วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 194


บทที่ 194 – โลกพระจันทร์ (1)

ห้องเรียบง่ายเกินกว่าจะเรียกว่าห้องรับแขก
ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างแยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด มีเก้าอี้เพียงสองตัว ชายคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งนั้น
แกร็ก
คิมคังชุลเห็นประตูที่ปิดสนิทเปิดออก เขาลุกขึ้นเมื่อเห็นคังวูจินเดินเข้ามา
“ผมรอคุณอยู่”
วูจินยิ้มให้คำพูดเรื่อยๆของคิมคังชุล
“กล้าดีนี่”
เขาแพ้และหนีไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่กลับมาเอง
วูจินนั่งลง คิมคังชุลนั่งตาม
“มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ?”
วูจินเข้าเรื่องเร็วเสมอ โดยทั่วไปคนจะพูดอ้อมค้อมหรือถ่วงเวลาเพื่อหยั่งความคิดของอีกฝ่าย แต่เขาไม่ทำ
“ผมมาส่งข้อความ”
“ข้อความของใคร? ท็อปเลอร์? บอกให้เขามาที่นี่เองสิ”
“ตอนนี้เขายังมาไม่ได้”
“หืม”
วูจินกอดอกและเอนหลังพิงเก้าอี้ เก้าอี้นั่งไม่สบายช่วยเขาเรียบเรียงความคิด
“ทำไม? เขาคิดว่าจะตายเหรอ?”
“คุณคิดจะฆ่าเขาเหรอ?”
“ฉันไม่ชอบคนที่เข้าหาฉันด้วยเจตนาแอบแฝง นายก็ด้วย”
วูจินขู่กลายๆ แต่คิมคังชุลยังมีทีท่าผ่อนคลาย ไม่ใช่ เหมือนเขายอมรับผลจากการพบกันครั้งนี้ เขาไม่กลัวตายเลย
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอคุณ”
“ฉันรู้”
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงเจอคุณที่นี่”
วูจินขมวดคิ้ว
คิมคังชุลแสดงความกังวลใจออกมาอย่างเปิดเผย บรรยากาศเลวร้ายลง
“ผมไม่กลัวตายหรอกนะ”
“คนที่พูดไร้สาระแบบนั้นถูกฉันฆ่าไปหมด”
“ผมแค่กลัวว่าจะต้องมามีการพบกันครั้งนี้อีก”
“พูดให้ฉันเข้าใจหน่อย”
วูจินลุกขึ้น
เมื่อวูจินก้มมองลงมา คิมคังชุลยิ่งกังวลมากขึ้น
“ปฏิกิริยาของคุณเหมือนเดิมทุกที เหมือนที่พวกเขาทำนายไว้”
“ความอดทนของฉันจะหมดแล้วนะ”
วูจินกางมือออกเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง
วิ้ง
บอลพลังเวทอยู่ในมือเขา คิมคังชุลกวาดตามองมันแต่สายตาเขาไม่หวั่นไหว
ถ้าบทบาทของเขาจบตรงนี้ เขาไม่สนว่าต้องตาย
ที่น่าเสียดายคือเขาไม่อาจเห็นโลกถูกช่วยเอาไว้
“ถ้าความตายของผมจำเป็นต่อการช่วยโลกผมก็ยินดี แต่มีคำพูดที่ผมต้องส่งต่อให้คุณ”
คิมคังชุลพูดอย่างรวดเร็ว
“คุณกลับโลกช้ากว่าเวลาที่ตัดสินไว้ในชะตาชีวิตของคุณ”
“แล้วไง?”
“ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่อิเอลโลปรากฏตัวเร็วกว่าความคาดหมาย”
“อิเอลโล?”
“ทุกอย่างถูกเร่งเร็วขึ้น คุณจึงยังไม่ได้ความสามารถเต็มที่ น่าเสียดาย”
วูจินขมวดคิ้ว
เขาไม่ชอบแบบนี้
เหมือนคนพวกนี้กำลังเล่นอยู่เหนือเขา
ชะตา เทพยากรณ์ คำทำนาย เทพ...
ทุกอย่างที่เขาเกลียดพ่นออกมาเป็นชุด เขาอยากหุบปากคิมคังชุล
อะไรคือชะตา
เขาไม่ใช่คนที่จะเดินบนทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
“เมื่อคุณพร้อม ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์จะติดต่อคุณ มีแต่คุณที่ช่วยโลกพระจันทร์กับโลก”
“ทำไมพวกนี้มันไม่ยอมเปิดเผยตัวเองกันเลยวะ?”
ถ้ามีเป้าหมายเดียวกับเขา ก็ควรออกมาคุยกันตรงๆแบบเมโลดี้ไม่ใช่เหรอ?
โลกพระจันทร์เป็นที่ๆวูจินไม่รู้จัก ศาสตราจารย์ท็อปเลอร์มาจากที่นั่น เขาเป็นมนุษย์คนแรกที่วูจินพบ ที่ไม่สามารถดูวิญญาณของเขาได้
เมื่อคนเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจจะรู้สึกกลัวและต่อต้าน
ถ้าพวกนั้นต้องการร่วมมือด้วยจริงๆ...
ถ้ามีเป้าหมายเดียวกับวูจินจริงๆก็ควรอธิบายให้เขาเข้าใจ ท็อปเลอร์ควรมาเองไม่ใช่ส่งคนส่งสาส์นแบบคิมคังชุลมา
วิ้ง
ลูกบอลเวทในมือวูจินแข็งขึ้น หมัดเดียวสามารถบดขยี้ศีรษะคิมคังชุล
“นี่เป็นข้อความสุดท้ายที่ผมมีหน้าที่ส่งให้”
คิมคังชุลเลียปากแห้ง เขายอมรับชะตากรรมที่จะมาถึง
“คุณเคยถามตัวเองไหมว่าทำไมถึงเพิ่มเลเวลได้?”
คิมคังชุลปิดตา เขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เขาเชื่อคำทำนายเหมือนเป็นคัมภีร์... เขาเชื่อสิ่งที่เหมือนพระเจ้า เขาไม่ลังเลถ้าสามารถช่วยโลกได้ และตอนนี้บทบาทของเขาจบแล้ว
บอลเวทสลายไป
คิมคังชุลลืมตาขึ้น
เขาเห็นคังวูจินกำลังทำหน้างุนงง เหมือนถูกใครทุบศีรษะ
คิมคังชุลถาม แต่คังวูจินไม่ตอบ
เขาตัดสินใจรอ
เวลาผ่านไปนาน
ดวงตาคังวูจินเลื่อนลอย
ทำไมฉันไม่เคยสงสัยเลย
มันไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่สิ มันไม่น่าเชื่อ
เพิ่มเลเวล...
นี่ไม่ใช่เกม
เมื่อสงสัยหนึ่งอย่าง คำถามมากมายก็ตามมา
ทำไมเขาถูกอัญเชิญไปที่อัลเฟน?
อัลเฟนกับโลกเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
“ท็อปเลอร์... ฉันจะได้เจอเขาเมื่อไหร่?”
“เขาบอกว่าจะมาคุณเมื่อคุณพร้อม”
“พร้อม...”
หมายถึงเลเวลเหรอ? หรือหมายถึงกุญแจที่เรียกว่าผู้ประหารของทราช?
เขาได้สมบัติในอัลเฟนมาสร้างเครื่องป้องกัน เขาต้องได้อะไรบนโลกมาสร้างเครื่องประหาร?
โลกกับอัลเฟน...
ความกังวลของวูจินไม่จบ ความคิดเขาพัวพันกันยุ่งเหยิง
เขาไม่มีทางได้คำตอบ และเวลาเหลือน้อยลงทุกที
ถ้าเขาต้องเลือกอย่างหนึ่งในสองอย่าง ไม่เลือกดีกว่า เขาต้องการได้ทั้งสอง
“นายอยู่ที่นี่ อย่าทำอะไรล่ะ”
สีหน้าถอดใจของคิมคังชุลเปลี่ยนไป
“ทำไมคุณไม่ฆ่าผม?”
“ฉัน?ทำไม?”
ฆาตกรไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการฆ่าเสมอไป
“ถ้าข้อมูลที่นายให้กลายเป็นขยะ ฉันจะฆ่านายตอนนั้น”
คิมคังชุลคิดว่าถ้าเขาไม่ชอบใครก็ฆ่าอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าคิมคังชุลไม่คิดร้าย ก็ไม่มีเหตุผลต้องเป็นศัตรูกัน เขาเป็นแค่คนส่งข้อความที่โลกพระจันทร์ส่งมา
คังวูจินออกไปจากห้อง คิมคังชุลยืนขึ้นอย่างตกใจ
“...เขาเปลี่ยนไป”
บทบาทในสมุดชะตาของเขาจบแล้ว แต่เรื่องของเขายังไม่จบ
เขาไม่เคยวางแผนชีวิตผ่านจุดนี้ไปเลย
น้ำตาไหลลงมา
เขาจะได้เห็นผู้ช่วย ที่จะเปิดโลกใหม่
***
จุงมินชานที่รออย่างกระวนกระวายถามวูจิน
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“หมายถึงอะไร”
คังวูจินกดขมับเหมือนปวดศีรษะ
“ขังคิมคังชุลไว้ก่อน”
“ถ้าเขาคิดหนีคงทำได้สำเร็จ แน่ใจนะครับ?”
คิมคังชุลเป็นเราส์แรงค์สูง ถ้าเขาอยากไปใครจะหยุดได้?
“ถ้าเขาอยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่”
วูจินไม่สนใจว่าคิมคังชุลจะอยู่หรือไป
อย่างน้อยเขาสามารถอ่านความคิดของโลกพระจันทร์ที่ซ่อนความจริงจากเขา
เขาไม่สนว่าคิมคังชุลจะเลือกอยู่เป็นตัวประกันหรือไปตามแผนใด
“เมื่อไหร่พวกเราจะถึงกรีก?”
“สามชั่วโมงครับ”
“อืม”
เขาใกล้จะเลเวล 99 เต็มทีแล้ว
จะเก็บเลเวลดี? หรือเก็บแต้มเพื่อสร้างไอเทมในเซ็ททราชอีกสองอย่างที่เหลือ?
“ทำทั้งคู่”
“ครับ?”
“บอกให้เจมินมาหาฉัน แล้วนายไปทำธุระของนายได้”
พูดจบแล้ววูจินเดินขึ้นดาดฟ้า จุงมินชานเดินตามเขาต่อ
“ฉันบอกให้ไปทำงานของนาย”
“งานของผมคือช่วยประธานครับ”
“ก็คือไม่มีอะไรทำสินะ”
เขาเป็นนายกรัฐมนตรี จะงานยุ่งขนาดไหน?
ปราการลอยฟ้าไปยังสถานที่ๆเกิดดันเจี้ยนเบรกขนาดใหญ่ แต่บิบิรับผิดชอบการต่อสู้
งานของเขาก็คือเปลี่ยนกำหนดการเมื่อได้คำขอความช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ
แต่กระทั่งเรื่องนี้ก็เป็นลูกน้องของเขาทำ
“งานนายสบายดีนะ ว่าแต่ฉันเห็นบางคนมีวิญญาณมืดมาก นายควรตรวจสอบพนักงานของนายดีๆ”
“ครับ?”
ขณะวูจินเดินไปมาในเรือ เขาผ่านพนักงานที่มีวิญญาณสกปรกจนส่งกลิ่นเหม็นออกมา
“ดูเหมือนนายจะไม่เคร่งครัดเรื่องเลือกจ้างคนเท่าไหร่”
“...ผมจะตรวจสอบทันที”
จุงมินชานตอบอย่างเคร่งขรึม เขาเป็นคนเลือกพนักงานทั่วไปที่ไม่ใช่เราส์มากับมือ เขาตรวจประวัติพนักงาน 1000 คนอย่างดี แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถคัดคนไม่ดีออกได้หมด
มินชานตรงไปที่ห้องทำงานทันที วูจินไปที่มุมดาดฟ้าเรือ เขาไปหารงรงที่กำลังยึดรังไวเวิร์นไว้
[ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร?]
วูจินยิ้มแล้วเรียกโดลเซกับบิบิออกมา
“อ๊ะ เจ้านาย”
บิบิกำลังเล่นในห้องควบคุมและถูกเรียกมาตรงหน้าวูจินอย่างกะทันหัน
“บิบิ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ ฉันอยากให้เธอกับโดลเซ รงรง ฆ่าลอร์ดมิติให้หมด”
“โอโฮะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเถอะ”
จากนั้น วูจินเรียกอัศวินมรณะและเจนิสออกมา
พวกมันถูกเรียกออกมาและพาความรู้สึกอันตรายมาด้วย พวกมันมองวูจินอย่างเชื่อใจ
“ฉันอยากให้พวกนายฆ่าศัตรูที่เห็นให้หมด”
[รับบัญชา...]
พวกมันล่า ค่าประสบการณ์ของเขาจะเพิ่มขึ้น
“พี่เรียกผมเหรอ?”
โดเจมินมาถึงพอดี วูจินพาเขาไปที่อุโมงค์
“นายไปกับฉัน”
“ไปอัลเฟนเหรอครับ? เราจะไปรับหัวหน้าทีมฮีซอลกับพี่ซุงกูเหรอ?”
“พวกนั้นไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาเอง”
“งั้นเราจะไปไหนกัน?”
“เราจะไปเพิ่มแต้ม”
“ครับ?”
เจมินที่เต็มไปด้วยคำถามถูกพาตัวไปที่อาณาเขตมิติอลันดาล
[ราชาของข้า...]
คิบะที่เฝ้าปราสาทไม่มีเจ้าของคุกเข่าลงตรงหน้าวูจิน
“เอ่อ คราวหน้าฉันจะพานายไปสู้ จริงๆ”
[ข้าจะรอคำสั่งจากท่าน]
เขาต้องเปลี่ยนคนอื่นมาแทนคิบะ อัศวินมรณะออกอาละวาดอย่างเต็มที่ข้างนอก คิบะได้แค่สู้กับนักผจญภัยที่นานๆจะผ่านดันเจี้ยนเข้ามาในอาณาเขตมิติ
“เจมิน”
“ครับพี่”
“ฉันต้องการแต้ม”
“อืม... ให้ผมช่วยอะไรครับ?”
“เราจะทำสงครามมิติแบบมาราธอน”
เจมินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน
เขารับโลหิตเคาท์กลายเป็นลอร์ดแห่งแวมไพร์
เขาหลุดพ้นจากคำสาปพระอาทิตย์และตอนนี้เขามีพลังควบคุมความกระหายเลือดได้
ถ้าเอาความแข็งแกร่ง ปฏิกิริยาตอบโต้ สายตาและอื่นๆออก เขาก็เป็นแค่มนุษย์...
เขาเลยความเป็นมนุษย์ไปนานแล้ว
“ไว้ใจผมได้เลยครับ”
เขาจะได้อวดความสามารถของเขาผ่านการทำสงครามมิติแล้ว
โดเจมินนั่งบนที่นั่งนักกลยุทธ์
วูจินไม่แม้แต่นั่งบนบัลลังก์เพื่ออ่านข้อมูลศัตรู เขาเลือกศัตรูแบบสุ่ม
เขาต้องการแต้มจำนวนมากเพื่อสร้างเซ็ทไอเทมสองอย่างที่เหลือ
[คุณได้ขอทำสงครามมิติกับคุณลีอาห์]
วูจินเลือกสุ่มเลือกศัตรู แต่เมื่อเห็นชื่อเขาก็หลุดยิ้ม
“เธออีกแล้ว”
สงครามระหว่างวูจินกับมิติต่างๆเริ่มขึ้น
***
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปรอบๆ
“ท่านท็อปเลอร์ อาหารค่ะ”
ท็อปเลอร์หยุดตอกแผ่นเหล็ก เขายิ้มให้เด็กที่ถือตะกร้าเล็กๆมาหา
“ขอบใจ โซโซ”
เด็กหญิงชื่อโซโซค้อมศีรษะลาและถือตะกร้าจากไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ”
ท็อปเลอร์ถอนหายใจหลังจากหยุดงานหนัก เขาเปิดดูอาหารที่เอามาให้ มีกระติกใส่น้ำและชามใส่สิ่งที่เหมือนข้าวต้ม
“อืม”
เขากลืนข้าวต้มรสจืดลงคอโดยไม่มีอะไรให้เคี้ยว มื้ออาหารง่ายๆไม่นานก็จบ แต่เขารู้สึกขอบคุณที่มีอาหารกิน
ท็อปเลอร์ดื่มน้ำที่ได้มาจนหมด จากนั้นมองออกไปทางหน้าต่าง เขามองท้องฟ้ามืด
ขณะมองดาวพราวระยับ ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและกังวล
“เฮ้อ คราวนี้พวกเราต้อง...”
ที่นี่มาถึงขีดจำกัดแล้ว
ถ้าเกิดรีเซ็ทอีกครั้ง โลกพระจันทร์อาจไม่มีอนาคตอีกต่อไป
กุญแจทั้งหมดอยู่ในมือชายคนนั้น


สารบัญ                                        บทที่ 195


วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 193


บทที่ 193 – มังกรโลหิต (2)

ร่างสีแดงมหึมาบินบนฟ้า
[ข้าชื่ออะไร?]
มันจำชื่อเดิมของมันไม่ได้ ก่อนมันจะได้ชื่อรงรง
เลือดถูกส่งออกมาจากหัวใจโกเลม สำหรับมังกรมันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย
เหมือนเลือดที่สูบฉีดทำให้มันได้สำนึกในตัวเองกลับมา
มังกรบินขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง มันบินวนเข้าหากาที่กำลังบินเป็นวงกลม
[เจ้าเป็นสิ่งแปลก]
กากล่าวออกมาสั้นๆ รงรงตอบด้วยการอ้าปาก
กาตั้งใจจะหลบแต่ทำไม่ได้ หลังจากได้เลือดและปีก การเคลื่อนไหวของรงรงแตกต่างจากเดิมลิบลับ
และมันทรงพลังกว่าเดิม เขี้ยวของมันสามารถกัดทะลุปีก,ขนที่เหมือนมีดและหนังของไอบริท
มันเป็นท่ากัดง่ายๆ แต่ความเสียหายเกินจินตนาการ
รงรงจับร่างไอบริทด้วยกรงเล็บของมัน เขี้ยวของมันยังฝังในปีก รงรงบิดร่างของไอบริท
[กา!]
ไอบริทดิ้นกระเสือกกระสนขณะที่ปีกถูกฉีกออก
ปีกอันทรงพลังของรงรงทำให้พวกมันทั้งสองยังอยู่กลางอากาศไม่ร่วงลงพื้น
[เจ้าบ้าเลือด!]
รงรงถุยปีกออกแล้วกัดหัวของไอบริททันที
[เป็นไปไม่ได้]
ไอบริทได้กลิ่นฉุนจากมังกร กลิ่นเลือดทำให้มันปวดหัว
ปากรงรงหุ้มหัวไอบริทมิด ร่างกาเริ่มลุกไหม้
ร่างสีดำติดไฟและลามไปตามขนนก
ตอนนี้ปีกกลายเป็นไฟไปแล้ว
เมื่อไฟมอดลง ไอบริทจะสามารถฟื้นตัวใหม่
เกิดความร้อนระอุในปากรงรง แต่ภายในปากของมันไม่มีอะไรไหม้
กร๊วบ
รงรงกัดหัวกาขาดแล้วกลืนไปพร้อมกับความร้อนระอุ
ร่างไอบริทกลายเป็นแสงสีเทาหายไป มังกรโลหิตคำราม
[ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้ว]
หลังจากทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จ รงรงบินลงมา
เหล่ามอนสเตอร์ที่สู้อย่างบ้าคลั่งก็ชะงักไป
พวกนี้พุ่งใส่เป้าหมายอย่างหน้ามืดตามัว แต่การต่อสู้จบลงเมื่อพวกมันเริ่มเป็นห่วงชีวิตตัวเอง
เมื่อวูจินเห็นมอนสเตอร์ที่กำลังสับสน ความเครียดเกร็งในร่างเขาก็คลายลง...
“ดูท่ารงรงจะฆ่ามันแล้ว”
เมื่อไอบริทถูกฆ่า มอนสเตอร์ก็ไม่ใช่กองทหารอีกต่อไป พวกมันได้แต่รอถูกกองทัพผีดิบสังหาร
มังกรโลหิตร่อนจอดลงข้างตัววูจินเหมือนยืนยันสิ่งที่เขาคิด
ซ่า
แม่น้ำฮันเกิดคลื่น ศพกองกันจนเหมือนเกาะในบางแห่งของแม่น้ำ
ถ้าสร้างเซ็ททราชครบ วูจินอาจคืนชีพศพทั้งหมดนี้ขึ้นมาเป็นผีดิบได้
มังกรโลหิตเหยียบย่ำซากศพ มันยื่นศีรษะมาทางวูจินแล้วถาม
[ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร]
วูจินยิ้มพลางวางมือบนเขาของมัน
“ฉันอยากบินไปกับนาย”
เขากระโดดขึ้นหลังรงรง
มังกรถีบพื้นอย่างแรงแล้วบินขึ้นฟ้า
***
ที่หลบภัย
วูซุงฮุนและพนักงานคนอื่นๆได้แต่สังเกตการณ์สถานการณ์ด้านนอกผ่านจอภาพขนาดใหญ่และวิทยุ พวกเขาให้ความสนใจไปที่สถานีข่าวที่ยังออกข่าวได้
[ช่างมหัศจรรย์ นายกรัฐมนตรีของอลันดาลเคยกล่าวว่าพลังของประเทศอยู่ในตัวของพระราชา พวกเราเชื่อว่ามันเป็นคำโกหก แต่ก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายถึงที่สุด เขาก็ช่วยโซลไว้ได้]
“ฮะ พูดไม่ออกเลยฉัน”
“เชี่ย ทำไมเขามาช้านัก?”
“อา ดงมินอา ลูก... ฮือๆ”
บางคนตะโกนอย่างดีใจ บางคนตะโกนอย่างสิ้นหวังและบ่นว่า
วูซุงฮุนและพนักงานออกจากที่หลบภัยไปเงียบๆ รอบเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทหารและเราส์ลาดตระเวนถนนสายต่างๆจัดการกับมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่รวมทั้งช่วยคนบาดเจ็บ
“เฮ้อ พระราชาของเราเก่งจริงๆ”
“มันทำให้ฉันภูมิใจที่เป็นคนของอลันดาล”
พวกพนักงานระวังตัวเมื่ออยู่ในที่หลบภัยกับคนนอก แต่เมื่อออกมาแล้วพวกเขาเริ่มพูดตามที่คิด
ตอนที่คังวูจินไปอัลเฟน อลันดาลถูกกดดันจากประเทศต่างๆ
ยิ่งกว่านั้น คนเกาหลีเป็นคนที่ด่าพวกเขามากที่สุด
ทรยศ,ทิ้งแผ่นดิน กระทั่งคำว่าคนขี้ขลาดถูกโยนใส่คนของอลันดาล
พวกเขาพยายามทำให้อลันดาลเสียชื่อเสียง นักข่าวทำให้เรื่องแย่ลงอีกด้วยการเผยแพร่คำวิพากษ์วิจารณ์นั้น มันทำให้คนของอลันดาลรู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกเขา
“เอ๊ะ? หัวหน้า ดู...ดูนั่น!
“หือ?”
วูซุงฮุนมองตามที่พนักงานชี้ เขาเห็นมอนสเตอร์ตัวใหญ่บินมาทางพวกเขา
ครืน
สิ่งนั้นทำให้ถนน 10 เลนดูแคบไปเลย
มอนสเตอร์ลงพื้นและฝ่ารถบนถนนมา ทุกคนมองแล้วกลืนน้ำลาย
เหมือนตึกอพาร์ทเมนท์กำลังคลานมาหาพวกเราเลย
พวกเขาตัวแข็งทื่อเพราะแรงกดดันมหาศาลและขนาดตัวของมอนสเตอร์
เมื่อมังกรโลหิตมาถึง มันลดหัวลง
วูจินไถลลงจากคอมาหยุดที่หัวมังกร ความกลัวบนหน้าพนักงานหายไป
“พระราชา!
“ขึ้นมา ไปกันเถอะ”
วูจินพูดสั้นๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วูซุงฮุนตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ขึ้นไปยังไงครับ?”
“อ่า...”
แค่กรงเล็บก็ใหญ่กว่าคนแล้ว คนธรรมดาต้องปีนขึ้นมาเหมือนปีนหน้าผา
วูจินยกมือขึ้น พลังเวทบางๆคลุมพนักงานแล้วยกพวกเขามาบนหลังรงรง
“หา”
“อุ๊บ”
พวกเขาคาดไว้แล้ว กลิ่นเลือดเข้มข้น พนักงานบางคนเกิดอาการคลื่นไส้
วูจินหันไปมองอย่างงง
“เรายังไม่ทันบินเลย เมาเครื่องบินกันแล้วเรอะ?”
“ฮะๆ นั่น...นั่นสิครับ”
วูซุงฮุนก็หน้าซีดเช่นกัน แต่เขาหัวเราะแหะๆคล้อยตาม วูจินกางบาเรียล้อมรอบพวกเขา
มังกรโลหิตถีบพื้น และเมื่ออยู่บนฟ้า พนักงานไม่มีเวลาสนใจเรื่องกลิ่นอีก บาเรียป้องกันกระแสอากาศ แต่พวกเขายังต้องเกาะมังกรให้แน่น
มังกรโลหิตจากโซลไปอย่างรวดเร็ว
***
เฮลิคอปเตอร์รายงานข่าวบินเหนือสนามรบขณะที่เสียงการต่อสู้เบาลงแล้ว
“พระราชาคังวูจินแห่งอลันดาลไม่ให้ความเห็นอะไรก่อนจากไป กองทัพและกิลด์ต่างๆกำลังเก็บกวาด...”
กล้องซูมภาพออกให้เห็นรอบๆ สามารถเห็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์อยู่ท่ามกลางมอนสเตอร์
มีคนที่เหมือนมนุษย์มากจนแยกเป็นเผ่าอื่นไม่ได้ กล้องยังเก็บภาพสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ ดูเหมือนไม่ใช่ความจริงที่เรียกว่าต้นไม้หนาม
“หรือนี่จะเป็นช่วงเวลาที่สิ่งมีชีวิตต่างดาวบุกโลก? เกาหลีอาจต้องทิ้งโซลไป”
ในโซลมีดันเจี้ยนมากเกินไป
***
เขาจะกลายเป็นผู้ปกครอง
พื้นใกล้อิเอลโลแข็งเป็นน้ำแข็ง เสาน้ำแข็งงอกจากพื้นไปทางต้นไม้หนาม...
ระหว่างถนนน้ำแข็งก่อตัว ลีซังโฮสำรวจรอบๆ
ที่นี่เงียบเกินไปหรือเปล่า?
นี่ควรจะมีการต่อสู้ดุเดือด แต่เขารู้สึกถึงความขัดแย้งน่าประหลาด เขามองซากศพและอาคารเสียหาย ทุกอย่างแสดงถึงการต่อสู้แต่มันเงียบเกินไป
ไม่มีเสียงระเบิดหรือเสียงตะโกน
กริ๊งๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือส่งเสียงเตือน ลีซังโฮหน้าแข็งทื่อเมื่อเห็นข้อความจากคนของเขา
[คังวูจินขโมยที่นั่นแล้ว แนะนำให้ถอย]
เขารีบค้นหาในอินเตอร์เน็ต
ข่าวด่วนรายงานถึงความตายของไอบริท และการดูแลความสงบจากดันเจี้ยนระเบิดในโซล ยังมีวิดีโอฉายภาพมังกรแดงต่อสู้กับไอบริท
“เชี่ย เราช้าเกินไป”  
เขาวางแผนป้องกันไว้แล้ว แต่คังวูจินยังกลับมาจากอัลเฟนได้
“ไอ้ญี่ปุ่นพวกนั้น”
เขาไม่หวังมาก แค่อยากให้พวกนั้นถ่วงเวลาวูจินไว้สักหลายวัน แต่พวกมันทำได้วันเดียว
“ท่านอิเอลโล ตอนนี้...”
เสาน้ำแข็งยาวออกไปเหมือนน้ำจากน้ำพุ... มันงอกไปเรื่อยๆ เข้าไปใกล้ต้นไม้หนาม
มนุษย์น้ำแข็งคนหนึ่งแสดงตัวบนสนามรบที่สงบลงแล้ว...
“เวร!
เขาจะไม่ถูกมองเป็นผู้ช่วย เขาจะถูกมองเป็นผู้บุกรุกคนใหม่
***
ปราการลอยฟ้าโคลงเคลง ไวเวิร์นรวมตัวกันตรงลานว่างบนดาดฟ้า แต่พวกมันถูกไล่ไปเมื่อมังกรโลหิตลงมา การปรากฏตัวของมังกรโลหิตสร้างความวุ่นวายในปราสาทบิบิ
“เอื๊อก”
พวกเขาไม่เหลือแรงอาเจียน แต่เมื่อความเครียดเกร็งไปจากร่าง พวกเขารู้สึกอยากสำรอกแม้จะไม่มีอะไรออกมา วูจินทิ้งพนักงานไว้แล้วกระโดดลงจากหลังมังกร
“เจ้านาย!
ซัคคิวบัสกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนเขา
วูจินหน้าเกร็งเมื่อถูกบิบิกอด
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเสื้อผ้าล่อแหลมที่บิบิใส่
บิบิไม่ใช่ปีศาจน้อยแล้ว เธออยู่ในร่างที่เขาคุ้นตาบนอัลเฟน และมีเหตุผลเดียวที่เธออยู่ในร่างนี้ได้
“การประสานเสร็จแล้วจริงๆ”
“ค่ะ เราใช้พลังของเราได้หมดแล้ว”
บิบิพูดอย่างภูมิใจแต่ไม่ได้ดูดีใจนัก แม่มดมายาแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็หมายความว่าศัตรูของพวกเขามีพลังเต็มร้อยเช่นกัน
ลอร์ดมิติทั้งหมดจะสามารถใช้พลังของพวกมันได้เหมือนโลกเป็นดาวบ้านเกิดของพวกมัน
“พวกเรารอท่านอยู่”
จุงมินชานออกมาต้อนรับ โซอาและแม่ยืนถัดจากมินชาน และโดเจมินยืนข้างหลังพวกเขาเหมือนเป็นบอดี้การ์ดที่น่าเชื่อถือ ยังมีโดจีวอน...
“ลูกทำได้ดี”
วูจินยิ้มให้แม่ โซอาจับมือแม่ เธอดูเขินๆเพราะไม่ได้เห็นพี่ชายมาหลายวันแล้ว
“แม่จะคุยกับลูกทีหลัง ไปทำธุระของลูกเถอะ”
แม่ของเขารู้ว่าเขายุ่ง พอได้เห็นหน้าก็ขอตัว
“พระราชา ท่านจะไม่ไปพบ...”
วูจินตัดบท
“นายส่งกิลด์ดาเคนไปทำไม?”
“อะไรนะ? พวกเขาอาสา...”
ดูเหมือนมินชานยังไม่รู้ว่าพวกมันทรยศ
วูจินพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“ไว้คุยเรื่องนั้นทีหลัง มีกี่ที่ที่เกิดดันเจี้ยนเบรกแบบโซล?”
“เหมือนกันหมดครับ ยังมีอีกหลายเมืองที่ยังฟื้นฟูไม่ได้”
โชคดี อังกฤษอยู่ในช่วงสุดท้ายของการทำให้สถานการณ์สงบ ประชากรส่วนใหญ่ถูกย้ายไปยังพื้นที่อพยพขนาดใหญ่ห่างจากสถานีใต้ดินตั้งแต่แรก
เมื่อไม่ต้องห่วงพลเมืองได้รับบาดเจ็บ กองทัพก็ใช้อาวุธได้เต็มที่
“สถานการณ์ในอังกฤษคงที่มากที่สุดเพราะคุณบิบิ”
พอวูจินหันไปมองบิบิก็ยิ้มกว้าง
“เราฆ่าลอร์ดมิติไปคนหนึ่งด้วยตัวเองเลย”
“ทำได้ดี แล้วประเทศที่ใกล้ที่สุดที่กำลังจะระเบิดล่ะ?”
“กรีกครับ พวกเรากำลังจะไปที่นั่น แต่มีคนที่ท่านควรพบก่อน”
ปราสาทบิบิกำลังบินไป ที่หมายของพวกเขาคือกรีก
“ใคร?”
จุงมินชานตอบอย่างระวัง หลังจากแก้ปัญหาดันเจี้ยนเบรกในอังกฤษ คนๆหนึ่งมาที่ปราสาทบิบิเพื่อพบคังวูจิน
“คิมคังชุลครับ”
“โฮ่”
วูจินเลิกคิ้ว
เขาสมัครใจมาเองเลยเหรอ?

สารบัญ                                           บทที่ 194