหว่างขั้นตอน ถ้าเธอทนไม่ไหว เธอจะตาย ถ้าเธอทนได้ พลังของเธอจะตื่นขึ้น จะยังมีการชักเป็นครั้งคราวและมันเป็นขั้นตอนที่เธอต้องผ่านเพื่อปรับตัวสำหรับชีวิตใหม่

เงาบนหน้าของวูจินหายไป

“มากันครบแล้ว ทุกคนนั่ง”

“...”

เราส์ของอลันดาลมารวมกันครบ ทุกคนมีพลังและแรงค์ที่ไม่อาจมองข้าม

พวกเขามีจำนวนน้อย แต่คุณภาพเทียบเท่ากับกิลด์ส่วนใหญ่ วูจินยังมีพลังเหนือกว่ากิลด์ด้วยซ้ำ ความสามารถในการรบของเขาใกล้เคียงกับกองกำลังของประเทศ

“ฉันอยากให้พวกนายเดินทางไปโลกอื่น”

“เราจะไปอัลเฟนกันหรือคะ?”

“ยังก่อน...”

เขาเพิ่งซื้อดันเจี้ยนแห่งหนึ่งในอัลเฟน มีผู้ท้าเข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนมากมายดังนั้นวูจินจึงต้องส่งคิบะไปป้องกันอาณาเขตมิติของเขา คิบะกำลังยุ่งมาก

“ฉันจะไปโลกจาคุ”

“หืม”

ถึงจะกำลังพูดถึงมันอยู่แต่ก็ไม่มีใครมีข้อมูลของโลกจาคุนัก

พวกเขาแค่ต้องทำตามคำสั่งวูจินในระหว่างที่วูจินเปิดเผยข้อมูลให้พวกเขาได้รู้มากขึ้น

“ราชาคอยที่เคยเชื่อมต่อกับโลกเกี่ยวข้องกับสมาพันธ์กิ้งก่าเหลือง เราไปที่นั่นเพื่อล่าในดันเจี้ยนพวกมัน”

“พวกเราก็ไปด้วยเหรอคะ?”

ฮีซอลถาม วูจินพยักหน้า

“ถ้าจะสร้างสนามรบ เราควรไปที่ที่ตั้งหลักของพวกมัน เธออยากสู้ที่โลกเหรอ?”

“คุณตัดสินใจถูกแล้วค่ะ”

ถ้าสู้ที่โลก พวกเขาจะได้กำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของแพ้หรือชนะ การนำความสูญเสียมาสู่โลกไม่ใช่เรื่องดี ถ้าพวกเขาจะทำสงคราม ไปทำหน้าบ้านศัตรูดีกว่า

“ฉันจะแบ่งกลุ่มของเราเป็นสามกลุ่ม ฉันไปของฉันเอง พวกเธอร่วมมือกัน”

“กลุ่มสุดท้ายล่ะคะ?”

“คิดว่าไงล่ะ?”

วูจินยิ้มพลางมองซุงกู

“ซุงกู นายตามเจนิส เรียนรู้จากเขาไปด้วย”

“...”

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

ซุงกูหน้าดำลง

***

เดิมอลันดาลเป็นพื้นที่เตรียมไว้สำหรับใช้ในการทหาร มันถูกแบ่งเป็นสามเขต

มีอาคารไม่หรูหราแต่ใหญ่โตที่สร้างเหมือนโรงเรียน โรงยิมแห่งหนึ่งตั้งถัดจากอาคารหลัก ยังมีเขตหวงห้ามชื่อ ‘เชฮีซอลซาฟารี’ มันเป็นที่อยู่ของมอนสเตอร์ที่ถูกฝึกแล้ว พวกมันเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้ในยามคับขัน

พนักงานอลันดาลทุกคนมารวมตัวกันในโรงยิม

นอกจากนั้นยังมองเห็นนักข่าวจำนวนหนึ่งที่มินชานเชิญมาอย่างเร่งด่วน

เก้าอี้จำนวนหนึ่งตั้งบนเวที มีสมาชิกแรกก่อตั้งและสมาชิกคนสำคัญของอลันดาลนั่งอยู่

คังวูจินถามมินชานอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นคนแน่นโรงยิม

“เรามีคนมากขนาดนี้เลยเหรอ?”

“พวกเขาเป็นคนเก่งที่ผมตั้งใจเลือกมาเลยนะ”

“...”

วูจินคาดไม่ถึงว่าคนเก่งที่พวกเขาจ้างมาจะเกือบพันคน

ในอลันดาลมีเราส์ไม่ถึง 10 คน แต่มีพนักงานในหน่วยสนับสนุนมากขนาดนี้...

“ฉันว่าเราต้องหาเราส์มาเพิ่มอีกหน่อย”

“ที่จริง ใบสมัครก็ท่วมหัวเราแล้ว เป็นเราส์แรงค์ B หรือสูงกว่าด้วยครับ”

อลันดาลเป็นกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่ใช่สิ พวกเขากลายเป็นประเทศแล้ว...

เสียงของวูซุงฮุนดังผ่านไมโครโฟน

“ต่อไปนี้เราจะเริ่มการประกาศก่อตั้งประเทศอลันดาล ก่อนอื่น...”

ซุงฮุนกำลังอ่านคำปราศรัยที่ร่างขึ้นอย่างเร่งด่วนอยู่เมื่อมือข้างหนึ่งมาแตะไหล่ เขาหันไปมอง วูจินกำลังยืนข้างๆเขา

“ถอยไป แบบนี้มีหวังใช้เวลาทั้งวัน”

“ครับ”

วูจินเดินผ่านแท่นกล่าวคำปราศรัยไปยืนตรงหน้าเวที เขาไม่ต้องใช้ไมโครโฟน

ควันสีดำก่อตัวรอบวูจินและรวมตัวเป็นอสูรของเขา

“เรากำลังเล่นกับครูเจมินอยู่เลย เรียกมาทำไมเหรอ?”

[ท่านจ้าว!]

[ต้องการใช้ค้อนของแรมสันผู้นี้หรือ?]

[ก๊ากฮ่าๆ คราวนี้เราจะล่าพวกมนุษย์หรือ?]

เวทีเต็มไปด้วยอสูรที่คุยเสียงดังหลังถูกเรียกออกมา

“ทุกคนเงียบ”

วูจินมองพนักงานที่อยู่ด้านล่าง

คนเหล่านี้ถูกเลือกโดยจุงมินชานผู้เป็นรองประธานและนายกรัฐมนตรีของอลันดาล ถึงอย่างนั้น คนเหล่านี้ก็มารวมกันในชื่ออลันดาล

ถ้าคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน อย่างน้อยที่สุดกลุ่มควรคิดเห็นเหมือนหัวหน้า

“เมื่อ 5 ปีก่อน ฉันถูกเรียกไปที่อัลเฟน ฉันอยู่ข้างความตายมาตลอด 20 ปี”

วูจินไม่ใช้ไมโครโฟนแต่เสียงของเขาดังถึงทุกคนในโรงยิม

“มอนสเตอร์ที่กลืนกินอัลเฟนกำลังเล็งมาที่โลก”

เมื่อเขาพูดแบบนั้น ทุกคนรู้สึกถึงความกราดเกรี้ยว

น้ำเสียงของวูจินดุเดือดขึ้นอีก

“คนที่สู้ด้วยกันกับฉันจะเป็นสหาย! คนที่หนีจะเป็นผีร่วมรบ!”

[โอ!]

อัศวินมรณะส่งเสียงคำราม

วูจินพูดกับพนักงานที่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาต่อ

“ถ้าพวกนายมาเพราะคิดว่าอลันดาลเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดก็เข้าใจผิดถนัด ที่นี่คือแนวหน้าของสนามรบ”

วูจินพูดไม่ผิด เขามีศัตรูมากมายเป็นลอร์ดมิติ มอนสเตอร์ลอร์ดปรากฏตัวในโซลมากมายในหายนะครั้งก่อน

“คนที่มารวมกันใต้ชื่ออลันดาลทุกคนคือนักรบ!”

ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย

“ถ้าพวกนายอยากตายก็วิ่งหนีซะ”

ถึงพวกเขาจะหวาดกลัวหนีไปก็ไม่เป็นไร วูจินขู่พวกเขาเพราะเหตุนี้ คนที่ไม่มีความกล้า ให้ติดตามเขาในฐานะผีดิบดีที่สุด

หน้าผานรกอยู่ตรงหน้าอลันดาลเพียงก้าวเดียว

ที่นี่คือที่ใกล้กับเส้นแบ่งความเป็นกับความตายที่สุด

ถ้าพวกเขาติดตามวูจิน พวกเขาจะผ่านประตูความตายก่อนใคร

“ฉันประกาศก่อตั้งอลันดาล ณ บัดนี้”

คนมองวูจินกล่าวคำปราศรัยหน้าซีด



                              สารบัญ                                                      บทที่ 148




6 ความคิดเห็น:

  1. ปราศรัยแบบเฉียบๆสไตล์วูจิน

    ตอบลบ
  2. ใครคิดว่าปลอดภัยบอกเลยคิดผิด 555

    ตอบลบ
  3. มันไม่ใช่ที่หลบภับ แต่มันแนวหน้า~~

    ตอบลบ
  4. สงสัยมานานละลิช เจนิสมันใช้เวทย์เสกฝุ่นแบบเทพทัตได้ไหมวะ

    ตอบลบ